คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Nightmare No.11.1
ถนนยามบ่ายแก่ๆเต็มไปด้วยผู้คนมากมายซึ่งสามในสี่เป็นเด็กวัยรุ่น และหนึ่งส่วนที่เหลือคือพวกคุณป้าคุณลุงทั้งหลายที่แต่งตัวเป็นวัยรุ่น แน่นอนว่าที่นี่คือแหล่งช้อปปิ้งและแหล่งแฟชั่น และในตอนบ่ายที่อากาศกำลังดีอย่างนี้ใครๆก็ออกมาเดินเล่นกันทั้งนั้น ยกเว้นผม
ผมเดินไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังอันเป็นเป้าหมายในตอนนี้และเลือกโต๊ะในตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่ายที่สุด พนักงานสาวที่เข้ามารับออเดอร์มองผมด้วยแววตาสีน้ำตาลหวานปานน้ำผึ้ง ผมได้แค่ยิ้มรับอย่างสุภาพน้อยๆ
หน้าตาดี เรื่องนี้ช่วยไม่ได้
ผมสั่งซูชิหน้าปลาดิบไปสามชิ้นกับชาเขียวร้อนอีกหนึ่งแก้ว บรรยากาศแบบนี้เหมาะแก่การจิบชาที่สุด และคู่นัดผมก็ยังไม่มา ผมมีเวลาเหลือเฟือ เหลือจนบางทีก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร
เมื่อผมกินปลาดิบไปครบสองชิ้นก็มีผู้ชายในชุดสูทสีเทาถือกระเป๋านั่งมานั่งตรงข้ามกับผม เขาสวมแว่นตาดำและหวีผมเรียบแปล้ สวมนาฬิกาสัญชาติสวิส กระเป๋าหนังสัญชาติอิตาลี และยังไม่นับรองเท้าหนังขัดเงาที่มาจากฝรั่งเศษ
“คุณคงเป็น ไนท์แมร์สินะ” เขาเริ่มต้นประโยคโดยไม่มีการอ้อมคอม ผมยิ้มรับจากนั้นก็เลื่อนจานปลาดิบที่เหลืออีกหนึ่งชิ้นไปให้เขา แต่เขากลับพูดต่อราวกับมองไม่เห็น
“ผมเป็นตัวแทนมาตกลงเรื่องงาน แต่คุณต้องได้รับการทดสอบของเราก่อน โดยข้อมูลเบื้องต้นที่คุณส่งมานับว่าสมบูรณ์แบบ” เขาชมหรือไม่ ผมไม่รู้ เพราะเขายังทำหน้าตาแบบเดิมตลอดเวลา คือนิ่งสนิท “อีกสองวันเราจะติดต่อไป ขอบคุณที่มารับการสัมภาษณ์”
ผมยิ้ม ยิ้มค้าง!!!
สอบสัมภาษณ์แค่นี้เนี่ยนะ!! ง่ายไปมั้ย!! อย่างน้อยถามชื่อพ่อก็ยังดี! ไม่โปรดเถอะ! ความรู้สึกแบบนี้เหมือนผมกำลังจะเสียคุณไป!!! เอ่อ.. หมายถึงเสียงานไปน่ะ
แต่ผมก็ทำได้เพียงแค่ยิ้ม แล้วพูดว่า “ขอบคุณเช่นกันครับ”
ขอบคุณหาหอกอะไรเล่า!!!!!!!!!!!!!!
ผมเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้นจนมืด ก่อนจะเดินลัดเลาะผ่านตึกที่เงียบเชียบไร้ผู้คน วันนี้ผมยังหางานทำไม่ได้ แต่อีกสองวันไม่แน่ ...ไม่แน่ว่าอาจจะตกงานเหมือนเดิม ผมถอนหายใจ เสยผมสีเงินที่ตกลงมาปรกหน้าผาก ก่อนจะชะงักเท้าที่ก้าวเดินเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
เหมือนเสียงกระสุนปืนตก
ผมก้าวเดินต่อ และเงี่ยหูฟังไปเรื่อยๆ มีคนประมาณสามสิบคนล้อมผมอยู่ สำหรับมนุษย์แล้วมันอาจจะแทบไร้เสียง แต่สำหรับผมมันดังราวกับเสียงม้าวิ่งในสนาม
ก็ถ้าผมเป็นมนุษย์ล่ะนะ
ผมยังเดินต่อไปรอท่าทีอยู่ว่าคนเหล่านี้ตามผมมาด้วยวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ ผมเดินต่อไปเรื่อยๆจนเกือบสิบนาที ในที่สุด เสียงวัตถุบางอย่างก็ดังแหวกอากาศ
ให้ทายมั้ย นั่นน่ะ กระสุนปืน ขนาด42 มม.
ผมเอี้ยวตัวหลบอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะก้มลงมองกระสุนที่ตกอยู่บนพื้น ขนาด42 มม.จริงๆด้วย ผมยิ้มเล็กน้อย จากนั้นสายเงามากมายก็พุ่งมาจากทุกทิศทางและล้อมผมเอาไว้ ชายชุดดำปิดหน้าปิดตาแต่ละคนมีอาวุธในมือแตกต่างกัน ทุกคนต่างจ้องมองมาที่ผมไม่ขยับตัว
“หวัดดี” ผมทักแต่ทุกคนก็ไร้ซึ่งการตอบสนองเหมือนเป็นหุ่นยนต์ “ใครส่งพวกแกมาเหรอ” ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท ผมเริ่มหงุดหงิด แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับกว้างกว่าเก่า “ผมไม่รู้ว่าใครส่งพวกคุณมา”คำพูดผมเริ่มสุภาพมากขึ้น “แต่ต้องขอบอกว่าพวกคุณโชคร้าย” ตาสีชมพูดั่งอัญมณีของผมเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน เล็บที่เคยสั้นงอกยาวออกมาเรื่อยๆ จากนั้นก็อ้าปากเล็กน้อยเผยให้เห็นเขี้ยวสีขาวเงาวับ
ผมคำรามในลำคอเป็นเสียงทุ้มต่ำที่กังวาน น่าแปลกที่ไม่มีใครขยับเขยื้อนใดๆแม้แต่อาการความหวาดกลัว นั่นทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่าเดิม ผมยิ้มกว้างอีกครั้งแล้วพูดอย่างชัดเจนว่า
“ที่คุณต้องมาเจอฝันร้ายแบบผม”แล้วผมก็พุ่งเข้าไปบีบคอของคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ไม่ต้องออกแรงอะไรมากกระดูกที่คอเขาก็ลั่น จากนั้นร่างก็อ่อนปวกเปียกล้มลงไปนอนกองกับพื้น คนอื่นๆไม่รอช้าต่างพุ่งตรงมาที่ผมและต่างฟาดฟันอาวุธในมืออย่างไม่ปราณีเลยว่าผมมีตัวคนเดียว
อันที่จริงจะกี่คนก็ไม่สำคัญหรอกถ้ายังมีความเร็วระดับนี้ล่ะก็นะ ระดับที่ผมแทบออกแรงกระดิกนิ้วสองสามทีพวกเขาก็ล้มลงไปกองกับพื้น สิ้นใจตายไปเรียบร้อยโดยไม่ทันได้ร้องสักแอะ
ผมเสยผมสีเงิน เก็บเขี้ยวและเล็บเข้าที่เดิม
ผมลืมบอกไป
ผมไม่ใช่มนุษย์ ผมเป็นแวมไพร์
ไอ้เผ่าพันธุ์ที่มักจะอยู่ในนิยายหรือหนังนั่นแหละ!!
แต่พิเศษกว่านั้นผมไม่ได้เป็นแค่แวมไพร์
ผมเป็นลูกครึ่ง
ครึ่งหนึ่งเป็นแวมไพร์โดยกำเนิด
และอีกครึ่งก็เป็นเอลฟ์
ตนสุดท้ายบนดาวดวงนี้ซะด้วย
ผมไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใครแล้วพวกท่านรักกันได้ยังไง มีผมออกมาได้ยังไง แต่จากการสัณนิฐานอันชาญฉลาดของผม คาดว่า พ่อผมเป็นแวมไพร์แม่เป็นเอลฟ์หรือสลับกันพ่อผมเป็นเอลฟ์และแม่เป็นแวมไพร์ ทั้งสองมีผมเป็นลูก จากนั้นก็หายตัวไป
โอเค นั่นไม่ใช่การสัณนิฐานหรอกเพราะรั่นเป็นเรื่องจริงเพียงเรื่องเดียวที่ผมรู้เกี่ยวกับชาติกำเนิด
กลับมาปัจจุบัน ผมเป็นลูกครึ่งอายุ สองร้อยปี ซึ่งนับว่าทารกมากในหมู่อมนุษย์ด้วยกัน แต่ฝีมือผมก็เป็นที่เกรงกลัวจนไม่มีใครกล้ายุ่ง ผมมีสมบัติที่พ่อแม่ผมทิ้งไว้ให้เก็บอยู่ในปราสาททางตอนเหนือของประเทศนอร์เวย์ซึ่งมากมายพอที่จะผลาญได้ชั่วชีวิต
ตลอดกาลและตลอดไป
แต่นั่นเป็นการใช้ชีวิตที่ไร้ค่าในสายตาผม ดังนั้นผมจึงออกมาหางานทำในประเทศแถมเอเชีย อย่างเช่นในไต้หวัน จีน หรือ ญี่ปุ่นเป็นต้น และผมก็เหมาะกับงานบอดี้การ์ดมากที่สุด ด้วยความสามารถเฉพาะตัวที่มีมากมายทำให้ผมไม่เคยว่างงานเลย แต่นายจ้างคนก่อนๆพอจ้างผมทำนู่นทำนี่เสร็จก็ระแวงสั่งลูกน้องมาตามฆ่าผม
อยากจะหัวเราะให้เขี้ยวหัก!!!!!
เอาลูกปืนมาฆ่าผมเนี่ยนะ!! ปัญญาอ่อนชะมัด!!! คนบ้ายังไม่คิดกันเลย!! มีบางกลุ่มที่ฉลาดขึ้นมานิดนึงเอามิสไซด์มาไล่ยิง แต่ปรากฏว่ารุมยิงที่ไหนไม่รุมดันมารุมกลางถนน ตำรวจจับได้ แถมตายเป็นสิบ คนบาดเจ็บอีกเป็นร้อย โดนจับเข้าตารางไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ส่วนผมแค่ได้แผลถลอกมาสองสามที่ คิดแล้วก็ยังขำไม่หาย
มนุษย์เนี่ยนะทำไมต้องคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าเผ่าพันธุ์อื่นเขาด้วย ทั้งๆที่มนุษย์แท้จริงแล้วอ่อนแอ จับหักคอนิดเดียวก็ตาย
กลับมาสถานการณ์ปัจจุบันจริงๆดีกว่า ผมยืนมองร่างที่กองกันอย่างเสียดายนิดๆ จึงสุ่มหยิบชายคนหนึ่งขึ้นมาแล้วอ้าปากกัดลงไปที่ลำคอ แต่ลิ้นรับรสเลือดได้เพียงนิดเดียวจู่ๆอะไรบางอย่างก็วิ่งผ่านผมไปและมันก็ฝากรอยแผลเป็นทางบนแก้มซ้าย แต่ไม่ถึงวินาทีแผลก็จางหายไปเหลือไว้แต่ผิวที่เรียบเนียนเช่นเดิม
ยอมรับว่ามองไม่ทัน
ผมกางเขี้ยวเล็บอีกรอบ คำรามเบาๆเป็นเสียงต่ำที่เยือกเย็น ร่างที่ทำให้ผมเป็นแผลได้ต้องไม่ธรรมดา แต่ว่ามันเป็นอะไรกันล่ะ
และเมื่อแสงจันทร์สาดส่องอีกครั้งผมก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
ร่างที่อยู่ตรงหน้ามีลักษณะไม่เหมือนมนุษย์เพราะมีปีกเหมือนปีกค้างคาวงอกออกมาจากหลังทั้งสองข้าง ไม่ใช่ว่าผมไม่นะไอ้ปีกแบบนี้ แต่เพียงข้างซ้ายเป็นสีขาวข้างขวาเป็นสีดำเท่านั้น ผมพิจารณาร่างตรงหน้าอีกรอบ กลิ่นแบบนี้ไม่ใช่แวมไพร์แม้จะคุ้นๆอยู่ก็ตามแต่โดยรวมมีกลิ่นมนุษย์อยู่มากกว่า แต่คงไม่มีมนุษย์ที่ไหนมีปีกงอกออกมาจากหลัง เว้นเสียแต่ว่านี่เป็นแฟชั่นใหม่ที่พึ่งจะเริ่มต้นโดยหมอนี่เป็นคนแรก
“กรรรร” ร่างตรงหน้าคำรามลั่นดูเหมือนจะคลั่งแล้วเพราะผมไม่ยอมทำอะไรสักที ดังนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการผมจึงสะกิดเท้าพุ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว หยั่งเชิงด้วยการตวัดเล็บยาวเฟื้อยไปที่อก แต่ร่างประหลาดกลับหลบได้แล้วบินหนีไปข้างบน
การกระทำแบบนี้มัน….!!!
“ขี้ขลาดชัดๆ แกยั่วฉันมากไปแล้วนะ!” ผมขยับรอยยิ้มจาง แล้วกระโดดขึ้นไปในอากาศและสามารถฝากแผลบนอกมันได้เป็นทางยาวเลือดสีแดงฉานไหลริน ผมยกมือขึ้นมาดมๆ จากนั้นก็แลบลิ้นชิมเลือดที่ติดอยู่บนนิ้ว
“แหวะ!!!! รสชาติห่วยแตกที่สุด!!! แกนี่ต้องโดนดัดแปลงมาเยอะแน่ๆ ถึงมีเลือดอะไรต่ออะไรก็ไม่รู้ผสมเต็มไปหมด!!” ผมถ่มน้ำลายลงพื้น เริ่มรำคาญหวังจะเอาไอ้ตัวประหลาดไปให้พ้นๆตาโดยเร็ว
ผมชูมือไปข้างหน้างอเข้าหากันเหมือนจับอะไรอยู่ จากนั้นก็เหวี่ยงแขนไปทางขวา ร่างที่บินอยู่เหมือนโดนจับเขวี้ยงไปทางด้านขวา ผมเหวี่ยงแขนไปทางด้านซ้ายเต็มแรง มันพุ่งไปชนกำแพงตึกแล้วทะลุหายไป แต่ผมยังสัมผัสถึงมันได้ ดังนั้นจึงหลับตาตั้งสมาธิแล้วเห็นมันนอกครวญครางอยู่ที่ถนน ใหญ่อีกฝั่ง พร้อมกับเสาไฟฟ้าที่ล้มระเนระนาดไปเป็นทาง
“อุ้ย!!” ผมร้องเบาๆ ท่าทางจะออกแรงมากไปนิดจาทำให้ของหลวงเสียหาย แต่ผมไม่ปล่อยมันรอดไปง่ายๆแน่ ดังนั้นผมเลยออกแรงบีบที่มือช้าๆจนได้ยินเสียงกระดูกหักดังลั่นในหู และรอจนสัญญาณชีพจรมันหายไป ผมลดมือลงลืมตาขึ้น พลังเมื่อครู่คือพลังของเอลฟ์ การควบคุมทุกอย่างตามใจนึกขึ้นอยู่กับว่าคุณมีสมาธิมากแค่ไหน
ในกรณีผม มันมากมายพอๆกับสมบัติที่นอร์เวย์
ความสามารถของเอลฟ์นอกจากจะควบคุมทุกสิ่งได้อย่างใจนึกแล้วยังสามารถมองเห็นได้ไกลมาก เท่าไหร่ผมไมรู้แต่ที่เคยทดลองครั้งล่าสุด ผมอยู่ไต้หวันและนึกหยากดูนกเพนกวินที่อาร์กติก รวมถึงประสาทหูก็ดีมากด้วย ยังไม่รวมการมองทางจิตที่ผมสามารถแผ่จิตของตัวเองหรือประสาทสัมผัสทั้งหมดได้เป็นวงกว้าง ผมสามารถรู้การเคลื่อนไหว ทุกการกระทำ ทุกคลื่นเสียง เหมือนการใช้ตามองแต่ดีกว่าเยอะเลยเพราะผมสามารถมองทะลุทุกอย่างได้ แต่สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดคือเมื่อผมมีเลือดของเอลฟ์ไหลวนอยู่ในตัว ผมสามารถออกไปยืนกลางแดดได้ เว้นแต่ตอนแดดจัดในช่วงหน้าร้อนเท่านั้น ผิดกับแวมไพร์ทั่วไปที่จะต้องกลัวแสงแดด
คราวนี้คุณเข้าใจรึยัง ว่าผมน่ะพิเศษแค่ไหน และอันตรายแค่ไหน รวมถึงหน้าตาดีมากแค่ไหนด้วยเพราะตามปกติแวมไพร์มักจะมีรูปร่างหน้าตาน่าตื่นตะลึงอยู่แล้วรวมกับพวกเอลฟ์ที่หน้าตาราวกับเทวดาอีก
โอเค คุณจะว่าผมหลงตัวเองก็ได้ ไม่เป็นไร
เพราะสุดท้ายแล้วความจริงเรื่องที่ผมหน้าตาดีกว่าคุณยังเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำและมันก็จะตามหลอกหลอนคุณต่อไป
ฮ่าฮ่าฮ่า!!!
ผมยังไม่ได้บอกชื่อผมสินะ แม้จะมีผู้สัมภาษณ์งานเคยเรียกไปแล้วอยู่หนหนึ่งแต่เพื่อความชัวร์ก็ขอแนะนำตัวอีกรอบแล้วกัน
ผมชื่อ ไนท์แมร์ อีเลฟเวน Nightmare No.11 หรือ ฝันร้ายหมายเลขสิบเอ็ด
คนและอมนุษย์ทั่วไปเรียกผมว่า ไนท์แมร์
อมนุษย์ที่สนิทกันนิดนึงเรียกผมว่า ไนท์
และมีเพียงสามคนบนดาวดวงนี้ที่ผมอนุญาตให้เรียกว่า วันวัน(11) ไนท์แมร์คุง และฝันร้าย
จบการแนะนำตัว
ผมเอาผมสีเงินดังแสงจันทร์ที่ลงมาปรกหน้าของตัวเองทัดหู แล้วดึงร่างมนุษย์ที่กินเลือดค้างไว้ขึ้นมา แม้จะเย็นไปแล้ว แต่จะให้ทิ้งไว้ก็เสียดายแย่ เลือดใช่หากันง่ายๆซะที่ไหน
คุณว่าจริงไหมล่ะ
ความคิดเห็น