เธอ...มาและจากไปพร้อมสายฝน - เธอ...มาและจากไปพร้อมสายฝน นิยาย เธอ...มาและจากไปพร้อมสายฝน : Dek-D.com - Writer

    เธอ...มาและจากไปพร้อมสายฝน

    คุณเคยเป็นหรือเปล่าเวลาที่รอรถเมล์

    ผู้เข้าชมรวม

    170

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    170

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 พ.ย. 49 / 10:18 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ครืน...ครืน

                  เสียงคำรามจากฟากฟ้าเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า อีกประเดี๋ยวสายฝนคงโปรยปรายหรือบางทีอาจเทกระหน่ำลงมาเป็นแน่ ผมแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่ไม่อาจเอื้อมผืนนั้น ที่เริ่มแปรเปลี่ยนจากสีฟ้าครามมีแดดจ้าฟ้าสดใสเป็นมืดครึ้มอึมครึม ทั้งๆ ที่ตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือแบบดิจิตัลบอกตัวเลข 17:30

                  ใช่ครับตอนนี้มันเพิ่งจะ 5 โมงครึ่งเท่านั้นเองครับ แต่สภาพท้องฟ้าดูอย่างไรมันก็ช่างเหมือนเวลา 6 โมงเกือบจะทุ่มเสียเหลือเกิน

                  ผมเป็นคนหนึ่งที่ทำงานบริษัท เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนคนส่วนใหญ่ทั่วๆ ไป ฉะนั้นผมจึงมีฐานะที่ไม่จนไม่รวย อยู่ไปเรื่อยๆ ให้ผ่านไปวันๆ จึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงผ่อนรถยนต์สักคันเอาไว้อำนวยความสะดวกเผื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้แหละครับ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องเจอรถติดอยู่ดี แต่ถ้าได้นั่งอยู่บนรถของตัวเองเปิดแอร์เย็นฉ่ำถึงจะติดสักสามชั่วโมงก็คงไม่น่าหงุดหงิดไปกว่าอยู่บนรถเมล์ที่เบียดเสียดยัดเยียดไปด้วยคนในช่วงหลังเลิกงานแถมมีฝนตกอีกต่างหาก

                  แต่คิดไปก็เท่านั้นแหละครับ เพราะผมเคยคิดมาหลายครั้งแล้วแต่เมื่อนำข้อดีข้อเสียมาชั่งน้ำหนักดูแล้ว ผมคิดว่ามันไม่คุ้มกันน่ะครับ เพียงเพื่อความสบายกายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องแลกกับความไม่สบายใจอีกสารพัดสารพันที่จะประดังประเดเข้ามา ทั้งค่าน้ำมันรถที่จะต้องให้เป็นอาหารแก่เจ้าสัตว์เลี้ยงเหล็กตัวเขื่อง ไหนจะค่าซ่อมแซมเลี้ยงดูมันอีกเล่า ค่าทางด่วนอีก ค่าปรับที่พี่ตำรวจเรียกเวลาทำผิดกฏจราจรโดยไม่ตั้งใจอีก ไหนจะนู่นนี่อีกมากมายก่ายกอง โอย...มันยุ่บยั่บไปหมดที่จะต้องเสียเงิน สู้ผมยอมนั่งรถเมล์จ่ายเงินแค่ไม่กี่สิบบาทดีกว่า ถึงต้องรอนานสักหน่อย ร้อนสักหน่อย และเหนื่อยแสนเหนื่อย แต่เอาเถอะ...อย่างไรก็ถึงบ้านเหมือนกัน

                  ป้ายรถเมล์ช่วงหลังเลิกงานคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่ยืนรอรถคันที่ตนเองจะขึ้นเพื่อที่จะกลับบ้านหรือบางทีอาจต้องไปธุระที่อื่นต่อ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นเหมือนกันที่ต้องมาคอยชะเง้อชะแง้รอคอยรถเมล์คันที่ผมจะกลับบ้าน

                  สิ่งที่พอจะเป็นตัวช่วยให้ผ่อนคลายความตึงเครียดในการรอรถเมล์ ก็คงเป็นกิริยาอาการของผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกับผมนี่หล่ะครับ ที่บางคนก็ทำคอยืดคอยาวมองว่ารถที่ตัวเองจะขึ้น มาหรือยัง บางคนก็ก้มๆ เงยๆ ดูนาฬิกาอยู่นั่นแหละ สงสัยว่าพวกนี้คงต้องรีบไปที่ไหนต่อแน่นอน บ้างก็คุยโทรศัพท์ ผมเคยเห็นบางคนคุยโทรศัพท์ตั้งแต่เดินมาที่ป้ายรถเมล์ยันขึ้นรถเมล์ยังไม่วาง มันทำให้ผมมีความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา ไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงหรือเป็นกังวลอันตรายแทนพวกเขาหรอกครับ แต่ผมแค่อยากรู้ว่าพวกเขาใช้โปรโมชั่นอะไรกันหนอถึงได้คุยกันได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้ ไอ้ตัวผมเองคุยธระกับเพื่อนเดี๋ยวเดียวเงินหมดเสียแล้ว นอกนั้นก็มียืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดบ้าง ยืนคุยกับเพื่อนบ้างพวกนี้โชคดีหน่อยไม่ต้องรอรถคนเดียว ถึงกระนั้นผมก็ยังคงต้องยืนรอรถเมล์ต่อไป และมันทำให้ผมอดนึกด่าโชคชะตาไม่ได้จริงๆ ว่าทำไมชีวิตเรามันถึงเป็นแบบนี้ รถที่เรารอไม่ยักมาเสียทีแต่ไอ้ที่ไม่คิดจะขึ้นมันมากันจริง...

                  นาฬิกาบนข้อมือของผมบอกเวลาว่าตอนนี้ 6 โมง 5 นาทีแล้ว เลยช่วงเวลาเคารพธงชาติในตอนเย็นแล้ว ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้คนไทยสมัยนี้ไม่ค่อยรักชาติเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยมีโอกาสได้ฟังเพลงชาติไทยกันมากนัก ก็ดูสิครับป่านนี้ยังไม่ได้กลับถึงบ้านต้องมายืนขาแข็ง โทรทัศน์ก็ไม่ได้ดู วิทยุก็ไม่ได้ฟัง แล้วจะได้ยินเสียงเพลงชาติได้อย่างไร แถมตอนเช้าก็ต้องรีบตื่นออกมาทำงานอีกเป็นอันว่าไม่ได้ฟังทั้งเช้าทั้งเย็น

                  ระหว่างที่ผมคิดบ่นเป็นบ้าอยู่คนเดียวในใจ สายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาเสียแล้ว แหม่...ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ เปาะ...แปะ...เปาะ...แปะ... เสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาพลาสติกของป้ายรถเมล์ที่ได้รับการสนับสนุนโดยองค์กรเอกชนรายใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้คนเริ่มเบียดเสียดเข้ามาหาที่กำบังฝน ใต้ชายคาที่เมื่อสักครู่ยังยืนได้สบายตอนนี้เริ่มแออัดยัดเยียดด้วยคนที่กลัวเปียกฝน จนผมแทบอยากจะออกไปยืนตากฝนข้างนอกเสียเอง...แต่ถ้าผมไม่กลัวเป็นหวัดนะ

                  ครู่เดียวที่เม็ดฝนบางๆ หล่นลงมาจากฟากฟ้า ซ่า...!” ฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมาแทนที่อย่างรวดเร็ว สภาพอากาศในตอนนี้ชักเริ่มไม่เหมาะต่อการเดินทางเสียแล้ว ผู้คนต่างหยุดกิจกรรมแล้ววิ่งหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น รถยนต์บนท้องถนนหยุดนิ่งแช่น้ำฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง

                  ผมมองตามสายฝนที่ตกลงมาต้องกับแสงไฟหน้ารถยนต์เป็นสาย เม็ดฝนแต่ละเม็ดถี่ยิบเหมือนเข็มหมุดจำนวนมากหล่นลงมาจากท้องฟ้า ที่พื้นถนนตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยน้ำที่เริ่มท่วมขังปริ่มขึ้นมาบนบาทวิถีเสียแล้ว

                  เมื่อละสายตาจากพื้นน้ำบนท้องถนนแล้ว ผมก็หันไปเห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งวิ่งก้มหน้าก้มตามาทางป้ายรถเมล์อย่างทุลักทะเล สีหน้าของเธออยู่ในอาการที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เธอวิ่งเข้ามาแทนที่ป้าคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าผมซึ่งได้ขึ้นรถเมล์คันที่แกรอแล้ว ในใต้ชายคาป้ายรถเมล์เดียวกันกับผม

                  ท่าทางเธอกระหืดกระหอบ เหนื่อยอ่อน ที่ทำงานเธอคงอยู่ไกลจากป้ายนี้สักหน่อยแต่ที่นี่ก็คงใกล้ที่สุดแล้วหากเธอคิดจะไปหลบฝนที่อื่น...เธออยู่ในชุดสีครีมทั้งตัว กระโปรงสั้นเหนือเข่าเล็กน้อย ใส่ต่างหูเป็นรูปวงกลมสีเงินอันไม่ใหญ่ไม่เล็กมากนัก เธอรัดผมด้วยยางรัดผมเส้นใหญ่สีเขียวอ่อน ตั้งแต่คอจนถึงแก้มครึ่งซีกหนึ่งที่ผมพอจะมองเห็นได้จากด้านหลังเป็นสีขาวนวล อาจจะดูซีดไปสักหน่อยเพราะความเปียกปอนจากการวิ่งฝ่าสายฝนและความหนาวเย็น แต่กระนั้นกลิ่นหอมจากตัวเธอก็ทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างผมต้องเคลิบเคลิ้มหวั่นไหวหัวใจสั่นสะท้านจนกลัวว่าเสียงเต้นของหัวใจมันจะดังออกมาข้างนอกด้วยระบบดอลบี้ดิจิตัล

                  เปรี้ยง!!

                  เสียงฟ้าฝ่าดังสนั่นช่วยกลบเสียงเต้นจังหวะฮาร์ดคอร์ของหัวใจผมเอาไว้ แต่เมื่อสังเกตดูตอนนี้เธอได้หันหน้าเข้ามาทางผม ใบหน้าเกือบประทับลงบนหน้าอกของผมเสียด้วยซ้ำไป สาวสวยคนนี้เมื่ออยู่ในระยะประชิดเธอกลับสวยกว่าตอนที่ผมเห็นเธอวิ่งมาหลบฝนตอนแรกเสียอีก ใบหน้าขาวนวลของเธอ ไม่มีร่องรอยของสิวฝ้า ริมฝีปากเรียบเนียนด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อน เข้ากับชุดที่เธอใส่ เอามืออุดหูหลับตาอย่างเอาเป็นเอาตาย โธ่เอ๋ย...เธอจ๋า...น่าสงสารจัง...ใครหนอช่างใจร้ายปล่อยให้เธอมาลำบากตรากตรำแบบนี้ ดูสิ...เธอตกใจกลัวเสียงฟ้าร้องอย่างกับเด็กๆ ถ้าผมเป็นคนรักของเธอป่านนี้ผมคงโอบกอดเธอไว้ด้วยอ้อมแขน แล้วลูบหัวเธอเบาๆ กระซิบที่ข้างหูว่า ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับคนดี...ผมอยู่ตรงนี้ไม่ต้องกลัว... แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก...ผมทำได้เพียงแค่มองสีหน้าหวาดกลัวของเธอเงียบๆ เผื่อว่าเธอจะเงยหน้าขึ้นมาร้องขอความช่วยเหลือ... หลายครั้งในหนึ่งนาทีผมอยากจะเอ่ยปากถามว่า เป็นอะไรมั้ยครับ? มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ? แต่ผมก็ต้องตัดใจเพราะไม่รู้ว่าอยู่ในฐานะอะไร กงการอะไรไปยุ่งกับเธอ บางทีถามไปอาจถูกเธอหาว่ายุ่งไม่เข้าเรื่องเสียอีก หรือเกิดคนรักของเธอมาพอดี ผมก็คงถูกกระทืบจบน้ำที่ขังบนพื้นแน่ๆ

                  เวลาผ่านไปเท่าไรผมไม่รู้เพราะผมไม่กล้าแม้แต่จะก้มดูนาฬิกาเพราะกลัวว่าเธอจะรู้ว่าผมกำลังแอบมองเธออยู่ เธอยังคงก้มหน้าแต่ตอนนี้เอาสองแขนกอดอกตัวเองเอาไว้แน่น...แน่ล่ะสิเธอคงหนาวมาก ริมฝีปากบางนั้นสั่นระรัวด้วยไอเย็นจากความโหดร้ายของสายฝน เธอคงกัดฟันแน่นเพื่อข่มความหนาวเย็นเป็นแน่ ผมควรทำอย่างไรดี? จะกอดเธอเลยดีไหม? ไม่ดีหรอกผมคงถูกตบฉาดใหญ่เข้าที่ใบหน้า ถูกลากคอไปนั่งให้ตำรวจสอบปากคำหาว่าเป็นไอ้โรคจิตแน่ๆ ผมไม่กลัวตำรวจหรอกน่ะแต่ผมกลัวจะไม่ได้ยืนอยู่กับเธอต่างหาก

                  ในวันที่แสนจะธรรมดาและอาจเรียกได้ว่าน่าเหนื่อยหน่ายด้วยซ้ำ มันทำให้คนที่อยู่ตัวคนเดียวหลังจากเลิกกับแฟนคนก่อนมาหลายปี มีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าแค่หญิงสาวสวยคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหลบฝนใต้ชายคาเดียวกันเท่านั้นเอง แต่มันกลับทำให้ผมคิดไปไกลถึงขนาดอยากดูแลเธอ และอยากให้เธอนั้นเป็นคนรักของผม โดยที่เธอคนนั้นไม่รู้จักผมและผมก็ไม่รู้จักเธอแม้แต่นิดเดียว หรือบางทีเธออาจจะไม่สนใจเสียด้วยซ้ำว่ามีผมแอบมองอยู่ข้างหลังเธอ

                  ฝนที่ตกกระหน่ำเริ่มซาเม็ดลง นั่นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าอีกไม่นานผมกับเธอคงต้องจากกันแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมอยากจะอ้อนวอนขอต่อพระพิรุนต์บนฟากฟ้าช่วยพัดพาสายฝนให้ตกแรงขึ้นอีกครั้ง ตกให้นานๆ นานเท่าที่ผมจะมีความกล้าพูดกับเธอ เพราะหากฝนหยุดในไม่ช้านี้ผมคงไม่มีโอกาสได้พูดกับเธอแม้แต่คำเดียวและเธอก็คงเดินจากผมไปเป็นแน่แท้

                  แต่ดูท่าฟ้าฝนคงไม่เป็นใจกับคนธรรมดาอย่างผม มันเริ่มตกเบาลงเรื่อยๆ สายลมที่พัดอย่างบ้าคลั่งเริ่มอ่อนแรง เม็ดฝนที่เทกระหน่ำเริ่มสร่างซา ถึงแม้ว่าท้องฟ้าตอนนี้จะไม่สว่างแต่เมฆก้อนดำก็คงจากไปแล้ว...

                  โธ่...เดี๋ยวก่อนสิ...อย่าเพิ่งหยุดได้ไหม ได้โปรด...ขอร้องเถอะ...ตกลงมาอีกสักรอบเถอะนะ ถ้าเป็นแบบนี้ผมก็จะไม่ได้ยืนอยู่กับเธอแล้วสิ โอ...ฟ้าหนอฟ้า...

                  จะพึ่งฟ้าฝนคงไม่ได้เสียแล้ว เอาล่ะ...ผมรวบรวมความกล้าเพื่อจะพูดกับเธอให้ได้ อย่างน้อยก็ขอให้ได้พูดล่ะ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน แล้วจะพูดอะไรดีล่ะ จะเริ่มอย่างไรดี...เอาไงดี...อย่างนี้แล้วกัน...

                  เอ่อ... ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ รถเก๋งสีแดงเข้มคันหนึ่งก็มาจอดเทียบตรงป้ายรถเมล์แล้วบีบแตรหนึ่งครั้ง เสียงของมันเรียกร้องความสนใจคนทั้งหมดที่ยืนอยู่ที่นั่นรวมทั้งเธอและผมให้หันไปดู กระจกรถค่อยๆ เลื่อนลงเผยให้เห็นชายหนุ่มรูปหล่อในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มส่งยิ้มออกมาจากในรถ ผมไม่รู้ว่าเขายิ้มให้ใครจนกระทั่งเธอ...เดินไปเปิดประตูรถนั่นแหละจึงได้รู้ว่าใครคือผู้รับรอยยิ้ม...

                  ประตูปิดลงพร้อมกระจกที่เลื่อนขึ้น รถเก๋งคันงามเคลื่อนออกจากป้ายรถเมล์...ทิ้งให้ผมยืนนิ่งพิงป้ายรถเมล์...เธอจากไปแล้ว...จากไปทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ

                  6 โมง 40 นาที กว่าครึ่งชั่วโมงที่ผมได้มีโอกาสยืนอยู่ข้างๆ เธอ...เธอผู้ที่มาพร้อมกับสายฝน...และจากไปพร้อมกับสายฝน...

       

      *******

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×