ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic LSK : ศิลาและสายลม (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 9 สายลมที่หวนคืน...

    • อัปเดตล่าสุด 19 มี.ค. 55


     
    ข้าฝากเรื่องทั้งหมดเอาไว้กับโชคชะตา ครีอุสถ้าเจ้ารู้เรื่องทั้งหมดเข้า เจ้าจะโกรธข้าไหมที่ทำเรื่องแบบนี้
     
    อาร์เมลเปิดประตูห้องของเทมเพสแล้วเดินไปนั่งข้างๆที่นอนของเขา ดอกไม้สีงามหลากสีถูกวางโรยไว้รอบทั้งร่างที่นอนนิ่ง พวกเขา...พี่น้องทุกคนคงจะนำมันมาวางไว้ให้เจ้า ป่านนี้คงกำลังจัดเตรียมอะไรหลายๆอย่างที่ดูวุ่นวายอยู่เบื้องนอก
     
    “เทมเพส ข้าขอโทษที่ผิดสัญญา ข้าพาเจ้ากลับมาที่นี่ทั้งที่ไม่ควร... แต่ว่าขอให้ข้ามีความหวังบ้างได้ไหม ข้าอยากที่จะให้ครีอุสรู้ตัวว่าตอนนี้เจ้า...” อาร์เมลซบหน้าลงกับฝ่ามือของตนเอง 
     
    เหลือเวลาอีกเพียงไม่มาก นับตั้งแต่เจ้าหลับตาลงในวินาทีนั้นมันก็ผ่านมากกว่าเจ็ดชั่วโมงแล้ว ทว่าครีอุสกลับไม่นึกฉุกใจถึงเรื่องราวของเจ้า...
     
     และขอโทษที่ข้าไม่อาจจะเป็นคนที่ไปจัดการเตรียมงานศพให้กับเจ้า เหมือนอย่างคนอื่นๆเพราะข้าทำใจไม่ได้
                   
               อาร์เมลสัมผัสกับแก้มเนียนนั้นเบาๆ
     
    กลับมาเถอะนะเทมเพสไม่ว่าจะในฐานะอะไร ข้าก็ยอมรับได้ทั้งนั้น ต่อให้องค์มหาเทพจะนำความสุขทั้งชีวิตของข้าไปเพื่อแลกตัวเจ้าคืนมาข้าก็ยอมล่ะ ได้โปรดกลับมาเถอะนะเทมเพส...
     
    +++++++++++
     
    “นานแล้วนะขอรับ ทางด้านนั้นยังคุย (ทะเลาะ) กันไม่จบอีกหรือ...”
     
    “จากสถิติ เทอร์มิสสามารถทุ่มเถียงกับองค์มหาเทพได้นานที่สุดถึงสามชั่วโมง ก่อนที่เขาจะเดินหน้าดำกลับเขตดินแดนชำระไป...”
     
    “...” งั้นก็คงอีกนาน...
     
    เพื่อเป็นการฆ่าเวลาที่คุ้มค่า... ข้าอยากฟังเรื่องของตำนานกำเนิดวิหารเทพฯต่อ...ในเมื่อท่านเทมเพสบอกว่าเหนื่อยแล้ว ข้าก็สามารถขอให้ท่านเฮฟเฟตัสเล่าให้ฟังต่อก็ได้นี่นา...
     
     “เรื่องเทพอัศวินทั้งสิบสองน่ะหรือ? สำหรับเรื่องนี้องค์มหาเทพได้ไปต่อรองกับเทพคนอื่นๆน่ะว่า โลกมนุษย์ที่ไม่มีเทพเจ้าดูแลก็อาจเกิดความวุ่นวายได้ เลยขอให้มีตัวแทนเทพเจ้าแต่ละพระองค์ขึ้นมาก่อตั้งเป็นลัทธิความเชื่อในโลกมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าพระองค์ได้เลือกอัศวินครีอุส ที่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเรียกกลายเป็นเทพอัศวินครีอุสให้เป็นประมุข และเลือกเทพอัศวินอีกสิบองค์ในกองทัพอัศวินที่ร่วมศึกในราวนั้น...”
     
    “อีกสิบคน! ไม่ใช่สิบเอ็ด?”
     
    “อา... แค่สิบนั่นล่ะ ถูกแล้ว มีเทพอัศวินฮาเดสที่ไหนกันเล่า”ท่านเทมเพสว่า
     
    ถ้าเช่นนั้นเรื่องข่าวลือว่า เทพอัศวินฮาเดสคือเทพอัศวินครีอุสที่ปลอมตัวออกไปทำภารกิจข้างนอกน่ะซิ...
     
    “ก็อย่างที่เจ้าคิดนั่นล่ะ... ไม่ต้องมาทำหน้าเซ่อ แค่ข้ามองหน้าเจ้าก็รู้แล้วล่ะว่ากำลังคิดอะไรอยู่”
     
    ไม่รู้ว่าท่านเทมเพสหายเหนื่อยแล้วหรือยังไงท่านถึงได้เป็นคนเล่าเรื่องต่อจากนั้น...
     
    “ก็อย่างที่เฮฟเฟตัสเล่ามา... ครีอุสที่ไม่ติดใจเอาเรื่องราวในอดีตมาเคืองแค้น ให้อภัยกับพรรคพวกของอัศวินเทอร์มิสทั้งหมด ดังนั้น ถ้านับกันตามความสามารถ อัศวินเทอร์มิสและพวกถือได้ว่าเข้าข่ายในการพิจารณา อีกทั้งพวกเขาให้สัตย์สาบานต่อองค์มหาเทพ ว่ายินดีที่จะรับใช้พระองค์ พวกเขาจึงได้รับเลือกให้เป็นเทพอัศวิน และได้รับหมอบหมายหน้าที่พร้อมทั้งพลังแห่งเทพให้แต่ละคน... แม้ว่านิสัยของอัศวินเทอร์มิสจะร้ายกาจ แต่อันที่จริงแล้วเขาเองก็เป็นคนที่มีความยุติธรรมอยู่ในตัว และถือศักดิ์ศรีตัวเองเป็นที่หนึ่ง ครั้งที่พวกอาร์เทมิสให้ร้ายครีอุส เขาถึงกับเคยจับเจ้าพวกนั้นให้คุกเข่าลงต่อหน้าครีอุสเลยเชียวล่ะ...”
     
    “ท่านบอกว่าเขามักจะกลั่นแกล้งท่านครีอุสนี่นา...”
     
    “นั่นมันก็แค่การพูดจาเสียดสีเล็กๆน้อยๆ เขาไม่เคยคิดร้ายถึงขนาดจะเอาชีวิตครีอุสเสียหน่อย... ถึงจะเป็นคนแข็งๆ แต่ก็นับว่าไม่เลว... แต่ก็อีกนั่นล่ะ หน้าตาเข้าไม่รับแขกซักนิด ให้ไปอยู่ที่ลานลงทันฑ์แน่ะเหมาะที่สุดแล้ว... แล้วไอ้เรื่องวิธีการตื้อครีอุสของเขาน่ะมัน... ไม่น่ารักเลยซักนิดเดียว ทำไปทำมาก็ดีแต่ก่อเรื่อง” ท่านเทมเพสยืนกอดอก ดูเหมือนว่าแม้ไม่อยากจะยอมรับในตัวเทพอัศวินเทอร์มิสหน่อยๆ แต่เขาก็ไม่ถึงกับปฏิเสธ... คงเป็นเพราะว่าหลังจากนั้นเขาคงจะพอทำใจเพื่อนร่วมงานได้กระมัง...
     
    “ตอนนั้น ข้าล่ะสมน้ำหน้าเขานัก จะมาบอกว่ารักครีอุสตอนหลังจากที่เข้ารับตำแหน่งเทพอัศวินศักดิ์สิทธิ์มันก็สายไปแล้ว ครีอุสฝังใจกับองค์มหาเทพถึงขนาดสาบานว่าจะรักและซื่อสัตย์กับพระองค์แต่เพียงผู้เดียวไม่เคยเหลียวแลใครอื่น...” ท่านเฮฟเฟตัสว่า
     
    “นั่นซิ เฮฟเฟตัส ยิ่งพูดถึงก็ยิ่งน่าหมั่นไส้ รีบไปไล่เจ้านั่นให้ไสหัวกลับแดนชำระบาปไปเร็วๆเข้า”
     
    “เจ้าอยากไล่ก็เข้าไปไล่เองซิ เรื่องอะไรถึงมาใช้ข้ากันล่ะ”
     
    “เรื่องซิ ข้าไม่อยากจะไปยุ่งกับเจ้านั่น”
     
    “ข้าก็เหมือนเจ้านั่นล่ะ!
     
              “ก็ได้ข้าจะไปดูที่ห้องโถงนั่นเองก็ได้” ท่านเทมเพสลุกขึ้นเดินไปอย่างหัวเสีย ข้าเองก็รีบลุกตามไปเช่นกัน ตรงหน้าประตูห้องที่คนกำลังทุ่มเถียงกันนั้น มีคนผู้นึงกำลังยืนเชิดหน้าอย่างไม่เห็นหัวคนที่กำลังเดินไปทักแม้แต่น้อย คงเป็นท่านอาร์เทมิส...
     
              “มีพวกตัวน่ารำคาญอยู่แถวนี้ด้วยหรือเนี่ย” คนที่เชิดหน้าสบถอย่างหงุดหงิดทันทีที่เห็นท่านเทมเพส
     
              “ให้มีน้อยๆหน่อยเถอะอาเต...” หืม ไม่ใช่ท่านอาร์เทมิส แต่เป็นอาเต... ใครกันหว่า
     
              “จะเปิดประตูก็เปิดเข้าไปซิ มีธุระกับเทอร์มิสไม่ใช่หรือไง... จะได้รีบๆ ตามเจ้านั่นออกไปทำงานเสียที่ เขาออกจะขี้เกียจไปหน่อยแล้วนะถึงมาอู้อยู่แถวนี้”
     
              คนที่ชื่ออาเต จิกตาลงมองท่านเทมเพส “อย่างเจ้า ที่โยนงานทุกอย่างให้คนอื่นทำ ยังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีก ช่างหน้าไม่อาย” เขาว่าพลางเคาะประตูเปิดเข้าไปในห้องโถงที่ประทับขององค์มหาเทพเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อคนที่นั่งเงียบอยู่ตลอดที่ข้าเห็นเมื่อครู่เริ่มเข้ามามีบทสนทนาด้วย

              “องค์มหาเทพทรงมีพระเมตตาให้อภัยคนผิดได้เสมอ ท่านเทอร์มิสได้โปรดให้โอกาสวิญญาณที่หลงผิดดวงนั้นด้วยเถอะ”ชายในผ้าคลุมหน้าพูดเสียงนุ่ม
     
              “ดวงวิญญาณบาปดวงนั้นข้าแค่จะลงทัณฑ์มันให้หนัก ทำไมเจ้าจะต้องมาขวางด้วย เพียงแค่สำนึกผิดในวาระสุดท้าย แค่นั้นมันเพียงพอแล้วงั้นหรือท่านครีอุสกฏยังไงก็ต้องเป็นกฎ คนทำผิดยังไงก็ต้องได้รับโทษ... พระองค์จะไม่ทรงเอาความเพียงเพราะว่าครีอุสสงสารมันไม่ได้นะ”
     
              “ไหนๆ คนมันก็สำนึกผิดจากใจจริงแล้ว จะไปลงทัณฑ์ทรมานให้ได้อะไรขึ้นมา ปล่อยเขาไปเถอะ”
     
              “พระองค์ เข้าข้างครีอุสอีกแล้ว การที่ทรงทำแบบนี้ถือว่าทรงไม่เป็นธรรม คำตัดสินนี้ ข้าไม่ยอมรับ”
     
              “เจ้าว่าข้าเข้าข้างใคร ในดินแดนแห่งนี้คำตัดสินของข้าถือเป็นที่สุด.... ฯลฯ”
     
              และคำตอบโต้ของเทอร์มิส“...ฯลฯ...” อืม ยาวเป็นอีกกระบุงโกย ข้าฟังไม่ทันแล้ว...
     
     
    “เอาล่ะ พอเถอะหยุดกันเลยทั้งคู่ ฝ่าบาท...เทมเพสพาคนที่เรารอมาแล้ว ส่วนท่านเทอร์มิส.... อาร์เทมิสคงมีเรื่องบางอย่างมาแจ้งต่อท่านกระมัง ท่านกลับไปชำระสะสางเสียก่อนเถิด” เสียงของชายหนุ่มที่เห็นเพียงแวบแรกข้าคิดว่าเป็นครีอุสเรียกพวกข้า ไม่สิเขาคือครีอุสถูกต้องแล้ว ครีอุสที่ข้านึกถึงเปรียบเทียบคือเกรเซียส ครีอุสต่างหาก... เขาเรียกคนที่ท่านเทมเพสเรียกว่าอาเต ว่าอาร์เทมิส นั่นไง ข้าเดาไม่ผิดคนที่ท่างทางหยิ่งยโสเสียขนาดนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านอาร์เทมิสจริงๆ
     
    ว่าแต่พูดถึงท่านครีอุส.... คนผู้นี้เป็นคนที่มีลักษณะเป็นไปตามเทพอัศวินครีอุสในตำนานกล่าวไว้ทุกประการ เส้นผมสีทองนุ่มดั่งเส้นไหมตรงยาวที่ปล่อยไปตามธรรมชาติไม่ได้ตกแต่ง ผิวขาวน้ำนม ฟันงามเป็นระเบียบ กับดวงตาสีฟ้าใสที่ทอประกายอ่อนโยน แม้ร่างนั้นจะอรชรหากแต่ท่วงท่าทุกการเคลื่อนไหวดูสง่างามดั่งอัศวิน เขาต่างจากที่ครีอุสที่ดูสง่างาม พลิ้วไหว คล้ายท่วงทำนองแห่งดนตรี และต่างจากท่านนีโอ ครีอุสที่องอาจห้าวหาญดั่งนักรบ กล่าวได้ว่าความสง่างามทั้งสามแบบแม้จะเรียกว่าสง่างามเช่นเดียวกันแต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง... สิ่งที่ดูต่างออกไปจากตำนานคือลักษณะการพูดจาของเขากระมัง ไม่เห็นเยิ่นเย้อยากถอดความอย่างที่ข้าเคยๆ ได้ยินจากบรรดาครีอุสเลย
     
    ข้าที่ยืนเหม่ออยู่เมื่อถูกจับจ้อง จึงรีบทำความเคารพองค์มหาเทพอย่างรวดเร็ว ส่วนเทอร์มิสและท่านอาร์เทมิสต่างก็ทำความเคารพเพื่อเป็นการขอตัวออกไปแบบขอไปที... 
     
    ...ก่อนที่จะเดินผ่านข้าออกไปจากห้อง สายตาของท่านเทอร์มิสที่ปรายตามองมายังข้าทำเอาข้ารู้สึกสะท้านไปทั้งร่างจนยืนตัวแข็งแน่นิ่ง ส่วนท่านเทมเพสกับแสดงสีหน้ายียวนใส่ท่านอาร์เทมิสที่เดินเชิดหน้าตามหลังท่านเทอร์มิสออกไป... ข้าล่ะไม่ชินกับสถานการณ์ความแตกแยกอย่างแท้จริงพวกนี้เลย ความรู้สึกมันย่ำแย่กว่าสมัยก่อนที่พวกของข้าแสร้งทำไม่รู้ตั้งกี่เท่า....
     
    “เจ้าเป็นคนที่สี่ของรุ่นที่ 38 ที่มาเข้าเฝ้าข้า แต่อีกสามหนีกลับลงไปแล้ว... แล้วเจ้าล่ะ อยู่ที่นี่ยาวเลยหรือเปล่า...” องค์มหาเทพทักทายข้า แขนที่ท้าวพนักเก้าอี้ยันคางพูดกับข้า ข้าจึงรีบละความสนใจจากอัศวินฝ่ายโคลด์บลัดทั้งสองในทันที...
     
    “ฝ่าบาท...”ครีอุสพูดเสียงลอดไรฟันดุองค์มหาเทพให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆ เมื่อพระองค์ได้ยินดังนั้นก็เหยียดหลังให้ตรงขึ้นค่อยดูสง่างามสมเป็นองค์มหาเทพฯขึ้นมาหน่อย
     
    “เอ่อ... ต้องขอโทษที่ปล่อยให้เจ้ารออยู่นานนะ”ครีอุสพูดขึ้นด้วยสียงที่ฟังดูนุ่มและเป็นไปตามความหมายอย่างจริงใจ...
     
    “ไม่มีคำว่า...ด้วยพระเมตตาขององค์มหาเทพฯ?” ข้าพึมพำมองไปยัง ‘ครีอุส’ ที่พูดจาเป็นปกติ ข้าล่ะสงสัยเสียจริงว่า ครีอุสองค์ต่อๆมา พูดพล่ามยาวไปเพื่ออะไรในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้เป็นอย่างที่ว่ากันมาเสียยืดยาวและเนิ่นนาน
     
    “ไอ้คำน่ารำคาญพักนั้น เจ้าคิดว่าข้าอยากจะฟังนักหรือไง... พอครีอุสมาอยู่กับข้าที่นี่ก็ให้เลิกพูดจาวกวนแบบนั้นไปเป็นชาติแล้ว...” องค์มหาเทพฯที่ไม่ค่อยจะมีเค้าขององค์มหาเทพฯว่า
     
    “อ้อ...”ข้าพยักหน้ารับ เข้าใจล่ะ ก็ใครจะไปอยากให้คนที่ตัวเองเจอหน้าอยู่ทุกวันพูดจาชมเชยตัวเองตลอดเวลากันล่ะ
     
    “ที่ข้าให้เจ้ามาพบนี่ ที่จริงมันก็ไม่ได้มีธุระอะไร ก็แค่ทำตามธรรมเนียม เดี๋ยวข้าก็ให้เจ้าไปอยู่กับเทมเพสที่แดนพายุ ส่วนที่เหลือจะเอายังไงก็แล้วแต่เขาก็แล้วกัน... อีกอย่างคือครีอุสอยากพบเจ้า ตอนนี้ก็ได้พบแล้วนะ เจ้าพอจะมีเวลาให้ได้หรือยัง” สองประโยคหลังองค์มหาเทพหันไปอ้อนท่านครีอุส ที่ตอนนี้รอยยิ้มหวานๆ นั่นได้ให้คำตอบว่า ไม่! องค์มหาเทพทำท่าสลดกลับมานั่งท้าวคางอีกครั้ง
     
    “คำอธิฐานของเหล่าสาวกท่านยังไม่ได้พิจารณาอีกนับพัน ท่านต้องจัดการทั้งหมดก่อน ข้าอุตส่าห์เลือกแล้วว่าสิ่งใดควรไม่ควร ท่านแค่ทำตามก็พอยังจะมาขี้เกียจอีก” ครีอุสต่อว่าองค์มหาเทพ ข้าเห็นท่านเทมเพสแอบหัวเราะตัวสั่นกึ๊กๆ ดูท่าว่าท่านครีอุสคนนี้จะเป็นคนเอางานเอาการกว่าท่านเทมเพสและองค์มหาเทพเสียอีก...
     
     อา...ข้าไม่คุ้นตาเลย  
     
    หลังจากที่ท่านครีอุสได้ตักเตือนองค์มหาเทพ ท่านก็หันมาพูดบางอย่างกับข้าที่ข้าไม่เข้าใจ“ข้าขอโทษนะ ตั้งแต่ก่อนที่เจ้าจะมาที่นี่ข้าอยากพูดขอโทษเจ้ามานานแล้ว และคงต้องทำเช่นนี้ต่อๆไป...
     
    “ท่านจะมาขอโทษข้าทำไมขอรับ ท่านทำสิ่งใดผิดต่อข้าหรือ...”
     
    "...สิ่งหนึ่งที่ข้าทำผิดเอาไว้ต่อเจ้าและเทมเพสทุกคน” เขาพูดเว้นระยะด้วยท่าทีที่ยากลำบาก เขาทำผิดอะไรกับพวกข้าหรือเขาถึงได้ดูลำบากใจเช่นนี้...
     
    “เมื่อก่อนตอนที่ข้าโมโหจนเผลอนึกสาปแช่งเทมเพสที่เขาโยนงาน และภาระทุกอย่างของเขาในวิหารเทพฯมาให้ทำ ในขณะที่ตัวเองออกไปหลีสาวข้างนอกในใจ ว่าของให้เทมเพสทุกคนต้องชดใช้สิ่งที่เขาทำกับข้า โดยการให้มารับใช้ครีอุสราวกับทาส ข้าเสียใจนั่นเป็นแค่ความคิดชั่ววูบของข้าแท้ๆ แต่องค์มหาเทพกลับทรงประทานพรให้ข้า...”
     
    นี่หรือคือสาเหตุที่ทำให้เขาลำบากใจและรู้สึกผิดกับข้า... นี่หรือคือสาเหตุที่ข้าต้องมานั่งทนทุกข์อดตาหลับขับตานอนหัวไม่วางหางไม่เว้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ท่านนั่นเองที่เป็นตัวการ... ข้าตวัดสายตามองท่านเทมเพสอย่างอาฆาต อีกหน่อยข้าต้องกลายเป็นผีพยาบาทแน่ๆ
     
    ท่านเทมเพสทำหน้าระรื่นพลางยักไหล่แล้วบอกว่า ‘ไม่เกี่ยวกับข้า เป็นเพราะพวกเจ้าโชคร้ายเองช่วยไม่ได้’
     
    นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าอยากจะกลายเป็นคนอกตัญญู ข้าอยากกระโดดเตะบรรพบุรุษทางตำแหน่งให้ซี่โครงหักสักซี่สองซี่จะได้ไหม?
     
    “ดูเหมือนว่า ตอนนี้ทางเบื้องล่าง ‘ครีอุส’ ของเจ้ากำลังจะรบกวนข้าอีกแล้ว...ไอ้นิสัยทำอะไรไม่คิดนี่ยังไงก็คงจะแก้ไม่หายแน่ๆ”
     
    ครีอุส! หมายความว่าเขา...
     
     อาร์เมล เจ้าพาข้ากลับไปยังตำหนักเทพฯ เจ้าทำแบบนั้นได้ยังไง ทำไม... ทั้งๆที่เจ้ารับปากข้าแล้วแท้ๆ
     
    “ฝ่าบาท... จะทรงทำเช่นไร...” ท่านครีอุสถามขึ้น ดวงตาสีฟ้าใสฉายประกายเว้าวอน
     
    “เจ้าอย่าทำให้ข้าใจอ่อนซิ ที่รัก...ข้าขอถามเจ้าตัวเขาหน่อยดีกว่า”
     
    “เจ้าอยากจะกลับลงไปอยู่กับพี่น้องของเจ้าหรือเปล่า...” ข้า...แน่นอนว่าข้าอยากจะกับไปอยู่กับพวกเขา ข้าอยากที่จะกลับไปเพื่อถามถึงความจริงในคำพูดของคนบางคน แต่สิ่งที่ข้าเลือกที่จะตอบนั้น...
     
    “ไม่พระเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากกลับ... ข้าต้องการที่จะอยู่รับใช้พระองค์ที่นี่”
     
    “แม้ว่าเบื้องล่างนั้นมีคนที่อยากจะให้เจ้ากลับไปอยู่งั้นหรือ... เจ้ารู้ไหมว่านอกจากครีอุสแล้ว ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่อธิฐานต่อข้า เขายอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีเพื่อให้เจ้ากลับไป”
     
    อาร์เมล... ทำไมกันข้าถึงได้คิดถึงเขาขึ้นมา อาจจะเป็นคนอื่นก็ได้นี่ เคเรส... บางทีเขาอาจจะรู้เรื่องของข้าแล้ว... เขาอาจจะกำลังร้องไห้และวิงวอนขอร้องต่อองค์มหาเทพให้ข้ากลับไปอยู่ก็ได้ ก็เขาเป็นคนดีถึงขนาดนั้นนี่นา... แต่แล้วทำไมภาพที่ปรากฏในห้วงความคิดของข้าถึงเป็นเจ้ากันล่ะ อาร์เมล...
     
    “ตอนนี้พี่น้องของเจ้าทุกคนล้วนแล้วแต่กำลังโศกเศร้า... เจ้าจะไม่กลับไปหาพวกเขาจริงๆ เช่นนั้นหรือ”
     
    ไม่... ข้าไม่กลับ ข้าไม่ต้องการที่จะให้ครีอุสหรือใครต้องสูญเสียสิ่งใดไปเพื่อข้า...
     
    “ก็แล้วถ้าสิ่งแลกเปลี่ยนนั้นเจ้าจะต้องเป็นคนจ่ายเองล่ะเจ้าจะยอมตกลงไหม...”
      
    ราวกับว่าองค์มหาเทพสามารถมองเห็นความในใจของข้า
     
    ถ้าหากเป็นข้า... เป็นข้าเองที่จะต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างเพื่อที่จะได้กลับไปด้วยตนเอง
     
    ข้าคุกเข่าลง... ขอบตาของข้ามันร้อนผ่าวไปหมด ด้วยความหวังที่องค์มหาเทพทรงประทานให้ มันทำให้ข้าซาบซึ้งที่สุด มันทำให้ข้าไม่นึกเสียใจเลยที่ข้ารับใช้พระองค์มาทั้งชีวิต...
     
     แม้ว่าข้านั้นบอกว่าจะอยู่รับใช้องค์มหาเทพ... เทพอัศวินพูดแล้วไม่ควรคืนคำแต่ข้านั้น....ไม่อาจที่จะฝืนใจตัวเองให้พูดปฏิเสธออกไปได้อีกครั้ง
     
    “ข้าอยากกลับไปขอรับ ข้าอยากที่จะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกลับพี่น้องทุกคนจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย ก่อนที่พวกเราจำต้องแยกทางกันเดินเมื่อตอนที่พวกเราเกษียณไปแล้ว...” น้ำตาของข้าร่วงลงมาเป็นสาย ท่านเทมเพสคุกเข่าลงข้างข้าและโอบกอดเอาไว้
     
    “องค์มหาเทพฯ ไม่ทรงใจร้ายกับเจ้านักหรอกนะซีโอ... เพียงแต่ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้หรอกที่จะได้มาฟรีๆเจ้าแน่ใจหรือว่าจะยอมแลกเปลี่ยน...”
     
    “ขอรับ ข้ายอมทุกอย่าง... ขอเพียงให้ข้าได้กลับไป ข้ายินดีที่จะจ่ายค่าตอบแทน...”
     
    “ได้ ข้ายอมรับคำขอของเจ้า ซีโอ สิ่งที่ข้าต้องการจากเจ้าก็คือ...”
     
    .............................
    .........
    ....
    .
     
    เมื่อได้รับฟังสิ่งที่ข้าต้องสูญเสียไป ข้าได้แต่อมยิ้มบางๆ แม้ว่าข้าจะรู้สึกใจหายและแสนเสียดายยิ่งนัก แต่ข้าก็ยินดีที่จะแลกกับมันเพื่อกลับไป... สร้างความทรงจำใหม่ร่วมกับเขา
     
    ข้าปราดน้ำตาที่รื้นเต็มในดวงตาข้าทิ้งแล้วยิ้มให้กับท่านเทมเพสที่พาข้าเดินออกมาจากห้องโถงที่ประทับ “ดีใจจริงๆ ที่ข้าได้มาพบกับท่าน ทำให้ข้าได้รู้อะไรดีๆ ตั้งหลายอย่างแน่ะขอรับ”
     
    “เอ่อ...ข้าก็ดีใจที่ได้พบกับเจ้านะ แต่ว่าจนกว่าจะพบกันใหม่ เจ้าคงจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่ได้... เมื่อเจ้าฟื้นคืนชีพกลับลงไปอีกครั้งเจ้าจะลืมเลือนทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในที่แห่งนี้... เหมือนกับทุกๆคนที่เคยมา พวกเขาก็ไม่เคยพูดอะไรถึงที่นี่ใช่ไหมล่ะ”
     
    ว่าไงนะ นี่ข้าจะต้องลืมข้อมูลลับสุดยอดแห่งตำนานเทพฯหรือเนี่ย ข้าเสียดายชะมัด ข้าคิดจะกลับไปบอกครีอุสเสียหน่อยว่าไม่ต้องครองตัวเป็นหนุ่มพรมจรรย์เพื่อองค์มหาเทพแล้วก็ได้ พระองค์ไม่สนใจเจ้าหรอกว่าจะยังโสดหรือเปล่าเพราะว่าพระองค์ทรงสนใจแต่ท่านครีอุสพระองค์จริงเพียงเท่านั้นล่ะ... แต่ก่อนกลับไป แม้ว่าข้าจะต้องลืมแต่ข้าก็ยังอยากจะรู้ ไม่ว่าใครจะว่ามันจะเป็นเรื่องไร้สาระขนาดไหนก็ตามทีเถอะ
     
    ข้าจึงยิ้มและถามท่านเทมเพสก่อนที่จะมาถึงบริเวณส่งตัวข้ากลับ...
     
    “อีกไม่กี่นาทีนี้แล้วที่ข้าจะไปจากที่นี่..ก่อนไปข้ามีคำถามสุดท้ายอยากจะถามท่าน...” ท่านเทมเพสยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ข้าก็ไม่รอช้าจึงได้ถามคำถามที่คาใจมาเนิ่นนาน
     
    “ตกลงว่าผมสีน้ำเงินของท่าน เป็นสีจริงหรือว่าเป็นสีย้อม และหากท่านย้อม นั่นเป็นเพราะว่าท่านอยากจะเด่นใช่หรือเปล่า...” เท่านั้นล่ะท่านเทมเพสก็ฉีกยิ้มเย็นยะเยือกถีบข้าลงไปยังโลกมนุษย์ทันที

    +++++++++++
     
    เทอร์มิสเจ้านั่นเป็นบ้าอะไร เขาบอกว่าเทมเพสได้รับบาดเจ็บกลับมาแต่พระสังฆราสไปดูอาการของเขาตอนที่ข้าไม่อยู่แล้ว ก็แล้วทำไมถึงต้องมายื้อข้าเอาไว้ตั้งนานสองนานด้วยกว่าจะปล่อยออกมา ข้าอยากจะไปเยี่ยมเขาเร็วๆแท้ๆ...
     
    ประตูห้องของเทมเพสล็อกปิดสนิท เคาะยังไงก็ไม่เปิด ไม่มีใครอยู่เฝ้าเขาอย่างนั้นหรือ ข้าลองพยายามเคาะเรียกอีกครั้ง เสียงของใครบางคนก็ดังแว่วตอบรับมาเบาๆ เบามากจนข้าแทบจะไม่ได้ยิน แต่ข้าจำเสียงนั้นได้
     
    “เปิดประตูให้ข้าที่อาร์เมล...” เสียงสะอื้นไห้ของอาร์เมลดังลอดออกมา
     
    เจ้าอาร์เมลกำลังร้องไห้ เขาไม่ใช่เคเรสซักหน่อย เขาถึงกลับร้องไห้เพียงเพราะเทมเพสบาดเจ็บเนี่ยนะ
     
    “เกิดอะไรขึ้น เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้นะอาร์เมล” หากแต่ทุกอย่างก็ยังคงเงียบไม่เปลี่ยนแปลง ข้าใจไม่ดีเลยพยายามใช้พลังสัมผัสลอบสำรวจเข้าไปภายในห้อง แต่ข้าก็มองไม่เห็นอยู่ดี ไอ้พลังปิดกั้นของพระสังฆราสนี่มันน่ารำคาญจริงๆ แต่เอาเถอะข้าพังประตูเข้าไปเองก็ได้...
     
    “โครม โครม โครม!” ไม่ออก เจ้าประตูบ้าใครเอาอะไรมาขวางไว้หรือไง อาร์เมลเจ้าทำบ้าอะไรอยู่ งานนี้ข้าคงต้องหาอะไรซักอย่างมาเปิดประตู เหลียวซ้ายแลขวา ไม่เห็นมีอะไรซักอย่าง ข้าให้เวทย์พลังลมพังเข้าไปก็ได้ ไหนๆก็ไม่มีใครเห็นว่าข้าใช้อะไรพังเข้าไปอยู่แล้วนี่
     
    โครม!!! สำเร็จ... อาร์เมลหันมามองข้าด้วยความตกใจ แต่แล้วรอยยิ้มบางๆที่ราวกลับเย้ยหยันโลกทั้งโลกก็ปรากฏขึ้น
     
    “ถึงเจ้ามาตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะนะ...”
     
    “เจ้าพูดเรื่องกันไรกันอาร์เมล หมายความว่ายังไงอะไรที่สายไปแล้ว...” ทันใดนั้นข้าก็รู้สึกถึงแรงกดดันจากพลังมืดที่กัดกร่อนร่างที่อยู่บนเตียงความตื่นตะหนกเข้าเกาะกุมจิตใจข้า
     
    คนที่นอนอยู่ตรงนั้น เทมเพส!
     
    ข้าถลาเข้าไปปัดกองดอกไม้ที่รายรอบร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงออก เข้าไปสัมผัสตัวเขาที่เย็บเยียบ...
     
    “บอกข้าซิว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ข้าตวาดเสียงดังลั่นไปทั่วทั้งตำหนักเทพ จนคนอื่นๆรีบวิ่งกันมายังหน้าห้อง อาร์เมลหลับตาลงไม่ยอมตอบคำถามข้าเอาแต่ร้องไห้
     
    “เขาตายมานานแค่ไหนแล้ว ทำไมพวกเจ้าไม่รีบไปตามข้า”
     
    “ครีอุส เทมเพสจากพวกเราไปนานแล้ว อาร์เมลพาเขากลับมาที่ตำหนักหลังจากที่เขาตายไปแปดชั่วโมงแล้ว” อาร์เทมิสที่ยังคงเชิดหน้าอยู่ตอบข้า แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจแต่ข้ากลับนึกรังเกียจท่าทางของเขาในตอนนี้นัก เทมเพสนอนนิ่งอยู่ตรงนี้นะอาร์เทมิส!
     
    “ไม่จริงข้าไม่เชื่อ… ดูจากร่างของเทมเพสมันไม่น่าที่จะผ่านไปนานขนาดนั้น” ข้าตรวจสอบพลังมืดเหล่านั้น ข้าก็รับรู้ได้ว่ามันเป็นเรื่องจริงๆ
     
    “เจ้าตัดใจเสียเถอะครีอุส”เทอร์มิสเอ่ยขึ้น
     
    “ทำไมกัน! ทำไมกันล่ะอาร์เมล” ทำไมเจ้าไม่รีบกลับมาให้เร็วกว่านี้ เจ้ามัวไปทำอะไรที่ไหนอยู่กันฮะ!” ข้าตะคอกใส่เขาอย่างไม่มีเหตุผล ตอนนี้ข้าเหมือนคนสติแตกและกำลังจะเป็นบ้า
     
    “ข้าทำตามคำขอร้องของเทมเพส เขาไม่ต้องการให้เจ้าทำพิธีชุบชีวิต เขาไม่ต้องการให้เจ้าเสียสละอะไรไปอีก เขาขอให้ข้าโยนร่างของเขาลงบนหน้าผาด้วยซ้ำ แต่ข้าทำแบบนั้นไม่ได้!....ข้าเลือกที่จะพาเขากลับมาที่นี่... บ้านของพวกเรา”
     
    “ไม่ฟัง! ข้าไม่อยากได้ยินอะไรแล้วทั้งนั้น พวกเจ้าใจร้ายมากที่รวมหัวกันปิดบังข้า.. พวกเจ้าออกไปข้างนอกกันให้หมด”
     
    “ไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะฟื้นคืนชีพให้เขา มันจะทำให้เขากลายเป็นอมนุษย์ ซึ่งถ้าเจ้าทำแบบนั้นองค์มหาเทพจะไม่มีวันอภัยให้เจ้าเกรเซียส ครีอุส”เทอร์มิสเอ่ยเตือนสติข้าด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำจนน่าใจหาย
     
    ครีอุสเงียบลงไปในทันทีจนน่ากลัวในความคิดของเขา
     
    “เจ้าจะไม่ทำอะไรบ้าๆนะ” เฮฟเฟตัสว่า
     
    “ข้าแค่อยากอยู่กับเทมเพสสองคนแค่นั้น พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ขอเวลาให้ข้าได้ลาเขาซักครู่เถอะ”
     
    “ก็ได้ พวกเราจะไปรอด้านนอกเจ้าอย่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่องเด็ดขาด”เทพอัศวินเทอร์มิสกันให้ทุกคนออกมาตามคำขอของครีอุส
     
    “อาร์เมล... ทุกอย่างมันจบแล้วจริงๆ ใช่ไหม”เทพอัศวินเทอร์มิสถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
     
    “ใช่แล้ว... มันจบแล้วจริงๆ”
     
    “ขอโทษที่ข้ารั้งครีอุสให้นานไปกว่านี้ไม่ได้”
     
    “ไม่เป็นไร แค่นี้มันก็นานพอที่จะทำให้ครีอุสตัดใจแล้วล่ะ”
     
    “อืม...” เทอร์มิสรับคำแล้วเฝ้ามองไปที่ยังหน้าประตูห้องของเทมเพสอย่างเฝ้ารอ ใครคนข้างในก้าวออกมา
     
    อาร์เมลรู้ดีว่าเทอร์มิสเป็นห่วงคนด้านในนั่นแค่ไหน หากแต่หัวใจของเขาในเวลานี้กับเต้นระทึก ความรักทำให้กล้าที่จะทำผิดกับทุกคน... เขาโกหกครีอุส... โกหกทุกคนเรื่องเวลาการตายของเทมเพส เขาหวังเพียงแต่ปาฏิหาริย์... องค์มหาเทพ ได้โปรดเถอะแม้จะต้องแลกจะความสุขชั่วชีวิตของเขาก็ตาม เขาขอให้เทมเพส... ซีโอ เทมเพสกลับคืนมา
     
    ทันใดนั้นแสงสว่างเรืองรองสว่างวาบลอดช่องบานประตูออกมา
     
    “แย่แล้ว! นั่นครีอุส...” เสียงของเฮฟเฟตัสตะโกนร้องขึ้น เทอร์มิสไม่รอช้าด้วยสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่แล้ว เขาไม่น่าเปล่าให้ครีอุสอยู่กับเทมเพสตามลำพัง
     
    ร่างของเทมเพสที่อยู่ในอ้อมกอดของครีอุส เลือดสีแดงชาติที่ไหลไปทั่วห้อง ไม่ผิดอย่างแน่นอน ครีอุสทำพิธีคืนชีพให้กับเทมเพส!
     
    “เจ้าทำอะไรลงไปกันเกรเซียส! คิดที่จะทำใช้เทมเพสต้องกลายเป็นอมนุษย์หรือยังไง!”
     
    “ใช่แล้วล่ะ เทอร์มิส... ในที่สุดตอนนี้ข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้คนถึงได้ร้องเรียกหาลัทธิมารนิรันดร์”ประกายตาของครีอุสดูเหม่อลอยหากแต่แฝงไปด้วยความสุข เขามองตรงไปยังเทอร์มิสแล้วแย้มรอยยิ้ม...
     
     “เทมเพสกำลังจะกลับมาแล้วล่ะ...”
     
    “...เพี๊ยะ!!!” เสียงฝ่ามือของเทอร์มิสกระทบกับใบหน้านวลของครีอุสจนเป็นรอย ฝ่ามือหนาที่ยังคงยกค้างไว้นั่นสั่นระริก
     
    “...”เทอร์มิสตบหน้าครีอุส! ทุกคนในที่นั้นอยู่ในภาวะตะลึงงันกับภาพตรงหน้า
     
    ที่ผ่านมาไม่ว่าคนตรงหน้านี้จะทำอะไร เรื่องใหญ่โตขนาดไหนเขาไม่เคยโมโหจนควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้มาก่อน
     
    แต่นี่...ครีอุสกำลังจะเดินหลงทางผิด
     
    “ข้าแค่ต้องการให้เขากลับมา... ไม่ว่าจะในสภาพไหน ข้าก็ขอแค่ให้เขากลับมา...”เสียงพูดที่เจ็บปวดไร้เรี่ยวแรงดังลอดออกมาจากริมฝีปากงามที่มีรอยแตกเลือดซึม น้ำจากตาทั้งสองข้างไหลรินออกมาไม่หยุด ไม่นานเปลือกตาทั้งสองข้างก็ปิดลงพร้อมกับเจ้าของร่างที่ล้มลงในอ้อมแขนของเทพอัศวินเทอร์มิสพอดี
     
    “เขาเสียพลังมากเกินไปในการคืนชีพให้เทมเพส...ข้าจะพาเขาไปพักก่อน” เทอร์มิสอธิบายเรียบๆ
     
    “ส่วนทางด้านร่างของเทมเพส...” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เทอร์มิสเอ่ยด้วยด้วยเสียงกดต่ำที่น่ากลัว หากแต่ก่อนที่เทอร์มิสจะทันได้ตัดสินใจอะไรลงไป ปลายนิ้วมือของเทมเพสพลันขยับเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น หากแต่การเคลื่อนไหวนั้นมากเพียงพอที่จะทำให้ข้าที่เฝ้ามองเขาอยู่ตลอดรู้ตัว
     
    “เทมเพส!” ข้ารีบเข้าไปเรียกเขา และประคองเขาขึ้น คิ้วเรียวสวยมุ่นเล็กน้อยดูท่าทางว่าเขากำลังพยายามที่จะลืมตา... ไม่นานดวงตาสีมรกตที่ข้าเฝ้าปรารถนาที่จะได้เห็นอีกซักครั้งแม้เพียงครู่เดียวก็ลืมตาขึ้น ดูคล้ายกับว่าเขายังงงต่อภาพที่ปรากฏตรงหน้า
     
    “อาร์เมล...” เขาเรียกชื่อข้า
     
    ข้าฟังไม่ผิดไปใช่ไหม คนแรกที่พอเจ้าตื่นมาเรียกหาก็คือข้า
     
    “ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว...”ข้ากระชับแขนกอดเขาแน่นขึ้น
     
    “อาร์เมลเจ้าถอยออกมาก่อน...” เป็นเอกอนเขาเดินมาดึงตัวข้า... หากแต่ข้ายังคงแข็งขืน ข้าไม่เข้าใจว่าพวกเขาเป็นอะไรไป ทำไมสายตาของพวกเขาที่จ้องมองมายังเทมเพสถึงได้ดูน่ากลัวเช่นนั้น
     
    “เจ้าถอยออกมาก่อน...อาร์เมล” คราวนี้เป็นคำสั่งของเทพอัศวินเทอร์มิส ร่างของเทพอัศวินครีอุสที่ยังคงหลับแน่นิ่งนั้นยังคงไม่รับรู้สิ่งใด
     
    ไม่! ให้ตายข้าก็จะไม่ทิ้งเขาในเวลานี้ “ทำไม...?” นั่นคือสิ่งที่ข้าอยากจะถาม แต่แล้วข้าก็นึกขึ้นได้ว่าข้ายังไม่ได้บอกความจริงกับพวกเขา
     
    “เทมเพสที่ฟื้นขึ้นมาไม่ใช่อมนุษย์ ข้าโกหกพวกเจ้าเรื่องเวลาในการตายของเขา”
     
    “ว่ายังไงนะ! ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงใช่ไหม! เทมเพสยังไม่ตายเขาจะยังอยู่กับพวกเรา” เฮฟเฟตัสตะโกนโห่ร้องขึ้นด้วยความดีใจสุดๆ
     
    ข้าพยักหน้าแต่ในใจนั้นนึกประหวั่นเป็นที่สุด ข้าคนนี้กล้าที่จะโกหกเทพอัศวินเทอร์มิส นี่ข้าใจกล้ามากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
     
    สายตาของเทอร์มิสที่จับจ้องมาทำให้ข้าทำตัวไม่ถูก ข้ามองไปยังคนในอ้อมกอดของเขา... ครีอุสเจ้าอย่าได้เป็นอะไรไปเชียวนะ อย่าสูญเสียอะไรไปแม้แต่อย่างเดียว ไม่อย่างนั้น...
     
    “เรื่องของเทมเพสเราก็โล่งอกกันได้แล้วดูท่าว่าเขาจะไม่ได้เป็นอะไร”อาร์เทมิสเข้ามาสำรวจเทมเพสที่ตอนนี้ยังอ่อนเพลียอยู่มากแต่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเขาทุกประการ
     
    “...และจากที่ดูเมื่อครู่ครีอุสก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เขายังคงพูดได้และได้ยินเสียงของพวกเรา... องค์มหาเทพทรงเมตตาพวกเราโดยแท้”
     
    “ไทรอน...เนเฟล อยู่ดูเทมเพส ส่วนพวกเจ้า...อาร์เมล...เฮฟเฟตัสไปรอข้าที่ห้องของข้าก่อน ข้ามีเรื่องที่ต้องต้องคุยกับพวกเจ้า”
     
    ข้ามองดูเทอร์มิสที่เดินจากไปด้วยหัวใจที่หวาดหวั่น ข้ากลัวเขาเหลือเกินจริงๆ หากแต่ความกลัวนั้นมันมีอิทธิพลต่อข้าไม่ถึงครึ่งหนึ่งของความยินดีที่ข้ากำลังรู้สึก... รู้สึกถึงร่างที่อบอุ่น และเสียงของหัวใจที่เต้นของคนที่ข้ากำลังโอบกอด ขอเพียงเจ้าอยู่ตรงนี้... ข้าก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกอย่าง เจ้าคือดวงใจของข้าเทมเพส...
     
    ++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
    ยาวจริงๆตอนนี้ เรียกได้ว่างานเกือบเผา ตรงไหนผิดช่วยบอกด้วยนะคะ
    คราวนี้หายคาใจกันแล้วใช่ไหมค่ะ ชอบไม่ชอบช่วยบอกที...
    ไปก่อนนะคะ จุ๊บๆ

    อ้อ ส่วนเหตุการณ์ระหว่างคืนชีพของครีอุส ถูกตัดให้ไปอยู่ในฝั่งของเรื่องโบรด์เวนนะคะ จะมีโอกาสได้เขียนต่อหรือเปล่าแล้วแต่โชคชะตาคะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×