ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic LSK : ศิลาและสายลม (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 8 สายลมที่หนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 55


     
    อาร์เมลที่เจ้าพูดประโยคสุดท้ายนั่นจริงหรือ?... เจ้าบอกว่ารักข้า!... รักในแบบที่เทอร์มิสหลงรักครีอุสจนแทบเป็นบ้า หรือไม่ก็แบบที่ไอซอทรักเฮฟเฟตัสมานานปีน่ะหรือ?...ข้าในตอนนั้นข้ายังมีแรงเหลือข้าอยากที่จะถามเจ้าเหลือเกินว่ามันหมายความว่าอย่างไร... เจ้าเนี่ยนะจะบอกรักข้า! มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เป็นไปไม่ได้น่า เสียงนั่นเป็นเพียงแค่ข้านั้นหูแว่วไปเอง ใช่ ข้าต้องหูแว่วไปเองแน่ๆ
     
    ก็แล้วทำไมหน้าข้ามันถึงได้ร้อนเช่นนี้เล่า ข้าเอามือทั้งสองปิดหน้าตัวเอง หน้าของข้าตอนนี้มันต้องแดงมากเลยแน่ๆ เจ้าก้อนหินบ้าอยู่ๆมาทำให้ข้าสับสน อีกทั้งยังค้างๆคาๆแบบนี้ได้ยังไงกัน แบบนี้ข้าก็หลับไม่เป็นสุขกันพอดี...
     
    ข้าหันไปมองรอบกายไม่มีใครอยู่...ที่นี่ที่ไหนกัน... ทำไมมันช่างว่างเปล่า... หรือว่าที่แห่งนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่ที่คนเราจะมาเข้าเฝ้าองค์มหาเทพหลังจากที่สิ้นสุดภารกิจในชีวิต... แปลว่าข้าตายแล้วจริงๆ?
     
    “เจ้าอยู่หน้าทางเข้าดินแดนภายใต้การดูแลขององค์มหาเทพแห่งแสงสว่างน่ะซิ” ข้าหันหน้าไปมองใครคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังข้า เขาคนนั้นเป็นชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาและมีเสน่ห์ เส้นผมสีน้ำเงินเป็นเอกลักษณ์สร้างความตกตะลึงให้บังเกิดขึ้นในใจของข้า...
     
    “ท่านคือ...”
     
    “อย่างที่เจ้าคิดนั่นล่ะ ข้าคือเทมเพส...เทพอัศวินเทมเพสคนแรกของประวัติศาสตร์... ข้ามารับเจ้า...ลุกขึ้นซิ” ชายผู้นั้นดึงมือข้าให้ยืนขึ้นบนพื้นสีขาวที่ดูบางเบาดุจปุยนุ่น นี่ข้ายืนอย่างมั่นคงได้อย่างไรกันนะ? ไม่ซิที่ข้าควรจะสนใจคือว่าข้าได้เจอกับคนที่อ้างว่าตนเองเป็นเทพอัศวินเทมเพสคนแรก (และดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง) แปลว่าที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์
     
    “ท่านเทมเพส... ท่านจะพาข้าไปไหน” ข้ารีบตะโกนถามขึ้นทันทีที่เข้าพาออกเดิน ตอนแรกข้าคิดว่าจะเรียกเขาว่า ท่านอาจารย์ของท่านอาจารย์ของท่านอาจารย์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ดีหรือว่า อาจารย์ทวดของทวดของทวดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ดี แต่คิดไปคิดมามันคงจะยากเกินไปหน่อยมั้ง ปะเดี๋ยวเรียกไม่ครบจำนวนครั้ง เทพอัศวินเทมเพสรุ่นถัดๆๆๆ ลงมาจะเข้าใจว่าข้าเรียกเขา... และชื่อที่แท้จริงของเขาก็คงจะชื่อเทมเพสตั้งแต่แรก ข้าก็ควรเรียกเขาแบบนี้ใช่ไหม?
     
    “ไปเข้าเฝ้าองค์มหาเทพยังไงล่ะ พระองค์รอเจ้าอยู่นะ อย่าชักช้าสิ”
     
    “รอข้า...?”
     
    “ใช่รอเจ้า... เขากลัวว่าเจ้าจะมัวชักช้าเลยส่งข้ามารับเจ้านี่ไง” ที่ข้าอยากจะรู้ก็คือพระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่าวันนี้จะเป็นว่าที่ข้าจะมาเข้าเฝ้าพระองค์หาก หรือว่าพระองค์เป็นผู้กุมดวงชะตาของเทพอัศวิน ไม่หรอก ไม่อย่างนั้นที่ผ่านมา ก็ถือได้ว่าพระองค์ทรงโหดร้ายกับเกรเซียส ครีอุสมากเกินไปจริงๆ
     
    ข้าถูกพาผ่านช่องว่างที่เขากล่าวว่าเป็นประตูทางเข้า แต่ข้าว่านี่มันก็แค่การเดินทะลุกลีบเมฆเข้ามาเท่านั้นเองนะ
     
    ภาพที่ปรากฏตรงหน้าของข้าคืออาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล ข้ามองไม่เห็นจุดที่สิ้นสุดว่าอยู่ตรงไหน หันหลังกลับไปมองเบื้องหลัง ประตูนั่นหายไปแล้ว เหลือเพียงทิวทัศน์ที่สดชื่นรออยู่เบื้องหน้า
     
    “ไม่ต้องทำหน้าตะลึงขนาดนั้นก็ได้ อีกหน่อยเจ้าก็จะเบื่อมันเอง....ดูนั่นดีกว่า...วิหารอยู่ทางนั้น” เทพอัศวินเทมเพสตัวจริงชี้ให้ข้าดู “เอาเป็นว่าวันหลังข้าจะพาเจ้ามาชมเมือง รู้ไหมว่าที่นี่นางฟ้าสาวๆ แต่ละคนน่ารักสะเด็ดยาด”
     
    “ข้าไม่สนใจพวกนางหรอกขอรับ...” ไหนๆข้าก็ตายไปแล้วนี่คงไม่ต้องทำตัวเป็นเทพอัศวินเทมเพสจอมเจ้าชู้อีกแล้วกระมัง
     
    “งั้นรึ... อ้อ เจ้าคงจะสนแต่เจ้าคนที่ทำให้เจ้านั่งหน้าแดงเป็นผลแอปเปิ้ลสุกเมื่อครู่ล่ะซิ”
     
    “..!..” ให้ตายเถอะ ข้าเอามือลูบหน้าตัวเอง....ท่านเทมเพสเห็นข้าตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย... ดีจริงที่เขาไม่ใช่ท่านอาจารย์ของข้าไม่อย่างข้าต้องโดนเขาจับเอาข้าไปฝึกใหม่ตั้งแต่ต้นแน่ๆ
     
    “แล้วคนที่ว่านั่น คงเป็นคนรักของเจ้าซินะ เจ้านี่น่ารักนะ ข้าพูดแค่นี้ก็ทำให้เจ้าเขินซะแล้ว” ท่านเทมเพสพูดต่อพลางเอานิ้วมาจิ้มๆ แก้มของข้า
     
    “ไม่ใช่ขอรับ!” ข้าปัดนิ้วที่จิ้มหน้าข้าอยู่ออก ข้าไม่ใช่เด็กที่จะปล่อยให้ใครมาทำอะไรแบบนี้ด้วยซักหน่อย ถึงแม้ว่าคนตรงหน้าข้าที่อายุกว่าหลายร้อยปีจะเห็นข้าเป็นเด็กก็ไม่ใช่เรื่องแปลกก็เถอะ
     
    “อ๋อเหรอ...ยังไม่ใช่คนรัก...แต่อีกไม่นานคงใช่ ดูท่าทางเจ้าคงจะรู้สึกดีๆกับคนๆนั้นอยู่ไม่ใช่น้อย” คำพูดนั่นทำให้ข้าคิด....ข้ารู้สึกดีกับอาร์เมลหรือ!? ข้าถามตัวเองในใจ...
     
    ก็ใช่ล่ะ ตลอดเวลาที่เราเดินทางด้วยกัน หรือกระทั่งอยู่ร่วมตำหนักกันมากว่ายี่สิบปี ข้าก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีข้อเสียตรงไหน ออกจะเป็นคนหัวดื้อที่ดูน่ารักนิดๆด้วยซ้ำ
     
    น่ารัก? นี่ข้าใช้คำๆนี้ไปบรรยายคนอย่างเทพอัศวินอาร์เมลได้อย่างไร ตัวของเขาออกจะใหญ่โตปานนั้น ไม่ได้ตัวเล็กน่ารักอย่างเฮฟเฟตัสเสียหน่อย ข้าอยากจะเอามือทึ้งผมตัวเองจริงๆ ประสาทของข้าต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
     
    “เอ่อ... ถึงแม้ว่าเขาจะสารภาพรักกับข้า และถึงแม้ว่าข้าจะรู้สึกดีกับเขา แต่...ยังไงเขาก็ไม่ใช่คนรักของข้าอยู่ดี...”
     
    “ว่ายังไงนะ! เมื่อกี้เจ้าใช้คำแทนตัวคนๆนั้นว่า ‘เขา’!” ท่านเทมเพสที่กำลังแอบไปหลิ่วตาให้นางฟ้านางหนึ่งหันมาจ้องหน้าของข้าแล้วเบิกตากว้าง
     
    “ขอรับ เอ่อ...”
     
    “ให้ตายซิ! เจ้าคือเทมเพสนะ เทพอัศวินเทมเพสที่เป็นที่หลงใหลของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน และเป็นทายาทของข้าคนนี้ด้วย กลับไปรู้สึกหวั่นไหวกับบุรุษเพศ...”ท่านเทมเพสทำท่าแบบเจ็บปวดเหลือประมาณ
     
    “แต่เรื่องแบบนี้ข้าก็พอจะชินๆแล้วล่ะ....ไหนเจ้าลองบอกข้ามาซิว่าเจ้านั่นคือใคร”
     
    “ไอเวส อาร์เมล คือคนๆนั้นที่ท่านว่า...แต่ข้าขอยืนยันว่าข้าไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเขามากกว่าความเป็นพี่น้องเลยนะขอรับ”
     
    “อาร์เมล...ทายาทของเจ้าคนหัวแข็งพรรคนั้นเนี่ยนะ โอย แถมเมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าเขาสารภาพรักกับเจ้าแล้วด้วย...”
     
    “ขอรับ” พอพูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าของข้าก็เห่อแดงอีกครั้ง
     
    “เอาล่ะในเมื่อเจ้าชอบเขา ข้าก็จะทำใจยอมรับ...แต่ระหว่างทางไปวิหารเทพฯ เจ้าช่วยเล่าเรื่องของเจ้ากับเขาให้ข้าฟังคร่าวๆจะได้ไหม เอาอย่างละเอียดนะ” ก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่ได้ชอบเขา ข้ากรีดร้องในใจ ไม่กล้าที่จะโวยวายออกมา...
     
    ก็ได้ เล่าก็เล่า...ไม่มีอะไรเสียหายซักหน่อย...ข้าจะเริ่มจากตรงไหนดีนะ เอาตั้งแต่เจอกันครั้งแรกเลยไหม แต่เท่าที่ข้าพอจะจำได้ ข้ารู้สึกว่าที่ผ่านมาก่อนร่วมออกเดินทางไปโยแลนด์ด้วยกัน ข้ากับเขาดูเหมือนว่าจะไม่มีเหตุการณ์พิเศษอะไรต่อกันเลยนี่นา ข้าเลยเล่าผ่านๆ เรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่เมืองบีลีฟ...
     
    “ก็อย่างที่ข้าเล่ามาล่ะขอรับ...” ข้ามองท่านเทมเพสถอนหายใจเฮือก แล้วก้าวเข้ามาจับไหล่ทั้งสองของข้าให้เผชิญหน้า
     
    “ที่เจ้ารอดมาได้น่ามันเป็นปาฏิหาริย์โดยแท้”
     
     รอดมาได้? ข้ารอดมาได้ที่ไหน ข้าก็กำลังจะไปเข้าเฝ้าองค์มหาเทพในอีกไม่กี่นาทีแล้วยังไงล่ะ
     
    “ข้าหมายถึงเจ้ารอดจากการ ‘ถูกจับกด’ มาได้ห่างหาก... เทพอัศวินอาร์เมลรุ่นที่สามสิบแปดนี่เป็นคนที่ดีมากๆเลยนะนี่ ทั้งๆที่เจ้าออกจะ....เอ่อ” ท่าเทมเพสกวาดตามองข้าแล้วหยุดพูดไปเสียอย่างนั้น ข้า..ข้าทำไมหรือทำไมไม่พูดให้จบ แล้วไอ้ที่ว่าข้าจะถูกจับกดนั่นมันอะไรก๊านนนน! อาร์เมลไม่มีทาง...ใช่เขาไม่มีทางทำกับข้าเป็นนั้นเด็ดขาด ไม่งั้นเราขาดกัน!
     
    ข้าไม่อยากจะคุยเรื่องนี้แล้ว เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า...
     
    “เราเดินมาตั้งนาน อีกไกลมากไหมขอรับกว่าจะไปถึง”
     
    “อีกไกล เจ้าเบื่อชมเมืองแล้วหรือ งั้นก็ไม่ต้องเดินไปแล้ว บินไปเลยก็แล้วกัน...” สิ้นคำร่างทั้งร่างของซีโอก็ลอยขึ้นตามการฉุดดึงของเทพอัศวินเทมเพส
     
    “ข้าจะปล่อยมือเจ้าแล้วนะ”
     
    “หา?!!!!!” ซีโอตาโต ท่านเทมเพสปล่อยมือเขาแล้วหัวเราะ
     
    อะไรกันนี่เขาจงใจแกล้งข้า ข้าเองก็บินได้ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่า
     
    ถึงด้านหน้าของวิหารเทพที่ดูโอ่อ่าที่สุด งดงามยิ่งกว่าวิหารเทพแห่งเงาที่ข้าเคยเห็นไม่รู้ตั้งกี่เท่า ท่านเทมเพสพาข้าเดินผ่านเหล่าเทพอัศวินหลายคนโดยไม่มีใครข้าขวาง
     
    เมื่อถึงหน้าประตูบานหนึ่งท่านเทมเพสผลักมาเปิดออกเบาๆ เพียงแค่แรกแย้มประตูเสียงที่ดังลั่นก็แว่วออกมา
     
    “เทอร์มิสนี่เจ้ามันจะมากไปแล้วนะ! กล้าดียังไงถึงมากล่าวหาว่าข้านอกใจครีอุส...” ชายผมสีทองที่เจิดจ้าสง่างามผู้หนึ่งตวาดลั่นนั่งอยู่บนบัลลังก์ เคียงข้างกันนั้นก็เป็นชายผมทองอีกผู้หนึ่งที่นั่งอยู่อย่างสงบนิ่ง ในส่วนใบหน้าสวมผ้าโปร่งผืนบางบดบังใบหน้าทั้งหมดเอาไว้
     
    “ก็ท่านอยู่กับเทพีคีตกาล (เทพดนตรี) แถมยังจับมือถือแขนนางอีกด้วย... ครีอุส เจ้าก็รู้อยู่ว่าข้าเป็นคนเช่นไร ข้าไม่มีทางโกหกเจ้าเพื่อให้ร้ายองค์มหาเทพอย่างแน่นอน” เสียงทุ้มต่ำน่าหวาดหวั่นของชายผู้ที่สวมชุดสีดำกรอปกับเส้นผมและนัยน์ตาสีดำทำให้ข้าเดาออกไม่อยากว่านั่นคือเทพอัศวินเทอร์มิส และดูท่าว่าจะเป็นเทอร์มิสองค์แรกเสียด้วย...
     
    “นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับท่านเทมเพส?” ที่นี่น่าจะเป็นที่ประทับขององค์มหาเทพนี่นา แล้วทำไมถึงได้มีคนมียืนทะเลาะกันได้
     
    “เฮ้อ เจ้าเทอร์มิส ไหงมันโผล่มาราวีครีอุสอีกแล้วล่ะ... เราอย่าเพิ่งไปขัดจังหวะพวกเขาเลย แอบเข้าไปเงียบๆดีกว่า” เอ่อ ก็ได้... ข้าตามท่านเทมเพสไปยืนดูเหตุการณ์ด้านข้างเงียบๆ
     
     “ข้าแค่ทักทายนาง เจ้าดำ! นี่เจ้าตั้งใจจะยุแยงให้ครีอุสโกรธข้าหรือไง” ชายผมทองตวาดลั่น ด้วยพลังเสียงที่ทรงอำนาจสะท้านสะเทือนหากแต่เทพอัศวินเทอร์มิสกลับนิ่งเฉย
     
    “ข้าแค่พูดในสิ่งที่เห็น...”
     
    “เฮอะ เจ้ามันพวกขี้ริษยา ครีอุสไม่เคยสนใจเจ้าเลยมาหาเรื่องข้า” ชายหนุ่มผมทองยึดอกขึ้นพูดด้วยท่าทีที่เหนือกว่า “อันที่จริงนะ เทอร์มิส เจ้าน่าจะพอใจกับพรที่ข้าได้ให้กับพวกเจ้า... ข้าหรืออุตส่าห์ลิขิตให้เทพอัศวินเทอร์มิสทุกรุ่นนับตั้งแต่เจ้าลงไปได้สมหวังกับครีอุสของพวกเขาแท้ๆ”
     
    ว่ายังไงนะ คนๆนั้นพูดเรื่องอะไร พรมลิขิตของเทพอัศวินเทอร์มิสกับเทพอัศวินครีอุสทุกรุ่น นี่มันเรื่องอะไรกัน?
     
    ไม่รู้ว่าเพราะหน้าตาข้าตื่นตกใจหรือไงนัก ท่านเทมเพสเลยขยายความให้ข้า
     
    “เทอร์มิสหลงรักครีอุสมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว... แต่ครีอุสไม่เคยรับไมตรีจากเขาเพราะเขาทำตัวแย่เกินไป... เอ่อ... และในฐานะที่เทอร์มิสเองก็เป็นผู้รับใช้ของพระองค์เช่นเดียวกัน อีกทั้งพระองค์เองนั่นแหละที่เป็นสาเหตุที่ทำเทอร์มิสไม่สมหวัง พระองค์ผู้เมตตาเลยประทานพรนั่นเพื่อเป็นการปลอบใจเขา... ”
     
    “...!?”
     
    “...พูดไปเจ้าก็คงไม่เข้าใจข้าจะเล่าให้ฟังตั้งแต่แรกก็ได้...ตามข้าไปอีกห้องดีกว่าทางนี้ท่าจะยังอีกยาว”
     
    เขาพูดระหว่างเดินพาข้ามายังห้องว่างห้องหนึ่ง“...ในยุคสมัยที่เทพเจ้ายังคงติดต่อกับมนุษย์ ยุคก่อนที่จะมีสนธิสัญญา หรือก็คือในยุคสมัยของพวกข้านั่นล่ะ ตอนนั้นครีอุสเป็นอัศวินที่มีความประพฤติดีงามเพียบพร้อมคนหนึ่งอยู่ในกองทัพของพระราชาของพวกข้า...”เทพอัศวินเทมเพสรุ่นแรกเริ่มรำลึกถึงความหลัง
     
     “...ครีอุสเป็นอัศวินที่มีพรสวรรค์ในการใช้ดาบที่น่าตื่นตะลึง จนสามารถบัญญัติเป็นกระบวนท่า ดาบเทพอัศวินครีอุสได้เลยทีเดียว ด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยมและนิสัยของเขาตอนนั้นทำให้มีอัศวินจำนวนมากที่นิยมชมชอบเขา คิดดูซิว่าขนาดพระราชายังยกย่องเขาเป็นอัศวินตัวอย่างเทียบเท่ากับอัศวินเทอร์มิสที่เป็นเชื้อพระวงศ์เลย...”
     
    ข้ายกมือเกาแก้ม อา... เทพอัศวินครีอุสที่เก่งกาจด้านการใช้ดาบมากๆ ทำให้ข้านึกถึง ท่านนีโอ ครีอุสที่ว่ากันว่าเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ บวกกับหน้าตาของเกรเซียส อืม... ข้ารู้สึกว่ามันขัดๆกันอย่างแรงเลยล่ะ ท่านเทมเพสมองข้าแล้วยิ้มๆ
     
    “...ในตอนนั้นแคว้นวอลเลซทำสงครามกับโยแลนด์อย่างดุเดือดโดยมีแคว้นกัลซินก์วางตัวเป็นกลาง พระราชาได้แต่งตั้งเทอร์มิส ครีอุส แล้วก็อัศวินที่มีฝีมืออีกหลายคนให้ออกรบเคียงข้างกับพระองค์... เจ้ารู้ไหม พวกของเทอร์มิสนั่นน่ารังเกียจขนาดไหน มีแต่พวกที่เย้อหยิ่ง เย็นชา ไม่น่าคบ พวกนั้นเป็นอัศวินที่มีพื้นเพดั่งเดิมมาจากขุนนางเก่าและพวกเชื้อพระวงศ์...”
     
    “เอ่อ... แล้วทำไมหรือขอรับท่าน”
     
    “ก็ไม่ทำไมหรอก ก็แค่เจ้าพวกนั้นไม่พอใจเลยรวมหัวกันกลั่นแกล้งและเหยียดหยาม อัศวินธรรมดาที่ถูกยกแต่งตั้งขึ้นมาเสมอกับพวกเขา ครีอุสน่ะโดนหนักที่สุด เขากับไทรอนเคยถูกอัศวินอาร์เทมิสใส่ความจนถึงขั้นโดนสั่งขังลืม โชคดีแค่ไหนที่ตอนนั้นข้าบังเอิญได้ยินเรื่องเข้าและคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงก็เลยยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ทั้งๆที่ตอนนั้นข้ายังไม่รู้จักครีอุสเลยนะ เป็นไง ข้าเป็นคนที่ดีมากเลยใช่ไหมล่ะ...”ท่านเทมเพสขยิบตาให้ข้า
     
    “เฮอะ เจ้าขี้โม้ ถ้าตอนนั้นเคเรสไม่ร้องไห้ขอให้เจ้าช่วยครีอุสที่เขาชื่นชม เจ้าจะยอมช่วยเขาไหม?”
     
    เทพอัศวินผมแดงคนนี้ เข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
     
    “อะ เฮฟเฟตัส เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”
     
    ที่แท้เขาคือเทพอัศวินเฮฟเฟตัสนั่นเอง ข้าเลยรีบทำความเคารพ เขาโบกมือตอบข้าเป็นการบอกว่าให้ทำตัวตามสบาย
     
    “นานพอที่จะฟังเจ้าโม้ตอนท้ายๆ แต่เจ้าก็เล่าต่อไปเถอะเด็กคนนี้สนใจรอฟังเจ้าต่อแน่ะ” ท่านเฮฟเฟตัสหมายถึงข้า
     
    “สรุปว่าข้าช่วย ครีอุสได้ก็แล้วกันล้างมลทินให้เขาสะอาดหมดจด จนเจ้าพวกนั้นหน้าเสียไปเลย จากนั้นก็เลยมาเป็นสหายกัน...”
     
    “...แล้วเรื่องพวกนี้เกี่ยวกับองค์มหาเทพตรงไหนกันขอรับ?”
     
    “ก็ตรงที่เรื่องที่ทำให้เจ้าพวกนั้นยกมาเล่นงานครีอุสก็เพราะกล่าวหาว่าเขาสมคบกับศัตรู ไอ้คนที่ว่านั่นก็คือองค์มหาเทพที่ทรงนึกสนุกลงมาป่วนความวุ่นวายในโลกมนุษย์นั่นล่ะ แต่ให้ตาย ข้าไม่คิดว่าครีอุสจะหลงรักองค์มหาเทพที่ตอนนั้นเป็นแค่คนพเนจรไร้หัวนอนปลายเท้าเลย...”
     
    “แล้วพวกเขาเจอกันได้ยังไง”
     
    ท่านเทมเพส จุ๊ปาก “ด้วยนิสัยที่อ่อนโยนและมีเมตตาของเขา ทำให้เขาพาชายเร่ร่อนไร้ที่ซุกหัวนอนแถมยังได้รับบาดเจ็บมาไว้ที่บ้านน่ะซิ แต่นั่นล่ะก็เลยเป็นเรื่องเดือดร้อนขึ้นมาจนไทรอนที่ออกมาปกป้องครีอุสพลอยโดนร่างแหไปด้วย... 
     
     
    ...และพอกองทัพขาดครีอุสไป เทอร์มิสก็เข้าควบคุมกองทัพทั้งหมดทำศึกจนเกือบพ่าย เพราะถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะมีฝีมือร้ายกาจไม่ด้อยไปกว่าครีอุส แต่ขอเถอะ อัศวินใต้บังคับบัญชาเกลียดเขากันทั้งนั้นแหละ กองทัพเลยไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สุดท้ายพอเรื่องของครีอุสจบลงและกลับมาเข้าร่วมกองทัพ กองทัพของแคว้นวอลเลซเลยกลับมาเข้มแข็งดังเดิม และด้วยความช่วยเหลือ (ตุกติก) เล็กๆน้อยๆขององค์มหาเทพ แคว้นวอลเลซได้รับชัยชนะ...
     
    ...ความจริงเกี่ยวกับองค์มหาเทพจำแลงถูกเปิดเผย ทำให้พระราชาซาบซึ้งใจมากในความช่วยเหลือ เลยนับถือพระองค์ให้เป็นเทพประจำแคว้น... แต่ก็อีกนั่นล่ะ เรื่องที่องค์มหาเทพมาวุ่นวายกับสงครามในโลกมนุษย์ทำให้กลายเป็นที่ครหาเทพเจ้าองค์อื่นๆ โดยเฉพาะเทพเจ้าแห่งสงครามโกรธจนแทบเต้น เลยจำต้องร่างสนธิสัญญาเทพขึ้นมา ก็อย่างที่รู้ๆกัน ในเมื่อสัญญานั้นระบุไว้ว่าเทพเจ้าไม่สามารถลงมาวุ่นวายกับโลกมนุษย์ได้อีก องค์มหาเทพเลยจำต้องกลับมาอยู่ที่ดินแดนเทพแห่งนี้โดยที่จำต้องทิ้งครีอุสเอาไว้ในวอลเลซ... ข้ายังจำได้ดีถึงเรื่องนี้ ครีอุสที่ต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังนั้นโศกเศร้าขนาดไหน”
     
    “ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากๆเลยขอรับ...” ข้าเองแค่ฟังก็รู้สึกเศร้าตามไปด้วยแล้วสุดท้ายทั้งสองคนก็จำต้องแยกห่างกันตลาดกาลซินะ แต่แล้วข้าก็นึกขึ้นได้ในส่วนของเนื้อเรื่องที่สำคัญที่สุด
     
    “เดี๋ยวก่อนท่านเทมเพส แล้ววิหารเทพแห่งแสงล่ะ... ลัทธิเทพมันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน แล้วเทพอัศวินทั้งสิบสองล่ะโผล่มาจากไหน?”
     
    “อา ฮะ ข้าเล่าเหนื่อยแล้วนะ เอาไว้วันหลังจะได้ไหม เจ้าต้องอยู่ที่นี่อีกตั้งนานนะ”
     
    นั่นซิในเมื่อข้าตายแล้ว ก็ต้องมาเข้าเฝ้าองค์มหาเทพและอยู่ที่นี่ตลอดไป ข้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน... แต่ว่าข้าอยากรู้นี่ เรื่องพวกนี้ได้ยินจากปากของเทพอัศวินเทมเพสตัวจริงมันยิ่งกว่าข่าวลือ หรือบันทึกตำนานเทพที่เขียนแต่งเอาไว้เสียสวยหรูพวกนั้นเสียอีก นี่ข้าต้องบ้าในการทำงานหาข่าวลือจนเข้าเส้นแล้วแน่ๆ แต่แล้วข้าที่ได้ฟังเรื่องพวกนี้ แล้วจะไปเล่าให้ใครฟังกันต่อล่ะในเมื่อข้ากลับไปหาทุกคนไม่ได้อีกแล้ว
     
    หรือว่าข้าอาจจะสามารถกลับไปได้ถ้าครีอุส... แต่นั่นหมายความว่าอาร์เมลผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับข้า คอยดูเถอะว่าถ้าเจ้าพาข้ากลับไปหาครีอุส จนเขาต้องเสียอะไรเพิ่มอีกแม้แต่อย่างเดียว จำเอาไว้นะอาร์เมล ถึงแม้ว่าข้าจะกลับไปได้ข้าก็จะโกรธเจ้า เกลียดเจ้าอย่างเป็นที่สุด!
     
    +++++++++++++++++++++++++
     
    ข้าพาเจ้ากลับมาถึง ‘บ้าน’ ของพวกเราแล้วนะเทมเพส...
     
    เทพอัศวินหลายคนต่างพากันมองเทพอัศวินอาร์เมลที่เดินทางกลับมาในยามใกล้พลบค่ำด้วยท่าทางที่ราวกับว่าได้สูญเสียจิตวิญญาณไป ร่างสูงใหญ่บนหลังม้าของเขานั้นดูลีบเล็กลงไม่สง่างามดั่งเคย ในอ้อมแขนของเขานั้นมีร่างที่พอจะดูออกว่าเป็นคนๆหนึ่ง ที่ปกคลุมห่อหุ้มทั้งร่างด้วยเสื้อคลุมสีดำที่เขาอุ้มอย่างทะนุถนอมมาตลอดทาง เขาโอบกระชับร่างนั้นแน่นแล้วพาร่างนั้นลงมาจากหลังม้าด้วยความแผ่วเบาราวกับว่าการกระทำที่รุนแรงใดๆจะเป็นการรบกวนนิทราของคนผู้นั้น เดินเข้าไปภายในตำหนักเทพฯอันศักดิ์สิทธิ์...
     
    ไม่มีใครกล้าท้วงติงหรือทวงถาม บางสิ่งบางอย่างในตอนนี้ของเทพอัศวินอาร์เมลทำให้ทุกคนไม่กล้าเข้าไปก้าวก่าย...
     
    เป็นไทรอนที่เข้ามาพบเป็นคนแรกเมื่อเขาเดินมาถึงเขตที่พักของเทพอัศวินทั้งสิบสององค์
     
    “เจ้ากลับมาจากโยแลนด์แล้วหรือ แล้วเทมเพสล่ะไม่ได้กลับมาด้วยกันรึ หรือว่าเจ้านั่นยังอยู่ที่โยแลนด์ไม่ยอมกลับมาที่นี่เพราะเจ้าครีอุสใช้งานเขาหนักเกินไป...” พูดจบสายตาของเขาก็ไปสะดุดกับบางสิ่งบางอย่างที่อาร์เมลโอบอุ้มอยู่ที่เขาไม่ได้สังเกตเห็นในคราแรก กรอปกับท่าทางของอาร์เมลที่ผิดปกติไป... ราวกับคนที่ไร้วิญญาณ
     
    “นั่นคือ... ไม่จริง!” ไทรอนตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้าเมื่อเปิดผ้าคลุมที่คลุมร่างของเทพอัศวินแห่งสายลมออก ใบหน้าที่ซีดขาว อุณหภูมิของผิวที่เย็นเยียบ... ทุกอย่างมันบอกเล่าความจริงได้เป็นอย่างดี
     
    “เจ้าอย่าโวยวายไปซิ เขากำลังหลับสบายเลยเชียวล่ะ...”อาร์เมลหลับตาที่กำลังหลั่งน้ำตาลง “เจ้าช่วยบอกว่ายินดีต้อนรับเขากลับบ้านทีซิ... เขาอยู่ตรงนี้แล้ว” หากแต่ไทรอนกลับไม่มีท่าทีตอบสนองราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของเขา
     
    “ไม่จริง! บอกมาซิว่ามันไม่เป็นความจริง มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่... อาร์เมลเจ้าอย่าเงียบซิ!”
     
    เสียงเอะอะของเทพอัศวินไทรอนนั่นเรียกให้เทพอัศวินคนอื่นๆในบริเวณนั้นเข้ามารวมตัวกัน เว้นก็เสียแต่เทพอัศวินครีอุสที่ออกไปข้างนอกกับเฮฟเฟตัสและเทพอัศวินเทอร์มิสที่ตอนนี้อยู่ที่ลานลงทัณฑ์
     
    “มันเกิดอะไรขึ้นกันอาร์เมล!!!!” ไทรอนตะโกนถามเขาจนสุดเสียงด้วยความบ้าคลั่ง ในทีแรกทุกคนตกใจกับท่าทีของเขามาก แต่เมื่อรู้ถึงสาเหตุแล้วทุกคนกลับตกตะลึงจนไม่มีใครห้ามเขา ทุกสายตาจ้องมองไปทางอาร์เมลด้วยสายตาคาดคั้น
     
    “ข้าจะพาเขากลับไปพักผ่อนที่ห้องของเขาก่อนนะ... เรื่องที่ข้ากับ ‘เขา’ กลับมาแล้วเห็นแก่เทมเพสเถอะ...อย่าเพิ่งบอกครีอุสจะได้ไหม... สำหรับเรื่องทุกอย่างข้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังพร้อมกับครีอุสทีหลัง ...” ด้วยท่าทางที่ราวกลับคนหัวใจสลายทำให้ทุกคนยอมหลีกทางให้ ไอซอทดึงรั้งไทรอนที่มีท่าทางไม่ยอมหลีกและห้ามปรามเขาด้วยสายตา...
     
    “ให้เวลาเขา...” เพียงคำแค่สามคำ ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าไอซอทหมายถึงสิ่งได้ อาร์เมลยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งในเวลานี้...
     
    อาร์เมลกระชับร่างของเทพอัศวินแห่งสายลมให้แน่นขึ้นแล้วเดินผละจากคนอื่นๆ โดยไม่เหลียวหลังอีก...
     
    ยามเย็นเทพอัศวินครีอุสที่กลับมาการธุระข้างนอกเดินสวนกับอาร์เมลขณะที่กำลังจะไปพบเทอร์มิสที่ฝั่งโคลด์บลัด เขากำลังออกมาจากห้องนั้น
     
    “ด้วยแสงสว่างอันอำไพที่แม้ยามค่ำคืนเดือนมืดอันงดงามก็มิอาจบดบังแสงแห่งดวงดาวให้นำทางเจ้ากลับมาด้วยความสวัสดี...”
     
    “...” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก... ครีอุสมองดูอาร์เมลที่เมินเฉยต่อเขา ไม่มีท่าทีปวดหัวเมื่อได้ยินคำทักทายจากเขาหรือแม้แต่ท่าทีตอบรับอื่นใด...
     
    “เจ้ากลับมาแล้วเหรอ เรื่องทางโยแลนด์เป็นยังไงบ้าง... อ้อ คงไปรายงานเทอร์มิสหมดแล้วซินะ เดี๋ยวข้าค่อยไปถามจากเขาก็ได้...” ครีอุสพยักหน้าเออออกับตนเองเมื่ออาร์เมลเดินสวนเขาหลบไปอย่างไม่ใยดี ในใจคิดแค่ว่า เจ้าบ้านั่นเป็นอะไรไป แล้วเดินเข้าไปหาเทอร์มิสในห้องตามปกติสีหน้าที่เคร่งเครียดอยู่แล้วเป็นนิจมิได้ทำให้เขาสงสัยสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
     
    “เมื่อกี้ข้าพบอาร์เมล เขากับเทมเพสกลับกันมาแล้วซินะ... มีรายงานความคืบหน้าอะไรบ้างไหม?”
     
    สิ่งที่เทอร์มิสทำคือเหลือบสายตาขึ้นมามองเขา ตอบคำถามด้วยความเงียบ ครีอุสนึกในใจว่าทำไมว่านี้ทุกคนถึงได้เงียบและก็ดูเหมือนกำลังพยายามหลบหน้าเขากันจัง เฮ้อ...ในเมื่อแม้แต่เทอร์มิสยังเงียบใส่เขาอีกคนเขาไปถามเทมเพสตรงๆที่ห้องของเขาก็ได้
     
    ตัวแทนแห่งตะวันเตรียมหันหลังกลับ เสียงๆ หนึ่งก็เอ่ยถามเขาขึ้นมา
     
    “เจ้าจะไปไหน...”
     
    “ไปหาเทมเพส...”
     
    “ไม่ต้องไป คืนนี้ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้า... เจ้าเองก็คงมีเรื่องอะไรซินะถึงได้มาหาข้า” เทอร์มิสเอ่ยรั้งครีอุส ในใจคิดหาหนทางรั้งตัวของเขาเอาไว้ที่นี่ แม้ว่าทุกคนในที่นี้รับปากว่าทุกอย่างจะปิดเป็นความลับจนถึงพรุ่งนี้เช้า แต่ก็ใช่ว่าคนฉลาดอย่างครีอุสจะไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของพี่น้องทุกคน
     
    เรื่องราวหลังจากนี้ทุกอย่างจะเป็นไปตามโชคชะตา.....
     
    +++++++++++++++++++
     
    สายลมที่หนึ่งเป็นความเพ้อเจ้อของแอนเองค่ะ เคยอยากเขียนฟิคเรื่องนี้แต่ไม่มีเวลาเลยมาระบายในนี้แทน อีกอย่างคือไม่อยากให้ความดรามามีมากเกินไปเลยหาอะไรมาขั้นเวลาเพิ่มค่ะ
    ตอนหน้าเวลาของเทมเพสใกล้หมดลงทุกที แต่ทุกคนเลือกที่จะเก็บเป็นความลับเพื่อดวงตะวันที่ไม่อาจสูญเสียสิ่งใดได้อีกแล้ว แล้วสุดท้ายเทมเพสจะได้กลับมาหาอาร์เมลไหมนะ หรือว่าจะส่งอาร์เมลไปเข้าเฝ้าองค์มหาเทพเพื่อไปอยู่กับเทมเพสดีหว่า...
     
    ว่าแต่มาลงให้แล้วนี่มันหายค้างบ้างไหม หา! ไม่เลย... งั้นก็รอตอนที่เก้าต่อไป ยังไม่ได้ตั้งชื่อตอนค่ะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×