ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 เจ้าก้อนหินหัวดื้อ
เทมเพส....
เพื่อทันวันงานที่กำลังจะจัดขึ้นในไม่ช้า เนื่องจากงานจัดในเดือนเดียวกับอาร์เทมิส ทันทีที่งานทางนี้เรียบร้อยดีข้าก็เตรียมตัวออกเดินทาง ซึ่งก็คือวันนี้... ข้าจูงม้าออกมายืนรอผู้ร่วมทางอีกคน หากแต่เป็นอีกคนที่ปรากฏตัวขึ้นก่อน เขาได้หมอบของขวัญที่ตนเองจะฝากไปให้บุตรแห่งเทพสงครามกับเจ้าหญิงน้อย มันคือเส้นสองเส้นที่หน้าตาเหมือนกันตรงกลางมีจี้รูปดอกกุหลาบสีทองอยู่ เขาสั่งความข้าเสร็จจะเดินยิ้มจากไปอย่างสง่างาม
ต่อมาไปนานคนที่ข้ากำลังรออยู่จริงๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น
“อาร์เมล...เจ้าไม่เป็นไรนะ” สวรรค์ นี่ข้ากำลังเดินทางไปกับเทพอัศวินอาร์เมลแน่เหรอ ข้ามองดูเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ชุดที่เขาสวมเป็นใส่ที่ออกแบบมาปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดที่ดูน่าอึดอึดเป็นที่สุด สวมทับด้วยชุดเกราะเต็มยศ
“ฮ่า ฮ่า ๆๆ” ข้าหัวเราะน้ำตาเล็ด “นี่เจ้าไม่สงสารม้ามันบ้างหรือแค่ลำพังตัวเจ้าก็หนักเอาการอยู่แล้ว นี่ยังจะสวมชุดเกราะหนัก กับสัมภาระให้มันแบกเดินทางไปตั้งไกลอีกหรือ”
“เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกของข้าหรอกเทมเพส ถ้าเจ้าสงสารม้าข้ามากกว่าสงสารข้าล่ะก็เราไม่ต้องมาเป็นพี่น้องกันอีก”
“ใครว่าข้าเป็นห่วงเจ้าต่างหาก” ข้าเดินไปดึงห่อสัมภาระของอาร์เมลออกมา ถือไว้เองก่อนที่จะนำมันไปผูกไว้กับม้าของข้า แล้วรื้อค้นห่อสัมภาระตนเอง
“ถึงช่วงนี้เป็นฤดูฝน อากาศไม่ร้อนเท่าไรนัก แต่การที่เจ้าจะแต่งชุดแบบนั้นเดินทางไกลคงไม่สบายนัก ยังไงเจ้าก็แต่งตัวตามปกติของเจ้าไปก่อนเถอะ ถ้าไม่สบายใจก็สวมชุดคลุมไปก่อน ถึงเขตเมืองหลวงของโยแลนด์เมื่อไหร่เจ้าค่อยขนชุดนี้ออกมาสวมก็ได้” ข้าส่งชุดคลุมสีดำให้อาร์เมลที่กำลังทำสีหน้าลังเลอย่างหนัก เทพอัศวินอาร์เมลที่ขึ้นชื่อว่าหัวดื้อที่สุด แต่อันที่จริงไอเวส อาร์เมลไม่ใช่คนหัวดื้อจริงๆ ซักนิด แน่นอนว่าเขาคงจะยอมรับฟังคำพูดของข้า
“ไม่เอา ข้าจะใส่ของข้าแบบนี้แหละ”
จะ เจ้าคนหัวดื้อ...
“ถ้ามันดูแปลก เจ้าก็ส่งชุดคลุมนั่นมาให้ข้าอีกตัวซะ”
ฮะ... นี่เจ้ายังก็ใส่อีกเหรอ ข้ายืนอึง อาร์เมล ดึงชุดชุดคลุมไปจากมือข้าสวมทับชุดเกราะอีกที
“อะ ออกเดินทางเถอะ” ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องชุดของเขาอีกแล้ว ต่อให้เขาทนความอบอ้าวของฤดูฝนไม่ไหวจนหน้ามืดเป็นลมไป ยังไงซะที่ข้าต้องทำก็แค่ช่วยจูงม้าเขาพาเดินต่อไปก็เท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องไปแบกเขาซะหน่อย
ระหว่างทางก่อนออกนอกเมือง ข้าก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างแข็งขัน ขยิบตาให้สาวๆ ทุกคนที่อยู่บนถนน รวมไปถึงตามร้านค้า บ้านเรือนต่างๆ ที่โผล่มาทักทายข้า ข้าโบกมือส่งจูบให้พวกนางอย่างอารมณ์ดี ช่วงนี้ข้ากำลังจะได้บอกลางานเอกสารกองโตของข้าสักพัก และอีกเดี๋ยวเดียวก็กำลังจะออกนอกเขตเมืองเข้าไปยังกลางป่าร้างผู้คน จะเจอก็เพียงแค่กลุ่มนักผจญภัยเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นแหละ และข้าคงไม่ต้องบอกพวกเจ้าหรอกนะว่า นักผจญภัยที่เป็นผู้หญิงน่ะมีน้อยกว่าผู้ชายมากขนาดไหน
“เทมเพส... เรื่องที่เจ้าให้ข้าไปหาของขวัญของเจ้าหญิงน่ะ” อยู่ๆ อาร์เมลก็ชวนข้าคุย ทำให้ข้าละมือออกจากภารกิจที่ข้ากำลังกระทำอยู่ หันมายิ้มให้เขา
“เจ้า... เลือกอะไรไปให้นาง” ข้าเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบสบายๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของข้า
เมื่อสองวันก่อนข้ากำลังทำงานยุ่ง ยุ่งมากๆ ข้าเลยไปขอให้อาร์เมลเขาจัดการเรื่องของขวัญแต่งงานของเจ้าหญิงน้อย
“ข้ายังเลือกไม่ได้... เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเงินแค่ 100 เหรียญทอง ไม่ง่ายเลยนะที่จะหาของขวัญล้ำค่าไปให้นางได้”
นั่นสินะ เงินที่พระสังฆราสยอมให้เราเอามาได้มีเพียงเท่านี้แม้จะดูเหมือนน้อยที่จะหาของขวัญดีๆ ให้เป็นหน้าเป็นตาของคนในวิหารเทพเจ้าแห่งแสงสว่างได้ แต่ท่ามกลางการใช้ชีวิตอันจำกัดจำเขี่ยของบรรดาเทพอัศวินที่มีรายได้จากการบริจาคของชาวเมือง ก็ถือได้ว่าเป็นจำนวนเงินที่มากเอาการ
“เช่นนั้นพวกเราคงต้องมาช่วยกันคิด... ถ้าข้าจำไม่ผิดนางเป็นนักเวทย์ ซื้อคทาไปให้นางซักอันดีไหม?”
“แต่นางเป็นถึงเจ้าหญิงนะ เจ้าคิดว่าคฑาที่เราจะซื้อให้นาง จะดีไปกว่าของที่นางมีอยู่แล้วหรือยังไง”
“ถ้าอย่างนั้น... ก็ต้องเป็นอะไรซักอย่างที่ต่อให้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ซินะ” ข้าลูบสร้อยจี้ดอกกุหลาบของครีอุสที่มอบให้ข้ามา... อย่างน้อยก็มีชิ้นนี้ชิ้นนึงล่ะที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้
“ได้ยินว่าเจ้าหญิงทรงเล่นฮาร์ฟใช่ไหม?”
อาร์เมลพยักหน้า “ข้าพอจะเคยได้ยินมาบ้าง”
“ข้าพอจะนึกอะไรออกแล้วอาร์เมล เจ้าตามข้ามาเถอะ” ข้าขยิบตาให้หนึ่งที เป็นสัญญาณว่าเชื่อใจข้าได้เลย เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ แต่ข้าเลือกที่จะไม่ตอบคำถามเขาหันกับไปขยิบตาให้กับบรรดาสาวๆ ในเมือง....
ข้าพึ่งสังเกต ระหว่างทางที่ข้าเดินทางไปยังจุดหมายพลางส่งจูบไปให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่อยู่นั้น ข้าสังเกตได้ว่า สายตาพวกนางบางคนไม่ได้จ้องมองมาที่ข้า แต่เป็นเจ้าคนที่กำลังเดินอยู่ข้างๆ ข้าในตอนนี้ต่างหาก อันที่จริงมันรวมไปถึงทั้งผู้ชายผู้หญิง ลูกเด็กเล็กแดงยันคนแก่ใกล้ลงโลงเลยทีเดียว
ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“อาร์เมลทำตัวให้เป็นปกติได้ไหม นี่ยังไม่ได้ออกลีฟบลัดเลยนะ” ข้าบอกกับเขาที่พยายามหลบสายตาของพวกผู้หญิงมุดหน้าลงในชุดคลุม
“ตอนแรกข้าก็ไม่ทันสังเกต แต่ตอนนี้ข้าแน่ใจแล้วว่าพวกผู้หญิงเอาแต่จ้องพวกเรา...”อาร์เมลชักสีหน้า น้ำเสียงเจือแววไม่พอใจ “...เพราะว่ามากับเจ้าแท้ๆ ข้าถึงต้องพลอยตกเป็นเป้าสายตาของพวกนางไปด้วย” เขากล่าวหาข้า
“นั่นเป็นเพราะเจ้าแต่งตัวประหลาดต่างหาก ปกติพวกนางชินกับการที่เห็นเจ้าเปลือยท่อนบน” ข้าตอบเสียงยานๆ อย่างไม่ใส่ใจในข้อกล่าวหา และดูเหมือนคำตอบนั้นยิ่งทำให้เขาชักสีหน้าไม่พอหนักกว่าเดิม
ช่างสิ ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้านี่! เขาอยากจะโมโหหรือโกรธอะไรก็โกรธไป มันไม่เกี่ยวกับข้าเลยซักนิด...
บ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่งที่ปลูกห่างออกมาจากตัวเมืองไม่ไกลปรากฏขึ้นตรงหน้า ข้าเขย่าพวงกระดิ่งที่แขวนอยู่ตรงหน้าประตูดังกรุ้งกริ๊ง เรียกคนในบ้านให้เปิดประตูรับ
“ใครมีธุระอะไร ถึงมาเคาะประตูบ้านข้า... เทพอัศวินเทมเพส!”
บานประตูที่ถูกแย้มออกมาเล็กน้อยทำให้ข้าเห็นดวงตาข้างหนึ่งโผล่ออกมาดู พอเห็นว่าเป็นข้าเท่านั้นล่ะ เขาก็เปิดประตูออกกว้างอย่างรวดเร็ว
“ใช่ ข้าเอง” ข้ายิ้ม ดึงมืออาร์เมลให้เดินตามข้าเข้ามา...
“นี่ บ้านใครกัน คนรู้จักของเจ้าหรือ แล้วพาข้ามาด้วยทำไม” อาร์เมลถามข้า
“ท่านลุงคนนี้เป็นช่างทำเครื่องดนตรี ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในแคว้นวอลเลซของเราเลยละ บังเอิญว่าสมัยก่อนมีเรื่องบางอย่างทำให้ข้ารู้จักกับท่านลุงเป็นการส่วนตัว” อาร์เมลพยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่พูดอะไรอีก
“นี่ท่านลุง ท่านพอจะมีฮาร์ฟดีๆ ซักตัวไหม ข้าต้องการนำมันไปเป็นของขวัญถวายเจ้าหญิงแห่งโยแลนด์”
“เจ้ามาถูกที่แล้วล่ะ ท่านเทพฯ บ้านของข้านี่แหละ แหล่งขุมทรัพย์อันล้ำเลิศแห่งเสียงดนตรี... ข้ามีฮาร์ฟดีๆ จำนวนหลายตัวเลยล่ะ ตามข้ามา ข้าเก็บไว้มุมนี้” ชายแก่เดินนำทางข้ากับอาร์เมลไปยังส่วนหลังของบ้าน
ข้าเดินผ่านเครื่องดนตรีที่ตั้งแขวน และวางโชว์อยู่หลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ไวโอลีน วิโอลา ฮาร์โมนิก้า หรือเปียโน จนมาถึงมุมเครื่องสาย ฮาร์ฟที่ขึ้นโครงอย่างประณีตสวยงามหลายตัวตั้งอยู่ หากแต่มีตัวนึงที่สะดุดตาข้าที่สุด เพราะมันมีรูปร่างที่เล็กกะทัดรัดพอดีมือ
“เจ้าสนใจตัวนี้หรือ?” ชายแก่หยิบมันขึ้นมา ไล่นิ้วไปตามสายทีละเส้น เสียงที่ดังออกมาจากนั้นไพเราะราวกับเสียงสวรรค์
“แม้เครื่องจะมีขนาดเล็ก แต่เชื่อข้าเถอะว่า เสียงมันไม่แพ้เครื่องขนาดมาตรฐานเลยทีเดียว”
ข้ามองมันอย่างพิจารณา ตัวโครงเป็นสีทองที่แกะเป็นลวดลาย ข้าหวังว่ามันคงจะไม่ใช่ทองคำจริงๆหรอกนะ แต่ดูจากน้ำหนักคงไม่ใช่ มิเช่นนั้นไม่ว่าใครก็ยกมันขึ้นได้อย่างลำบากแน่ อืม... คงต้องยกเว้นอาร์เมลไว้คนนึงล่ะ ข้าว่าต่อให้มันเป็นทองคำจริงๆ ข้าก็คงยกมันโยนเล่นไปมาได้สบายๆ
“ไม่ทราบว่าฮาร์ฟตัวนี้ ราคาเท่าไหร่รึ”
“ 300 เหรียญทอง”
“นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือไง กับแค่เครื่องดนตรีเครื่องเดียว” อาร์เมลพูดตามความคิดของคนปกติทั่วไป...
“เจ้านี่ มันไม่รู้อะไรซะบ้างเลย เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า เครื่องดนตรีที่ข้าสร้างขึ้นมาแต่ละตัวนั้นเป็นของชั้นเลิศขนาดไหน ถ้าหากว่าข้าไม่ถูกใจก็ใช่ว่าใครจะมาซื้อไปจากข้าได้นะ” ชายแก่จุ๊ปากอย่างดูถูกอาร์เมล
“ข้าเข้าใจดี ข้าถึงได้มาหาท่านยังไงล่ะ เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นของท่านถือได้ว่าเป็นของล้ำค่ามากเลยทีเดียว” และที่แต่ละชิ้นมีราคาที่สูงมากก็เป็นเพราะมีจำนวนค่อนข้างน้อยหากเทียบกับชื่อเสียงและจำนวนคนที่ต้องการครอบครองพวกมัน
“แต่ข้ามีงบประมาณที่จำกัด แค่ 100 เหรียญทองเท่านั้นเอง”
“งั้น ข้าก็ขายให้เจ้าไม่ได้” เขารีบวางมันเก็บเข้าที่อย่างหวงแหน
“นี่ท่านลูงงงง.... ท่านลืมไปแล้วหรือไงว่าสมัยก่อนท่านเคยให้สัญญาอะไรกับข้าเอาไว้” ข้าพูดเสียงยานคางแต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยการคุกครามทางจิต
“สัญ... สัญญาอะไร” ตาแก่หลบสายตาข้า... ข้าเลยยิ่งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ส่งสายตาข่มขู่
“นั่นสินะ สัญญาอะไรกันเน้อออ”
ตาแก่ทำท่าหลุกหลิก เหลือบตามองยังดาบข้างเอวของข้า กับดาบเล่มโตที่ถูกสะพายอยู่บนหลังของอาร์เมล
“ก็ได้ข้าขายให้เจ้า เจ้าเอาไปเลย... 100 เหรียญทอง... นอกจากเหนื่อยฟรีแล้ว ค่าวัสดุที่สร้างข้ายังได้แค่ครึ่งเดียว... ได้ทุนครึ่งเดียวเองนะ” ชายแก่ทำท่าปาดน้ำตาร้องไห้กระซิกๆ
อาร์เมลสะกิดไหล่ข้า “ไม่เกินไปหน่อยหรือเทมเพส... ของนั่นเราไม่ต้องเอาก็ได้นะ”
นี่ข้าไม่ได้กำลังรังแกคนแก่อยู่นะ เจ้าไม่ต้องมองข้าด้วยสายตาอย่างนั้น...
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าตาแก่นี่ ติดหนี้อะไรข้าอยู่!” ข้าเสยะยิ้ม เข้าไปกระซิบที่ข้างหูของอาร์เมล
“เมื่อก่อนเขาเคยพยายามลอบสังหารข้า” อาร์เมลทำตาโตหันมามองข้า “เพราะเขาคิดว่าข้าไปล่อลวงภรรยาของเขา นางคลั่งไคล้ข้ามาก... แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด แต่ข้าไม่เอาเรื่องเขา
“ไหนเจ้าบอกว่าจะลืมเรื่องนั้นไง” ชายแก่ประท้วง น่ะ นี่ขนาดข้าแอบกระซิบกับอาร์เมลค่อยๆแล้ว ยังจะหูผีได้ยินอีก ข้าส่งค้อนประหลับประเหลือกไปให้เขา...
“ก็ได้... ไหนๆเจ้าก็ยอมขายเจ้านั่นให้ข้าแล้ว... เรื่องที่สัญญาที่เจ้าเคยบอกว่าจะชดใช้ให้ข้า...ก็เอาเป็นเรื่องครั้งนี้เลยก็แล้วกันนะ รบกวนท่านแล้ว” ข้าขยิบตาให้เขา แต่เขากลับทำสีหน้าคลื่นไส้ใส่ข้า... ข้าแค่หยอกเขาเล่นนิดเดียวเอง ไม่เห็นต้องแหวะข้าขนาดนั้นก็ได้
.
ข้ายิ้มอย่างอารมณ์ดี รอตาแก่หยิบฮาร์ฟตัวนั้นไปหากล่องไม้ที่ขนาดพอดีใส่ แต่ทั้งรื้อทั้งค้นก็ยังหาไม่ได้เลยกินเวลานานมาก จนข้าไม่อยากสนใจเขาอีกเลยไปเดินดูของไปรอบบ้านเป็นการฆ่าเวลา อาร์เมลที่ดูไม่มีความสนใจทางด้านดนตรีเลยแค่นั่งรอเฉยๆ
ท่ามกลางเครื่องดนตรีสารพัดอย่างที่วางเรียงราย กลับมีกล่องไม้หน้าตาธรรมดาวางไว้อยู่... ข้าเลยหยิบมันขึ้นมาเปิดออกดู
เสียงเพลงอันก้องกังวานแว่วหวานที่แฝงไปด้วยนุ่มนวลพลันดังขึ้น เรียกความรู้สึกอันแสนคิดถึงบางอย่างของข้าให้คืนกลับมา... บทเพลง Memory
นานแค่ไหนไม่รู้ที่ ข้าได้แต่ยืนนิ่งฟังเสียงของหีบเพลงที่บรรเลงขึ้นจนจบลง... รอการไขลานครั้งใหม่
“เทมเพส?” เสียงของอาร์เมลทำให้ข้าดึงความคิดกลับมายังปัจจุบัน
“มีอะไรหรือ... เสร็จเรื่องแล้วใช่ไหม?” ข้าปิดฝากล่องหีบเพลงแล้วนำมันวางกลับลงที่เดิม
“อืม... เสร็จแล้ว ห่อของเรียบร้อย... เจ้าชอบมันหรือไง ทำไมไม่ซื้อมันไปด้วยล่ะ”
“มันไม่ใช่ของจำเป็นสำหรับข้าเสียหน่อย” ข้าก็แค่อยากฟังมันอีกสักครั้งก็เท่านั้น...
“แค่ 10 เหรียญทองเท่านั้นเอง ข้าแค่ทำมันเล่นๆ แต่เจ้าก็ฟังออกใช่ไหมว่ามันเพราะขนาดไหน นี่ขนาดของทำเล่นของข้าเท่านั้นนะ” ชายแก่ยื่นห่อของส่งให้ข้าก่อนคุยโว
“ตั้ง 10 เหรียญทอง ไม่เกินไปหน่อยหรือ” อาร์เมลร้องขึ้น
“ไม่เกินไปหรอก ฝีมือระดับข้าเชียวนะ ข้าน่ะเคย...บลาๆๆๆๆ”
ข้าส่งสายตาให้อาร์เมลว่าอย่าไปต่อล้อต่อเถียงด้วย เรื่องธุระของเราก็เสร็จแล้วเตรียมออกเดินทางต่อได้ ข้ารีบหาช่องไฟตัดบทพรรณนาของชายแก่ แล้วลากลับก่อน ก่อนจะไปข้าทิ้งระเบิดไว้เล็กน้อย บอกเขาว่าคราวหน้าถ้าข้ามีเวลา ข้าจะมาเยี่ยมภรรยาเขาซักครั้ง เท่านั้นล่ะ ข้าก็โดนเขาเอากาน้ำชาเขวี้ยงใส่....
ข้าหัวเราะของอารมณ์ดี บางทีการที่นานๆเราได้ยั่วโมโหคนอื่นซะบ้างก็เป็นการผ่อนคลายที่ไม่เลว
“เวลาเจ้าออกมาข้างนอก ดูสดใสมากกว่าตอนที่เจ้าอยู่ในตำหนักเยอะนะ”
“ก็แน่ล่ะ ไม่มีกองเอกสารวางเรียงรายรอข้า ไม่มีเกรเซียส ครีอุสมาคอยกวนโมโหข้า ไม่มีพวกการ์ดเชิญข้าไปงานเลี้ยงตอนกลางค่ำกลางคืนที่ทำให้ข้าไม่ได้หลับได้นอน... ข้ารู้สึกสดชื่นที่สุดในรอบสิบปีเลยกระมัง” ข้าบิดขี้เกียจทีนึง ก่อนจะนำของขวัญไปเก็บรวมไว้กับพวกห่อสัมภาระ แล้วขึ้นมาออกเดินทางต่อ
คาดว่า... การเดินทางจากนี้จะใช้เวลาประมาณเจ็ดวันจึงถึงโยแลนด์ คงจะไปถึงทันก่อนวันงาน
วันนึงมีเวลาให้พักผ่อนพอดี ลงตัวทุกอย่าง
การเดินทางหลังจากออกพ้นตัวเมืองหลวงก็เป็นเวลาบ่ายคล้อย ปุยเมฆทะมึนสีดำตุ่นลอยต่ำเป็นกลุ่มก้อน แต่กลับไม่สามารถบดบังความร้อนอบอ้าวจากดวงอาทิตย์ไปได้เลย
“เทมเพส เจ้าใช้เวทย์วายุเป็นหรือเปล่า?”
“เป็น... เจ้าไม่น่าถาม”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าช่วยเรียกลมให้พัดมาทางข้าหน่อยได้ไหม? แบบที่ครีอุสทำน่ะ”
“ไม่เอาล่ะ เจ้าอย่ากินแรงข้า อีกอย่างวิธีของครีอุสมันอันตรายมากแค่เจ้าถอดชุดคลุมกับชุดเกราะหนักเจ้าออกก็หมดเรื่องแล้ว”
“ไม่ล่ะ ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้าก็เอาแบบนี้ล่ะกัน” อาร์เมลใช้ฆ่าเฆี่ยนม้าให้ออกวิ่งรับลมอย่างรวดเร็ว จนข้าต้องรีบเฆี่ยนม้าตามไป
“เฮ้ อาร์เมล ถนอมม้าหน่อยระหว่างเดินทางไกลไม่มีม้าให้เปลี่ยนหรอกนะ อากาศมันร้อนแหล่งน้ำก็ยังอยู่อีกไกล”
“พวกมันเป็นม้าศึกสายพันธ์ดี ไม่ต้องห่วงเรื่องความอึด เจ้ามันขี้กังวลเกินไป”
“เช่นนั้นเราก็แยกเดินทางกันไป ระวังเถอะ!เป็นเจ้าที่จะต้องแบกมันไปกลางทางข้าเตือนเจ้าแล้วนะ”
“ไม่ได้ ครีอุสให้ข้ามาช่วยดูแลเจ้า ระหว่างทางพวกศัตรูอาจจะเล่นงานพวกเราได้หากอยู่แค่คนเดียว เจ้าต้องมากับข้า ”
“ครีอุสไม่ได้ให้เจ้ามาดูแลข้า ให้พวกเราดูแลกันและกัน มาเป็นเพื่อนกันต่างหาก”
“ใครว่า ครีอุสห่วงกลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไรขึ้นมา จะไม่มีคนคอยทำงานให้เขา เขาจึงให้ข้ามาดูเจ้าต่างหาก”
นี่ข้าเพิ่งจะเคยออกปฏิบัติภารกิจร่วมกับอาร์เมลสองคนครั้งแรก ใครกันที่บอกว่า ไอเวส อาร์เมลไม่ใช่คนดื้อรั้นถือทิฐิกัน ข้านี่ล่ะขอค้านหัวชนฝา เขาถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ไม่น้อย มิน่าเขาถึงเคยกล้าขัดคำสั่งสอนของอาจารย์ตัวเอง ในขณะที่ข้าและพี่น้องคนอื่นต่างก็เป็นคนว่าง่าย เขาเป็นคนเดียวที่ตั้งใจแหกกฎข้อปฏิบัติตัวออกมา
ป่วยการที่จะเถียงกับเขา ข้าหยุดฝีเท้าม้าลงให้คงความเร็วอยู่ในระดับปกติ เขาจะหยุดม้าตามข้าหรือไม่ข้าไม่สน ข้าคิดว่าควรทำในสิ่งที่ถูกต้อง
“ซีโอ เทมเพส นี่เราจะแยกกันไปจริงๆใช่ไหม”อาร์เมลตะโกนเสียงดังกลับมาทางข้า
“แน่นอน ทุกอย่างแล้วแต่เจ้าตัดสินใจ ของเจ้า...อาร์เมล ว่าจะร่วมทางไปกับข้าหรือไม่” เขาทำสีหน้าหงุดหงิดใส่ข้า ขณะที่ข้ากำลังมีท่าทางสบายๆ จนจะผิวปากอยู่แล้วด้วยซ้ำ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาจะตอบข้ายังไง
“ก็ได้ ข้าจะไปพร้อมเจ้า”
ก็เท่านั้นแหละ ข้าขยับมุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เป็นไปอย่างที่ข้าคิด ที่ผ่านมาข้าต้องคอยรับมือความเอาแต่ใจในระดับของเทพอัศวินครีอุสเชียวนะ แค่ระดับเทพอัศวินอาร์เมลน่ะ ไม่หนักหนาเกินความสามารถในการจัดการของข้าหรอก
แต่แล้ว... อาร์เมลกลับฟุบตกจากหลังม้าลงไปกองกับพื้นจริงๆ
สวรรค์ นี่เขาดื้อไม่ยอมถอดชุดเกราะออกจนยอมเป็นลมเลยเหรอเนี่ย ข้ารีบกระโดดลงจากหลังม้าไปพยุงเขาขึ้น พาเขาไปนอนพักที่ใต้ร่มไม้ รีบเอาน้ำให้เขาดื่มก่อนที่จะเทน้ำลูบหน้าลูบตาเขา แล้วค่อยลงมือปลดชุดคลุมยาว เสื้อเกราะหนัก กับชุดที่เขาสวมไว้ถึงสามชั้นที่ถอดยากแบบสุดๆออก ก่อนที่จะนั่งแปะลงข้างเขาอย่างอ่อนใจ
เห็นทีหลังจากนี้ข้ากับเขามีเรื่องที่จะต้องคุยกัน.........
+++++++++++++++++++++++++++
เป็นยังไงบ้างค่ะสำหรับตอนที่สอง
สำหรับเรื่องนี้ แอนรู้สึกว่าอาร์เมลเขียนยากมากๆ เลยค่ะ เพราะที่เล่มหลักเขาไม่ค่อยมีบทพูดเท่าไหร่เลย มีแต่นิสัยที่ครีอุสเคยเล่าให้ฟังคร่าวๆ เท่านั้น เลยยังหาจุดลงตัวไม่ค่อยได้
ไม่รู้ว่าในเลยว่าในสายเพื่อนๆ อาร์เมลเป็นคนยังไงกันแน่ ยังไงก็ช่วยกันแชร์ความรู้สึกทีนะคะ
ขอบคุณที่มาอ่านเรื่องนี้ค่า ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
+++++++++++++++++++++++++++
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น