ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic LSK : ศิลาและสายลม (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 10 สิ่งแทนใจแห่งศิลา

    • อัปเดตล่าสุด 1 เม.ย. 55


     
    ข้าเดินมายังห้องของเทอร์มิสด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ใจหนึ่งนึกห่วงคนที่นอนพักฟื้นอยู่ในห้อง ใจหนึ่งนึกหวั่นวิตกโทษทันที่อาจได้รับจากการพูดเท็จ อีกใจหนึ่งก็นึกสงสัยเหลือประมาณว่าทำไมเทอร์มิสถึงได้เรียกให้เฮฟเฟตัสไปพบเขาพร้อมกับข้าที่ห้อง
     
    “พวกเจ้านั่งลง...” ข้านั่งลงตรงเบื้องหน้าโต๊ะทำงานของเทอร์มิส เขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกข้าโดยมีกองเอกสารที่ถูกแหวกออกเป็นช่องแค่พอสนทนาอย่างลวกๆ นัยน์ตาสีดำขลับจับจ้องตรงมายังข้า
     
    “เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ข้าฟังทั้งหมด” คำสั่งอันเฉียบขาดนั้นไม่มีเหลือช่องว่างให้ข้าต้องลังเล ยิ่งคนที่มีชนักติดหลังเช่นข้าแล้ว ความจริงยิ่งพร่างพรูออกมาอย่างไม่มีตกหล่น ชายชุดดำขมวดคิ้วหนักขึ้นเรื่อยๆ
     
    “เจ้าว่าคนที่มาโจมตีพวกเจ้าเป็นชายสวมหน้ากาก...”
     
    “ใช่ขอรับเป็นเช่นนั้น” เฮฟเฟตัสแอบเหลือบตามองข้าอย่างประหลาดใจ ที่เมื่อครู่ข้าพูดคำว่า ‘ขอรับ’ กับแลนซ์ เทอร์มิส อย่างที่ไม่เคยพูดมาก่อนหน้านี้...
     
    เฮ้อ... ข้ากลายเป็นคนที่วิตกจริตจนเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ดูจากท่าทีของเทอร์มิส(ที่ไม่มีท่าทีเอาเรื่องอะไรกับข้า) ครีอุสคงจะปลอดภัยดี
     
    “ศัตรูที่เจ้าเคยเจอมาก่อนหน้านี้ สวมหน้ากากด้วยหรือเปล่าเฮฟเฟตัส...”
     
    “ไม่อะ ไม่ได้สวม... ที่ผ่านมาไม่เคยมีศัตรูคนไหนสวมหน้ากากซักราย”เฮฟเฟตัสว่า
     
    “หมายความว่ายังไง... ทำไมเจ้าถึงถามถึงเรื่องนี้ ที่เจ้านั่นสวมหน้ากาก นั่นอาจเป็นเพราะว่าเจ้านั่นแค่ไม่อยากให้พวกเราเห็นหน้าเท่านั้นเองก็ได้...”
     
    อะ! เดี๋ยวก่อน! ข้าชะงักกับคำพูดของตัวเอง...
     
    ไม่อยากให้เห็นหน้า ทั้งที่ผ่านๆมาพวกมันท้าทายพวกเรามาตลอด ทำผิดโดยไม่เคยคิดจะปกปิดตัวตนแม้แต่น้อยคล้ายกับจะบอกว่า ‘ถึงจะรู้ตัวจริงไปพวกเจ้าไม่มีปัญญาหาร่องรอยของพวกมันพบ’
     
    เช่นนั้นเป็นเพราะอะไร คราวนี้ถึงได้ต้องมาปกปิดตัวตน หรือว่า...
     
    “เจ้านั่นอาจจะเป็นคนที่พวกเรารู้จัก หรืออยู่ใกล้ตัวพวกเรามากกว่าที่คิด” เทอร์มิสพูด
     
    “อาร์เมลวันพรุ่งนี้ข้าอยากให้เจ้าไปพบข้าที่ลานลงทัณฑ์ บางทีอดีตท่านลอร์ดแห่งบีลีฟอาจจะตอบคำถามพวกเราได้”
     
    “เจ้านั่นมันยังไม่ตายคามือเจ้าอีกหรือนั่น เขาอยู่ที่ขังนักโทษในลานลงทัณฑ์ของเจ้าได้ตั้งสองสัปดาห์ข้าล่ะอดนับถือเขาไม่ได้จริงๆ”เฮฟเฟตัสว่าพลางทำท่าขนลุกขนพอง เส้นผมสีแดงเพลิงชี้ตั้งโด่เด่
     
    “ข้าจงใจเก็บมันเอาไว้ต่างหาก พวกมันยังน่าจะพอมีประโยค... และคราวนี้ก็ถึงเวลาที่ข้าจะใช้ประโยชน์จากพวกมันแล้ว...” เสียงทุ่มต่ำของเทอร์มิสทุมต่ำติดลบในองศาสุดท้าย นี่เจ้ายังโมโหเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ใช่ไหม หวังว่าเรื่องนั่นคงไม่เกี่ยวกับข้าใช่ไหม?... ใช่ไหมเทอร์มิส?
     
    และข้าก็รู้สึกว่าเหมือนโดยแช่แข็งโดยสายตาของเทพแห่งการลงทัณฑ์
     
    ++++++++++++++++++
     
    ข้าฟื้นขึ้นมาได้ยังไง? ครีอุส! เจ้าใช่ไหม...
     
    ข้าพยายามตะกายตัวเองออกมาจากกองผ้าห่ม เมื่อครู่ท่ามกลางสติที่เลือนรางข้ามองเห็นเขาล้มลงไป... เขาเป็นยังไงบาง... เขาสูญเสียอะไรไปเพราะข้าหรือเปล่า...
     
    “เจ้าฟื้นแล้วรึ ดีจริง”ไทรอนส่งแก้วบรรจุน้ำสะอาดให้ข้า
     
    “ครีอุสล่ะ?” ข้าถาม
     
    “เจ้านั่นยังไม่ฟื้น ทุกครั้งที่เขาคืนชีพให้ใครซักคน เขามันจะเป็นคนที่ตื่นทีหลังเสมอ ยิ่งพักหลังที่เขาอ่อนแอลงมาก...แต่คิดว่าเขาคงไม่เป็นอะไร เพราะว่าเจ้าเทอร์มิสไม่ได้อาละวาด”
     
    เช่นนั้นหรือ... ดีจริง “เจ้าช่วยพาข้าไปหาเขาทีได้ไหม... ข้าอยากดูให้แน่ใจ”
     
    “ก็ได้แต่เจ้าต้องกินข้าวต้มนี่ให้หมดซะก่อน” ไทรอนว่าพลางรับชามข้าวต้มมาตั้งไว้ตรงหน้าข้าจากเนเฟลที่หายตัวไปทันทีที่ส่งของเสร็จ ข้าสาดส่องสายตาไปทั่วคล้ายมองหาเงาของใครบางคนที่ไม่ใช่เนเฟล...
     
    ตอนนี้ข้ากำลังล้มป่วยทำไมคนๆนั้นถึงไม่ได้มาอยู่เฝ้าข้า... นี่ข้ากำลังคิดถึงใคร กำลังรอใครอยู่...เคเรสหรือ? ใช่แล้ว...ข้าคงต้องกำลังรอเขาแน่ๆ เขาเป็นคนที่อยู่เคียงข้างทุกคนเวลาที่ล้มลง เฝ้านั่งคอยพยาบาลคนผู้นั้นไม่ห่างไม่หลับไม่นอน แล้วข้าก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังอยู่ที่โยแลนด์นี่นา
     
    จะว่าไปพอมองไปรอบๆห้อง ข้ารู้สึกว่ามันแปลกตาไปไม่น้อย
     
    “ไม่มีงานเอกสารกองอยู่บนโต๊ะข้าเลยซักแผ่น” ข้าพูดด้วยความประหลาดใจ
     
    “ครีอุสถูกเทอร์มิสทำโทษ เลยเอางานทั้งหมดไปทำแล้ว”
     
    “เขาทำงานเองทั้งหมดหรือ? แล้วลูกศิษย์ของข้า กับรองหัวหน้าหน่วยของข้าล่ะ?”
     
    “เจ้าเด็กเลนนาร์ดหนีออกนอกตำหนักไปแล้ว... ไม่ต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นก็ได้ เขาหนีไปพบท่านอดีตเทพอัศวินครีอุสพร้อมกับว่าที่เทพอัศวินครีอุสประเดี๋ยวก็กลับ” ข้าได้ฟังดังนั้นก็โล่งอก ตกใจมากนึกว่าข้าแค่ไปโยแลนด์ไม่นานกลับมาอีกทีลูกศิษย์ข้าก็เปิดแน่บไปแล้วซะอีก ข้ายิ่งไม่ได้เตรียมตัวสำรองเอาไว้เสียด้วย
     
    “ส่วนรองหัวหน้าหน่วยของเจ้าดูแลงานลาดตระเวน รวบรวมข่าวสาร การฝึกซ้อมกองกำลังทั้งหมดแทนเจ้าก็งานล้นมือแล้วเสียหายหน้าเงียบไปนานพอสมควร”
     
    “อืม...” ข้ารับคำกินข้าวต้มไปเงียบๆ ด้วยอยากให้หมดเร็วๆจะได้ไปหาครีอุสซักที คิดว่าว่าไทรอนคงจะรักษาคำพูดพาข้าไปหาเขานะ
     
    ข้ามองดูชายเส้นขาวสีขาวซีดจนกลืนเข้าไปกับสีผิวของเขานอนหลับนิ่งๆ อยู่บนเตียง พลังสว่างในร่างของเขาต่ำลงไปมาก แต่ลมหายใจของเข้าราบเรียบและสม่ำเสมอ
     
    เป็นอย่างที่ไทรอนว่ามา อาการของเขาไม่น่าเป็นห่วงจริงๆ
     
    “สบายใจแล้วก็กลับไปพักต่อเถอะ เจ้าเองก็ยังดูสีหน้าแย่ๆอยู่เลย อีกเดี๋ยวทุกคนก็คงจะมาเยี่ยมเจ้ารีบไปพักเอาแรงก่อนดีกว่า...” ข้าพยักหน้า เมื่อแน่ใจแล้วว่าพวกเขาไม่ได้หลอกข้าจริงๆ คราวนี้ข้าก็ขออู้หลับเป็นตายทีเถอะ
     
    “ว่าแต่ อาร์เมลเขาเป็นคนพาข้ากลับมาใช่ไหม?” ข้าถามคำถามนี้ระหว่างที่เดินกลับห้อง
     
    “ก็ต้องเป็นเขาน่ะซิ ในเมื่อเจ้าอยู่กับเขาแค่สองคน เจ้าจะให้เป็นใครล่ะ?” นั่นซิใครกัน ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าคนที่พาข้ากลับมาที่นี่ไม่ใช่อาร์เมล ภาพของชายที่มีเส้นผมสีน้ำเงินปรากฏขึ้นแวบหนึ่งในความทรงจำของข้า ใครกันท่านอาจารย์ของข้าหรือ... แล้วทำไมอยู่ๆข้าถึงไปคิดถึงท่านได้ล่ะ
     
    “...เจ้ารู้ไหมว่า ตอนที่เขาพาเจ้ากลับมาเขามีสภาพแบบไหน”
     
    “แบบไหน? พี่น้องเพื่อนร่วมงานตายทั้งคน...นอกจากเสียใจแล้วเขายังจะมีท่าทีแบบไหนได้อีก”
     
    “ใช่ เขาเสียใจมาก ดูราวกับว่าเขาได้สูญเสียจิตวิญญาณไปพร้อมๆกับการตายของเจ้า ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะสนิทกันมากถึงขนาดนั้น ขนาดข้าที่น่าจะสนิทกับเจ้ามากว่ายังไม่ช็อคถึงขนาดนั้น”
     
    “งั้นหรือ...” ข้าเอามือสัมผัสที่หน้าอกของตนเอง ความอบอุ่นบางอย่างที่แล่นวาบเข้ามาในหัวใจของข้านี้คืออะไรกัน... ทำไมข้าถึงได้รู้สึกยินดีถึงขนาดนี้ มันช่างน่าแปลกประหลาด...
     
    “คงเป็นเพราะว่า ข้าตายต่อหน้าเขากระมัง... นี่ข้าคงทำให้เขาเจ็บปวดไม่น้อย”
     
    “ก็คงจะอย่างนั้น... ตอนนี้ เทอร์มิสกำลังสอบสวน เอ่อ...สอบถามเขาถึงเรื่องที่เกิด เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าเจ้าก้อนหินหัวแข็งนั่นก่อเรื่องอะไรไว้ระหว่างที่เจ้าหลับไป” ไทรอนตีสีหน้าฉุนสนิทเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม
     
    ข้าที่เพิ่งจะรู้สึกตัวเอาตอนใกล้รุ่ง แต่ดูเหมือนกับว่าทุกคนกำลังจะตื่นกันอยู่ราวกับในเวลากลางวัน เช้าวันใหม่กำลังจะใกล้เข้ามา ข้ายืนดูแสงอรุณแรกต้อนรับชีวิตใหม่ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป...
     
    ++++++++++++++++++
     
    ข้าเดินอยู่ในตลาดท่ามกลางร้านค้ามากมายเพื่อมาหาซื้อของเยี่ยมไข้ครีอุสและเทมเพส ข้าต้องขอบคุณพวกเขามากๆที่ฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัย... ของที่จะซื้อให้ครีอุสนั้นไม่ยาก แค่พายบูลเบอร์รี่หวานสุดๆซักห้าชิ้นก็คงพอมั้ง ส่วนของเทมเพส ข้าจะซื้ออะไรไปเยี่ยมเขาดีล่ะ ดอกไม้ดีไหมนะ... แล้วนี่ข้าต้องซื้อไปเผื่อครีอุสด้วยหรือเปล่า... ไม่ล่ะ สำหรับครีอุส ดอกไม้มันกินไม่ได้และไร้ประโยชน์ สู้ข้าเอาเงินค่าซื้อดอกไม้ไปซื้อช็อกโกแลตให้เขาเพิ่มอีกซักชิ้นยังจะดีซะกว่า เพราะงั้นข้าซื้อให้แค่เทมเพสก็พอ...
     
    ข้ายืนมองดอกไม้หลากสีที่จัดเรียงเป็นขวัญช่ออย่างสวยงาม ข้าควรจะเลือกดอกอะไรไปให้เขาดีล่ะเนี่ย ข้าไม่รู้เลยว่าเทมเพสเขาชอบดอกไม้อะไร สีไหน จะว่าไปแล้วเขาชอบอะไรข้าก็ไม่รู้...
     
    แล้วข้าก็ตาโตอย่างตกตะลึงเมื่อตระหนักได้ถึงข้อเท็จจริงบางอย่าง... นี่ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาอย่างนั้นเลยเหรอ ที่ผ่านมาตั้งยี่สิบกว่าปีข้ามัวแต่ทำอะไรอยู่เนี่ย
     
    “สนใจดอกไม้แบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าเจ้าคะ?” สาวน้อยเจ้าของร้านดอกไม้เอ่ยถามข้า
     
    “ดอกไม้เยี่ยมไข้...” ข้าบอกไปแค่นี้ ที่เหลือแม่สาวนี้นี่คงจะจัดการให้ข้าได้มั้ง
     
    “งั้นก็ต้องดอก Chamomile หรือ Yarrow อวยพรให้คนนั้นแข็งแรงไวๆ” (อันนี้แอนไม่มั่นใจนะคะอาศัยเปิด wiki เอา)
     
    “แค่ดอกไม้ก็มีความหมายด้วยหรือ?”
     
    “แน่นอนเจ้าค่ะท่านอัศวิน ดอกไม้แต่ละชนิดล้วนแล้วแต่มีความหมายในตัวของมันเอง... ท่านต้องการบอกอะไรกับคนๆนั้นเป็นพิเศษอีกหรือเปล่า ข้าจะได้จัดช่อให้ท่านได้ถูก” สาวน้อยร้านดอกไม้ส่งยิ้มให้ข้า
     
    ข้าครุ่นคิดแล้วพยักหน้า...
     
    ข้าถือช่อดอกไม้ที่ถูกติดริบบิ้นเสร็จแล้วไว้ในมือ ทั้งสีสันและกลิ่นของมันก็หอมเอามากๆ ข้ายิ้มอย่างพึงพอใจแล้วก้าวเท้าเดินออกไป ร้านที่ติดกันนั้นเป็นร้านขายเครื่องประดับที่ดูมีคนไม่มากลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ที่บางคนอาจควงคนรักมาด้วยกัน ข้าหยุดชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นกับกำไลวงหนึ่งที่ออกแบบมาสำหรับผู้ชาย อัญมณีที่ประดับเป็นพลอยสีฟ้าสลับเขียวมองดูแล้วออกโทนสีฟ้าคราม มันทำให้ข้าอดนึกถึงใครบางคนไม่ได้... มันดูเหมาะกับเขามาก
     
    เข้าสาวเท้าเดินเข้าไปดูมันใกล้ๆ ปรากฏว่ามีสองวงที่แบบคล้ายคลึงกัน แต่อีกอันดูท่าว่าจะออกแบบมาสำหรับผู้หญิง คงเป็นกำไรคู่...เหมือนพวกแหวนคู่รักล่ะมั้ง อีกทั้งยังเป็นงานที่ประณีตเอามากๆสงสัยว่าราคาจะแพงจนกระเป๋าฉีก
     
     “ท่านสนใจหรือ”
     
    ข้าพยักหน้ารับหยิบกำไลสำหรับผู้ชายขึ้นมาดูอย่างสนใจ... ข้านึกถึงเวลาที่มันจะอยู่บนข้อมือของเทมเพสมันคงจะสวยมากๆ สวรรค์นี่ข้าแค่นึกภาพก็รู้สึกว่าจะวางมันลงไม่ได้แล้วล่ะ มันเหมาะกับเทมเพสสุดๆ
     
    “กำไลวงนี้ราคาเท่าไหร่”
     
    “สิบห้าเหรียญทอง...” ให้ตายเถอะเงินเดือนของข้าทั้งเดือนยังแค่ห้าเหรียญทองเองนะ
     
    “ไม่แพงไปหน่อยหรือไง...ลดให้ข้าอีกซักหน่อยไม่ได้หรือ”
     
    “ไม่ได้จริงขอรับ ท่านรู้ไหมว่าพลอยสีน้ำเงินที่ฝังอยู่ห้าเม็ดนั้นนำมาจาก....” ข้ายืนฟังเขาร่ายประวัติวัตถุดิบพลอยสีแต่ละเม็ด ทั้งตัวเรือนและการออกแบบจนน้ำลายแตกฟอง แต่ทว่ามันไม่เข้าหัวข้าเลยแม้แต่น้อย... ในหัวของข้ามีแต่คำว่า กำไล เทมเพส และเหรียญทองวิ่งเต็มไปหมด สุดท้ายข้าก็ตัดสินใจซื้อโดยที่แม้จะไม่มีโอกาสต่อราคาข้าก็เอา...
     
    ชายแก่คนขายฉีกยิ้มกว้างอย่างการค้ารับกำไลวงนั้นไปบรรจุห่อผ้ากำมะหยี่สวยงามแล้วถามข้าว่า
     
    “ไม่รับกำไลอีกวงที่คู่กันไปเลยล่ะขอรับ ท่านจะได้นำไปกำนัลภรรยาหรือแฟนสาวของท่าน นางจะต้องดีใจมากๆ”
     
    “ไม่ล่ะ ข้ายังไม่มีคนรัก” พูดไปก็อดรู้สึกห่อเหี่ยวหัวใจไม่ได้... ข้ามีโอกาสที่จะมีคนรู้ใจกับเขาบางไหมนะ
     
    “น่าเสียดายจริง กำลังสองวงนี้เป็นกำลังคู่เสียด้วย...” เจ้าของร้านส่งถุงกำมะหยี่ให้ข้าแล้วหยิบกำไลผู้หญิงที่เหลือวงเดียวนั้น ซึ่งเดิมทีกำไลคู่นี้อยู่ในถาดส่วนของเครื่องประดับคู่รัก ไปวางไว้ในถาดส่วนของเครื่องประดับผู้หญิง
     
    “เหลือแค่วงเดียวราคาไม่ตกหรือ...”
     
    “ไม่หรอกข้าก็ขายราคาเดิมนั่นล่ะ อ้อท่านคงไม่ถือนะ ถ้าวันหนึ่งท่านเจอหญิงสาวสวยซักคนใส่กำไลที่เหมือนกับท่านวงนี้เดินไปมา... ไม่ซิท่านยังไม่มีคนรัก งั้น ถือซะว่าวันหน้าหากท่านเจอกำไลส่วนที่เหลืออีกวง ท่านก็จีบนางซะเลย ถือเสียว่าเป็นพรมลิขิตดีไหมขอรับ...” ชายเจ้าของร้านยิ้มร่าราวกับภาคภูมิในใจความความอันบรรเจิดของตนเองเสียเต็มประดา ทว่าอาร์เมลนั้น...
     
    “...”

    ++++++++++++++++++
     
    ดูเหมือนว่าข้าจะมาเยี่ยมเทมเพสช้ากว่าคนอื่นๆ เมื่อครู่เทอร์มิสส่งคนมาบอกว่าครีอุสฟื้นแล้ว เจ้าพวกที่คุยอยู่กับเทมเพสอยู่ก่อนหน้านี้จึงขอตัวออกไปกันหมด จนเหลือแค่ข้าที่มาช้ากว่าคนอื่นๆ
     
    “เจ้าเป็นยังบ้าง...รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า...” ข้ารู้สึกขัดเขินอย่างบอกไม่ถูก เพราะอยู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นข้าพูดอะไรบางอย่างที่ไม่สมควรจะพูดออกไป ตอนนั้นข้าไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินหรือเปล่า... แล้วถ้าได้ยินล่ะ เขาจะรู้สึกกับข้าแบบไหน
     
    “ข้าสบายดีแล้ว...สบายดีมากๆ” ดูเหมือนว่าน้ำเสียงของเขาจะดูขุ่นเคืองข้าอยู่ไม่น้อย
     
    “ข้าบอกให้เจ้าอย่าพาข้ากลับตำหนักเทพฯ แต่ไหงข้าถึงได้มาโผล่ที่นี่ได้?... ข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่รักษาคำพูดกว่านี้เสียอีก”
     
    “ข้าขอโทษ...” ข้าผิดสัญญาจริงๆ ตอนนั้นข้ารับปากเขาแล้วแท้ๆว่าจะไม่พาเขากลับมาที่นี่
     
    เทมเพสถอนหายใจ อย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับท่าทีสลดของตัวแทนแห่งศิลาที่ทำเอาเขาว่าอะไรไม่ออกอีก อันที่จริงในใจของเขาไม่ได้มีความรู้สึกโกรธอาร์เมลหลงเหลืออยู่เลย มีเพียงความรู้สึกบางอย่างที่ยังคงติดค้างเท่านั้น
     
    “ไหนๆ ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี เพราะฉะนั้นข้าจะยกโทษให้เจ้าก็ได้” เทมเพสยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ดอกไม้นั่นเอามาเยี่ยมข้าใช่ไหม ส่งมาให้ข้าสิ”
     
    ข้าลืมไป... เมื่อครู่มัวแต่จ้องเขาจนลืมของเยี่ยมในมือนี่ และนี่เป็นอีกครั้งที่ข้าอยากจะบอกกับเขา
     
    เทมเพสรับมันไปพลิกๆดู ดมๆอยู่ไม่กี่ทีก็นำมันวางลงข้างตัว ในใจนึกขำกับช่อดอกไม้หลากหลายชนิดที่ดูประหลาดราวกับบังคับมันให้มาอยู่รวมกันเป็นช่อ
     
    “ดอกไม้สวยมาก เจ้าเลือกเองหรือเปล่า...”
     
    “ข้าให้เจ้าของร้านช่วยเลือกน่ะ...”ข้าตอบแบบปัดๆไป ใครจะไปกล้าบอกกันล่ะว่าข้าตัวแทนแห่งศิลาที่มีภาพลักษณ์เป็นคนถือทิฐิ หัวดื้อเป็นที่สุดอย่างข้า เป็นคนยืนเลือกดอกไม้และจัดช่อด้วยตัวเอง(แม้ว่าจะได้คำแนะนำมาก็เถอะ)
     
    ข้าตาฝาดไปหรือเปล่านะ เมื่อครู่คล้ายกับว่าเทมเพสแสดงสีหน้าผิดหวัง แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น ข้าคงจะตาฝาดไป เขาจะทำสีหน้าแบบนั้นไปทำไมกัน
     
    “อาร์เมล เจ้าไปดูครีอุสเถอะ ตอนนี้ข้าเหนื่อยอยากจะพักแล้ว...”
     
    “เดี๋ยวก่อนคือว่า...” ข้ายังไม่อยากออกจากห้องไปนี่นา ข้ายังอยากจะอยู่กับเจ้าต่ออยู่เลย
     
    “ข้ามีอะไรบางอย่างอยากจะ...ให้เจ้า”  
     
    ถุงผ้ากำมะหยี่ถุงน้อยถูกส่งให้ชายหนุ่มผมสีน้ำเงิน เมื่อครู่อาร์เมลลังเลอยู่ว่าเขาจะพูดอะไรออกไป บางอย่างที่อยากจะถาม... แต่กลายเป็นว่าเขาเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจก่อนที่จะยื่นของขวัญอีกชิ้นที่เตรียมไว้ให้ตัวแทนแห่งสายลม
     
    “ของแทนคำขอโทษของข้า...” อาร์เมลพูดขึ้นเมื่อเทมเพสเปิดมันออกดูแล้วมองอย่างงุนงง แล้วเขาก็ฉวยโอกาส ฉวยข้อมือข้างซ้ายคนตรงหน้าแล้วสวมกำไลวงนั้นให้เขาเอง ที่เขาเลือกข้างนั้นเป็นเพราะว่าเขารู้ดีว่าเทมเพสเป็นคนถนัดขวา เขาเขียนหนังสือ ทำเอกสารจับดาบอยู่ตลอดเวลา ถ้าใส่ไว้ข้างขวามันคงจะไม่ถนัดเอามากๆ และอีกอย่างคือข้อมือข้างซ้ายนั้นมันใกล้กับหัวใจ... ใกล้ยิ่งกว่าแหวนเสียอีก
     
    อาร์เมลยิ้มกริ่ม “เหมาะกับเจ้าอย่างที่คิด ข้ามองไม่ผิดจริงๆ”
     
    เทมเพสก้มลงมองข้อมือซ้ายของตนเองด้วยสีหน้าหนักใจ ใช่ว่าไม่พอใจแต่รู้สึกเกรงใจมากกว่า แค่ดูก็รู้แล้วว่าอาร์เมลผลาญเงินเก็บของตัวเองไปขนาดไหน... ครั้นจะส่งคืนก็คงจะเสียน้ำใจกันมาก
     
    “ทำไมเงียบล่ะ เจ้าไม่ชอบหรือ...”
     
    “เปล่า... ข้าแค่รู้สึกเกรงใจเจ้า อันที่จริงแค่เจ้าพูดคำว่าขอโทษข้าก็ยินดีจะให้อภัยเจ้าอยู่แล้ว ไม่น่าที่จะต้อง...”
     
    “ข้าเต็มใจ... อืม ดูๆไปแล้ว สีมันเข้าชุดกับจี้ห้อยคอที่ลูกศิษย์ของเจ้ามอบให้เลยทีเดียว”
     
    เทมเพสจับจี้หินสองสีขึ้นมาเทียบกับกำไลข้อมือก็เห็นจริงดังว่า ดูท่าอาร์เมลคงจะตั้งใจซื้อให้เข้าชุดกัน และเข้ากับสีผมและนัยน์ตาของเขาด้วย
     
    “เทมเพส... ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า” ตัวแทนแห่งสายลมมองหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วขึ้น มีความหมายว่า มีอะไรก็ว่ามา...
     
    “ตอนนั้น... ก่อนที่เจ้าจะไปเข้าเฝ้าองค์มหาเทพ เจ้าได้ยินสิ่งที่ข้าพูดกับเจ้าหรือเปล่า”
     
    “ได้ยินซิ...” เทมเพสตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว จนอาร์เมลตั้งตัวไม่ติด ในเมื่อเทมเพสได้ยินที่เขาพูด แล้วทำไมถึงได้มีท่าทางราวๆกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ?
     
    “ตอนนั้นเจ้ารับปากข้าว่า จะไม่พาข้ากลับมาที่ตำหนักนี่ยังไงกันล่ะ... ทำไมเจ้าต้องถามข้าด้วย”
     
    ... นี่เขา ไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายที่ข้าพูดออกไปจริงๆด้วย
     
    อาร์เมลเม้มริมฝีปากแน่นสะกดความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองเอาไว้ นี่เขาควรรู้สึกอย่างไรกันแน่ เขาควรที่จะดีใจที่มิตรภาพระหว่างเขาและเทมเพสจะไม่พังลงหากว่าเทมเพสยอมรับมันไม่ได้ หรือเขาควรที่จะเสียใจ ที่ในใจลึกๆแล้ว เขาหวังว่าเทมเพสจะได้ยินมัน และมีท่าทีไม่รังเกียจเขาเช่นในเวลานี้...
     
    “ไม่มีอะไรหรอกข้าแค่ อยากจะรู้เท่านั้น... เท่านั้นเอง”
     
    เสียงประตูถูกปิดลง ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินยกกำไลขึ้นมาดูอีกครั้งอย่างครุ่นคิดในท่าทางของอาร์เมลที่ดูแปลกไปและความหมายบางประการของดอกไม้ช่อนั้นที่อาร์เมลอาจไม่รู้... แต่เขารู้ดี
     
    รักแรกที่บริสุทธิ์และแอบซ่อน
     
    (ดอกไม้ที่อาร์เมลจัดลงช่อมาคือดอกกุหลาบ อคาเซีย คลาเมเลีย กุหลาบแดงสามดอกและลิลี่)
     
    +++++++++++
     
    อีกฝากของประตูที่ปิดลงสนิท อาร์เมลยังไม่ได้ก้าวเดินออกไปในทันที เขายืนอยู่ตรงหน้าห้องของตัวแทนแห่งสายลมนิ่งๆ มือหนาเอื้อมหยิบของบางสิ่งที่เก็บไว้อย่างดีคู่กับกำไลวงเมื่อครู่ มันคือกำไลแบบเดียวกันนั้นแต่เป็นแบบของผู้หญิงที่เขาเอามาก็สวมใส่มันไม่ได้เพราะเล็กเกิน แต่เขาก็เลือกที่จะควักเงินอีกสิบห้าเหรียญทองเพื่อที่จะซื้อมันมาเก็บไว้กับตนเอง เพียงเพราะเขาไม่อยากที่จะให้วันนึงคนที่เขามอบกำไลวงนั้นให้จะไปมีพรมหลิขิตกับใครเข้า เขาทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ
     
    เฮ้อ...งานนี้เขาคงได้ครองตำแหน่งเทพอัศวินที่จนที่สุดแทนเคเรสแล้วล่ะ
     
    +++++++++++
     
    ครู่ใหญ่...เสียงประตูที่เมื่อครู่อาร์เมลไปได้ล็อคเปิดเข้ามาดังผลัวะ ร่างสีขาวทั้งร่างวิ่งพลางหอบพลางกระโจนเข้ามาหาข้า
     
    ครีอุส...?   ข้ารับเขาเอาไว้...
     
    “เทมเพส เจ้าไม่ได้เป็นอมนุษย์จริงๆใช่ไหม ปกติดีทุกอย่างใช่ไหม องค์มหาเทพไม่ได้เอาสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยนใช่หรือเปล่า” ข้าพยายามไล่จับตระคลุบมือของเจ้าของร่างที่ขาวที่ป่ายปะไปทั้งตัวข้าอย่างสำรวจ
     
    สภาพของครีอุสในตอนนี้ไม่ว่าใครก็คงดูออกว่าเขาอ่อนแรงอยู่มากพลังสว่างยังไม่กลับคืน แต่เขากลับพยายามฝืนวิ่งมาหาข้า ทั้งที่ข้าอยู่ในสภาพที่ดูเป็นผู้เป็นคนกว่าเขาแท้ๆ โดยเฉพาะยิ่งตอนนี้ครีอุสอยู่ในชุดสีขาว เส้นผมของเขาก็เป็นสีขาว อะไรๆก็ดูขาวไปหมดอย่างกับวิญญาณ
     
    “ข้าสบายดีทุกอย่างเจ้าวางใจเถอะ...” เมื่อสำรวจข้าจนพอใจและเห็นว่าข้าพูดจริงเขาก็วางมือลง แล้วนั่งตรงขอบเตียง ข้ามองไปยังคนอื่นๆที่ยืนออกันอยู่หน้าห้อง ดูท่าว่าจะห้ามครีอุสไม่ให้มาที่นี่ไม่อยู่เลยตามมาด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว เทอร์มิสจึงสั่งให้แยกย้ายกันไป ปล่อยให้ครีอุสอยู่กับข้าตามใจเขา
     
    “เจ้าทำข้าตกใจแทบแย่ คิดว่าจะเสียเจ้าไปแล้วจริงๆ... เจ้ารู้ไหมว่าวินาทีที่รู้ว่าเจ้าตายไปนานเกินกว่าที่ข้าจะทำอะไรได้ ข้านั้นรู้สึกสิ้นหวังขนาดไหน ข้ากลัวจนแทบจะเป็นบ้า! มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆที่ข้ายังพอรู้สึกว่าข้ามีความหวัง... ยังหวังที่จะยื้อพวกเจ้ามาจากอ้อมกอดขององค์มหาเทพได้แต่กับเจ้าข้าไม่มีแม้ได้โอกาสนั้น...
     
    ดูเหมือนกับว่าครีอุสจะมีเรื่องที่อยากจะพูดมากมายไม่จบไม่สิ้น ข้าแอบคิดว่าเขาหายใจตอนไหน
     
    ...ข้าขอโทษเจ้าจริงๆที่ตอนนั้นข้าเหมือนกับคนเสียสติ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอาร์เมลโกหกข้า ถ้าสิ่งที่อาร์เมลพูดความจริง ตอนนี้เจ้าคงจะกลายเป็นอมนุษย์ และทำให้เจ้ามีชีวิตที่ขมขื่นไม่ต่างจากลอเรน... ถ้าเจ้าจะโกรธข้าก็ว่ามาเถอะเทมเพสข้ายินดีจะให้เจ้าซ้อมโทษฐานที่เกือบจะทำให้เจ้ากลายเป็นฝีดิบบ้างาน”
     
    ข้ากำลังจะซึ้งอยู่แล้วแท้ๆ นะครีอุส เจ้าจะพูดประโยคสุดท้ายนั่นทำไม นี่เจ้าตั้งใจจะทำให้ข้าเป็นผีดิบที่ตายตาไม่หลับจนต้องลุกขึ้นมาในทำงานเอกสารให้เจ้าจนกว่าข้าจะเหี่ยวแห้งตายไปอีกรอบใช่ไหม?
     
    ข้าถอนใจ “หน้าเจ้าที่เทอร์มิสตบหายดีหรือยัง...” ท่ามกลางความสับสนในเลือนรางนั่น ข้าเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ตอนแรกข้าคิดว่าข้าเพิ่งฟื้นขึ้นมาประสาทกลับ ถึงกับเห็นว่าเทอร์มิสที่เคยตามใจครีอุสขนาดไหนตบหน้าเขาอย่างแรง
     
    “ฟื้นขึ้นมาข้าก็ไม่รู้สึกเจ็บแล้วล่ะ เขาคงรักษาให้ข้าไปแล้ว” ครีอุสเอามือคลำหน้าตัวเอง แล้วนอนเหยียดตัวลงตรงปลายเตียงส่วนที่ข้าไม่ได้ใช้แล้วปรือตาลง
     
    “เจ้าจะนอนก็กลับห้องของเจ้าไปซิครีอุส...”
     
    “ไม่ไหว...ข้าใช้พลังงานไปหมดเกลี้ยงไม่เหลือเหลอ” ดูท่าว่าเขาจะอ่อนแรงมากจริงๆ ฝืนทำเรื่องไม่เข้าท่า “เจ้านี่ก็เป็นอย่างนี้มาตลอดเป็นแค่นักบวชอ่อนแอแท้ๆ” ข้าว่าพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ ครีอุสเปิดตาขึ้นข้างหนึ่งทำเป็นมองข้าอย่างคาดโทษ ริมฝีปากพะงาบๆ คล้ายสรรเสริญข้า หึ เจ้าบ้า
     
    และสุดท้ายข้าก็ถูกแย่งเตียง เลยลุกขึ้นสละที่นอนให้เขาแล้วเดินออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอก แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเตร่ไปดูกองเอกสารบนโต๊ะของครีอุส... ไม่รู้ว่าระหว่างที่ข้าไม่อยู่ เขาจะมักจะดอง ซุกเอกสารสำคัญเอาไว้เท่าไหร่ แต่ปรากฏว่ามันกลับว่างเปล่า...
     
    เอ่อ ข้าหมายถึง มันว่างเปล่าสำหรับข้า บนโต๊ะมีแค่งานเอกสารกองเล็กๆที่คาดว่าจะเป็นของใหม่ในระหว่างที่ครีอุสเพิ่งจะล้มลงไป... นี่แปลว่าระหว่างที่ข้าไม่อยู่ครีอุสรู้จักทำงานด้วยตัวเอง สวรรค์! คราวหน้าถ้าข้าตายข้าก็ตายตาหลับแล้ว... 
     
    ข้านั่งลงจัดการเอกสารกองเล็กนั่นอย่างเคยชิน ถึงข้าไม่ทำตอนนี้ก็แล้วยังไง สุดท้ายมันก็จะถูกยกไปวางไว้ในห้องของข้าในภายหลังอยู่ดี...
     
    “เจ้ามาอยู่ที่นี่ นี่เอง...” เป็นเคเรสที่เปิดประตูห้องเข้ามา ดูท่าว่าพอเขาได้ข่าวว่าข้าล้มเขาก็รีบตรงดิ่งกลับมาจากโยแลนด์ทันทีเลยซินะ ข่าวของข้าควรจะถึงมือเขาในตอนใกล้รุ่งที่ข้าฟื้นขึ้นมา พอตอนบ่ายเขาก็โผล่มาแล้ว มาได้ยังไงกันแค่ครึ่งวันเท่านั้น...
     
    “แอนน์ขอร้องให้นักเวทย์ที่นั่นให้เวทย์เคลื่อนย้ายส่งข้ากลับมาก่อนคนเดียว... แต่กว่าจะตามหาตัวเขาเจอก็เสียเวลาไปเกือบวันเต็มๆ”
     
    เคเรสอธิบายคงเพราะเห็นแววตาของข้าเป็นเครื่องหมายคำถาม และยิ้มอย่างยินดีที่เห็นข้าปลอดภัยดีทุกประการจนตาหยีอย่างน่ารัก ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบอย่างเป็นห่วงเป็นใยแล้วซักพักเขาก็ควักจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่งส่งให้ข้า ข้ารับมันพลิกดูอย่างสงสัยว่ามันเป็นจดหมายอะไรและจากใคร
     
    ลายมือชื่อที่กำกับจดหมายนั้นเป็นขององค์รัชทายาทคาเฟล... ช่างเป็นเรื่องที่ข้าคาดไม่ถึง
     
    “พอเขารู้ข่าวจากข้าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า... เขาก็อยากจะมาเยี่ยมเจ้าเองด้วยแต่ว่าไม่สะดวกเลยฝากจดหมายนี้มาให้เจ้า”
     
    “เอ่อ...ขอบใจเจ้ามาก เจ้าไปดูครีอุสที่เขาของข้ามาแล้วหรือยัง เขายังหลับอยู่หรือเปล่า”
     
    “ไปมาแล้ว... ข้าไปหาเจ้าที่นั่นก่อนถึงไปเจอเขาหลับเป็นตายยึดเตียงของเจ้าอยู่ เทอร์มิสก็พลอยยกเอาเอกสารของเขาไปนั่งทำที่ห้องของเจ้าไปด้วยอีกคน”
     
    เยี่ยม! ห้องของข้าถูกยึดโดยสมบูรณ์แบบ จะขำก็ขำไม่ออก แล้วคืนนี้ข้าจะไปซุกหัวนอนที่ไหนล่ะ ห้องของครีอุสนี่หรือ? เฮ้อ...
     
    +++++++++++
    อ่านคำถามท้ายเล่มแปดเกี่ยวกับลักษณะผู้หญิงที่ชอบของเทพอัศวินแต่ละคน
     
    เทมเพส ตอบว่า ชอบผู้หญิงที่เข้ามาจีบข้าก่อน รูปร่างไม่ต้องเซ็กซี่มากเพราะว่าข้าจะเขิน -///-
    (งั้นแอนส่งอาร์เมลไปจีบเจ้าแทนก่อนได้ไหม รับรองว่าเซ็กซี่ไม่มากหรอก... แค่ราชินีโยแลนด์น้ำลายหก)
     
    อาร์เมล ตอบว่า ผู้หญิงที่ชอบข้าก็พอแล้ว (นิ่งไปซักพัก) ต้องเป็นคนที่ชอบข้ามากๆ ด้วย!
    (อะไรจะไม่มั่นใจในตัวเองขนาดนั้นเล่าอาร์เมล... กล้าๆเข้าหาคนที่ถูกใจสักนิดเถอะ)
     
    เห็นแล้วแอบรู้สึกขำๆกับสองคนนี้ เป็นพวกเงียบๆไม่แสดงออกทั้งคู่เลย คนหนึ่งขี้อาย อีกคนไม่มั่นใจในตัวเอง ก็แล้วความรักของพวกเจ้ามันจะไปถึงไหนกันซักที เขียนถึงพวกเจ้าแล้วเหงื่อตก เข็นไม่ค่อยจะขึ้น ถ้าเป็นคู่อื่นเขาไปถึงไปกันแล้วววววววววววววว
     
    การจับคู่สองคนนี้มันช่างแสนเข็ญเสียนี่กระไร
     
    เอาล่ะว่าด้วยเรื่องสิ่งตอบแทนที่เทมเพสเสียไปนั้นเหมือนจะไม่มีใครรู้... องค์มหาเทพเองก็ไม่ได้ใจร้ายเท่าไหร่ จำตอนที่อาร์เมลอธิฐานขอให้เทมเพสกับคืนมาได้หรือเปล่าคะ? ตอนนั้นอาร์เมลบอกว่า
     
    “กลับมาเถอะนะเทมเพสไม่ว่าจะในฐานะอะไร ข้าก็ยอมรับได้ทั้งนั้น ต่อให้องค์มหาเทพจะนำความสุขทั้งชีวิตของข้าไปเพื่อแลกตัวเจ้าคืนมาข้าก็ยอมล่ะ ได้โปรดกลับมาเถอะนะเทมเพส...”
     
    องค์มหาเทพได้ยินค่ะ ดังนั้นเลยเลือกเอาความทรงจำส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะเป็นตัวแปรความสุขสมหวังของคนทั้งคู่ ความทรงจำที่อาร์เมลสารภาพในตอนสุดท้ายก่อนที่เทมเพสจะตาย ทำให้เมื่อเขากลับมาและลืมเรื่องราวทั้งหมด แต่ดูเหมือนว่าความรู้สึกลึกๆของเทมเพสที่มีต่ออาร์เมลจะไม่ได้เปลี่ยนไป จึงคล้ายๆกับว่าเขาหันมาใส่ใจที่จะมองอาร์เมลมากกว่าเดิม แต่ไม่แน่ใจในความรู้สึก และอาร์เมลในยามปกติไม่ยอมบอกรักออกไปอีกครั้งตรงๆหรอกค่ะ เรื่องราวเลยยังคลุมเครือกันต่อไป......
     
    ก็บอกแล้วว่าคู่นี้มันเข็ญยาก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×