คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : OVERLOAD || Episode 8 [100%]
Episode 8
“นี่ใช่ห้องคุณเจ้าขาไหมคะ? ”
“ใช่ค่ะ” ฉันขยับปากตอบออกไปเบาๆ ดูเธอจะมีสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นได้เห็นฉันเต็มตา คงจะเห็นรอยฟกช้ำทั่วตัวของฉันเลยแปลกใจว่าฉันไปโดนอะไรมา
“คือฉันเอาผ้ามาส่งน่ะค่ะ ส่วนเรื่องค่าซักรีดแฟนคุณจัดการเรียบร้อยแล้วนะคะ” เธอบอกด้วยรอยยิ้มสดใส ดูแล้วน่าจะเด็กกว่าฉันสักปีหรือสองปี
“ขอบคุณค่ะ” คำว่า ‘แฟน’ ทำให้ฉันแอบใจเต้นนิดหน่อย ฉันไม่ได้แก้ตัวแต่ก็ไม่ได้ยอมรับ ปล่อยให้คนตรงหน้าคิดเอาเองว่าตราบฟ้าเป็นแฟนฉัน เธอยิ้มให้ฉันอีกครั้งก่อนจะขอตัวกลับ ฉันหลุบตามองตะกร้าผ้าที่วางตรงหน้าก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวไปหยิบขึ้นมาแล้วกลับเข้าห้อง ความจริงแล้วในใจแอบหวังอยากให้คนที่เคาะประตูคือตราบฟ้า แต่ก็ลืมนึกไปว่าถ้าเป็นเขาก็คงจะเปิดประตูเข้ามาแล้วล่ะ
บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าที่ชอบฝันอะไรลมๆ แล้งๆ ฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้...
“เปิดประตูรอฉันสักแปบนี่จะตายหรือไง? ” เสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นทางด้านหลังทำให้ฉันหันขวับกลับไปมอง หลงลืมความบอบช้ำทางร่างกายไปชั่วขณะ ตราบฟ้ากำลังยืนหน้านิ่วคิ้วขมวด ในมือของเขามีถุงอาหารมากมาย
“ฉันไม่ทันเห็นน่ะ” ฉันตอบออกไป ฉันไม่เห็นจริงๆ นะว่าเขาเดินมา
“เหอะ จะบอกว่าฉันไม่อยู่ในสายตางั้นสิ สู้ไอ้ผู้ชายพวกนั้นไม่ได้? ” ตราบฟ้าหาเรื่องทะเลาะกับฉันอีกแล้ว...
“ใจคอจะไม่มองกันในแง่ดีบ้างเหรอ? ” ฉันถามขึ้นเบาๆ แต่สายตาไม่ได้โฟกัสใบหน้าของตราบฟ้า ตอนนี้ฉันกำลังสนใจถุงของกินในมือเขาซะมากกว่า คือกลิ่นมันหอมมากจนรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน
“เธอมีแง่ดีให้มองเหรอถึงกล้ามาถาม...” ตราบฟ้าพูดขึ้นมาแค่นั้น ก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงแค่นหัวเราะจากเขา ฉันไม่ได้ตอบโต้อะไรอีกและก็ไม่อยากเก็บคำพูดเหล่านั้นมาบั่นทอนจิตใจตัวเองด้วย ยังไงซะนับตั้งแต่เราได้กลับมาเจอกันเขาก็ไม่เคยพูดจาดีๆ หรือมองไปในทางที่ดีกับฉันอยู่แล้ว ซึ่งมันก็คงสมควรแล้วล่ะมั้ง
“แคบหมูกับน้ำพริกหนุ่มในตู้เย็นล่ะ” ฉันเลื่อนสายตาขึ้นไปมองใบหน้าของตราบฟ้า เขาขมวดคิ้วและแสดงความไม่พอใจออกมาทันที
“อยากกิน? ” เขาเลิกคิ้วถามด้วยใบหน้าที่ดูหล่อร้ายนั่น “ไปหาในถังขยะหน้าหอดูสิ”
เอ่ยจบร่างสูงก็เดินผ่านฉันไปและวางถุงของกินไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา ก่อนที่เขาจะเดินไปหยิบชามและช้อน
ฉันก็แค่เสียดายของฝาก พี่ชินอุตส่าห์หอบมาให้ ฉันยังไม่ได้กินสักคำแต่เขากลับเอามันไปทิ้ง ถ้าพี่ชินรู้คงจะเสียความรู้สึกมากแน่ ทำไมฉันจะต้องมารู้สึกผิดทั้งที่ตัวเองไม่ผิดด้วยนะ
ฉันถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนจะเดินไปคว้านมกล่องที่วางไว้บนโซฟามาอีกครั้ง แต่จู่ๆ ตราบฟ้าก็เดินเข้ามาแย่งนมไปจากมือ
“เธอต้องกินยา กินนมแค่นี้มันอยู่ท้องหรือไง” ตราบฟ้าแตะแขนฉันเบาๆ เป็นการบอกให้นั่งลง ส่วนเขาก็จัดการเทข้าวต้มในถุงใส่ชามแล้วเลื่อนมาไว้ตรงหน้าฉัน ฉันมองชามข้าวต้มสลับกับมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจในการกระทำนี้สักเท่าไหร่ ที่เขาทำให้แบบนี้มีแผนอะไรอยู่หรือเปล่า “ต้องป้อน? ”
น้ำเสียงดุๆ ดังขึ้นอีกครั้ง ฉันก็เลยรีบหยิบช้อนมาตักข้าวต้มอุ่นๆ เข้าปากท่ามกลางสายตาที่ดูพออกพอใจของตราบฟ้า บอกตามตรงนะว่าฉันรู้สึกรับมือกับอารมณ์ของตราบฟ้าไม่ทัน ฉันไม่รู้ว่าเขาหวังดีหรือยังไม่อยากปล่อยให้ฉันตายกันแน่ ไม่รู้ว่าในสายตาของเขาตอนนี้ฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง หรือผู้หญิงร้ายกาจที่เขาเกลียดชัง
ฉันนั่งกินข้าวพร้อมกับความคิดนับล้านในหัว และไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะเจริญอาหารโดยการกินข้าวต้มจนหมดชาม แม้ว่าตอนนี้เรียวปากยังคงระบมอยู่
ก็ดูตราบฟ้าสิ...เขาเล่นนั่งจ้องอย่างกับฉันเป็นนักโทษ ฉันว่าวันนี้เขาทำตัวแปลกๆ
“กินยาแล้วก็พักผ่อน งดติดต่อกับผู้ชายหน้าไหน” ตราบฟ้าบอกก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เขาหยิบผ้าเช็ดตัวออกมาผืนหนึ่งก่อนจะยืนถอดเสื้อผ้าแบบไม่แคร์สายตาของฉันที่ยังนั่งหายใจอยู่ในห้องด้วย ฉันเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างนึกอาย มัดกล้ามเนื้อของผู้ชายทำไมมันถึงดูสวยงามนักนะ แถมหัวใจก็เต้นในจังหวะแปลกๆ ด้วย ตราบฟ้าที่ฉันเคยเห็นเมื่อสี่ปีก่อนคือเด็กหนุ่มตัวผอมบาง ไม่ใช่ชายหนุ่มรูปร่างกำยำแบบทุกวันนี้
ตอนนี้ร่างสูงของตราบฟ้าเดินหายเข้าไปในห้องน้ำแล้ว ส่วนฉันก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา เม็ดยาสองสามเม็ดถูกจัดวางไว้ให้พร้อมแก้วน้ำเปล่า พอนึกย้อนดูแล้วตราบฟ้าไม่เคยใช้ห้องน้ำที่ห้องฉันเลย และฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาไปขนเสื้อผ้าของตัวเองมาตอนไหน มารู้อีกทีก็ตอนเขาหยิบผ้าเช็ดตัวออกมานั่นแหละ ผ้าเช็ดตัวผืนขาวสะอาดนั่นไม่ใช่ของฉัน
“เธอ ครีมอาบน้ำหมด” ตราบฟ้าโผล่ออกมาจากห้องน้ำทั้งตัวในสภาพชีเปลือย ทำเอาฉันเบนสายตาหนีแทบไม่ทัน ฉันรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองกำลังเห่อร้อน เขาไม่อายฉันบ้างเลยหรือไงนะ
“หยะ...อยู่ในตู้เสื้อผ้า ลองหาดู” ฉันชี้มือชี้ไม้ไปทางตู้เสื้อผ้า สายตาก็เบนหนีไปทางประตูห้อง แอบเหลือบมองนิดๆ ก็เห็นว่าเขากำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่ตู้เสื้อผ้า ตราบฟ้ากำลังทำให้ฉันรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องจนต้องผ่อนลมหายใจออกมาทางปาก
“แล้วนั่นเป็นอะไร ที่ประตูมีอะไร? ” ฉันได้ยินเหมือนเสียงฝีเท้าของเขากำลังเดินมาทางนี้
“ไม่มีอะไร รีบเข้าไปอาบน้ำได้แล้ว” ฉันบอกในขณะที่สายตาก็ยังโฟกัสไปที่ประตูห้องเหมือนเดิม นี่เขากำลังแกล้งฉันเล่นหรือไง
“เหอะ อย่ามาทำเหมือนไม่เคยเห็น น่ารำคาญ...” เสียงประตูห้องน้ำถูกปิดลง ฉันจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แอบคิดนะว่าจะมีวันที่เราสามารถกลับมาพูดคุยกันดีๆ ได้ไหม แต่มันก็เป็นเหมือนกับฝันของฆาตกรที่หวังจะให้เหยื่อฟื้นขึ้นมา หลังจากลงมือฆ่าไปแล้วเมื่อสี่ปีก่อน
พอคิดอะไรแบบนั้นขอบตาของฉันก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ฉันทำผิดต่อเขาและเขาก็เกลียดฉันถึงขนาดนี้ ฉันยังกล้าคิดให้ทุกอย่างกลับมาดีอีกงั้นเหรอ นี่ฉันกลายเป็นพวกชอบเพ้อฝันไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
‘โตขึ้นฟ้าอยากเป็นอะไรเหรอ เจ้าขาอยากเป็นครู’
‘อยากเป็นคนที่เจ้าขารักไง’
ฉันจำได้เป็นอย่างดีว่าในอดีตความสัมพันธ์ของเรามันช่างหอมหวาน มันคือความรักในวัยเรียนที่เราต่างใฝ่ฝันให้มันมั่นคง รักกันในแบบของเด็กๆ ไม่ได้คำนึงถึงอะไร ไม่เคยรู้เลยว่าแค่รักกันอย่างเดียวมันไม่พอ
แค่รักกันมันไม่พอจริงๆ
“ทำไมยังไม่กินยานอนอีก” ฉันหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดหลังจากที่ได้ยินเสียงของตราบฟ้าที่ไม่รู้ว่าอาบน้ำเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ เขากำลังยืนเท้าเอวอยู่ตรงหน้าฉันในสภาพเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างถูกพันไว้ด้วยผ้าเช็ดตัว กลิ่นครีมอาบน้ำที่ฉันใช้ประจำลอยมาจากร่างของเขา ฉันรู้สึกว่ามันมีกลิ่นหอมมากกว่าปกติเมื่อมาจากร่างของตราบฟ้า ทำไมฉันในตอนนี้ดูเหมือนผู้หญิงโรคจิตเข้าไปทุกทีนะ
“ยามันทำให้ง่วง ฉันยังไม่อยากหลับน่ะ” ฉันขยับปากตอบเบาๆ
“อาบน้ำไหวไหม” เขาถามขึ้นในขณะที่ยังไม่ขยับตัวไปไหน
“น่าจะไหว...” ฉันตอบไปแบบนั้น แม้จะขยับตัวได้ลำบากแต่ฉันคงนอนไม่หลับแน่เพราะรู้สึกเหนียวตัวไปหมด
“สารรูปไม่น่าไหว” ตราบฟ้าเดินกลับไปที่ตู้เสื้อผ้า ก่อนจะหยิบเสื้อกล้ามสีขาวกับบ๊อกเซอร์ออกมา นี่อย่าบอกนะว่าเขาจะค้าง?
“จะค้างเหรอ” ฉันถามพลางมองเขาที่กำลังใส่เสื้อผ้าไปด้วย ในเมื่อเขาไม่อายฉันก็ต้องทำตัวหน้าหนาให้ได้แบบเขาบ้าง
“ไม่ได้? ” ตราบฟ้าสวนขึ้นทันที ใบหน้าของเขาเริ่มบึ้งตึง
“เปล่า แต่ว่า...” ฉันกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่มีหรือที่คนชอบมองฉันในแง่ร้ายอย่างเขา จะปล่อยให้ฉันได้แก้ตัว
“หรือนัดใครมานอนด้วยล่ะ” สายตาและน้ำเสียงดูถูกของเขาถูกส่งมาให้ฉันทันที ทั้งที่ฉันยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไรสักคำ เขาคงจะไม่มีทางมองฉันในแง่ดีจริงๆ
“ฉันแค่เห็นว่านายไม่เคยค้าง และมันก็มีเตียงเดียว...” ถึงเตียงนี้จะกว้างแบบนอนได้สองคนสบายๆ ก็เถอะ
“ฉันไม่นอนโซฟาแน่นอน” ถ้าเขาไม่ งั้นฉันเอง
“เดี๋ยวฉันนอนที่โซฟาเอง”
“ฉันไม่อยากได้การเสียสละแบบโง่ๆ จากคนเจ็บ...” ตราบฟ้าปรายตามามองฉันและมีคำว่าโง่ฉายอยู่ในแววตาด้วย ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าฉันจะทำหรือพูดอะไรก็ดูจะผิดในสายตาของเขาไปซะหมด
“แต่นายก็คงไม่อยากนอนร่วมเตียงกับคนที่ตัวเองเกลียดหรอกใช่ไหม? ” ตราบฟ้าเงียบลง เงียบไปนานมากและเขาก็ยังยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าแบบไม่คิดจะขยับตัว กลายเป็นฉันที่ขยับตัวอย่างอึดอัดแทน
“...” ฉันควรจะพูดอะไรสักอย่างให้สถานการณ์มันดีกว่านี้ เวลาเขาเงียบแบบนี้ทีไรฉันต้องเจ็บตัวทุกที สภาพฉันในตอนนี้รับแรงอารมณ์ของเขาไม่ไหวหรอก
“คือว่า...”
“พูดมากปากไม่เจ็บ? ” ตราบฟ้าพูดแทรกขึ้น ก่อนที่เขาจะเดินมาหยิบผ้าปูที่นอนออกไปจากตะกร้าแล้วก็ไปยืนทำท่าเก้กังอยู่ปลายเตียง นั่นเขากำลังคิดจะทำอะไร?
“...”
“เธอ”
“...”
“มันต้องทำไง” ฉันที่นั่งกลั้นขำมองคนที่ถือผ้าปูที่นอนอยู่ในมือ อยากจะขำออกมาดังๆ แต่ก็รู้สึกเกรงใจรอยฟกช้ำบนใบหน้าตัวเอง “ขำอะไร”
“เปล่านะ” ฉันรีบปฏิเสธเมื่อตราบฟ้าถามเสียงขุ่น
“เธอขำ...”
“ฉันเปล่า” เป็นใครก็คงอดขำไม่ได้ ถ้าได้เห็นใบหน้ายุ่งเหยิงของเขากับผ้าปูเตียงลายหมีคุมะในมือ “เดี๋ยวฉันทำเอง”
“อย่าอวดเก่งได้ไหม? ” ตราบฟ้าสวนกลับมาแทบจะทันที แล้วเขาที่ยืนถือผ้าปูที่นอนทั้งที่ปูไม่เป็นนั่นไม่ได้เรียกอวดเก่งใช่ไหม...
“ฉันไม่ได้เป็นง่อย” ฉันบอกก่อนจะค่อยๆ ลุกเดินไปที่เตียง ฉันควรจะรู้จักอดทนและพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด ขืนปล่อยให้ตราบฟ้าเป็นคนปูเตียงคงได้นอนฟูกเปล่าๆ ในคืนนี้แน่ เขาเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย แทบจะไม่เคยทำอะไรเองเลยด้วยซ้ำ ต่างจากฉันที่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก พอคิดถึงจุดนี้ก็ทำให้เห็นได้ชัดว่าเรามันต่างกันจริงๆ
“อย่ามาร้องโอดครวญให้รำคาญก็แล้วกัน”
“งั้นก็ช่วยกัน” ฉันยื่นข้อเสนอ อย่างน้อยสองคนช่วยกันก็จะทำให้เสร็จไวขึ้น ในสภาพแบบนี้ฉันก็ไม่มั่นใจหรอกว่าตัวเองต้องใช้เวลาปูเตียงกี่นาทีหรืออาจเป็นชั่วโมง
ตราบฟ้าไม่ได้เอ่ยอะไร แต่เขาเลือกจะตอบรับข้อเสนอของฉันโดยการเดินอ้อมไปที่อีกฝั่งเตียงก่อนที่เราจะช่วยกันปูเตียงจนเสร็จสิ้นในเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ตราบฟ้ายืนกอดอกมองผ้าปูที่นอนสีเหลืองลายหมีคุมะบนเตียงด้วยสีหน้าและแววตาที่ดูภูมิอกภูมิใจ นี่อาจนับเป็นอะไรดีๆ ครั้งแรกตั้งแต่ที่เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
“เธอมานี่” เขาหันมามองก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกฉันที่หลบมานั่งพักที่โซฟา
“...” ฉันไม่ได้เอ่ยรับ แต่ก็เลือกที่จะพาร่างของตัวเองไปหาเขาอย่างว่าง่าย
“ขึ้นไปนอน...” ตราบฟ้าบอกพร้อมกับเอื้อมมือไปตบที่หมอน ฉันกำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง ก็ถูกเขาดักเอาไว้หมด “ไม่ต้องตั้งคำถาม บอกให้นอนก็นอน”
“...” พอเขาพูดแบบนั้นฉันก็เลยเลือกจะขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบเชียบ ตราบฟ้าผละห่างไป เขาเดินไปหยิบกะละมังใบเล็กที่ฉันไม่รู้ว่ามีอยู่ในห้องมาถือก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ฉันได้ยินเสียงเขาเปิดน้ำใส่กะละมัง ไม่ถึงห้านาทีเขาก็เดินถือกะละมังออกมาจากห้องน้ำ
คงไม่ได้คิดจะเช็ดตัวให้ฉันหรอกใช่ไหม?
“จะทำอะไร” ฉันคิดว่านี่เป็นคำถามที่ดูโง่ที่สุดในเวลานี้ ตราบฟ้าวางกะละมังลงที่พื้นข้างเตียง เขาเหลือบตามามองฉันแวบนึงโดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วกลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็ก
“เห็นขนาดนี้แล้วคงไม่คิดว่าฉันเอาผ้ามาซักหรอกนะ” ตราบฟ้าหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงข้างๆ ฉัน พร้อมกับเอ่ยอย่างประชดประชัน ส่วนฉันเองก็ยังคงมองการกระทำของเขาอย่างไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ ทำไมรู้สึกว่าวันนี้เขาดีกับฉันแปลกๆ คือปกติเขาแทบจะไม่แยแสฉันเลยด้วยซ้ำ แต่มาวันนี้ตั้งแต่ที่เรา...จูบกัน เขาก็ดูจะแปลกๆ ไปนิดหน่อย แค่นิดหน่อยเท่านั้น
“...” ตราบฟ้าเอื้อมมือมาจับแขนฉันไปวางไว้บนตักของตัวเอง แล้วเริ่มใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้อย่างเบามือ ฉันมองการกระทำนั้นเงียบๆ แม้จะแอบเกร็งแต่ก็ไม่ได้คิดขัดขืนอะไร
“ถอดเสื้อออก” ฉันเงยหน้าขึ้นมองตราบฟ้าทันทีและก็เห็นว่าเขามองฉันอยู่ก่อนแล้ว สายตาเขาดูจริงจังมากและทำท่าเหมือนจะเอื้อมมือมาปลดกระดุมเสื้อให้เสียเอง คือตอนนี้ฉันยังอยู่ในชุดนักศึกษาที่ค่อนข้างจะมอมแมม “เธออย่าเรื่องมาก มากกว่านี้ก็เคยเห็นแล้ว”
“เดี๋ยวเราเช็ดต่อเอง” ฉันบอกก่อนจะยื่นมือขอผ้าขนหนูจากเขา ไม่ว่าเขาจะเคยเห็นอะไรมามากแค่ไหน แต่มันก็กระอักกระอ่วนเกินไปหรือเปล่าที่จะให้ฉันมานั่งถอดเสื้อต่อหน้าเขาในตอนที่มีสติดีครบทุกประการแบบนี้
“จะดื้อทำไมถามจริง” น้ำเสียงของตราบฟ้าเริ่มแสดงออกถึงความหงุดหงิด
“ฉันแค่ไม่ชินที่ต้องมานั่งถอดเสื้อผ้าต่อหน้าใคร”
“ไม่ชิน? แล้วทำงานยังไง ปิดไฟเอา? ” เป็นอีกครั้งที่ฉันเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหน้าตราบฟ้าแบบชัดๆ นี่เขากำลังหาว่าฉันเป็นผู้หญิงอย่างว่าอีกแล้วใช่ไหม
“ฉันไม่เคยทำงานในแบบที่นายกล่าวหาหรอก” ฉันเริ่มจะรู้สึกมีอารมณ์ฉุนขึ้นมาบ้างแล้ว ฉันอยากจะคุยกับเขาดีๆ บ้าง แต่ดูเขาสิ หาเรื่องมาว่าได้ตลอด ทั้งประชดทั้งจิกกัด
“เธอคิดว่าจะมีใครเขาเชื่อคำพูดของเธอ...” ตราบฟ้าพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่เหมือนกับเยาะเย้ย
“ฉันไม่แคร์หรอกว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แค่ตัวฉันรู้ว่าตัวเองทำหรือไม่ทำก็พอแล้ว” ฉันบอกก่อนจะแย่งผ้าขนหนูในมือของตราบฟ้ามาได้สำเร็จ
“ถ้าวันนั้นเธอไม่หันหลังให้ฉัน...” ฉันรู้สึกราวกับถูกค้อนปอนด์ทุบลงกลางศีรษะตอนที่ได้ยินสิ่งที่ตราบฟ้าพูด แม้น้ำเสียงของเขามันจะฟังดูเรียบเฉย แต่ฉันกลับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่มันเจือจางอยู่ “ฉันคงทำใจเชื่อได้ง่ายกว่านี้”
“...” ฉันรู้สึกว่าพูดอะไรไม่ออก มันจุกแน่นไปหมดจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ ตราบฟ้าลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินออกไปที่ระเบียงอย่างเงียบเชียบ ส่วนฉันเองก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองกำผ้าขนหนูผืนเล็กในมือไว้แน่นมาก ขอบตาของฉันมีน้ำใสๆ เอ่อคลอ แต่ฉันก็ยกหลังมือขึ้นมาปาดพวกมันทิ้งไปก่อนจะตัดสินใจลุกไปเข้าห้องน้ำ
ภาพในกระจกสะท้อนให้เห็นสารรูปที่ดูไม่ได้ของฉัน ใบหน้าบวมเป่ง รอยฟกช้ำดำเขียวแผ่กระจายไปทั่วตัวโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า นี่สภาพของฉันมันแย่ขนาดนี้เลยเหรอ...
คงจะฟกช้ำพอๆ กับสภาพจิตใจนั่นแหละมั้ง
ฉันแค่นยิ้มให้ตัวเองผ่านกระจก มันเป็นยิ้มที่ดูไม่ได้เลย ฉันเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ หลายสิบรอบว่าทำไมตัวฉันถึงต้องเป็นแบบนี้ ทำไมชีวิตของฉันถึงมีแต่เรื่องแย่ๆ ทำไมฉันจึงไม่สามารถที่จะมีความสุขเหมือนกับคนอื่นเขาได้ ทำไมฉันถึงไม่สามารถอยู่กับคนที่ฉันรักได้ และทำไมฉันถึงยังคงเฝ้าทนทั้งๆ ที่ชีวิตมันบัดซบขนาดนี้
ฉันเหลือบมองมีดโกนหนวดที่วางอยู่ตรงขอบอ่างล้างหน้า ตราบฟ้าน่าจะเป็นคนวางทิ้งไว้หลังจากที่เขาเข้ามาอาบน้ำ ความคิดมากมายแล่นพล่านในหัวของฉัน พร้อมกับมือที่เอื้อมไปหามีดโกนด้ามนั้นช้าๆ
Talk
ขอย้ำอีกทีว่านิยายเรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติกดราม่านะคะ พระเอกนางเอกรักเดียวใจเดียวค่ะ
จบแบบสุขนิยมหวานฉ่ำไม่ตับพังแน่นอน แต่ระหว่างทางตับอาจจะช้ำเล็กน้อย ขอบคุณค่ะ 5555555555
ความคิดเห็น