คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : OVERLOAD || Episode 7 [100%]
Episode 7
เมื่อมาถึงห้องพัก ซันก็เอาฉันมาปล่อยทิ้งไว้บนเตียงโดยที่เขากำลังนั่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ที่โซฟากำมะหยี่สีครีมกลางห้อง เขากำลังก้มดูอะไรบางอย่างในโทรศัพท์ของตัวเอง ฉันได้ยินเสียงดังมาแว่วๆ เท่านั้น
“ดูอะไรเหรอซัน ทำไมทำหน้าแบบนั้น” ฉันขยับปากถามเบาๆ เป็นการชวนคุย มันค่อนข้างมีบรรยากาศที่อึดอัดนิดหน่อยเมื่อฉันต้องมาอยู่กับเขาในห้องสองต่อสองแบบนี้ ถึงแม้เขาจะเปิดประตูห้องไว้ก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดน้อยลง
ถึงเราจะสนิทกันพอสมควรแต่ก็ไม่เคยต้องมาอยู่กันตามลำพังแบบนี้มาก่อน ฉันรู้ว่าเขาต้องการจะช่วยฉันด้วยเจตนาบริสุทธิ์ แต่ฉันก็รู้สึกวางตัวไม่ถูกจริงๆ ถ้าหากบอกให้เขากลับไปเขาจะคิดว่าฉันไล่หรือเปล่านะ?
“ไม่มีอะไรหรอก...ว่าแต่เจ้าขาหิวหรือยัง กินอะไรสักหน่อยจะได้กินยา” ซันหย่อนโทรศัพท์ของตัวเองลงในกระเป๋ากางเกง เขาลุกจากโซฟาแล้วเดินมาหาฉันที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่
“นิดหน่อยน่ะ” ฉันตอบออกไป ความจริงตั้งแต่เมื่อเช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
“งั้นเดี๋ยวเราลงไปซื้อข้าวมาให้นะ” ซันเอ่ยอาสา
“ไม่เป็นไรซัน นี่ก็เที่ยงกว่าแล้ว รีบกลับไปเข้ามอเถอะ เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทันนะ” ฉันบอกเขาด้วยความรู้สึกเกรงใจ
“แล้วเธอไหว? ”
“...” คราวนี้ฉันเงียบไปอย่างคนหาคำตอบไม่ได้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองไหวหรือเปล่า แต่อย่างน้อยร่างกายก็ระบมน้อยกว่าเหตุการณ์เมื่อตอนกระโดดลงจากรถล่ะนะ
“เราจะกลับมอก็ต่อเมื่อเธอกินข้าวกินยาแล้ว” ซันตอบพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ มาให้ ฉันทำได้แค่มองตามแผ่นหลังกว้างนั่นที่เดินออกไปก่อนจะปิดประตูลงอย่างเบามือ ในเมื่อซันยืนยันแบบนั้นแล้วก็คงต้องยอม ตอนนี้ฉันพึ่งพาตัวเองไม่ไหวจริงๆ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะระบมกว่านี้อีกหรือเปล่า
พออยู่คนเดียวฉันก็รู้สึกว่าตัวเองผ่อนคลายมากขึ้น ซันดีกับฉันมาก แต่ถ้ามุกดารู้ว่าเขามาดูแลฉันแบบนี้ก็คงจะยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซันไปเจอฉันได้ยังไง ฉันหมดสติไปตอนไหนก็จำไม่ได้อีกเหมือนกัน มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเห็นหน้าซันและฉันก็นอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
แอ๊ด
เสียงเปิดประตูทำให้ฉันเลื่อนสายตาไปมอง ซันเพิ่งจะลงไปได้ประมาณสิบนาทีทำไมถึงกลับมาเร็วนักล่ะ?
“...” แต่คนที่ก้าวเข้ามากลับเป็นคนที่ฉันไม่คิดว่าจะโผล่มาตอนนี้
“...” ร่างสูงที่ก้าวเข้ามาภายในห้องทำให้ฉันรู้สึกหัวใจกระตุกนิดหน่อย ตราบฟ้าเองก็มองมาพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยใบหน้าเครียดขึงเช่นกัน
“ทำไมเป็นแบบนี้” เขาเดินตรงเข้ามาหาฉันทันทีหลังจากทำท่าเหมือนตั้งสติได้
“...” ฉันรู้สึกตั้งตัวไม่ทันเมื่อโดนจู่โจมด้วยคำถาม สายตาคู่คมกวาดมองไปทั่วตัวฉัน แววตาของเขามีความสับสนมากมายปนเปกัน
“ฝีมือใคร...”
“เรื่องเข้าใจผิดกันน่ะ” ฉันขยับปากตอบเขาช้าๆ พร้อมกับหลบสายตาคู่นั้นไปด้วย ฉันไม่ได้โกหกเขานะ แต่ว่าแววตาดุๆ ของเขาในตอนนี้ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กดื้อที่วิ่งซนจนหกล้ม
“ความจริงจากปากเธอมันมีกี่เปอร์เซ็นต์? ” ถึงแม้ถ้อยคำจะฟังดูถากถาง แต่ตราบฟ้ากลับนั่งลงบนเตียงข้างๆ ฉัน สายตาของเขาจับจ้องอยู่บนใบหน้าบวมเป่งของฉัน ก่อนที่ฝ่ามือหนาของเขาจะถูกยกขึ้นมาแตะบริเวณข้างแก้มของฉันอย่างแผ่วเบา ฉันสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ผลักไสเขาออกไป สายตาของเขายามนี้ช่างดูอ่อนโยนและแฝงไว้ด้วยความปวดร้าวยามที่ไล่สายตาไปตามรอยฟกช้ำบนร่างกายฉัน สุดท้ายสายตาคู่นั้นก็หยุดลงที่ริมฝีปากที่มีรอยช้ำ
“...”
“...”
ไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมาจากริมฝีปากของเราสองคน มีเพียงแค่สายตาที่ตอนนี้ต่างจับจ้องกันและกัน ฉันมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา เช่นเดียวกับตราบฟ้าที่จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของฉัน ราวกับว่าเรากำลังค้นหาความจริงที่อยู่ในใจของอีกฝ่าย
ฉันไม่รู้ว่าเราใช้เวลาสำรวจกันนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ริมฝีปากอุ่นร้อนนั่นประทับลงตรงมุมปากอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบา ก่อนที่เขาจะค่อยๆ พรมจูบลงบนกลีบปากของฉันซ้ำๆ อย่างเชื่องช้าและอ้อยอิ่ง ฉันหลับตาลงอย่างยอมจำนนให้กับสัมผัสนั้น ราวกับว่าเขาต้องการขับไล่ความเจ็บปวดและบอบช้ำออกไป
ตุ้บ!
เสียงราวกับของบางอย่างตกลงสู่พื้นทำให้เราทั้งคู่ชะงักและผละห่างออกจากกัน ก่อนจะหันไปทางต้นตอของเสียงแล้วพบกับกล่องข้าวที่หล่นอยู่บนพื้น ตรงหน้าประตูนั้นมีร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนมองอย่างเงียบงัน
“ซัน...” ฉันครางชื่อของร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงนั้นออกมาเบาๆ
“โทษที แต่ถ้าเจ้าขามีคนดูแลแล้ว งั้นเราไปเรียนก่อนนะ” ซันก้มลงเก็บกล่องข้าวที่เขาทำหล่นเอาไว้ ก่อนจะนำมันมาวางไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟาพร้อมกับหันหลังเดินออกไปอย่างเงียบงัน
“เหอะๆ ” ฉันเลื่อนสายตากลับมามองตราบฟ้าที่ตอนนี้พาตัวเองไปยืนอยู่ตรงปลายเตียง “เนื้อหอมดีจริงๆ นะ มีหนุ่มมาตามเฝ้าถึงห้อง”
“...” ฉันเหลือบตาขึ้นสบตากับตราบฟ้า เมื่อกี้นี้ฉันแค่ฝันไปเองงั้นเหรอ ตราบฟ้าที่มีสายตาอ่อนโยนคนนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงแค่ผู้ชายที่มีสายตารังเกียจอย่างไม่ปิดบัง
“ผู้ชายซื้อข้าวมาให้แล้วก็กินซะ จะได้เจริญอาหาร” ตราบฟ้าบอกก่อนจะเดินไปหยิบกล่องข้าวมาแล้วโยนใส่ฉันโดยไม่ได้สนใจว่าข้าวข้างในจะหกออกมาหรือเปล่า เม็ดข้าวและกับข้าวหกเลอะเทอะอยู่บนตัวฉันและเตียงนอน ฉันกัดฟันพร้อมกับมองภาพนั้นอย่างขุ่นเคือง ทำไมเขาจะต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย “โทษที ใช้มือเก็บกินเอาละกันนะ”
“...” ตราบฟ้าบอกก่อนจะส่งยิ้มมาให้ มันคือรอยยิ้มที่ดูสะใจจนฉันเผลอกำผ้าห่มแน่น นี่คือสิ่งที่ฉันสมควรได้รับใช่ไหม มันคือเวรกรรมที่ฉันต้องชดใช้ใช่หรือเปล่า?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผ่าวร้อนที่ขอบตา ทำไมฉันถึงได้เป็นคนที่อ่อนแอแบบนี้
ตราบฟ้าล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงและผิวปากอย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่ฉันกำลังพยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมาอยู่รอมร่อ ไม่นานนักตราบฟ้าก็เดินหายออกจากห้องไปพร้อมๆ กับที่หยาดน้ำตาของฉันไหลรินออกมา
ฉันกวาดตามองเศษอาหารที่หกเลอะอยู่บนเตียงพลางเอื้อมมือออกไปหยิบเม็ดข้าว หมูและผักมาใส่กล่องไว้ดังเดิม ยังไงฉันก็คงต้องกินมันเพื่อที่จะได้กินยา แต่การขยับร่างกายแต่ละครั้งช่างยากลำบากเพราะมันเจ็บระบมไปเสียทั้งตัว แต่ยังไงซะฉันจะต้องอดทน ฉันต้องอดทนมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ ฉันเชื่อว่าสักวันฉันต้องพบเจอกับความสุขเหมือนคนอื่นเขาบ้าง
ฉันฝืนตักข้าวใส่ปากทั้งน้ำตา พยายามฝืนกินให้หมดก่อนจะเอี้ยวตัวไปที่ชั้นวางข้างหัวเตียง ซึ่งมีถุงยาจากโรงพยาบาลวางอยู่ ฉันค่อยๆ พยุงร่างตัวเองเดินไปยังตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่ม เมื่อกินยาเรียบร้อยแล้วก็ควานหาโทรศัพท์ ฉันว่าจะโทรไปลางานกับพี่ไม้ ขอหยุดพักฟื้นร่างกายสักสองสามวัน ไม่รู้เขาจะยอมหรือเปล่าเพราะครั้งที่แล้วฉันก็หายไปเกือบสองอาทิตย์
[ ว่าไงเจ้าขา ] ถือสายรอไม่นานปลายสายก็กดรับ
“พี่ไม้ เจ้าขาไม่สบายน่ะค่ะ อยากขอลาป่วยสักวันสองวันได้ไหมคะ? ” ฉันนิ่วหน้าเมื่อต้องขยับปากพูด อยากจะร้องออกมาแต่ก็ทำได้แค่อดทน
[ อีกแล้วเหรอเจ้าขา...แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า ] คำว่า ‘อีกแล้วเหรอ’ ของพี่ไม้ทำให้ฉันหน้าเสีย ต่อให้พี่ไม้จะใจดีขนาดไหน แต่ถ้าเสียงานบ่อยๆ เขาก็คงไม่อยากให้โอกาสซ้ำสองหรอก
“หนักพอสมควรค่ะ...” ฉันตอบออกไป
[ อืม งั้นพี่ว่าเจ้าขาพักงานไปก่อนก็ได้ ไว้พี่จะโทรหาอีกทีนะ ]
“เจ้าขาเข้าใจค่ะ เจ้าขาทำให้เสียงาน” คำว่าพักงานก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการไล่ออกทางอ้อม พักงานไปแบบไม่มีกำหนด
[ เจ้าขาไม่โกรธพี่นะ พี่เองก็ถูกพวกผู้ใหญ่เขาเพ่งเล็งแล้วจากเรื่องครั้งก่อน ] พี่ไม้ตอบด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
“ไม่เลยค่ะ เจ้าขาเข้าใจแล้วก็ดีใจที่ครั้งหนึ่งได้เจ้านายดีๆ แบบพี่นะคะ” ฉันตอบออกไปอย่างจริงใจ ถ้าไม่นับรวมรองผู้จัดการที่ดูมีอคติกับฉัน เพื่อนร่วมงานทุกคนทำให้ฉันมีความสุขเวลาได้ทำงานกับพวกเขา
[ ยังไงเราก็ยังเป็นพี่น้องกัน มีเรื่องอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะ ]
“ขอบคุณมากนะคะ” ฉันยิ้มให้กับคำพูดของพี่ไม้
[ พี่ต้องเข้าร้านละ ไว้คุยกันนะ ]
ติ๊ด
สายถูกตัดไปแล้วแต่ฉันก็ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม ตอนนี้ฉันมีปัญหาใหม่มาให้เครียดเพิ่มแล้ว นอกจากจะกังวลกับเวลาเรียน ฉันก็ยังต้องหางานใหม่ทำ งานพาร์ตไทม์ดีๆ ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ
เฮ้อ ช่วงนี้ฉันคงจะดวงตกละมั้ง
ฉันคิดอย่างขำๆ และยิ้มปลอบใจตัวเอง เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง ร่างสูงของตราบฟ้าเดินเข้ามาพร้อมกับหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง เขาเลื่อนสายตามามองฉัน ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังกล่องข้าวที่ว่างเปล่าบนชั้นวางข้างหัวเตียง ถุงที่เขาหิ้วมาถูกวางลงบนโต๊ะหน้าโซฟา กลิ่นอาหารหอมฉุยลอยมาแตะจมูกของฉัน แต่โชคดีที่ฉันจัดการข้าวในกล่องนั่นจนอิ่มแล้ว และตอนนี้ก็มีความคิดจะเอาเครื่องนอนไปซัก ฉันคงทนนอนบนที่นอนที่เปื้อนเศษอาหารไม่ได้หรอก
“จะทำอะไร? ” ตราบฟ้าที่นั่งอยู่บนโซฟาหันมาถามฉันที่กำลังยืนเก้กังเก็บเครื่องนอนไปซัก
“ซักผ้า” ฉันตอบเขาแบบนั้น ความจริงเขาก็ไม่น่าจะถามอะไรแบบนี้ออกมาหรอก เพราะเขาเป็นคนทำให้พวกมันเปื้อน เขาคิดว่าฉันจะนอนหมักได้เหรอ?
“สภาพแบบนั้น ไหว? ” เขาถามออกมาอีก
“เกิดเป็นคนถ้ายังไม่ตายก็ต้องไหว...” ถึงฉันบอกว่าไม่ไหวแล้วเขาจะรีบเข้ามาช่วยหรือไง เรื่องแบบนั้นก็คงเป็นแค่ฝันกลางวัน...
พรึ่บ
จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าร่างกายลอยหวือขึ้นจากพื้นแล้วตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของคนบางคน เป็นตราบฟ้าที่เข้ามาอุ้มฉันแล้วก้าวฉับๆ มาที่โซฟาก่อนจะวางฉันลงอย่างแผ่วเบา
“อย่าทำตัวอวดดีให้มาก” เขาว่าใส่หน้าฉันก่อนจะเดินไปเก็บเครื่องนอนเหล่านั้นใส่ตะกร้าผ้า แล้วก็เดินออกไปจากห้องไปโดยไม่พูดไม่จาและไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้ถามว่าเขาจะเอาตะกร้าผ้าของฉันไปไหน ในห้องของฉันมีเครื่องซักผ้านะ หรือเขาเอาไปให้ร้านซักรีด? อืม ดูแล้วตราบฟ้าไม่น่าจะทำอะไรที่ดูเป็นพ่อบ้านอย่างเช่นการซักผ้าด้วยตัวเอง
“ช่วงเย็นคนที่ร้านซักรีดจะเอาผ้าพวกนั้นมาส่ง” ตราบฟ้าเอ่ยบอกหลังจากที่เขาหายออกไปจากห้องเกือบครึ่งชั่วโมง ส่วนตัวฉันในตอนนี้รู้สึกสะลึมสะลือ คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่กินเข้าไป ฉันทำเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ เป็นการรับรู้
“...” ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองไหมที่ร่างกายเหมือนกับถูกดันให้นอนราบลงไปบนโซฟา เมื่อกี้ฉันนั่งพักสายตาอยู่น่ะและรู้สึกว่าตอนนี้เหมือนกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น
“คงทำเวรกรรมไว้เยอะถึงต้องมานั่งชดใช้แบบนี้” น้ำเสียงเย้ยหยันของตราบฟ้าดังอยู่ใกล้ๆ เมื่อฉันพยายามลืมตาขึ้นมองก็เห็นว่าเขานั่งมองฉันอยู่บนพื้นข้างโซฟา ฉันตาฝาดไปหรือเปล่านะที่แอบเห็นความห่วงใยในแววตาคู่นั้น
“...” ฉันปรือตามองเขาอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่ได้ปริปากพูดอะไร
“รีบรักษาตัวให้หายซะ เธอยังต้องชดใช้ให้ฉัน อย่าเพิ่งตายเพื่อหนีหนี้” น่าแปลกที่ฉันรู้สึกว่าน้ำเสียงของตราบฟ้าในตอนนี้มันฟังดูอบอุ่น สงสัยฉันจะเบลอยา...
ฉันนอนมองตราบฟ้าอยู่อย่างนั้นก่อนจะหลับไปแบบไม่รู้ตัวในเวลาไม่ถึงสองนาที
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีทั่วทั้งห้องก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยความมืดสลัว ตรงพื้นข้างโซฟาที่เคยมีร่างสูงของตราบฟ้านั่งอยู่ ในตอนนี้มันว่างเปล่า เนื้อตัวของฉันเจ็บระบมเวลาขยับตัว รู้สึกว่าแค่หายใจยังเจ็บเลย...
ฉันจำต้องกัดฟันพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อเดินไปเปิดไฟจนทั้งห้องสว่าง เสียงท้องของฉันร้องเตือนเบาๆ เมื่อมองไปทางนาฬิกาติดผนังก็พบว่าตอนนี้หกโมงเย็นไปแล้ว จำได้ว่าฉันเผลอหลับไปในช่วงบ่าย ก็แปลว่าฉันนอนหลับไปหลายชั่วโมงทีเดียว
ฉันนึกอยากจะเดินลงไปหาอะไรกิน แต่ดูจากสภาพแล้วไม่น่าจะรอดไปจากหน้าห้องได้ จริงสิ...ฉันจำได้ว่าพี่ชินซื้อน้ำพริกหนุ่มกับแคบหมูมาฝาก น่าจะพอรองท้องไปได้สักมื้อ
พอคิดได้แบบนั้นฉันก็ค่อยๆ พาตัวเองไปยังตู้เย็น ด้วยความที่กลัวมันจะเสียก่อนที่จะได้กินหมด ฉันก็เลยจับพวกมันยัดใส่ตู้เย็นไว้ ไม่รู้ว่าจะยังกินได้อยู่หรือเปล่า ฉันก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าตู้เย็นพักหนึ่ง แต่ในตู้เย็นก็ปราศจากวี่แววของสิ่งที่ฉันต้องการ กลับกัน...ตู้เย็นที่เคยมีแต่ขวดน้ำเปล่าตอนนี้อัดแน่นไปด้วยนม น้ำผลไม้และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่ามันมีสภาพแบบนี้ได้ยังไง ฉันตัดสินใจหยิบนมถั่วเหลืองออกมากล่องหนึ่ง เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นของรองท้องที่ดีที่สุดแล้วในเวลานี้
ก๊อก ก๊อก
ในจังหวะที่กำลังจะหย่อนสะโพกลงบนโซฟาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งก่อนจะพาร่างที่บอบช้ำเดินไปยังประตูห้อง ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นไข้ซึ่งน่าจะมีสาเหตุเกิดมาจากการอักเสบและบอบช้ำของร่างกาย
ฉันเอื้อมมือไปเปิดประตูก่อนที่จะประสานสายตากับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังยืนรออยู่หน้าห้อง เธอมีใบหน้าที่สะสวยและน่ารักเสียจนฉันอดชื่นชมไม่ได้ เธออยู่ในชุดนักศึกษาและส่งยิ้มมาให้ฉันทันทีที่เราสบตากัน
“นี่ใช่ห้องคุณเจ้าขาไหมคะ? ” เธอเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส
เธอเป็นใครกัน...?
Talk
ใกล้แล้ว ใกล้ได้เปลี่ยนชื่อจากตราบฟ้าเป็นโบ้แล้ว ห่วงเขาขนาดนั้นยังจะปากดีอีกนะ!
ไม่สะดวกคอมเม้นต์ กดให้กำลังใจก็ได้งับ
ความคิดเห็น