คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : OVERLOAD || Episode 6 [100%]
Episode 6
ผมหลับไปทั้งอย่างนั้น ลืมตาตื่นมาอีกทีคนที่นอนซุกอยู่ในอ้อมแขนก็หายไปแล้ว เอื้อมมือไปลูบพื้นที่ข้างๆ ก็พบว่าที่นอนตรงนั้นยังคงอุ่นอยู่ เธอคงเพิ่งตื่นได้ไม่นานหรอก
“ขอบคุณนะพี่ชิน เจ้าขาว่าจะไปหาอะไรกินอยู่พอดี”
“ไม่เป็นไร พอดีพี่เพิ่งกลับจากพาเด็กไปเข้าค่ายทางเหนือเลยซื้อของฝากมาเยอะ”
“คนอะไรน่ารักที่สุดเลย ไม่ลืมเจ้าขาด้วย”
“ใครจะลืมเจ้าขาคนสวยของพี่ได้ล่ะ”
น้ำเสียงสดใสเจือเสียงหัวเราะของคนคู่หนึ่งดังมาจากทางหน้าประตูห้อง เสียงหนึ่งเป็นของเจ้าขาไม่ผิดแน่ ส่วนอีกเสียงคือผู้ชายคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จักและคิดว่าควรเข้าไปทำความรู้จักสักหน่อย
ผมถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก ปล่อยให้ท่อนบนเปลือยเปล่า ก่อนจะสาวเท้าตรงเข้าไปหาคนทั้งคู่ที่ยืนคุยกันอยู่หน้าประตู เจ้าขาดูจะตกใจเมื่อหันมาเห็นผม ในขณะที่ผู้ชายอีกคนมีสีหน้าแปลกใจและส่งสายตาตั้งคำถามไปให้เธอ อยากรู้นักว่าจะตอบยังไง
“ใครเหรอเจ้าขา? ” ผู้ชายคนนั้นเอ่ยถามในขณะที่เจ้าขายังคงทำท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ
“นี่ตราบฟ้าค่ะ ส่วนนี่พี่ชิน” เธอตอบออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก พร้อมกับแนะนำผู้ชายคนนั้นให้ผมได้รู้จัก เธอแนะนำแค่ชื่อแต่พยายามเลี่ยงที่จะบอกความสัมพันธ์
“สวัสดีครับ ผมเป็นพี่รหัสของเจ้าขา” ผู้ชายตรงหน้าเอ่ยแนะนำตัวด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาที่มองมามันเป็นแบบเดียวกับที่ผมใช้มองมันเหมือนกัน
สายตาที่ใช้มองคนที่เราไม่ถูกชะตา...
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผมตอบออกไปด้วยใบหน้าฉาบรอยยิ้มปลอมๆ นั่นเช่นกัน
พี่รหัสเหรอ? เหอะ! ไม่มีทางเชื่อว่าอยากเป็นแค่นั้นแน่ เจ้าขาเป็นผู้หญิงที่สวยและเธอมีเสน่ห์ที่ทำให้ใครๆ เห็นก็อยากเข้ามาทำความรู้จักและหลงรักได้ไม่ยาก ผมเองก็เคยเป็นหนึ่งในคนพวกนั้น
“งั้นพี่กลับห้องก่อนแล้วกัน มีอะไรก็ไปเรียกได้ตลอดนะเจ้าขา ขอตัวก่อนนะครับ” ผู้ชายที่ชื่อชินบอกก่อนจะยกมือขึ้นมาโยกหัวเจ้าขาเบาๆ พร้อมสายตาและรอยยิ้มที่ช่างดูอ่อนโยน ก่อนจะพูดกับผมในประโยคสุดท้ายพร้อมรอยยิ้มตามมารยาท ผมพยักหน้านิดๆ ก่อนจะลงมือปิดประตูห้องโดยไม่รอให้คนที่ยืนอยู่หน้าห้องก้าวเท้ากลับไป บางทีผู้ชายคนนั้นอาจกำลังก่นด่าผมอยู่ในใจก็ได้ แต่ช่างเรื่องของมันเถอะ เพราะตอนนี้ผู้หญิงตรงหน้ากำลังด่าผมทางสายตาอยู่น่ะสิ
“บุญเยอะดีนะ พี่รหัสทั้งหล่อทั้งแสนดี” ผมพูดขึ้นเมื่อเธอหอบหิ้วถุง ซึ่งน่าจะเป็นของฝากก้าวเดินผ่านหน้าผมไปยังโซฟากลางห้องโดยไม่ปริปากพูดอะไร เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าผมด้วยซ้ำ ปกติก็ชอบทำตัวเมินเฉยเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่แล้ว ยิ่งทำแบบนี้ผมยิ่งนึกหงุดหงิด ผมเกลียดการกระทำของเธอจริงๆ
“...” ผมเดินกลับไปหยิบเสื้อขึ้นมาสวมใส่และตัดสินใจเดินออกมาจากห้องในที่สุด วันนี้ผมคิดว่าจะเข้าไปดูผับสักหน่อย ช่วงนี้เหมือนจะเจอปัญหาลูกค้าทะเลาะวิวาทกันอยู่บ่อยครั้ง หวังว่าคืนนี้คงไม่มีตัวผู้ดอดเข้าไปหาผู้หญิงในห้องของผม ถ้าเธอหยามหน้าผมขนาดนั้น ผม ‘เอา’ เธอตายแน่
Rrrr Rrrr
เสียงสั่นของโทรศัพท์ทำให้มือที่กำลังจะสตาร์ทรถหยุดชะงัก หน้าจอปรากฏชื่อของผู้หญิงคนหนึ่งที่คุ้นเคยกับผมเป็นอย่างดี
น้ำค้าง
“ว่าไงครับน้ำค้าง” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีที่กดรับและก็ได้ยินเสียงหวานตอบกลับมาแทบจะทันทีเช่นกัน
[ เย็นนี้ว่างไหมคะ คุณพ่ออยากชวนพี่ฟ้ามาทานข้าวที่บ้าน ]
“ว่างครับ เดี๋ยวพี่รับไปนะ” ผมตอบหลังจากเหลือบมองเวลา ตอนนี้ก็เย็นพอสมควรแล้ว กว่าจะขับรถไปถึงบ้านของเธอก็ใช้เวลาร่วมสองถึงสามชั่วโมงได้
[ งั้นน้ำค้างจะให้แม่ครัวทำแกงเขียวหวานไก่ของโปรดไว้ให้นะคะ ]
“...” ชื่อเมนูทำให้ผมเหลือบมองขึ้นไปด้านบนของหอพักอย่างลืมตัว ความจริงแล้วมันคือของโปรดของผู้หญิงคนนั้นต่างหาก เมื่อก่อนเธอมักทำให้ผมกินบ่อยๆ จนผมติดและชื่นชอบไปด้วยอีกคน พยายามเลิกชอบแล้วแต่ก็ทำไม่ได้
เลิกชอบไม่ได้จริงๆ
[ พี่ฟ้า ] ผมสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย
“ครับ ไว้เจอกันนะ” ผมคุยกับน้ำค้างต่ออีกสองสามประโยคก่อนที่เธอจะวางสายไป ครอบครัวของเราสนิทกันมากและทั้งสองครอบครัวก็หมายมาดที่จะเกี่ยวดองกัน โดยให้ผมกับน้ำค้างแต่งงานกันหลังจากที่น้ำค้างเรียนจบ เธอเด็กกว่าผมสองปี ตอนนี้เรียนนิเทศปีสาม มันบ้าดีนะที่ยุคสมัยนี้ยังมีการจับคู่ให้ลูกหลาน แต่ถ้าพูดถึงในแวดวงธุรกิจอะไรก็สามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น
[ Special part : End ]
ตราบฟ้าออกไปจากห้องนานแล้ว แต่ว่าฉันก็ยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่บนโซฟา มองถุงของฝากที่พี่ชินซื้อมาให้โดยไม่ได้เอื้อมมือไปแตะต้องมันอีก ก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้ว่าตัวเองหมดสติไปตอนไหน รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็นอนซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของตราบฟ้า จำได้รางๆ ว่าตกใจกลัวมากตอนที่ตราบฟ้าสัมผัสรอยแผลเป็นบริเวณท้องน้อย มันเป็นอะไรที่ไม่น่าจำเลยสักนิด ตอนนั้นความกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองสติหลุด ภาพเหตุการณ์ในอดีตไหลย้อนเข้ามาทำร้ายฉัน
ฉันเอื้อมมือลงไปสัมผัสรอยแผลนั่นเบาๆ ผ่านเนื้อผ้า หากเป็นไปได้ฉันไม่อยากจดจำเลยด้วยซ้ำว่าได้รอยแผลนี้มายังไง ฉันอยากลืมค่ำคืนแสนเลวร้ายนั่น ยิ่งมองเห็นมันก็เหมือนยิ่งตอกย้ำเรื่องราวในอดีต
ฉันมันขี้ขลาดและเห็นแก่ตัวจริงๆ
สุดท้ายคืนนี้ตราบฟ้าก็หายไปและไม่ได้กลับเข้ามาอีก ก็คงเหมือนกับทุกๆ คืนที่เขาไม่เคยกลับมา ฉันนั่งทบทวนบทเรียนนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจเข้านอน พรุ่งนี้มีเรียนเช้าแล้วก็ข้ามไปช่วงบ่าย ฉันว่าจะพาตัวเองไปหมกตัวในหอสมุดระหว่างที่รอเวลาเข้าเรียนตอนบ่าย เมื่อวางแผนการใช้ชีวิตสำหรับพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว ฉันก็ปล่อยตัวเองให้จมลงสู่ห้วงนิทรา
พอตื่นเช้ามาฉันรู้สึกเหมือนตัวเองตาบวมนิดหน่อยแถมเมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยจะหลับ พอเห็นแสงอาทิตย์โผล่มาก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วนั่งรถเข้ามหาวิทยาลัยมาเลย กะว่าหลังเรียนช่วงเช้าเสร็จค่อยหาอะไรกินที่โรงอาหาร
Mookkie : เจ้าขา มาหาที่ห้องน้ำใต้ตึกคณะหน่อย
เดินมาจนเกือบถึงตึกคณะก็ได้รับไลน์จากเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม การที่เธอทักแชตส่วนตัวมาแบบนี้ แปลว่าต้องมีเรื่องสำคัญอะไรแน่ๆ
อย่างที่บอกว่าปกติฉันจะคุยกับเพื่อนๆ ในแชตกลุ่ม ไม่ค่อยคุยส่วนตัวนัก ฉันกดส่งสติ๊กเกอร์ที่มีคำว่าโอเคไปให้ ก่อนจะรีบเดินไปที่ตึกคณะ ในใจก็พลันรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีสักเท่าไหร่
ห้องน้ำอยู่บริเวณใต้บันไดของตึกคณะ เมื่อไปถึงก็เห็นเพื่อนในกลุ่มสองสามคนยืนจับกลุ่มกันอยู่ด้วยใบหน้าที่ดูเคร่งเครียด เบลล์เป็นคนแรกที่หันมาเห็นฉัน ก่อนจะสะกิดมุกดาซึ่งเป็นคนที่ส่งไลน์หาฉันให้หันมามอง
“มานี่หน่อยสิเจ้าขา” มุกดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่จริงจัง ก่อนที่เธอจะเดินนำฉันเข้าไปในห้องน้ำ โดยมีเพื่อนอีกสองคนเดินตามหลังฉันเข้ามาอีกที
กริ๊ก!
เสียงล็อกประตูทำให้ฉันหันกลับไปมอง เพื่อนสองคนที่เดินตามหลังมาหยุดยืนขวางบริเวณประตูทางเข้าออกไว้ด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรนัก
“มีเรื่องอะไรกันเหรอมุก? ”
เพียะ!
ฉันหันกลับไปถามมุกดาที่ยืนอยู่ตรงหน้า และเธอก็ให้คำตอบฉันด้วยฝ่ามือที่ฟาดเข้ากับแก้มด้านซ้ายของฉันอย่างเต็มแรงจนเรียกได้ว่าหน้าหัน ฉันรู้สึกแสบชาไปทั่วบริเวณที่โดนตบและหันกลับไปมองหน้าเพื่อนอย่างตื่นตะลึง
ทำไม...
“เธอตบเราทำไม...” ฉันกลั้นใจถามออกไปเมื่อเพื่อนทั้งสามเอาแต่มองมาเงียบๆ ด้วยสายตาที่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ถึงจะไม่ได้รู้สึกสนิทกับพวกเธอแบบแนบแน่น แต่ก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง แล้วทำไมคนที่เป็นเพื่อนถึงคิดทำร้ายฉันทั้งที่ฉันไม่เคยคิดร้ายกับพวกเธอเลย
“ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอเจ้าขา? ” มุกดาย้อนถามด้วยสีหน้ารังเกียจแบบไม่ปิดบัง
“เราทำอะไรผิดเหรอ เธอบอกมาสิ” แม้จะรู้สึกเจ็บบริเวณแก้มมากและตรงนี้ไม่มีใครที่สายตาดูเป็นมิตรเลย แต่ฉันก็ยังทำใจกล้าถามหาเหตุผล ถึงคิดจะหนีก็หนีออกไปไม่ได้หรอก ฉันทำได้แค่เผชิญหน้าเท่านั้น
“เมื่อวานพวกกูเห็นมึงแอบไปดูหนังกับซันสองต่อสอง” นินิวซึ่งเป็นเพื่อนอีกคนเอ่ยจากทางด้านหลังด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไป
“มึงก็รู้นี่ว่ามุกคิดยังไงกับซัน จะแรดจะร่านก็เลือกคนซะบ้าง! ”
“เบลล์...” ฉันรู้สึกเหมือนหมดแรงเอาเสียดื้อๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่เบลล์พูด ถึงแม้พวกเธอจะไม่เคยออกหน้าปกป้องฉันเวลาถูกคนอื่นต่อว่าดูถูก แต่พวกเธอก็ไม่เคยเอาเรื่องข่าวลือพวกนั้นมาต่อว่าฉันเลยสักครั้ง ส่วนเรื่องฉันกับซันพวกเธอก็รู้ดีว่าเราเป็นเพื่อนกันเท่านั้น แล้วทำไมถึงคิดแบบนี้ไปได้ “ไม่ใช่นะ เราไม่ได้...”
“สุดท้ายมึงก็เป็นแบบที่เขาพูดกันอีเจ้าขา ขนาดผู้ชายที่เพื่อนชอบมึงยังจะแย่ง อีร่าน! ” มุกดาแหวขึ้นมาก่อนที่ฉันจะได้พูดจบ แล้วพุ่งเข้ามาจิกทึ้งผมฉันพร้อมกับเริ่มใช้มืออีกข้างหยิกข่วนบ้างตบตีบ้าง ฉันพยายามปัดป้องตัวเองให้ได้มากที่สุดโดยไม่ตอบโต้ ฉันไม่อยากทำร้ายเธอ แม้ว่าตอนนี้ตัวเองจะรู้สึกเจ็บมากแค่ไหนก็ตาม
“นิวถ่ายคลิปไว้ แล้วก็เอาไปลงประจานมัน เอาให้มันไม่มีที่ยืน! ” ฉันได้ยินเสียงเบลล์พูดกับนินิว ยังดีที่เธอไม่เข้ามาร่วมวงกับมุกดาที่ตอนนี้ตบตีฉันอย่างบ้าคลั่ง รวมทั้งฉีกทึ้งเสื้อนักศึกษาของฉันจนกระดุมหลุดไปหลายเม็ด น้ำตาของฉันเอ่อล้นขอบตาแต่ฉันก็พยายามกลั้นมันเอาไว้ รวมทั้งกัดฟันกลั้นความเจ็บปวดทางร่างกายตอนนี้ด้วย
“โอ๊ยมุก เราเจ็บ ปล่อยเรา! ” ฉันเอ่ยขึ้นอย่างทนความเจ็บปวดไม่ไหว พยายามแกะมือที่กระชากผมฉันออกไปแต่เธอก็ไม่ยอมปล่อยโดยง่าย อีกทั้งยังกระชากหัวฉันจนหน้าแหงนหงายขึ้น ก่อนจะฟาดฝ่ามือใส่ลงมาอีกแบบไม่ออมแรง
“คนหน้าหนาหน้าด้านแบบมึงเจ็บเป็นด้วยเหรออีเจ้าขา อีเพื่อนสารเลว! ”
เพียะ!
ฉันไม่รู้แล้วว่าตอนนี้มีส่วนใดในร่างกายที่ไม่เจ็บบ้าง ใบหน้าตอนนี้เจ็บจนชาไปหมด กลิ่นคาวของเลือดคละคลุ้งอยู่ในปาก น้ำตาไหลลงอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ มุกดาผลักฉันลงไปนั่งกับพื้นก่อนจะเริ่มใช้ขาเตะและกระทืบฉัน จนฉันทนไม่ไหวเริ่มสู้กลับ แต่ก็ถูกเบลล์เข้ามาล็อกฉันไว้จากด้านหลัง
“เราไม่ได้ทำแบบที่พวกเธอคิดนะ! ” ฉันพยายามจะสะบัดเบลล์ออกไป แต่ฉันก็สู้แรงพวกเธอไม่ไหวจริงๆ เพราะร่างกายฉันระบมมากพอสมควร
“อีตอแหล! ”
เพียะ!
ฉันได้ยินเสียงนั้นเป็นเสียงสุดท้ายก่อนจะรู้สึกว่าทุกอย่างมันพร่าเบลอไปหมด ฉันรับรู้แค่ว่าฉันเจ็บมากพอๆ กับตอนที่กระโดดลงมาจากรถของตราบฟ้า แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือใจของฉัน ทำไมพวกเธอถึงไม่เชื่อฉัน ทำไมถึงเลือกจะทำร้ายกันมากกว่าฟังความจริง
ทำไม...
“เจ้าขา...”
“...” ฉันรู้สึกว่าเปลือกตามันช่างหนักอึ้ง แต่เสียงของใครบางคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกำลังร้องเรียกฉันอยู่
“เจ้าขาได้ยินเราไหม...เจ้าขา”
“...” ฉันค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ ภาพแรกที่ได้เห็นคือผู้ชายคนหนึ่งมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดกำลังส่งยิ้มมาให้
“เจ้าขา เป็นไงบ้าง” เขาเอื้อมมือมาลูบผมฉันเบาๆ
“โอ๊ย...” ฉันขยับปากจะตอบเขา แต่ก็ต้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวดแทน ความจริงฉันรู้สึกเจ็บระบมไปทั้งตัวโดยเฉพาะบริเวณใบหน้าและหนังศีรษะ ฉันคิดว่าตอนนี้ใบหน้าของตัวเองคงจะบวมเป่ง ซันมีสีหน้าตกใจเมื่อเห็นฉันร้องออกมาแบบนั้น
ใช่ ผู้ชายที่กำลังแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยฉันอยู่ตอนนี้ก็คือซัน ผู้ชายที่เป็นเหตุแห่งการหึงหวงไงล่ะ เท่าที่จำได้มุกดาแอบชอบซันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง แต่ซันกลับไม่เคยมีทีท่าอะไรเลยทั้งๆ ที่หมอนี่ก็รู้
“เจ็บมากเหรอเจ้าขา บอกมาว่าใครทำ เราจะไปจัดการมัน”
“อย่า...ช่าง...มันเถอะ” ฉันพยายามขยับปากช้าๆ เพื่อเปล่งเสียงออกมาห้ามเขา ซันทำสีหน้าเหมือนถูกขัดใจแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยค้าน
“หมอบอกว่านอนดูอาการสักคืนก็ดี หรือจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านก็ได้ จากผลตรวจมีแค่รอยฟกช้ำข้างนอก ไม่มีช้ำในหรือเลือดคลั่ง เราว่าเจ้าขานอนดูอาการอีกคืนก็ดีนะ” ซันเล่ารายละเอียดให้ฉันฟัง น้ำเสียงของเขาดูจะเป็นห่วงฉันอยู่มาก ในบรรดาเพื่อนที่มีคงเหลือแค่เขาที่เชื่อและห่วงใยฉันจากใจจริง
“...” ฉันเลือกที่จะส่ายหน้าเบาๆ ฉันเพิ่งสังเกตว่าตอนนี้ฉันนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล ในเมื่อไม่เป็นอะไรมากฉันก็อยากกลับไปพักฟื้นที่หอมากกว่า ฉันไม่อยากเสียเงินโดยไม่จำเป็น
“โอเค งั้นเดี๋ยวเราไปส่ง ลุกไหวไหม? ” ฉันพยักหน้าให้ซันเบาๆ ถึงแม้จะไม่อยากรบกวนเขาแต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้จริงๆ ดูท่าฉันคงจะได้หยุดเรียนอีกหลายวันและต้องมีปัญหาเกี่ยวกับเวลาเรียนแน่ ที่ฉันไม่ได้ตอบโต้มุกดา ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะฉันไม่เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทถึงขั้นลงไม้ลงมือมาก่อน อีกส่วนก็เพราะเธอกำลังเข้าใจฉันผิด ถ้าฉันตอบโต้เรื่องอาจจะยิ่งบานปลายก็ได้
“ทำไมย้ายมาอยู่ห่างจากมอจัง” ซันถามขึ้นหลังจากที่ขับรถมาถึงหอพักของฉัน
“...” ฉันนิ่งเงียบและแอบบีบมือตัวเองเบาๆ ฉันไม่รู้จะบอกซันยังไงดี ฉันไม่อยากจะโกหกแต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะบอกให้คนอื่นรู้เช่นกัน
“โอเคเราไม่ชวนคุยแล้ว ไม่อยากทรมานคนเจ็บ” ซันเข้าใจอาการนิ่งเงียบของฉันว่าเป็นอาการเจ็บปากจนขยับปากตอบไม่ไหว ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วที่เขาตีความไปแบบนั้น ซันประคองฉันเข้ามาในหอพักท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมาอย่างสงสัย แต่ด้วยตอนนี้ฉันไม่มีปัญญาจะพาตัวเองขึ้นไปถึงห้องได้ เลยเลือกจะเมินเฉยต่อสายตาเหล่านั้นซะ
เธอต้องชินกับสายตาดูถูกดูแคลนเหล่านี้ได้แล้วเจ้าขา...
อีพีนี้คืออออ เมื่อคุณคิดว่าชีวิตตัวเองมันบัดซบแล้ว แต่มันก็ยังบัดซบได้อีก
ฝากคอมเมนต์ติชมเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ
ไม่สะดวกคอมเม้นต์ กดให้กำลังใจก็ได้งับ
ความคิดเห็น