คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : 05 | หนึ่งชีวีแลกหนึ่งชีวัน 2 [100%]
05
หนึ่งชีวีแลกหนึ่งชีวัน 2
ไป๋จูพยายามหลีกเลี่ยงจากการปะทะกับเหล่าทหารมารปีศาจ แม้จะมีบางส่วนเข้ามาจู่โจมใส่นางอยู่บ้าง แต่โชคดีที่ฝีมือมิได้ร้ายกาจอะไร ณ เวลานี้ สิ่งที่นางต้องทำคือตามหาหลี่หลงให้พบ นางจำได้ว่าหลี่หลงลอยกระเด็นมาทางนี้ แต่มิรู้ว่าตอนนี้ร่างของเจ้าปลามังกรทึ่มอยู่ที่ไหน
“ปะ...ไป๋จู” น้ำเสียงระโหยโรยแรง ซึ่งนางจำได้ว่าเป็นของหลี่หลงแน่ ดังมาจากข้างๆ กองฟาง ภาพที่เห็นคือ บุรุษหนุ่มรูปงามที่มีสภาพสะบักสะบอมสิ้นดี
“เจ้าเป็นอะไรมากหรือไม่” ไป๋จูเข้าไปถามไถ่ สำรวจไปทั่วร่างกายของคนตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจ ดูแล้วหลี่หลงจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก นอกจากแผลถลอกกับรอยช้ำเล็กๆ น้อยๆ มิอยากจะเชื่อสายตา บุรุษรูปร่างบอบบางเช่นนี้ ร่างกายมีความทนทานกว่าที่นางคิดไว้มาก
“มิเป็นอะไรมาก แล้วเจ้าเล่า ราชามารผู้นั้นทำอะไรเจ้าหรือไม่” หลี่หลงว่าพลางมองสำรวจไปทั่วร่างของนาง แววตาของเขาฉายความกังวลระคนห่วงใยอย่างแจ่มชัด
“ไท่จื่อเฟยหมิงมาช่วยข้าไว้” ไป๋จูส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยตอบ ว่าแล้วนางก็มองหาร่างสูงสง่าของรัชทายาทแดนสวรรค์อีกครา ก่อนจะได้ยินเสียงต่อสู้ฟาดฟันดังอยู่กลางอากาศ เป็นรัชทายาทเฟยหมิงและราชามารหูหลี่จิ้ง ที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด เปลวเพลิงเริ่มกระจายไปทั่วอาณาบริเวณ เสียงกรีดร้องของเหล่ามนุษย์ดังระงมไปทั่วอย่างหวาดกลัว
“พวกเราต้องไปตามหาวิหคเพลิงกาฬและสังหารเสีย ก่อนที่มันจะฟื้นตัว” ไป๋จูเอ่ยขึ้นหลังจากหันกลับมามองหลี่หลง นางเอ่ยด้วยใบหน้าจริงจัง จนปลามังกรหนุ่มอดใจสั่นระทึกมิได้ เขากลัวว่านางจะพาตัวเองไปเสี่ยงอยู่ในอันตราย
“ลำพังแค่เราสองคน มิใช่คู่ต่อสู้ของวิหคเพลิงกาฬหรอกนะไป๋จู” หลี่หลงเอ่ย สีหน้าของเขาฉายชัดถึงความวิตกกังวล จริงอยู่ที่ตอนนี้วิหคเพลิงกาฬยังฟื้นพลังได้ไม่เต็มที่ แต่ถึงขนาดหลบหนีออกมาจากผนึกได้ ลำพังแค่เขาและไป๋จูก็มิอาจเรียกได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ของมัน
“เจ้าเลิกขี้ขลาดเสียทีเถอะ ถ้าเราสองคนร่วมมือกัน ต้องสังหารมันได้แน่ ก็แค่ปีศาจนกยักษ์ตัวหนึ่งเท่านั้น” ไป๋จูเอ่ยอย่างมาดมั่น นางมีกระบี่ปราบมารไป๋เจี้ยนในมือ เหตุใดต้องกลัวเหล่ามารปีศาจพวกนั้น
“แต่ปีศาจนกนั่นเป็นปีศาจยุคบรรพกาล มีตบะครึ่งหนึ่งของจอมมารบรรพกาลอยู่ คิดสังหารมันหาใช่เรื่องง่าย หากพลาดพลั้งไป จะเป็นเราเสียเองที่ถูกมันสังหาร” นี่แทบจะเป็นไม่กี่ครั้ง ที่หลี่หลงเอ่ยค้านความต้องการขององค์หญิงแห่งเผ่ามังกรขาว
“หากเจ้ามิไป ข้าจะไปเอง” แต่มีหรือที่คนดื้อรั้นอย่างไป๋จูจะยอมโอนอ่อนโดยง่าย
“ขะ...ข้า...” ท่ามกลางเสียงอาวุธปะทะโรมรันกันของทั้งสองฝ่าย ปลามังกรหนุ่มขมวดคิ้วแน่น สมองที่เคยปราดเปรื่อง มาบัดนี้กลับทึบนัก
“ถ้าเจ้าขลาดกลัวนัก ก็นั่งหลบอยู่ตรงนี้ต่อไปเถิด” สิ้นเสียง ร่างบางระหงก็ผุดลุกขึ้น ไป๋จูหลุบตามองบุรุษร่างบางที่บัดนี้สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน หลี่หลงเงยหน้ามองนาง ทำท่าราวกับอยากจะพูดอะไรแต่ก็กลับไปเอ่ยถ้อยคำ เขาทำท่าอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง จนไป๋จูนึกรำคาญและเริ่มสาวเท้าจากมา
“ข้าปล่อยเจ้าไปเผชิญอันตรายผู้เดียวมิได้หรอก” เดินจากมาได้ไม่กี่ก้าว น้ำเสียงของสหายปลามังกรก็ดังไล่หลัง ไป๋จูลอบยิ้ม นางรู้แก่ใจดีว่าหลี่หลงไม่สามารถขัดใจนางได้นาน
อีกอย่าง เขานั้นได้รับมอบหมายจากราชามังกรไป๋หลงผู้เป็นบิดาของนางให้มาคอยดูแลนาง หากไป๋จูได้รับอันตราย นั่นอาจหมายถึงภัยร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นกับเผ่าปลามังกรของเขาด้วย
“ในที่สุดเจ้าก็ทำตัวสมกับเป็นนักรบแห่งแดนบูรพาเสียทีนะ” ไป๋จูหันกลับไปช้าๆ นางแสร้งทำใบหน้าเรียบเฉย แต่ภายในใจลิงโลดอย่างยิ่ง นางกำลังจะได้ไปปราบปีศาจของจริง นางจะทำให้ทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนได้ประจักษ์
ทางด้านหลี่หลงนั้น แม้จะเอ่ยออกไปอย่างกล้าหาญ แต่ภายในใจกลับมีความกลัวอยู่ขุมหนึ่ง ลางสังหรณ์ที่ทำให้เขารู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง
“เราจะรู้ได้อย่างไรว่าวิหคเพลิงกาฬซ่อนตัวอยู่ที่ใด” ไป๋จูเอ่ยขึ้น หลังจากที่พากันหลบเลี่ยงออกมาจากสนามรบได้อย่างปลอดภัย
“หอคณิกา ลองไปดูหน่อยเถิด” หลี่หลงเงียบไปอึดใจ เขาใคร่ครวญเพียงครู่ก็เอ่ยตอบ จำได้ว่าวันแรกที่ลงมายังแดนมนุษย์ มีนางคณิกาผู้หนึ่งที่ต้องสงสัย จะต้องมีเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับวิหคเพลิงกาฬเป็นแน่แท้
“เช่นนั้นเรารีบไปเถิด มีเวลามิมากแล้ว” ไป๋จูกระตือรือร้น ก่อนจะใช้วิชาเคลื่อนที่ในพริบตามาหยุดยืนอยู่หน้าหอนางโลมชื่อดังที่ดูหรูหราโอ่อ่ายิ่ง มิรู้ว่ามาถูกที่หรือไม่ แต่ลางสังหรณ์บอกแก่นางว่า เจ้าปีศาจนกยักษ์นั่นหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่มิผิดแน่
“ไป๋จู ไยเจ้ามิรอข้าก่อนเล่า” หลี่หลงเอื้อมมือไปคว้าแขนเรียวของสตรีตรงหน้าไว้ทันท่วงที นางใจร้อนเหลือเกิน เคราะห์ดีนักที่เขาติดตามมาได้ทัน มิเช่นนั้นมังกรสาวผู้นี้คงบุกเข้าไปเพียงลำพัง
“ก็เจ้ามัวแต่ชักช้า เกิดวิหคเพลิงกาฬฟื้นพลังได้เต็มที่ มีแต่จะจัดการได้ยากขึ้นไปอีก...”
“คิดจัดการข้า ง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ” ยังมิทันที่ไป๋จูจะเอ่ยจบดี น้ำเสียงของสตรีผู้หนึ่งก็ดังขึ้นตรงทางเข้าของหอคณิกา
“สตรีที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ในวันนั้นนี่เอง” ไป๋จูจำลักษณะของนางได้แม่นยำ ใบหน้าและรูปร่างงดงามสะกดตา สตรีนางนั้นยืนมองมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง สายตาคู่นั้นช่างดูหยิ่งผยอง
“ไป๋จู สตรีผู้นี้หาใช่มนุษย์...” หลี่หลงถอยหลังหนึ่งก้าว ดึงรั้งร่างบางให้ถอยห่างออกมาด้วย เขาสัมผัสได้ถึงพลังมารเข้มข้นที่เอ่อล้นออกมาจากร่างนั้น
“จะมนุษย์หรือปีศาจ ข้าก็มิขลาดกลัวทั้งนั้น” ไป๋จูสะบัดท่อนออกจากการกอบกุม นางขยับไปเผชิญหน้ากับสตรีนางนั้นที่บัดนี้เริ่มแสดงท่าทีโกรธกรุ่นอีกครา
“เป็นแค่เซียนน้อย กลับมิรู้จักเจียมตัว แม้แต่เหล่าเทพบรรพกาลยังคร่าชีวิตข้ามิได้ เจ้าคิดหรือว่าเจ้าคู่ควรมาเป็นคู่ต่อสู้ของข้าผู้นี้! ” สิ้นประโยคของสตรีนางนั้น ลมหอบใหญ่พัดกรรโชกอย่างรุนแรง ร่างงดงามของสตรีตรงหน้าเริ่มแปรเปลี่ยน กลายเป็นเรือนร่างใหญ่โตของบุรุษผู้หนึ่ง แขนทั้งสองข้างกลายสภาพเป็นปีกสีดำขนาดมหึมา ขาทั้งสองมีลักษณะเฉกเช่นเดียวกับขานกคู่โต
“วิหคเพลิงกาฬ! ” หลี่หลงตะโกนขึ้นด้วยความหวาดกลัว เพราะเขาจำตำราที่บรรยายรูปร่างลักษณะของมันไว้ได้ ในขณะที่ไป๋จูยังคงยืนตกตะลึง นางเคยจินตนาการไว้ว่าวิหคเพลิงกาฬคือปีศาจนกตัวใหญ่ มิเคยคิดว่าจะเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งนกเช่นนี้ แถมมันยังจำแลงกายเป็นสาวงามตบตาผู้คนอีกด้วย นึกแล้วแค้นใจตัวเองมิรู้ครั้งที่เท่าใด ไยจึงมิตั้งใจศึกษาวิชาบรรพกาลกันเล่า!
“เซียนน้อย พวกเจ้าล้วนเป็นยาฟื้นฟูกำลังชั้นดีให้แก่ข้า...” มันเอ่ยพลางหัวเราะเสียงดังก้อง เสียงแหลมวีดหวิว ทำเอาไป๋จูรู้สึกปวดหูจนมิอยากทนฟัง
“หนะ...หนีเร็วไป๋จู! ” หลี่หลงหวาดกลัวอย่างยิ่ง เขาคว้าแขนขององค์หญิงเผ่ามังกรขาวไว้แน่น หวังจะพานางหนีไปจากตรงนี้โดยไว แต่ร่างบอบบางตรงหน้ากลับยืนนิ่งราวกับสองเท้าถูกตรึงด้วยตะปูไว้กับพื้น
“เจ้าปลามังกรน้อย คิดหรือว่าพวกเจ้าจะหนีข้าพ้น...” เสียงเย้ยหยันจากวิหคเพลิงกาฬยังคงดังมาอย่างต่อเนื่อง มันจ้องมองมายังทั้งสองร่างราวกับจ้องมองเหยื่อแสนโอชะ ปีกใหญ่เริ่มขยับเบาๆ จนเกิดแรงลมขนาดย่อมพัดหมุนวนไปทั่วบริเวณ
ไป๋จูยืนนิ่ง ก้าวขาไม่ออก นางควรทำเช่นไรดี ความกล้าที่มีมาก่อนหน้ามลายสิ้น เมื่อนางได้เผชิญกับศัตรูที่น่าเกรงขามตรงหน้านี้ วิหคเพลิงกาฬส่งเสียงคำรามแหลมเล็กบาดหู ท้องฟ้าแลแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น เหล่ามนุษย์หนีตายกันอลหม่าน
มิได้ ปณิธานของนางคือการกำจัดมารปีศาจ กระบี่ปราบมารไป๋เจี้ยนเลือกนางเป็นนาย ฉะนั้นแล้วนางจะมัวมาหวาดกลัวมิได้ หน้าที่ปราบมารปีศาจเป็นหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาแต่กำเนิด
คิดได้ดังนั้น ความฮึกเหิมก่อนหน้าก็กลับมาอีกครา ไป๋จูรวบรวมพลังเซียน เพรียกหากระบี่คู่กาย กระบี่บรรพกาลไป๋เจี้ยนปรากฏขึ้นแล้วพุ่งตรงเข้ามาหาราวกับรอเวลานี้มาเนิ่นนาน
‘มีความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นสิ่งที่ดี แต่การทะนงตนจนดูถูกคู่ต่อสู้ล้วนแต่นำพาไปสู่หายนะ’
ประโยคของคนผู้หนึ่งลอยเข้ามาในหัวนาง ไป๋จูเหลือบสายตามองไปยังผืนนภาด้านหลัง ร่างสองร่างของผู้แกร่งกล้ายังคงฟาดฟันใส่กัน แบ่งรับแบ่งสู้ รัชทายาทแดนสวรรค์ยังคงต่อสู้อย่างห้าวหาญ แล้วนางเล่า จะมัวขลาดกลัวได้อย่างไร
“อย่าทะนงตนนักเลยเจ้าปีศาจนกเอ๋ย การดูถูกคู่ต่อสู้ล้วนนำพาไปสู่หายนะ! ” ไป๋จูยกยิ้มขึ้น แม้ในใจจะสั่นกลัวอยู่บ้าง แต่ความสงบสุขของทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนนั้นสำคัญกว่าสิ่งใด นางจับด้ามกระบี่ไว้มั่นแล้วพุ่งเข้าใส่ปีศาจที่ตัวใหญ่กว่านางหลายเท่าอย่างไม่นึกเกรง ท่ามกลางเสียงร้องตื่นตระหนกของหลี่หลง เขาลนลานอีกครั้ง ภายในใจถูกความกลัวสุมอยู่มากโข กลัวปีศาจบรรพกาลตรงหน้า แลกลัวนางอันเป็นที่รักจะได้รับอันตราย
“ไป๋เจี้ยนอย่างนั้นรึ...” วิหคเพลิงกาฬนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เบี่ยงหลบปลายกระบี่ที่พุ่งเข้ามาอย่างเฉียดฉิว มันรู้ดีว่ากระบี่เล่มนี้ร้ายกาจเพียงใด หลังจากหายไปอย่างไร้ร่องรอยนับแสนปี บัดนี้กลับปรากฏออกมาอีกครา แล้วยังเลือกเจ้ามังกรขาวน้อยนี้เป็นนาย สตรีผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา ประมาทมิได้
“นึกกลัวขึ้นมาตอนนี้ เกรงว่าจะช้าไปหน่อยหรือไม่” ไป๋จูเอ่ยขึ้น พลางกวัดแกว่งกระบี่เข้าใส่ศัตรูตรงหน้า และน่าเจ็บใจที่เจ้าปีศาจนกนี้หลบเลี่ยงได้ทุกกระบวนท่า ในตอนนี้วิหคเพลิงกาฬรู้แล้ว สตรีนางนี้ยังไม่รู้จักพลังที่แท้จริงของกระบี่ นางทำได้เพียงกวัดแกว่งเข้าใส่ หาได้ใช้พลังของกระบี่เข้ามาฟาดฟันกับตนไม่
มิรู้วิธีใช้กระบี่ปราบมาร ก็เหมือนกับนางกวัดแกว่งกระบี่สนิมเกรอะเข้าใส่เหล็กกล้า
“อย่าได้ใจไปเจ้ามังกรน้อย ต่อจากนี้ต่างหากคือพลังที่แท้จริงของข้า...” จบประโยค ร่างของวิหคเพลิงกาฬก็ขยายใหญ่ขึ้น ในที่สุดมันก็คืนร่างจริงเป็นนกยักษ์ตัวใหญ่มหึมา ขนสีดำมะเมื่อมยามต้องแสงอาทิตย์เป็นประกายเงางามแปลกตา ปีกกว้างคู่นั้นกระพือพาร่างของมันเหินขึ้นสู่นภา
“รีบหนีเร็วไป๋จู เจ้าสู้มันมิได้หรอก! ” เสียงของหลี่หลงตะโกนแข่งกับพายุขนาดย่อมที่ก่อตัวขึ้นจากการกระพือปีกคู่ยักษ์ของเจ้าปีศาจนก ไป๋จูได้แต่กรุ่นโกรธในใจ นางหลงคิดไปเองว่าหลี่หลงจะเกิดความหาญกล้า ท้ายที่สุดแล้วก็ยังขี้ขลาดเช่นเดิม เอาแต่หลบอยู่หลังรถเทียมม้าที่ถูกลมพัดจนเสียหาย ปล่อยนางให้เผชิญกับอันตรายเพียงลำพัง
“ไป๋จู!!! ” ยังมิทันได้หันไปต่อว่าต่อขานสหายผู้นี้ เสียงตะโกนของหลี่หลงก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเปลวเพลิงสีดำทมิฬที่พุ่งเข้าใส่นาง ไป๋จูหลบเลี่ยงได้อย่างหวุดหวิด แต่ไอร้อนจากเปลวเพลิงนั้นก็เพียงพอจะทำให้แขนของนางราวกับโดนไฟลวกได้
มิทันได้หายใจหายคอ เปลวเพลิงลูกใหม่ก็ถูกพ่นออกมาจากปากของเจ้าปีศาจนกนั่นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ว่านางจะหลีกหนีไปทางใด เปลวเพลิงก็ไล่ตามเผาผลาญทุกสิ่งจนราบเป็นหน้ากลอง ทันใดนั้นนางสัมผัสได้ถึงความเย็นจากไอน้ำขึ้นมาวูบหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นหลี่หลง เขากำลังใช้พลังปราณสร้างเกราะกำบังให้แก่นาง
“เจ้ารีบหนีไป ข้าต้านไว้ได้มินานนัก” ท่าทางและน้ำเสียงของสหายปลามังกรนั้นดูจะเต็มกลืน และคงฝืนได้อีกไม่นานอย่างที่ว่าจริงแท้
“ไม่ ข้ามิทิ้งเจ้าแล้วหนีเอาตัวรอดผู้เดียวแน่” ไป๋จูเอ่ยขึ้นทันควัน นางตัดสินใจถ่ายพลังใส่กระบี่เพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะกำบังให้แก่ตนเองและหลี่หลง วิหคเพลิงกาฬมองภาพตรงหน้าอย่างชอบใจ มันอยากรู้นักว่าเซียนน้อยทั้งสองจะต้านทานได้อีกนานเท่าใด คิดได้เช่นนั้นก็ยิ่งเพิ่มเพลิงให้ลุกไหม้กว่าเดิม เพลิงกาฬของมันสามารถเผาผลาญทุกอย่างให้สลายกลายเป็นจุณ
“เราคงต้านได้อีกมินานแล้ว เจ้ารีบไปเสียเถิดไป๋จู” หลี่หลงรับรู้ได้ว่าเพลิงกาฬนั้นมีฤทธิ์ร้ายกาจขึ้นกว่าเดิม และความร้อนจากเพลิงนั้นก็เริ่มมอดไหม้เกราะกำบังจนตอนนี้ มือทั้งสองข้างของเขาเริ่มพุพองเพราะโดนความร้อน
“ไม่...” ไป๋จูเองก็เริ่มรู้สึกตัวเช่นกันว่าสถานการณ์ตอนนี้ช่างเกินกำลังของนางและหลี่หลงนัก แต่หากนางต้องตาย ก็ขอตายอย่างสมเกียรติ มิใช่หนีเอาตัวรอดไปเพียงผู้เดียวแล้วปล่อยให้สหายเผชิญชะตากรรมอย่างคนขี้ขลาด
ที่นางเคยปรามาสหลี่หลงไว้ก่อนหน้านี้ นางขอถอนคำพูดทิ้งเสีย สหายปลามังกรผู้นี้ พอถึงยามคับขันกลับกล้าหาญยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อนาง หากว่ารอดจากเหตุการณ์นี้ไปได้ แม้ว่าบิดาแลมารดาอยากให้นางแต่งเข้าเผ่าปลามังกร นางก็จะยินยอมไม่บิดพลิ้วแม้ครึ่งคำ
เปรี้ยงงง
ราวกับสวรรค์แลเห็นว่านางยังมิถึงที่ตาย อัสนีสายหนึ่งฟาดเปรี้ยงลงมาพร้อมกับกระบี่ฟางเจี้ยนที่ฟาดฟันเข้าใส่ปีศาจนกยักษ์จนได้แผลฉกรรจ์ มันส่งเสียงร้องแหลมเล็กดังไปทั่วอาณาบริเวณอย่างเจ็บปวดและโกรธจัด
“พวกท่านคิดจะสละชีวิตตนเองสังเวยวิหคเพลิงกาฬหรืออย่างไร! ” มิใช่เพียงปีศาจตนนั้นที่โกรธจัด ยามนี้รัชทายาทแห่งแดนสวรรค์ก็โกรธจัดมิต่างกัน เขามิจำเป็นต้องเดาเสียด้วยซ้ำว่าใครคือผู้ออกหัวจะบุกมาปราบวิหคเพลิงกาฬ ย่อมเป็นองค์หญิงแห่งแดนบูรพาอย่างมิต้องสงสัย
“ข้าแค่กลัววิหคเพลิงกาฬจะฟื้นคืนพลังเต็มที่ จะเป็นการรับมือยากยิ่งขึ้นไปอีก” ไป๋จูเอ่ยมิเต็มเสียงนัก ด้วยนางรู้ว่าเรื่องนี้ตนเองทำผิดไปอย่างมหันต์ หากเขาเข้ามาช่วยไว้มิทัน เวลานี้นางกับหลี่หลงคงได้เดินทางไปสู่ยมโลกเสียแล้ว
ฟิ้ววว
ไม่ปล่อยให้รอนาน วิหคเพลิงกาฬที่บัดนี้เต็มตื้นไปด้วยความโกรธเกรี้ยว มันแปรเปลี่ยนขนเงางามของตัวเองให้กลายเป็นวัตถุแหลมคมราวลูกธนู ก่อนที่ขนแหลมคมพวกนั้นจะถูกปล่อยลงมาราวกับห่าฝน
“ระวัง! ” หลี่หลงร้องเตือน เช่นเดียวกับรัชทายาทเผ่าสวรรค์ที่ร่ายวิชากระบี่สร้างเกราะกำบังคุ้มกันให้แก่ตนเองและเผื่อแผ่มาถึงพวกนางด้วย บัดนี้ทั้งเพลิงกาฬและขนแหลมเหล่านั้นถูกปลดปล่อยลงมาปะทะเข้าใส่เกราะกำบังไม่หยุดหย่อน ปีศาจนกยักษ์ตนเดิมบิดฉวัดเฉวียนไปมาบนอากาศอย่างโมโหโทโสที่มิสามารถทำอันตรายแก่เทพเซียนทั้งสามได้
“ท่านมัวยืนทำกระไร รีบใช้พลังของกระบี่สร้างเกราะกำบังอีกชั้นเสีย” รัชทายาทเฟยหมิงออกคำสั่ง เขาไม่ได้หันกลับมามองใบหน้าซีดเผือดของสตรีข้างๆ เขารู้เพียงแต่เวลานี้ตนเองได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยจากการต่อกรกับราชามารหูหลี่จิ้ง แม้ว่าจะขับไล่หูหลี่จิ้งและเหล่าลูกสมุนออกไปได้สำเร็จ แต่เขาก็สูญเสียทหารเซียนและพลังของตนเองไปมากเช่นกัน ณ เวลานี้ เขามิอาจต่อกรกับวิหคเพลิงกาฬได้เพียงลำพัง
“ขะ...ข้า มิรู้วิธีใช้พลังของกระบี่...” ตอนนี้ฝ่ามือของไป๋จูเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างไร้ประโยชน์นัก มีบุญญาธิการสูงส่ง ครอบครองกระบี่ไป๋เจี้ยนอย่างนั้นหรือ มาบัดนี้กลับทำสิ่งใดมิได้สักอย่าง
ตู้มมม
“ท่านล้อข้าเล่นหรืออย่างไร” เพียงชั่วครู่ที่เฟยหมิงเสียสมาธิ แรงระเบิดจากเพลิงกาฬทำลายเกราะกำบังจนแตกละเอียด เทพเซียนทั้งสามกระเด็นกันไปคนละทิศละทาง รัชทายาทเฟยหมิงนั้นได้รับแรงกระแทกมากกว่าผู้ใด ถึงขั้นกระอักโลหิตสีแดงประกายทองออกมา อาการสาหัสเจียนตาย
ส่วนหลี่หลงนั้นใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังให้กับไป๋จู ทำให้นางได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก ต่างไปจากตัวหลี่หลงที่ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเลย แม้จะไม่ได้มากเท่าเฟยหมิงก็ตาม
“องค์ไท่จื่อ! ” หลังจากสำรวจอาการบาดเจ็บของตนเองและสตรีอันเป็นที่รัก แลเห็นว่านางไม่ได้รับอันตรายมากนัก ปลามังกรหนุ่มก็เบาใจ แม้จะรู้ตัวว่าตนเองเจ็บหนักเอาการ แต่เมื่อสายตาเหลือบหาผู้สูงศักดิ์อีกผู้ เขาแทบตะลึงงันจนต้องตะโกนร้องเรียก
ยามนี้รัชทายาทเฟยหมิงกำลังนั่งโงนเงนอยู่บนพื้น ในสภาพที่ไม่น่าดูเพียงนิด โลหิตสีแดงประกายทองเปรอะเปื้อนไปตามชุดเกราะสีเงินที่เขาส่วมใส่ อีกไม่นานเขาคงหมดสติเป็นแน่
ไป๋จูมองภาพนั้น ดวงใจของนางราวกับถูกบีบรัดจนแน่น
ตอนนางอายุได้สองหมื่นปี นางเคยแอบบิดาแลมารดาขึ้นสู่ผืนดิน เผชิญหน้ากับปีศาจเสือผู้หิวโหยตนหนึ่ง นางไร้เดียงสานัก คิดว่าทุกสรรพสิ่งในแดนบูรพานี้ล้วนรักและเคารพยำเกรงเผ่ามังกรขาว หารู้ไม่ว่าอีกไม่กี่นาทีถัดมาจะถูกปีศาจเสือตนนั้นไล่ล่าอย่างเหี้ยมโหด โชคดีของนางที่นางกำนัลพี่เลี้ยงติดตามขึ้นมาช่วยได้ทันการ แต่เป็นโชคร้ายของบ่าวผู้ภักดีผู้นั้น ที่ถูกปีศาจเสือตนนั้นที่ถูกทำร้ายจนขาดใจไปต่อหน้า นั่นเป็นเหตุผลที่นางไม่ได้รับให้ออกจากไป๋หลงกงอีกเลย จนกระทั่งวันที่ได้สำเร็จเป็นเซียนชั้นสูง
เลือดสีแดงชาดไหลเปรอะท่วมร่าง บาดแผลเหวอะหวะชวนให้หวาดกลัว
ภาพที่นางได้หลงลืมไปแล้ววนกลับเข้ามาอีกครั้ง
มิได้ ข้าจะมิยอมให้ใครมาตายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนั้นอีกมิได้
คิดได้เช่นนั้น สองขาขององค์หญิงแห่งแดนบูรพาก็รีบพาร่างบอบบางนั้นเคลื่อนไปหา ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของรัชทายาทเผ่าสวรรค์ เฟยหมิงเหลือบสายตามามองสตรีผู้งดงามข้างกาย อาการบาดเจ็บของเขานั้นนับว่าสาหัสอย่างยิ่ง เป็นครั้งแรกที่ตัวเขาได้สัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้
“ท่านอย่าเพิ่งตาย ข้าจะช่วยท่านเอง” สีหน้าตื่นตระหนกปนความหวาดกลัวของนางนั้น ในสายตาของเฟยหมิงในยามนี้ ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง ตั้งแต่ได้พบพาน นางมักทำสีหน้าหยิ่งผยองและทำตัวแสนดื้อรั้นอยู่เสมอ เฟยหมิงคิดอยู่ในใจว่า นางจะช่วยเขาได้เยี่ยงไรกัน เวลานี้คงมีแต่เทียนจวินแห่งแดนสวรรค์กระมังที่จะช่วยเหลือเขาได้
ท่ามกลางเสียงร้องของวิหคเพลิงกาฬที่บินวนอยู่บนเวหา ไข่มุกมังกรเหมันต์สุกสกาวอยู่บนฝ่ามือขององค์หญิงแห่งเผ่ามังกรขาว เป็นอีกคราที่เฟยหมิงต้องพบกับความประหลาดใจ ของสิ่งนี้เป็นของวิเศษที่หาได้อยากยิ่ง มีความสามารถด้านการรักษา ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยหรือบาดแผลฉกรรจ์ทั้งหลาย
“ท่านมักทำให้ข้าประหลาดใจ...” น้ำเสียงโรยแรงนั่นทำให้ไป๋จูเบะปากราวจะร้องไห้ นี่มิใช่ว่าเขากำลังจะดวงจิตแตกดับใช่หรือไม่
“ท่านมิต้องพูดมาก” ไข่มุกมังกรเหมันต์ลอยออกจากฝ่ามือของนาง มันลอยไปอยู่เหนือศีรษะของรัชทายาทเฟยหมิง เมื่อเห็นดังนั้น ไป๋จูรีบถ่ายเทตบะหนึ่งหมื่นปีไปยังไข่มุก เพื่อใช้รักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูพละกำลังให้แก่บุรุษตรงหน้า ไข่มุกมังกรเหมันต์เมื่ออยู่กับนางจะรักษาอาการบาดเจ็บให้เอง แต่หากใช้กับผู้อื่น ไป๋จูจำเป็นต้องถ่ายทอดตบะหนึ่งหมื่นปีลงในไข่มุก นั่นเป็นเหตุผลที่นางมิสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ตามใจต้องการ เพราะจะส่งผลร้ายต่อตัวนางเอง
เมื่อเห็นดังนั้น เฟยหมิงฝืนร่างกายที่แสนเจ็บระบมของตนเองจัดท่วงท่าให้อยู่ฌานสมาธิ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง รัศมีส่องประกายเจิดจ้า นั่นส่งผลให้วิหคเพลิงกาฬหันเหความสนใจกลับมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเซียนสตรีนางนั้นกำลังใช้ไข่มุกวิเศษรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่รัชทายาทแห่งเผ่าสวรรค์ผู้นั้น ก็ให้รู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก นางช่างดวงแข็งยิ่ง ทั้งเพลิงกาฬแลห่าธนูขน ทำนางเพียงบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นน่ะหรือ
มิใช่ นางรอดมาได้เพราะบุรุษทั้งสองนั่น ตอนนี้ล้วนบาดเจ็บหนัก โอกาสนี้แหละที่จะปลิดชีพนางมาสังเวยดวงจิตให้แก่ตนได้ คิดได้เช่นนั้น ปีศาจนกยักษ์ผู้บินร่อนอยู่กลางอากาศก็สยายปีกคู่โตออกอีกครั้ง ก่อนมันจะหุบกระพือสลัดขนปีกแหลมคมพุ่งตรงลงไปหาไป๋จู ที่กำลังยืนถ่ายตบะช่วยเหลือเฟยหมิงยังเบื้องล่าง โดยที่นางหารู้ถึงภัยอันตรายที่จะเข้ามาพร่าผลาญชีวิตของตนไม่ ตอนนี้จิตของนางพุ่งตรงไปที่การรักษาชีวิตของรัชทายาทเฟยหมิงเท่านั้น
“ไป๋จู!!! ”
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
เสียงตะโกนของหลี่หลงดังขึ้นทางด้านหลัง พร้อมกับเสียงแปลกปลอมบางอย่าง นั่นทำให้ไป๋จูหลุดออกจากสมาธิ นางหันกลับไปมองอย่างเชื่องช้า สังหรณ์ใจของนางไม่ดีเท่าใดนัก ภาพที่นางได้เห็นคือ หลี่หลงยืนอยู่ด้านหลังของนาง สองมือของเขายกขึ้นสร้างเกราะกำบังให้แก่นางและรัชทายาทเฟยหมิง หลี่หลงสบตากับไป๋จูด้วยดวงตาที่ไหวระริก นี่นับเป็นครั้งแรกที่ไป๋จูได้เห็นสีหน้าเช่นนี้ เจ้าปลามังกรจอมทึ่มส่งยิ้มมาให้แก่นาง
“หลี่หลง...” โลหิตสีแดงฉานไหลออกจากมุมปากข้างหนึ่งของสหายปลามังกร หัวใจของไป๋จูหล่นวูบ ก่อนจะสังเกตเห็นวัตถุปลายแหลมหลายชิ้นถูกเสียบทะลุร่างของหลี่หลง
“มะ...ไม่ ไม่นะ” ปากของนางสั่นระริก หลี่หลงใช้ตัวของเขากำบังขนแหลมของวิหคเพลิงกาฬให้แก่นาง ภาพนี้มันตอกย้ำเหตุการณ์ในตอนนั้นอย่างชัดเจน มีผู้เสียสละชีวิตตนเองเพื่อช่วยเหลือนางอีกแล้ว
“ไม่ หลี่หลง! ” นางพุ่งตัวเข้าไปหาผู้เป็นสหายในทันที ในจังหวะที่ร่างสูงทรุดลงกับพื้น สองแขนของนางประคองศีรษะของหลี่หลงเอาไว้ เจ้าปลามังกรทึ่มนั่นยังคงส่งยิ้มให้แก่นาง ในขณะที่ใบหน้าของไป๋จูนั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อล้น ความรู้สึกของนางมันจุกอกจนมิสามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้ นางทำได้เพียงสะอึกสะอื้นราวจะขาดใจ
แม้ว่าหลี่หลงจะชอบทำให้นางรำคาญในบางครั้ง แต่เขานับเป็นสหายเพียงผู้เดียวของนาง และเป็นคนเดียวที่ดีต่อนางมาตลอด ไม่ว่าไป๋จูจะกระทำการหรือพูดจาแย่ๆ ใส่เพียงเดียว บุรุษผู้นี้ไม่เคยโกรธเกลียดนางแม้เพียงครั้งเดียว
“หลี่หลง...” เฟยหมิงที่เพิ่งลืมตาออกมาจากฌานสมาธิขานเรียกสหายร่วมรบอย่างแผ่วเบา เมื่อเขาปะติดปะต่อเรื่องราวตรงหน้าได้แล้ว ตอนนี้เขาได้พละกำลังกลับคืนแล้ว บาดแผลทั้งภายในแลภายนอกหายเป็นปลิดทิ้ง แม้ว่าพลังจะยังฟื้นคืนไม่สมบูรณ์ แต่ก็พอประมือกับปีศาจนกยักษ์นั่นได้
“ดียิ่ง...นัก ที่พวกท่าน...ปลอดภัย” ใบหน้าของหลี่หลงยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะขาดห้วง เขารู้ตัวดี อาการบาดเจ็บในตอนนี้นั้นสะเทือนถึงแก่นวิญญาณ เขามิอาจรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้แล้ว แต่เขามินึกเสียใจแม้แต่น้อย เพราะเขาสามารถรักษาชีวิตของสตรีที่เขารักเอาไว้ได้
“เจ้า...เจ้าห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด ฮึก...ขะ...ข้าจะรักษาให้แก่เจ้าเอง” ไป๋จูเอ่ยขึ้นอย่างสะอึกสะอื้น นางเรียกไข่มุกมังกรเหมันต์ออกมาอีกครั้ง แต่เป็นหลี่หลงที่ยกมือขึ้นกอบกุมรอบข้อมือของนางไว้ เขาสบตากับนางพร้อมส่ายหน้าปฏิเสธอย่างช้าๆ
“อย่าเปลืองตบะ...ของเจ้ารักษาชีวิตข้า...เลย ชีวิตนี้ได้ทำเพื่อเจ้า ถือว่า...คุ้มค่าและมิมี...สิ่งใดให้เสียดายแล้ว” ไข่มุกมังกรเหมันต์เป็นของวิเศษที่รักษาได้ทุกอย่างก็จริง แต่ข้อจำกัดของมันคือไม่สามารถรักษาผู้ที่แก่นวิญญาณบาดเจ็บหนักได้ และไม่สามารถทำให้คนตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้ หากไป๋จูฝืนที่จะทำก็มีเพียงแต่นางที่จะได้รับอันตรายจากการสูญเสียตบะมากเกินไปเท่านั้น
“จะ...เจ้าให้ข้ารักษาเจ้าเถิด เพียงตบะไม่กี่หมื่นปีขะ...ข้ามินึกเสียดาย ขอเพียงเจ้าปลอดภัย ฮึก ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนเจ้า หลี่หลง...ฮือ” นางประคองใบหน้าของสหายไว้ พร่ำพรรณนาหว่านล้อม แต่ไร้ผล หลี่หลงยังคงปฏิเสธและฝืนยิ้มส่งให้นางเพียงเท่านั้น ด้านเฟยหมิงเองมองภาพตรงหน้าแล้วสะท้อนใจยิ่ง เขาหันหลังให้แก่เซียนทั้งสอง แล้วใช้พลังของกระบี่บรรพกาลฟางเจี้ยนสร้างเขตอาคมป้องกันการโจมตีของวิหคเพลิงกาฬเอาไว้ เขาได้สั่งการทหารเซียนที่รอดชีวิตนายหนึ่งให้ขึ้นไปกราบทูลถึงสถานการณ์ต่อเผ่าสวรรค์ หวังอย่างยิ่งว่าเทียนจวินจะส่งกำลังทหารมาเสริมทัพ
ยามนี้ทหารเซียนจำนวนหนึ่งที่รอดชีวิตและไม่บาดเจ็บหนัก เพิ่งจะตามมาทัน และเริ่มโจมตีเข้าใส่วิหคเพลิงกาฬ แต่แล้วก็ถูกปีศาจนกยักษ์โจมตีกลับด้วยเพลิงกาฬจนแหลกเป็นจุณในพริบตา ภาพนี้ ดูแล้วไป๋จูคงมองไม่เห็น เพราะบัดนี้นางได้จมลงสู่ความเศร้าโศกเสียใจเสียแล้ว
“ขอเพียงเจ้ามิลืมข้า...เท่านี้ก็ถือเป็นสิ่งตอบแทนที่ดียิ่ง” หลี่หลงมินึกกล่าวโทษนาง แม้ว่าชีวิตนี้ใกล้ดับสิ้นลงแล้วก็ตาม เขาเชื่อว่าท่านพ่อ ท่านแม่ และเผ่าปลามังกรเองก็จะเข้าใจและมิกล่าวโทษนางเฉกเช่นเดียวกัน
“เจ้า...เจ้าห้ามตาย เจ้าเป็นสหายของข้า ฮือ” น้ำตาของไป๋จูเอ่อล้น หยดแล้วหยดเล่าที่ร่วงหล่นแต่มิได้ทำให้ความเสียใจของนางลดน้อยถอยลง ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าตนไร้ประโยชน์ยิ่ง ในตอนนี้นางรู้สึกตนเองช่างไร้ประโยชน์แถมเป็นภาระให้แก่ผู้อื่นไม่จบสิ้น ควรเป็นนางหรือไม่ที่ต้องตาย ไยต้องเป็นผู้อื่นรับเคราะห์แทนทุกเมื่อไป
“ข้าปักใจรักเจ้า...เยี่ยงบุรุษรัก...สตรี ขอเพียงได้รัก...เจ้าจวบจนลมหายใจสุดท้าย...เท่านั้น อย่าร้องไห้เลย ข้าอยากได้รอยยิ้มจากเจ้า หาใช่หยดน้ำตา...” หลี่หลงกล่าวในตอนที่ลมหายใจเริ่มรวยริน เขาตัดสินใจเอ่ยความในใจที่เก็บเอาไว้หลายหมื่นปี นี่คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเขา คงถึงเวลาที่ต้องบอกลานางแล้วกระมัง “ข้าต้อง...ไปแล้ว”
จบประโยคนั้น เปลือกตาของหลี่หลงก็ค่อยๆ หนักอึ้ง ก่อนจะปิดลงอย่างช้าๆ พร้อมกับดวงจิตที่แตกดับ ร่างเนื้อค่อยๆ เลือนรางกลายเป็นแสงสีทองลอยขึ้นสู่อากาศ ครอบคลุมโล่เขตอาคมไว้อีกชั้น แม้นดวงจิตจะแตกดับไปแล้ว แต่ความห่วงหาอาทร ยังคอยปกป้องนางอันเป็นที่รักอยู่เสมอแม้ไร้ซึ่งลมหายใจ
“หลี่หลง!!! ” ไป๋จูกรีดร้องด้วยความเสียใจ นางสะอื้นไห้อย่างหนัก ได้เพียงกล่าวโทษตนเองซ้ำไปซ้ำมา หากนางไม่ทะนงตนอวดเก่ง เรื่องเช่นนี้คงมิเกิดขึ้น จะมิมีใครต้องสละชีวิตเพื่อนาง ยิ่งคำสารภาพที่หลี่หลงบอกว่าปักใจรักต่อนางนั้น นางยิ่งรู้สึกผิดต่อเขามากนัก
ความทรงจำมากมายหลั่งไหลพรั่งพรู หลี่หลงปรากฏตัวอยู่ข้างกายมาตั้งแต่วัยเยาว์ เขามาคอยเล่นเป็นเพื่อนนาง แม้แต่ตอนที่นางโดนกักบริเวณ จนกระทั่งได้ออกมาเผชิญโลก ในตอนที่ตกอยู่ในอันตรายเป็นภัยถึงชีวิต ล้วนเป็นหลี่หลงที่สละตนปกป้องอย่างมิห่วงชีวิต
ในตอนนี้นางล้วนแล้วเข้าใจในการกระทำของเขา หากย้อนกลับไปได้ แม้จิตใจมิอาจตรงกัน แต่นางก็จะทำดีกับเขาให้มากกว่านี้
กว่าไป๋จูจะเห็นคุณค่าและความสำคัญของสหายผู้นี้ นั่นย่อมสายไปเสียแล้ว
หลี่หลงจากไปแล้ว ไป๋จูยังคงนั่งฟุ่บอยู่ที่เดิม นางยังคงวนวียนอยู่กับการกล่าวโทษตนเองซ้ำไปซ้ำมา เฟยหมิงเห็นดังนั้นคิดว่าคงมิได้การ ยามนี้กองทัพเสริมจากสวรรค์ยังมิมีเค้าลางจะปรากฏ และเขตอาคมที่สร้างขึ้นนี้ก็มิรู้ว่าจะต้านทานวิหคเพลิงกาฬได้อีกนานเท่าใด แม้พลังเซียนบางส่วนของหลี่หลงจะผนวกรวมเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง แต่ปีศาจบรรพกาลตนนั้นก็แข็งแกร่งอย่างมาก ตอนนี้เขตอาคมเริ่มสั่นคลอนแล้ว
“หลี่หลงจากไปแล้ว แต่วิหคเพลิงกาฬยังมิถูกกำจัด หากท่านอยากแก้แค้นให้สหาย มาร่วมสู้กับข้าสักครั้งดีหรือไม่” ไป๋จูค่อยๆ หันไปมองรัชทายาทแห่งแดนสวรรค์ผ่านม่านน้ำตา ยามนี้จิตใจของนางห่อเหี่ยวนัก มิอยากทำสิ่งใด หางตาของนางเหลือบแลเห็นว่าเจ้าปีศาจนกยักษ์นั่นกำลังโจมตีใส่เขตอาคมอย่างมิหยุดหย่อน มันแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งเกินกว่าคนไร้ประโยชน์เช่นนางจะทำสิ่งใดได้
“ท่านรีบหนีไปเถิด...” นางกล่าวออกไปสั้นๆ มิได้พูดสิ่งใดออกมาอีก เฟยหมิงได้ยินเช่นนั้นก็งุ่นง่านในใจยิ่ง ไยนางทำตัวหมดอาลัยตายอยาก เรื่องความเป็นความตายในสนามรบ มิใช่ว่าเขาได้บอกแก่นางไปก่อนหน้าจะลงมายังแดนมนุษย์แล้วหรือ
“กระบี่ไป๋เจี้ยนเป็นของเทพสงครามแห่งแดนสวรรค์ มีปณิธานปกป้องสี่ทะเลแปดดินแดน กำจัดเหล่ามารปีศาจ ปราบเหล่าอธรรม เห็นทีครานี้จะเลือกเจ้านายผิดเสียแล้วกระมัง” คำพูดนี้ของรัชทายาทเฟยหมิงสะกิดใจนางนัก ใช่ นั่นเป็นปณิธานของนางมาแต่แรกเริ่ม นางเป็นเจ้าของกระบี่ปราบมาร แต่บัดนี้กลับนั่งหัวหดอย่างหวาดกลัว น่าสมเพชยิ่งนัก
นางเงยหน้ามองผืนนภา เสียงของวิหคเพลิงกาฬยังคงร้องกู่ก้อง มันบินวนอยู่ในอากาศเหนือศีรษะของนางและรัชทายาทเฟยหมิงราวกับต้องการหาช่องโหว่ของเขตอาคม พร้อมกับโจมตีเข้าใส่อย่างไม่หยุดพัก ไป๋จูกำหมัดแน่น เจ้าปีศาจร้ายตนนี้พร่าผลาญชีวิตผู้อื่น รวมถึงสหายเพียงหนึ่งเดียวของนาง
ใช่ นางตั้งใจออกมาผจญโลกเพื่อปราบเหล่ามาร คืนความสงบสุขให้แก่สี่ทะเลแปดดินแดน
คิดได้เช่นนั้น ปราณของกระบี่ไป๋เจี้ยนที่หล่นอยู่บนพื้นก็ลุกโชน ราวกับว่ามันเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้เป็นนาย ไป๋จูมองกระบี่คู่กายก่อนจะคว้าขึ้นมาถือไว้ นางหยัดกายลุกขึ้น สายตาพุ่งตรงไปยังปีศาจนกยักษ์อย่างแน่วแน่ นางจะสังหารมันให้สิ้นในวันนี้ คืนความยุติธรรมให้แก่ทุกชีวิต
เลือดในกายของนางร้อนขึ้นราวน้ำทะเลเดือด อีกทั้งรับรู้ได้ว่ามีพลังมหาศาลกำลังไหลเวียนอยู่ในกาย เป็นพลังจากกระบี่บรรพกาลไป๋เจี้ยนไม่ผิดแน่
เฟยหมิงมองสำรวจสตรีตรงหน้าอีกครั้ง ท่าทางของนางดูแปลกไป ปราณกระบี่แผ่ซ่านไปทั่วร่างของนาง รวมถึงไอมังกรมหาศาลก็ถูกปลดปล่อยออกมา จนเขาเองยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันน่าเกรงขามที่พวยพุ่งออกมาจากองค์หญิงแห่งบูรพา
“ถึงเวลาที่เจ้าต้องชดใช้ความผิดบาปของตัวเองแล้ว” ไป๋จูตะโกนก้อง วิหคเพลิงกาฬจับจ้องมายังนาง มันยังคงทะนงตน เชื่อว่าฤทธิ์เดชของตนนั้นมิมีใครจะต่อกรได้ “ท่านอ้อมไปทางด้านหลัง ข้าจะต้านมันไว้เอง”
ว่าจบ องค์หญิงแห่งเผ่ามังกรขาวก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ห้วงนภา เผชิญหน้ากับปีศาจนกยักษ์แสนชั่ว มันไม่รอช้าที่จะโจมตีเข้าใส่นาง ทางด้านของรัชทายาทเฟยหมิง แม้จะรู้สึกตื่นตะลึงกับการกระทำของนางอยู่บ้าง แต่เขาก็ทำตามที่นางบอก แอบอ้อมไปโจมตีทางด้านหลังโดยที่วิหคเพลิงกาฬมิทันจะได้หันกลับมาสนใจ กระบี่ฟางเจี้ยนฟาดฟันเข้าใส่ปีกซ้ายของวิหคเพลิงกาฬ มันกรีดเสียงร้องอย่างเจ็บปวด แล้วเปลี่ยนเป้าหมายกลับมาโจมตีใส่เขาแทน นั่นเป็นการเปิดโอกาสให้ไป๋จูตวัดกระบี่ไป๋เจี้ยนเข้าใส่กลางหลังของมันอย่างจัง
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดกลางเวหา แม้วิหคเพลิงกาฬจะได้รับแผลฉกรรจ์ในหลายจุด แต่มันก็ยังไม่แสดงท่าทีเพลี่ยงพล้ำเสียเปรียบแม้แต่น้อย เฟยหมิงได้แต่คิดในใจว่ามันเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งดังเช่นที่ในตำราบันทึกไว้จริงๆ ส่วนทางด้านไป๋จูนั้น นางขยับตัวว่องไว ร่ายรำกระบี่ไป๋เจี้ยนเข้าใส่ศัตรูนับครั้งไม่ถ้วน สลับกับคืนร่างเป็นมังกรขาวพุ่งเข้ากัดศัตรูตรงหน้าไปหลายจุด
การต่อสู้ของนางนี้ ทำให้รัชทายาทแห่งแดนสวรรค์อดที่จะชื่นชมอยู่ในใจมิได้ คล่องแคล่วว่องไว กระบวนท่ารำกระบี่แข็งแกร่งหนักหน่วง ท่วงท่าโจมตีล้วนแปลกพิสดารยิ่ง ทำเอาเจ้าปีศาจนกยักษ์นี่ได้เพียงแต่ตั้งรับเท่านั้น การต่อสู้ในครั้งนี้กลับกลายเป็นว่าเขาเสียเองที่คอยสนับสนุนนางด้วยการทำลายสมาธิของศัตรู นางช่างแตกต่างไปจากก่อนราวเป็นคนละคน
ไม่นานนักวิหคเพลิงกาฬผู้แสนทะนงตนก็เริ่มอ่อนแรง มันเสียสมาธิจนมิสามารถจับทิศทางของศัตรูได้ ส่งผลให้การโจมตีในแต่ละครั้งมิสามารถทำอันตรายแก่เทพเซียนทั้งสองได้เลย สุดท้ายแล้วมันก็ทำได้เพียงพ่นเพลิงกาฬออกจากปาก กวาดไฟผลาญไปรอบทิศทางด้วยความแค้นใจที่สุมอยู่ในอก จะแพ้ได้เยี่ยงไร กับแค่เซียนน้อยที่ไม่ประมาณตนผู้นั้น จะมาเทียบเคียงปีศาจผู้องอาจเช่นตนได้อย่างไรกัน มันคิดอย่างรู้สึกอัปยศ แม้แต่ในสงครามเทพมารครั้งนั้น แม้แต่เหล่าเทพบรรพกาลร่วมมือกันยังมิอาจสังหารมันได้ ยิ่งเซียนสตรีผู้นั้น นางดูแข็งแกร่งขึ้นจนผิดแผกไปจากก่อนหน้านี้อย่างมาก หรือจะเป็นเพราะกระบี่ไป๋เจี้ยนในมือของนาง ช่างแข็งแกร่งสมกับเป็นกระบี่ปราบมารโดยแท้ แต่หากพลังของมันฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์ จะต้องไม่เสียเปรียบเช่นนี้แน่
ไป๋จูพุ่งตัวสูงขึ้นไปเหนือร่างของวิหคเพลิงกาฬ นางตั้งใจจะปักกระบี่ลงกลางหน้าผากของมัน หลี่หลงเคยบอกเอาไว้ว่าจุดตายของปีศาจนกยักษ์ตนนี้อยู่ที่กลางหน้าผาก แต่ในจังหวะที่นางรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่กระบี่ และตั้งใจจะพุ่งตัวลงไปหาร่างของศัตรู จู่ๆ ร่างของเจ้าปีศาจนกนั่นก็หายไปต่อหน้าต่อตา ไป๋จูกวาดตามองโดยรอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไร้วี่แววของวิหคเพลิงกาฬในอาณาบริเวณนี้เสียแล้ว
“หายไปได้อย่างไร” นางพึมพำอย่างคับแค้นใจ หลังจากที่สองเท้าเหยียบย่างลงบนพื้นดิน ที่บัดนี้เต็มไปด้วยความเสียหายจากการต่อสู้
“มีคนมาช่วยพามันหนีไป หากเดามิผิด คงเป็นราชามารหูหลี่จิ้ง...” เฟยหมิงเองก็รู้สึกคับแค้นใจมิต่างกัน การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขาสูญเสียผู้คนของเผ่าสวรรค์ไปไม่น้อย แถมยังมิอาจสังหารวิหคเพลิงกาฬตามที่ได้รับคำสั่งมาได้ เห็นทีกลับไปครานี้มิวายต้องถูกตำหนิจากราชาแห่งแดนสวรรค์
“มิใช่ว่าท่านทำให้คนผู้นั้นเจ็บนัก จนหนีกลับแดนมารไปแล้วหรือ” ไป๋จูถามอย่างข้องใจ นางนึกว่าหูหลี่จิ้งถูกปราบจนหนีกลับไปเลียบาดแผลที่แดนมารแล้วเสียอีก ไยจึงโผล่มาช่วยปีศาจตนนั้นไปได้แล้ว
“ราชามารผู้นี้ลงทุนกับวิหคเพลิงกาฬไปมาก คงมิยอมเสียผลประโยชน์ วันหนึ่งสงครามเทพมารคงอุบัติขึ้นอีกครั้ง” เฟยหมิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขึงเครียด เขาเองก็สูญเสียพลังไปมาก มิอาจเสี่ยงตามล่าไปยังแดนมารได้ ทำได้เพียงกลับไปแดนสวรรค์เท่านั้น สายตาคู่คมกวาดมองขึ้นเหนือท้องฟ้า บิดาของเขามิได้ส่งทัพเสริมมาเป็นแน่แท้แล้ว หากไม่มีไป๋จู ชีวิตของรัชทายาทแดนสวรรค์ผู้ไร้พ่ายคงดับดิ้นลงสู่ปรโลก
เสด็จย่าของเขาช่างมองการได้ไกลยิ่ง
“กลับไปตำหนักสวรรค์กับข้า พวกเรามีเรื่องต้องกราบทูลต่อเทียนจวิน” เอ่ยจบ รัชทายาทก็คว้าข้อมือของสตรีข้างๆ ไว้ เขาใช้วิชาหายตัว พานางผ่านเข้าประตูสวรรค์ นางเห็นมีทหารเซียนยืนทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม ผ่านประตูเข้ามาก็พบเจอกับทิวทัศน์งดงาม ไป๋จูรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เพิ่งพบเห็น แต่การเคลื่อนที่ของรัชทายาทแห่งสวรรค์นี้รวดเร็วนัก นางมิทันได้ชมภาพเหล่านั้นได้ถนัดตา รู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่ที่บันไดขั้นล่างสุดของตำหนักสวรรค์
เหลือบสายตาขึ้นมองบันไดแก้วเหล่านี้ ที่สุดสายตาปรากฏตำหนักใหญ่โตโอ่อ่าอยู่ด้านบน นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาเยือนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า วิจิตรงดงามสมคำร่ำลือ นางเห็นรัชทายาทเฟยหมิงเอ่ยกับทหารเซียนเฝ้าบันไดสองสามคำ ก่อนจะเห็นว่าทหารเซียนผู้นั้นรีบขึ้นบันไดแล้วหายเข้าไปในตำหนักครู่หนึ่ง
“องค์ไท่จื่อ เทียนจวินและเทพทั้งหลายรอพระองค์อยู่ในตำหนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทหารเซียนผู้นั้นกลับมารายงานด้วยท่าทีนอบน้อม ไป๋จูสังเกตเห็นว่าเขาแอบเหลือบสายตาขึ้นมองที่นาง พอเห็นว่านางกำลังมองอยู่ก็รีบก้มหน้าก้มตา กลับไปยืนประจำตำแหน่งของตนเช่นเดิม
“ไปเถิด” รัชทายาทเฟยหมิงหันมาเอ่ยกับนาง ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำขึ้นไป ไป๋จูรู้สึกตื่นเต้นและกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก นางอยากหันกลับไปปรึกษาหลี่หลง แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าสหายปลามังกรมิได้อยู่ข้างกายอีกต่อไปแล้ว พอนึกได้เช่นนั้นความตื่นเต้นก็ลดน้อยถอยลง ความเศร้าเกาะกุมหัวใจของนางอีกครา
“เฟยหมิง...ดียิ่งนักที่เจ้าปลอดภัย” ทันทีที่สองเท้าก้าวล่วงเข้าสู่ตำหนักสวรรค์ น้ำเสียงของเทียนโฮวก็ดังขึ้นก่อนผู้ใด พระนางรู้สึกโล่งใจอย่างยิ่งที่เห็นว่าบุตรชายกลับมาอย่างปลอดภัย ก่อนหน้านี้ที่ทหารเซียนนายหนึ่งกลับมารายงานและขอทัพเสริม พระนางรู้สึกกระวนกระวายใจยิ่ง สวามีของพระนางก็ช่างใจร้ายใจดำ มิยอมส่งทัพเสริมลงไปช่วย ปากพร่ำบอกแต่ว่าเชื่อมั่นในตัวบุตรชาย
“ลูกปลอดภัยดี เสด็จแม่โปรดคลายพระทัย” หลี่หลงเอ่ยตอบด้วยท่าทีอ่อนน้อม
นั่นน่ะหรือราชินีแห่งแดนสวรรค์ รูปร่างหน้าตาแลกิริยาท่วงท่าช่างสง่างาม ใบหน้าของพระนางช่างดูอ่อนโยนยิ่ง ไป๋จูรำพึงรำพันกับตนเองในใจ
“ปลอดภัยมาก็ดีแล้ว แต่เจ้าก็ทำหน้าที่ได้มิสำเร็จ แถมยังสูญเสียทหารเซียนไปเกือบทั้งหมด” ใบหน้าของเทียนจวินในสายตาของไป๋จูนั้นช่างเคร่งขรึมอย่างยิ่ง หน้าตาดุกว่าบิดาของนางเสียอีก
“ลูกบกพร่องต่อหน้าที่ ขอเทียนจวินโปรดลงโทษ” จู่ๆ เฟยหมิงก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าอย่างต้องการรับโทษ ไป๋จูที่เดินตามหลังมาถึงกับสะดุ้งตกใจจนเผลอทิ้งตัวคุกเข่าตามไปด้วย “ท่านจะคุกเข่าทำไม ลุกขึ้น”
“แล้วท่านจะคุกเข่าทำไมเล่า” นางกระซิบตอบคนด้านหน้าที่หันมาทำเสียงดุใส่ มิใช่เพราะเขาหรือที่ทำนางตกใจจนสร้างความขบขันให้แก่เหล่าเทพองค์อื่นๆ ในตำหนัก นางหูดีนะ ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากเหล่าเทพเซียนที่นั่งอยู่ทั้งสองข้างของทางเดิน
“เซียนสตรีผู้นี้...” สายตาของเทียนจวินพุ่งตรงมายังไป๋จู เห็นดังนั้นนางก็รีบทำความเคารพอย่างนอบน้อมในทันที
“คารวะเทียนจวิน เทียนโฮว ข้าเป็นบุตรีแห่งราชามังกรไป๋หลง นามว่าไป๋จูเพคะ”
ความคิดเห็น