คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : OVERLOAD || Episode 4 [100%]
Episode 4
“ไม่เห็นจะเก่งเหมือนปาก...” เสียงแหบพร่ากระซิบอยู่ชิดกับริมฝีปากของฉัน เหมือนเปิดโอกาสให้ฉันได้หายใจ ก่อนที่เขาจะทาบริมฝีปากของตัวเองลงมาอีกครั้ง จูบของเขาทั้งเรียกร้องและรุนแรง แม้ว่าฉันพยายามที่จะต่อต้าน แต่ดูแล้วเรี่ยวแรงของฉันคงไม่มากพอที่จะต่อต้านเขา
ตราบฟ้าเปลี่ยนจากกดแขนมากดไหล่ที่ช้ำของฉันแทน การกระทำนั้นทำให้ฉันร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทันที ซึ่งนั่นเป็นการเปิดโอกาสให้ลิ้นร้อนชื้นของตราบฟ้ารุกล้ำเข้ามาภายในโพรงปากนุ่มของฉัน รสชาติของแอลกอฮอล์ถูกส่งผ่านมาหาฉันผ่านทางลิ้นของเขา มือที่ยังเป็นอิสระของฉันพยายามผลักไสร่างสูงให้ออกห่าง แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะผละออกไปฉันก็เริ่มทุบไปตามร่างกายของเขามากเท่าที่จะทำได้ ตราบฟ้าส่งเสียงครางในลำคออย่างไม่พอใจ เขาเพิ่มแรงกดที่หัวไหล่และกดจูบรุนแรงขึ้นจนฉันรู้สึกทั้งเจ็บจนอยากกรีดร้องออกมา
“ตราบฟ้า...” ตราบฟ้าผละออกจากริมฝีปากของฉันแต่ไม่ได้ผละห่างออกไป เขาเริ่มใช้ริมฝีปากของตัวเองซุกไซ้ลงไปที่บริเวณแอ่งชีพจร ดูดดึงจนฉันรู้สึกเจ็บแปลบทุกบริเวณที่เขาเข้าครอบครอง เรี่ยวแรงที่คิดจะผลักไสลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ฉันไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้าของตัวเองหายไปจากร่างตอนไหน ความรู้สึกแปลกๆ เข้ามาจู่โจมจนร่างกายและความรู้สึกเริ่มจะไม่เชื่อฟังเสียงร้องประท้วงภายในใจ
“ฉันจะทำให้เธอจำผู้ชายคนแรกของเธอได้และลืมผู้ชายทุกคนที่เธอเคยผ่านมา...” ฉันจับใจความไม่ได้ว่าตราบฟ้าพูดอะไร น้ำเสียงเขาดูมีเสน่ห์มากในเวลานี้ ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปตามเรือนร่างของฉันก่อนจะวกขึ้นมากอบกุมหน้าอกอวบอิ่ม เขาบีบมันเบาๆ ก่อนที่ทั้งร่างของฉันจะสะดุ้งเฮือกเมื่อเขาเริ่มใช้ริมฝีปากครอบครองมัน
“ฟะ...ฟ้า...หยะ...หยุด” ฉันพยายามเรียกสติตัวเอง แบบนี้ไม่ได้...จะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไม่ได้
“ร่างกายเธอต้องการฉันมากขนาดนี้ ยังจะปากแข็งอีกเหรอ” เขายันตัวขึ้นมองฉันพร้อมรอยยิ้มเหยียดๆ ที่เขาชอบทำ
“ออกไป” ฉันรวบรวมเรี่ยวแรงและสติอีกครั้งเพื่อผลักเขาให้ออกห่าง และดูเหมือนเขาจะยอมถอยออกไปอย่างง่ายดาย ฉันกวาดตามองหาเสื้อผ้าของตัวเอง พบว่ามันถูกเหวี่ยงไปอยู่ที่ปลายเท้า ฉันรีบยันตัวลุกขึ้นคว้าเสื้อผ้าทั้งหมดแล้ววิ่งไปหลบอยู่ในห้องน้ำ
ส่วนตราบฟ้า ฉันเห็นว่าเขาออกไปยืนอยู่ที่ระเบียงแล้วก่อนที่ฉันจะหายเข้ามาในห้องน้ำ หัวใจของฉันเต้นรัว หากเมื่อกี้ฉันและเขาเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปประวัติศาสตร์มันต้องซ้ำรอยแน่
ฉันต้องระวังตัวและมีสติให้มากกว่านี้
หลังจากที่เกือบจะเกิดเรื่องระหว่างฉันกับตราบฟ้าในวันนั้น นี่ก็ผ่านมาได้หลายวันแล้วและฉันก็ได้กลับมาเรียนตามปกติ วันแรกที่มาเจอทั้งเพื่อนๆ ที่รุมเข้ามาถาม เจอทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาเรียกพบ เจอพี่ไม้ผู้จัดการร้านสะดวกซื้อที่ฉันทำงานพาร์ทไทม์อยู่ดุไปชุดใหญ่ ยังดีที่เขาใจดีไม่ไล่ฉันออก ฉันจึงได้กลับมาทำงานตามปกติจนถึงตอนนี้
ข้ออ้างที่ฉันบอกทุกคนไปคือฉันประสบอุบัติเหตุโดยอ้างจากแผลตามตัว ก็ยังดีนะที่ทุกคนไม่ขอดูใบรับรองแพทย์ ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันให้ฉันระมัดระวังตัวมากกว่านี้
“เจ้าขาจะกลับไปพักก่อนไหม วันนี้ดูไม่ค่อยมีสติเลยนะ” พี่ไม้ที่เดินออกมาจากหลังร้านตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เอ่ยถามฉันที่กำลังยืนถือไม้ถูพื้นนิ่ง
ฉันกำลังคิดเรื่องตราบฟ้าน่ะ เขาหายไปตั้งแต่วันนั้น เขาที่ประกาศปาวๆ ว่าเกลียดฉัน จู่ๆ ก็หายไปเสียเฉยๆ
“นั่นสิเจ้าขา เพิ่งจะหายดีด้วย” น้อยหน่าซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของฉันเอ่ยขึ้น เธอเป็นผู้หญิงตัวกลมๆ น่ารักและนิสัยดีมากคนหนึ่ง
“โอ๊ย ประคบประหงมกันเข้าไป๊ หยุดงานไปตั้งหลายวันยังไม่โดนไล่ออก ไม่รู้มีดีอะไร! ” พี่ปราง ซึ่งเป็นรองผู้จัดการร้านเอ่ยแขวะฉัน เธอไม่ค่อยชอบฉันมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
“ปราง เมื่อไหร่จะเลิกอคติสักที” พี่ไม้เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญ
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ไม้ อีกชั่วโมงเดียวก็หมดเวลางานแล้ว” ฉันเอ่ยตอบเพราะเกรงใจและตัดปัญหา ไม่อยากจะให้พวกเขามาโต้เถียงกันเรื่องของฉัน ตอนนี้ในร้านไม่มีลูกค้า พวกเราจึงไม่ค่อยยุ่งสักเท่าไหร่ ฉันสลัดความคิดอื่นๆ ในหัวทิ้งไปและตั้งใจทำงานจนถึงเวลาเลิกงานของตัวเอง
และเพราะเลิกงานดึกมาก ตอนนี้ถนนจึงโล่งเป็นพิเศษ จะหารถกลับสักคันนั้นค่อนข้างยาก ฉันแวะกินข้าวต้มรอบดึกริมทาง พออิ่มแล้วก็เดินมาเรื่อยๆ กว่าจะถึงหอที่พักก็ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง ความจริงร้านสะดวกซื้อที่ฉันทำงานอยู่ตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัย เมื่อก่อนฉันจึงไม่ลำบากเวลาเลิกงานดึก เดินสักครึ่งชั่วโมงก็ถึงหอพักแล้ว แต่พอย้ายหอก็ต้องใช้เวลาเดินกลับนานขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก สองขาของคนจะสู้ล้อของยานพาหนะได้ไงล่ะ เห็นทีฉันคงต้องออมเงินถอยรถจักรยานสักคัน
พรึ่บ
ฉันเดินขึ้นหอพักมาอย่างเหนื่อยอ่อน ยืนหากุญแจห้องในกระเป๋าเพียงครู่เดียวก่อนจะใช้มันไขเข้าไปในห้อง สองเท้าของฉันหยุดชะงักลงเมื่อเอื้อมมือไปเปิดไฟและพบว่าร่างสูงของตราบฟ้านั่งนิ่งอยู่บนโซฟา เขากำลังนั่งสูบบุหรี่ ไม่มีทีท่าจะหันมามองฉันที่เพิ่งเดินเข้ามา ฉันรู้สึกประหม่าและกำลังคิดว่าจะเป็นฝ่ายทักทายเขาก่อนดีหรือเปล่า
“ไปไหนมา” เสียงเข้มเอ่ยถามตอนที่ฉันวางกระเป๋าสะพายของตัวเองลงบนชั้นวางข้างหัวเตียง
“ทำงานน่ะ” ฉันเผลอกลั้นหายใจไปโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะตอบออกไป
“งานอะไร? ” คราวนี้ตราบฟ้าหันหน้ามามองฉัน แววตาของเขาดูว่างเปล่าแต่ก็แฝงด้วยแววชิงชัง
“งานพาร์ทไทม์...” ฉันตอบและเลือกเบนสายตาไปจากเขา ตอนนี้มันดึกมากๆ แล้ว ฉันคิดว่าฉันควรรีบอาบน้ำเพื่อเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ฉันมีเรียนเช้า ส่วนตราบฟ้า...เขาคงจะกลับไปเองเมื่อเห็นว่าฉันเข้านอนแล้วละมั้ง ฉันไม่แปลกใจหรอกที่เขาเข้ามาในห้องได้ เขาเป็นคนเช่าก็คงไม่แปลกถ้าเขาจะมีกุญแจสำรอง
“เป็นสาวไซด์ไลน์น่ะเหรอ หึ...” จบประโยคของเขา มือที่กำลังถือผ้าเช็ดตัวอยู่ของฉันถูกกำจนแน่น ฉันเลือกจะเงียบแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำ อธิบายไปแล้วฉันได้อะไรงั้นเหรอ เขาคิดว่าฉันเป็นแบบนั้นแบบนี้ไปแล้ว ต่อให้ฉันจะอธิบายความจริงยังไงเขาก็ไม่มีทางเปิดหูเปิดตารับฟัง ยังไงเขาเองก็คงไม่คิดจะมองฉันดีไปมากกว่านี้ ในเมื่อฉันคือผู้หญิงร้ายกาจที่ทำร้ายเขาในอดีต
ไม่แน่ใจนักว่าฉันใช้เวลาในห้องน้ำไปนานเท่าไหร่ แต่มันก็คงนานพอที่จะทำให้ร่างสูงของตราบฟ้าเลือกที่จะกลับไป ฉันใช้เวลาอาบน้ำแค่สามสิบนาที ส่วนที่เหลือ...มันเป็นการระบายความอ่อนแอของฉัน ทั้งๆ ที่บอกให้ตัวเองเข้มแข็งและเลือกจะไม่ใส่ในสิ่งที่คนอื่นมองแท้ๆ แต่พอคนคนนั้นเป็นตราบฟ้าฉันกลับเสียน้ำตาได้ง่ายๆ
และในคืนนั้นฉันฝัน มันเป็นฝันที่ดีจนฉันแทบไม่อยากจะลืมตาตื่น ฉันฝันเห็นตราบฟ้า เขานั่งลงบนเตียงข้างๆ ฉันและกุมมือฉันไว้ สายตาของเขาช่างอ่อนโยนและรอยยิ้มก็แสนจะอบอุ่น เขาโน้มตัวลงมาจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากของฉันเบาๆ มันเป็นฝันที่เหมือนจริงมาก แต่ฉันรู้ดีว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นความจริงไปได้
ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าที่ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ ไม่มีร่องรอยใครอยู่ในห้อง ไม่มีร่องรอยใครมานั่งข้างๆ ทุกอย่างก็แค่ความหวังที่ฉันสร้างขึ้นมาจากส่วนลึกภายในจิตใจ สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น
“ช่วงนี้แกดูไม่ค่อยสดใสเลยนะ” เพื่อนในกลุ่มเอ่ยทักขึ้น ตอนนี้เรากำลังนั่งรออาจารย์มาเข้าสอน ความจริงแล้วฉันไม่มีเพื่อนสนิท กลุ่มปัจจุบันนี่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมากนัก หรือความเป็นจริงแล้วมีแค่ฉันที่รู้สึกไม่สนิทกับพวกเธอเสียเอง
“ใช่ แกไม่เป็นไรแล้วแน่นะ? ” เพื่อนอีกคนถามขึ้น
“แค่พักผ่อนน้อยน่ะ ขอบใจนะ” ฉันตอบพร้อมริมฝีปากที่แต่งแต้มรอยยิ้มเพื่อให้เพื่อนๆ สบายใจ
“ก็คงรับแขกจนดึกดื่นน่ะสิ เมื่อคืนตอนดึกๆ ฉันยังเห็นเดินอยู่ข้างถนนเลย สงสัยจะหาเหยื่อ” เพื่อนร่วมสาขาที่นั่งอยู่ด้านหลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลนก่อนจะหันไปหัวเราะกับกลุ่มเพื่อนของเธอ
“แล้วดึกดื่นตามที่เธอว่านั่นเธอออกไปทำอะไร หรือหาเหยื่อเหมือนกัน? ” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นก่อนที่จะมีคนนั่งลงข้างๆ ฉัน
“พูดบ้าอะไรของนายฮะซัน! ” ฉันหันไปมอง ‘ซัน’ ที่กำลังนั่งทำหน้าร้ายกาจใส่เพื่อนที่อยู่ด้านหลัง หมอนี่ก็เป็นเพื่อนอีกคนในกลุ่มเช่นกัน เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในกลุ่ม
“ถ้าไม่จริงแล้วจะโกรธทำไมอะบิว? ” ซันมักเข้ามาปกป้องฉันแบบนี้เสมอ
“พอแล้วซัน อาจารย์เข้าสอนแล้ว” ฉันสะกิดแขนซันเป็นการเตือน ฉันไม่อยากให้ตัวเองเป็นจุดเริ่มต้นในการทะเลาะกันของคนอื่น ประจวบเหมาะกับที่อาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามาพอดี นั่นทำให้ซันและบิวหยุดทะเลาะกัน ซันมักเป็นคนที่คอยปกป้องฉัน ต่างจากเพื่อนในกลุ่มคนอื่นที่มักจะนิ่งเงียบ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ฉันบอกว่าไม่ค่อยสนิทกับพวกเธอเท่าไหร่
“เจ้าขา วันนี้ต้องไปทำงานไหม? ” ซันกระซิบถามฉัน
“วันนี้เป็นวันหยุดของเราน่ะ” ฉันเอ่ยตอบเบาๆ ในขณะที่สายตายังโฟกัสไปยังอาจารย์ที่กำลังยืนสอนอยู่ด้านหน้า
“เรียนเสร็จไปดูหนังกัน” ประโยคถัดมาของซันทำให้ฉันต้องรีบหันไปมอง แต่กลายเป็นว่าซันไม่ได้มองมาที่ฉันและเขากำลังมองไปด้านหน้าเช่นกัน เขาคงอยากนัดกลุ่มเพื่อนไปเที่ยวด้วยกันตามปกติแหละมั้ง และฉันเองก็ว่างด้วย
“เอาสิ” ฉันตอบรับและเราทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ
วันนี้ฉันมีเรียนแค่สองวิชา หลังจากวิชาสุดท้ายจบลง ฉันจึงย้ายตัวเองมายังห้างที่ใกล้มหาวิทยาลัยที่สุด ฉันยืนอยู่หน้าโรงหนังกับซันโดยปราศจากร่างของเพื่อนคนอื่นๆ ก็ว่าจะถามตั้งแต่แรกเหมือนกันว่าทำไมไม่รอเพื่อนคนอื่นๆ ก่อน
“ทำไมเพื่อนๆ ยังไม่มากันอีกล่ะ” ฉันเอ่ยถามหลังจากที่ซันกลับมาพร้อมตั๋วหนังและป๊อปคอร์น เขาบอกว่าวันนี้เขาจะเลี้ยงหนังฉัน
“ไม่รู้สิ เราไม่ได้ชวน” ซันตอบด้วยใบหน้าเรียบๆ ก่อนจะยิ้มให้ฉันนิดๆ
“เราคิดว่านายจะพาเพื่อนๆ มาเลี้ยงหนังซะอีก...” ฉันรู้สึกวางตัวไม่ถูกหลังจากที่ได้ยินคำตอบจากเขา
“มนุษย์เป็นสัตว์สังคมก็จริง แต่ก็ต้องแยกแยะด้วยว่าสังคมไหนควรให้ใจ” ซันเอ่ยออกมาก่อนจะเดินนำฉันเข้าไปด้านใน เขากำลังจะบอกว่าฉันเป็นเพื่อนที่เขาให้ใจ แต่คนอื่นๆ ไม่งั้นเหรอ? ตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจในความคิดและการกระทำบางอย่างของซันนัก ซันจัดเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมากคนหนึ่งและเป็นผู้ชายแท้ๆ แทนที่เขาจะสุงสิงกับเพื่อนๆ ผู้ชาย เขากลับเข้ามาหาผู้หญิงกลุ่มเล็กๆ
หลังจากดูหนังจบซันก็พาฉันไปหาอะไรกิน นอกจากเลี้ยงหนังแล้วเขาก็บอกจะเลี้ยงข้าวด้วย แม้ว่าฉันจะปฏิเสธยังไงเขาก็ยังยืนกรานที่จะเลี้ยงให้ได้จนฉันหมดปัญญา ฉันรู้ว่าฐานะทางบ้านของซันค่อนข้างจะดีมาก แต่ฉันไม่อยากขึ้นชื่อว่าเกาะเพื่อนกินหรอกนะ ซันดีกับฉันทุกอย่างจนฉันรู้สึกเกรงใจไปหมดแล้ว
“เราอยากไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านหลังมออะ” ฉันเอ่ยขึ้นเมื่อเขาบอกให้ฉันเป็นคนเลือกร้าน
“ก็ดีนะ เราไม่ได้ไปกินร้านนั้นด้วยกันนานแล้ว” เขาตอบรับก่อนจะขอตัวกลับไปเอารถที่คณะ คือตอนที่มาห้างเราเดินกันมาเพราะห้างนี้อยู่ใกล้มหาวิทยาลัย บวกกับการจราจรที่ค่อนข้างติดขัดพวกเราจึงเลือกที่จะเดิน แต่ร้านก๋วยเตี๋ยวนี้ตั้งอยู่หลังมอ ค่อนข้างจะไกลอยู่หากต้องเดินไป ดังนั้นซันจึงอาสากลับไปเอารถ
ฉันมองตามหลังซันที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ พลันในใจก็คิดถึงใครบางคน หากเปลี่ยนจากซันเป็นเขาที่พาฉันไปดูหนัง พาไปกินข้าว ขับรถกินลมชมวิว...มันคงจะดีมากแน่ๆ
หมับ
“อ๊ะ! ” เพราะมัวแต่คิดเรื่องเพ้อเจ้อฉันจึงไม่ทันสังเกตว่ามีคนมาจอดรถเทียบฟุตปาธ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คนขับรถคันนั้นเดินเข้ามาคว้าต้นแขนและออกแรงกระชากให้เดินไปขึ้นรถ “ตราบฟ้า! ”
“ใช่ ผิดหวังเหรอที่ไม่ใช่ไอ้งั่งนั่น? ” เขากดหัวฉันให้ก้มลงแล้วดันตัวฉันเข้าไปนั่งที่เบาะหน้าข้างคนขับ ทิ้งท้ายด้วยการจิกกัดก่อนจะปิดประตูใส่หน้าฉันอย่างแรงจนหูฉันอื้อไปหมด เขาเดินอ้อมกลับมานั่งที่ตำแหน่งของตัวเองก่อนจะออกรถไปจากบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว โชคดีที่การจราจรไม่อำนวยนักเขาจึงไม่สามารถจะเร่งเครื่องให้เร็วไปกว่านี้ได้ ฉันจำได้ว่าตราบฟ้าขับรถได้เร็วมากแค่ไหน จำได้ด้วยว่าความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไง มันทำให้ฉันนึกถึงอดีตที่ฝังใจจนกลัวการนั่งบนยานพาหนะที่มีความเร็วเกินกฎหมายกำหนด
ตลอดเส้นทางที่ฉันอยู่บนรถกับเขามันมีแต่ความเงียบที่ชวนอึดอัดและกระอักกระอ่วนใจ ฉันไม่รู้ว่าตราบฟ้าไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง เขาแค่บังเอิญผ่านมาหรือว่าเขาแอบตามฉันมาตั้งแต่แรก
รถเคลื่อนเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของหอพักได้พักหนึ่งแล้ว แต่ทั้งฉันและตราบฟ้ายังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีใครขยับตัวไปไหน ฉันไม่กล้าจะขยับตัวแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้ตราบฟ้าเงียบและนิ่งมาก เขาไม่พูด ไม่มอง ไม่จิกกัดเหมือนที่เคยทำ และก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเบาะฝั่งคนขับจนฉันรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว ตอนนี้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ความเงียบแบบนี้มันน่ากลัวและอันตราย
“นั่งทำอะไร? หรือรอให้ฉันพากลับไปส่งให้ผู้ชายของเธอ” ฉันหันไปมองตราบฟ้านิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูลงมาจากรถแล้วก้าวฉับๆ เข้าหอพักมาโดยไม่หันกลับไปสนใจเขาอีก นี่ใจคอเขาจะคิดแต่เรื่องแบบนี้เหรอ ในสายตาเขาฉันเป็นผู้หญิงสำส่อนใจง่ายมากเลยหรือไง การกระทำในอดีตของฉันทำให้เขาคิดว่าฉันเป็นแบบนั้นเหรอ
ปึง!
เสียงปิดประตูตามหลังอย่างแรงทำให้ฉันที่เข้ามาภายในห้องก่อนต้องสะดุ้งโหยง ฉันหันกลับไปมองร่างสูงของตราบฟ้าอย่างตำหนิ ก่อนจะพบว่าเขาเองก็กำลังมองมาที่ฉันเช่นกัน สีหน้ายามนี้ของเขาทำให้ฉันรู้สึกเสียวสันหลัง เราจ้องหน้ากันแบบนั้นอยู่หลายวินาที ก่อนที่เสียงแจ้งเตือนไลน์ในกระเป๋าสะพายของฉันจะดังขึ้น ฉันละสายตาจากตราบฟ้าแล้วล้วงมือหยิบโทรศัพท์ออกมา
ครึ่งชั่วโมงก่อน...
Sun : อยู่ไหน?
Sun : หิวข้าวแล้ว
ไม่กี่วินาที…
Sun : เจ้าขา เป็นอะไรหรือเปล่า?
ฉันยกมือข้างที่ว่างขึ้นมากุมขมับตัวเองทันที นี่ฉันควรจะบอกกับเพื่อนว่าไงดี ฉันไม่ได้ยินดีที่จะสร้างเรื่องมาโกหกใครเลย แต่ทุกอย่างก็มักจะบีบบังคับให้ฉันทำ
jaokha : เรารู้สึกไม่ค่อยสบายเลยกลับมาก่อน
jaokha : ขอโทษที่ไม่ได้บอกนะ
Sun : เดี๋ยวคอลไป
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบกลับอะไร ซันก็โทรทางไลน์มาจริงๆ ฉันละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะหันไปมองตราบฟ้าอีกครั้ง เขากำลังยืนกอดอกพิงประตูจ้องมองมาที่ฉันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสลับไปมองโทรศัพท์ในมือฉันด้วย
“เปิดลำโพง”
Talk
ความคิดเห็น