คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 03 | ท่องแดนมนุษย์ ตามล่าวิหคเพลิงกาฬ [100%]
03
ท่องแดนมนุษย์ ตามล่าวิหคเพลิงกาฬ
“เมื่อหลายวันก่อน
วิหคเพลิงกาฬได้หลุดออกมาจากเจดีย์กักมาร...” หลังจากทิ้งร่างของหลี่หลงไว้ที่ศาลาริมน้ำ
ไป๋จูก็แอบย่องมายังข้างตำหนัก เงี่ยหูฟังแล้วฟังอีก
ได้ความว่าเทียนจวินมีรับสั่งให้รัชทายาทเฟยหมิงไปตามจับวิหคเพลิงกาฬ
หากนางจำไม่ผิดไปละก็ นกยักษ์ตัวนี้เป็นปีศาจที่ดุร้ายมาก มันเคยเป็นพาหนะให้กับจอมมารยุคบรรพกาล
ซึ่งดวงจิตแตกดับไปพร้อมกับตี้จวินในศึกเทพมารครั้งนั้น
ในตำราบันทึกไว้ว่ามันถูกคุมขังอยู่ในเจดีย์กักมารในเขตยมโลก
หลุดออกไปได้เช่นนี้
ต้องก่อความวุ่นวายไปทั่วอย่างไม่ต้องสงสัย
ครานี้เห็นทีสามโลกจะได้วุ่นวายอีกครั้ง เผลอๆ
อาจทำให้เผ่ามารฮึกเหิมยกทัพมาท้ารบเผ่าเทพอีกก็เป็นได้
ไป๋จูทำท่าครุ่นคิด
นางนั่งลงบนก้อนหินขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างตำแหน่ง
วิหคปีกดำนับเป็นปีศาจยุคบรรพกาล ตบะแกร่งกล้าอย่างมาก
เมื่อแสนปีก่อนเหล่าทวยเทพรวมพลังกันยังทำได้เพียงผนึกมันไว้ แล้วอย่างนี้อาศัยเพียงรัชทายาทและทหารเซียนหนึ่งกองจะกำราบมันได้อย่างไร
“เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรหรือองค์หญิงไป๋จู”
ราวกับผู้ถามนั้นอ่านความคิดของนางได้ทะลุปรุโปร่ง ไป๋จูชอบใจนัก
“การที่เทียนจวินโยนภาระนี้ให้แก่องค์ไท่จื่อผู้เดียว
ข้าเห็นว่าไม่เหมาะสม” ไป๋จูเอื้อนเอ่ยตามสิ่งที่คิด
หาได้เอะใจถึงความผิดปกติไม่
นางลืมเสียสนิทว่าตนเองมานั่งแอบฟังอยู่ข้างตำหนักแต่เพียงผู้เดียว “ปีศาจตนนี้ตบะแกร่งกล้า
ขนาดทั้งเผ่าสวรรค์ร่วมแรงกันยังทำได้เพียงผนึกมันไว้ในเจดีย์กักมาร”
“เจ้าต้องการจะบอกว่าไท่จื่อเฟยหมิงไร้ความสามารถกระมัง”
ครานี้น้ำเสียงของผู้ถามออกจะไม่พอใจเสียเท่าไหร่
แต่คำถามนั้นทำให้ไป๋จูไม่พอใจเสียมากกว่า
“ข้าพูดเช่นนั้นเมื่อไหร่
เจ้าอย่ามาใส่ความ...ข้า” นางเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
พร้อมกับหันหน้าไปเผชิญกับคู่กรณี แต่เป็นว่าแทบจะกลืนคำพูดของตัวเองลงคอไม่ทัน
“สตรีแดนบูรพาเป็นเช่นนี้หรือ
ใยจึงมาแอบฟังผู้อื่นสนทนากัน” ใบหน้าถมึงทึงของรัชทายาทเผ่าสวรรค์
เล่นเอาไป๋จูกลืนน้ำลายไม่ลงคอ แต่มีหรือนางจะยอมจำนนต่อหลักฐาน
“ข้ารอหลี่หลงฟื้นแล้วเกิดเบื่อ
จึงเดินเล่นรอบๆ บังเอิญได้ยินสิ่งที่พวกท่านสนทนากันเมื่อครู่
ทำให้เสียมารยาทร่วมฟังด้วยโดยไม่ตั้งใจเพคะ” ดีเหลือเกิน
หากไป๋อวี้พี่ชายของนางมาได้ยินเข้า
คงกล่าวชื่นชมว่า
‘เก่งขึ้นนะเสี่ยวจู
เวลานี้หัดปั้นน้ำเป็นตัวแล้ว’
รู้จักรักษาตัวเป็นเรื่องดีมิใช่หรอกหรือ!
“เอาเถิดหลานย่า
จะไปถือสาหาความนางทำไม สิ่งที่นางเอ่ยมา ย่าก็เห็นพ้องต้องกับนาง
เรื่องนี้เทียนจวินคิดน้อยเกินไป ลำพังแค่ตัวเจ้ามิอาจจับกุมวิหคเพลิงกาฬได้
เป็นเรื่องจริงแท้” สุรเสียงของตี้โฮว
ดั่งเกราะกำบังที่ช่วยชีวิตไป๋จู รัชทายาทเฟยหมิงเลิกให้ความสนใจต่อนาง
แล้วกลับเข้าไปสนทนากับตี้โฮวต่อในทันที เห็นทีสตรีนางเดียวที่บุรุษผู้นี้จะอ่อนโอนผ่อนตาม
คงมีแค่เสด็จย่าของตนเองเท่านั้นกระมัง แว่วว่า
แม้แต่กับเทียนโฮวซึ่งมีสายสัมพันธ์แม่ลูก
แต่ทั้งคู่กลับห่างเหินราวไร้เยื่อใยต่อกัน
“เจ้าก็เข้ามานั่งฟังเถิด
องค์หญิงไป๋จู” ไป๋จูหัวใจลิงโลดเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยอนุญาต
นางเองก็ไม่อยากทำตัวเสียมารยาทเท่าใดนัก มีฐานันดรเป็นถึงองค์หญิงแห่งแดนประจิม
หากท่านพ่อท่านแม่รู้เขาว่านางทำตัวเสียเกียรติ มิวายต้องถูกเรียกตัวกลับทะเลชิไห่
ไม่ได้ออกมาพบปะดินแดนภายนอกอีกแน่
นางฟังตี้โฮวและรัชทายาทหารือกันไปพลาง
เดินหมากล้อมกันไปพลาง ดูไปดูมา ฟังไปฟังมา นางก็ชักเริ่มง่วงงุน ปิดปากหาวหวอดๆ
ไปหลายครา ในใจส่วนลึกก็เหมือนกับหลงลืมอะไรบางอย่างไปเสียสนิท
จนกระทั่งเสียงดังโวยวายคุ้นหูกระแทกเข้าโสตประสาท
“ไป๋จู ไป๋จู!!! ” ไป๋จู รวมถึงบุคคลทั้งสองมองออกไปนอกตำหนัก
ที่ตรงนั้นมีปลามังกรหนุ่มผู้ที่เพิ่งฟื้นคืนสติ
กำลังตะโกนเรียกหานางในดวงใจด้วยใบหน้าซีดเซียว เขาเดินพล่านไปทั่วศาลาริมน้ำ
ทำอย่างกับว่ามังกรสาววัยสะพรั่งจะแอบซ่อนตัวตามใต้โต๊ะใต้เก้าอี้
“หลี่หลง เจ้าเสียงดังเกินไปแล้ว”
ปลามังกรหนุ่มชะงักงัน เขาหันซ้ายแลขวา
ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับร่างบอบบางของสตรีในดวงใจ
ซึ่งบัดนี้กำลังยืนเท้าเอวมองเขาอยู่ที่หน้าตำหนัก เขาไม่รอช้า
รีบพุ่งตัวเข้าไปหานางโดยไว
ลืมสิ้นหมดแล้วความหวาดกลัวว่าจะถูกสวรรค์เบื้องบนลงทัณฑ์
ยามนี้สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือทำนางหล่นหาย และทำให้นางพบเจออันตรายเพียงลำพัง
“เจ้าคิดจะทำอะไรเนี่ย! ” ไป๋จูกระโดดหลบคนที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามา ทำท่าว่าจะตะครุบตัวนาง
ส่งผลให้ร่างสูงของหลี่หลงล้มหน้าคว่ำอยู่กับพื้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เห็นดังนั้นนางก็ทำเพียงถอนหายใจก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าเป็นลมจนเลอะเลือนไปแล้วกระมัง”
มิวาย
หูนางยังได้ยินเสียงหัวเราะฮึๆ ในลำคอดังมาจากทางองค์รัชทายาทเผ่าสวรรค์อีกด้วย
เหลือบสายตาขึ้นมอง กลับปรากฏว่าเขายังตั้งตาตั้งตาเดินหมากอยู่กับผู้อาวุโส
กลับเป็นตี้โฮวเสียเองที่มองมาด้วยสายตาขำขันระคนเอ็นดู
“ผู้น้อยคารวะตี้โฮว คารวะองค์ไท่จื่อ
เสียมารยาทแล้วๆ” หลี่หลงลุกลี้ลุกลน นั่งคุกเข่า หน้าผากแนบพื้น
เหมือนกับว่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าโทษจากเบื้องบนมันหนักหนาเพียงใด
ในตำราที่เขาเคยอ่าน ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าทัณฑ์จากสวรรค์นั้นร้ายแรงยิ่ง
“ลุกขึ้นเถิด ไม่ต้องมากพิธี”
หลี่หลงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสไม่ได้สนใจในตัวเขาแล้ว เขาก็ค่อยๆ กระเถิบเข้าไปหาไป๋จู
ซึ่งตอนนี้นางกำลังปิดปากหาวเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็นับไม่ถ้วน
“ทำไมพวกเราจึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
หลี่หลงกระซิบกระซาบ สายตากวาดมองตำหนักไม่เล็กไม่ใหญ่
เรียบง่ายแต่กลับงดงามยิ่ง
เดาไม่ยากว่าต้องเป็นตำหนักที่ประทับของตี้โฮวเหยาฉือจวินเยว่
“ก็เพราะเจ้าเป็นลมหมดสติอย่างน่าอนาถอย่างไรล่ะ
หากรู้ว่าฟื้นมาจะแหกปากลั่นเช่นนี้ มิสู้ปล่อยทิ้งไว้ในสวนท้อให้สิ้นเรื่อง” ไป๋จูบ่น พลางปรายตามองบุรุษหนุ่มข้างๆ
ที่กำลังมีใบหน้าซีดเซียวเป็นเนื้อปลาต้มอีกครา
“ย่าคิดว่าจะร่วมเดินทางไปกับหลานด้วย
อย่างน้อยๆ ก็คงสามารถผนึกวิหคเพลิงกาฬไว้ได้” ก่อนที่ไป๋จูจะได้พร่ำบ่นต่อ
น้ำเสียงขึงเครียดของตี้โฮวก็ดึงความสนใจของนางไปจากหลี่หลง
หันกลับไปมองคนทั้งสองอีกครั้ง
บัดนี้ใบหน้าของรัชทายาทเผ่าสวรรค์มีความกดดันมากมาย
“เสด็จย่าปลีกตัวเร้นกายจากสามโลกมานาน
หลานมิอยากนำความยุ่งยากมาให้ ท่านเป็นถึงเทพเคารพ และอีกประการ
ตบะของเสด็จย่า...ผู้หลานไม่ยอมให้ท่านสูญเสียไปมากกว่านี้” ใบหน้าจริงจังของรัชทายาทเฟยหมิงในตอนนี้
ในใจของไป๋จูคิดว่าช่างดูดีมากทีเดียว แต่เรื่องตบะของตี้โฮว
เหมือนจะมีบันทึกอยู่ในตำราเล่มไหนสักเล่ม ในคราที่ศึกษาอยู่ ณ ทะเลชิไห่
นางไม่ค่อยจะใส่ใจนัก แต่ในเวลาสำคัญอย่างนี้ก็นึกโมโหตัวเองอยู่ไม่น้อย
“ข้าและสหายขออาสา
ร่วมเดินทางไปปราบวิหคเพลิงกาฬกับองค์ไท่จื่อ” ไป๋จูนิ่งคิดอยู่เพียงครู่
อาศัยจังหวะที่ทุกคนตกสู่ห้วงความคิด ขันอาสาไปปราบนกยักษ์ด้วยตัวเอง อย่างไรเสีย ปณิธานของนางก็คือการคืนความสงบสุขแก่สี่ทะเลแปดดินแดน
ขจัดหมู่มารและกวาดล้างความอยุติธรรม
“ไป๋จู...” หลี่หลงสะกิดนางอย่างตกใจ
ใบหน้าซีดขาวเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่
ในขณะที่บุคคลทั้งสองตรงหน้ากำลังมองนางด้วยความเงียบงัน
“ก็ใช่ว่าจะไม่ได้
แต่นี่ไม่ใช่การละเล่นของเด็ก ทุกช่วงเวลาล้วนเป็นอันตราย หากพลาดไปเพียงนิดเดียว
ผลที่ตามมาร้ายแรงจนยากจะคาดเดา” นี่เป็นคำพูดของรัชทายาทเฟยหมิง
เขามองนางราวกับผู้ใหญ่ที่กำลังดุเด็กน้อยแสนดื้อ เกิดก่อนแค่เจ็ดหมื่นปี
ไป๋จูไม่นับว่าเขาเป็นผู้อาวุโสหรอก
“ย่าว่าเป็นความคิดที่ดี องค์หญิงไป๋จูจะเป็นกำลังให้เจ้าได้”
ตี้โฮวเอ่ยก่อนจะยิ้มให้นาง
ผู้อาวุโสมองเห็นไข่มุกมังกรเหมันตร์ที่อยู่ติดตัวของนางส่องประกาย
เจ้ามังกรขาวผู้นี้นับว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการสูงส่ง
เรื่องนี้ทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนต่างรับรู้ นอกจากรัชทายาทเฟยหมิงแล้ว
ก็คือองค์หญิงมังกรขาวไป๋จู แต่ชะตากรรมของนางในภายภาคหน้า ช่างน่าอดสู...
ผู้อาวุโสได้แต่คิดอย่างสะท้อนใจ
“หลานไม่เห็นด้วย
หากนำเรื่องขึ้นกราบทูลเทียนจวิน จะต้องมีการพิจารณาใหม่แน่” เฟยหมิงทัดทาน แต่ไหนแต่ไร ชาวเผ่าสวรรค์ล้วนรู้ดี เผ่ามังกรขาวมีความถนัดในด้านบุ๋นอย่างนักปราชญ์
มิใช่สันทัดด้านบู๊เช่นนักรบ การปราบวิหคเพลิงกาฬครั้งนี้ เสด็จพ่อของเขาสั่งให้จับตาย
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว กำลังเสริมที่เขาต้องการ ล้วนต้องเป็นผู้เก่งด้านการรบ
“เทียนจวินมีความคาดหวังในความสามารถของเจ้าสูง
เขาไม่ยินยอมเป็นแน่ ข้ารู้จักบุตรชายของตนดีกว่าใคร
และเข้าใจหลานชายของข้ามากกว่าตัวเขาเอง” เฟยหมิงเงียบลง
ไป๋จูเองก็นั่งฟังอย่างสงบเสงี่ยมกว่าที่เคย ส่วนหลี่หลง
คาดว่าบัดนี้เขาอาจจะดวงจิตออกจากร่างไปแล้วก็เป็นได้
“งั้นเวลาที่เหลือ
ข้าคงต้องขอดูความสามารถของนาง เรื่องนี้อันตรายยิ่ง หากบุตรีแห่งราชามังกรไป๋หลงได้รับอันตราย
เกรงว่าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าคงรับผิดชอบไม่ไหว” เฟยหมิงเอ่ย
พลางเหลือบสายตามองสตรีรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้น ที่ดูยังไงก็เกินจะรับน้ำหนักของอาวุธ
คงต้องดูพลังฤทธิ์ของนาง ว่ามีความสามารถในระดับใด
“ได้ ข้าจะแสดงให้ท่านได้ดู”
ไป๋จูรับรู้ได้ถึงสายตาดูแคลน
เขาคงคิดว่าเผ่ามังกรขาวที่เก่งแต่ด้านบุ๋น แถมนางยังเป็นสตรี
จะช่วยเหลือเขาได้อย่างไรกระมัง
“อีกสองวัน ข้าจะมาประลองกับเจ้า”
รัชทายาทเผ่าสวรรค์เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองสบตาไป๋จู
ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยลาต่อเสด็จย่าของตน
เขาคิดว่าจะกลับไปตำหนักสวรรค์ นำคำของตี้โฮวกราบทูลต่อเทียนจวิน
เพื่อขอกำลังรบและเหล่าเทพชั้นสูงมาร่วมปราบวิหคเพลิงกาฬ
ที่บัดนี้ลงไปปั่นป่วนยังแดนมนุษย์
“ระหว่างนี้พวกเจ้าก็พักอยู่ที่นี่เถิด”
ตี้โฮวเอ่ยปาก หลังจากที่แผ่นหลังของรัชทายาทเฟยหมิงลับสายตาไปแล้ว
ไป๋จูยิ้มรับอย่างเต็มใจ ส่วนหลี่หลง...เจ้าปลามังกรหนุ่มนี่หมดสติลงไปอีกคราแล้ว
น่าขายหน้ายิ่งนัก ไป๋จูจำได้ดีว่าหัวหน้าเผ่าปลามังกร บิดาของหลี่หลงนั้นองอาจเพียงใด
แถมเผ่าปลามังกรก็ได้ชื่อว่าเป็นกองกำลังทหารของแดนบูรพา
แล้วทำไมทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าคนต่อไปถึงได้ใจเสาะถึงเพียงนี้กันนะ
ใคร่ครวญไปมาอยู่หลายตลบ
ก็ได้ข้อสรุปว่า เป็นเพราะหลี่หลงไม่ได้มีใจเป็นบุรุษอย่างไรเล่า นางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ว่าแล้วก็พยักเพยิดหน้ากับตัวเองเงียบๆ อยู่สองสามที
ก่อนจะได้ยินสุรเสียงของตี้โฮว เรียกให้ไปเดินหมากล้อมด้วยกัน นี่นับเป็นวาสนาให้คุยโวได้ทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน
นางกระตือรือร้นยิ่ง
ด้านรัชทายาทเฟยหมิง
หลังจากกลับมาจากเขากั่วซาน ก็รีบเข้าเฝ้าเทียนจวิน ณ ตำหนักสวรรค์ในทันที
พร้อมนำคำของตี้โฮวขึ้นกราบทูลอย่างไม่รีรอ
“เสด็จย่าทรงชี้แนะว่า แค่เพียงลูกและทหารเซียนห้าร้อยนาย
ไม่สามารถสยบวิหคเพลิงกาฬได้...” เฟยหมิงหยุดเว้นระยะ
ก่อนจะเหลือบสายตาเพื่อสังเกตกิริยาของผู้เป็นบิดา แล้วกราบทูลต่อ “ลูกจึงอยากทูลขอให้เสด็จพ่อพิจารณา มอบหมายให้เหล่าเทพชั้นสูงร่วมปราบปรามปีศาจตนนี้กับลูก”
“เหลวไหล แค่ปีศาจนกตัวเดียว
เจ้าจะจัดการไม่ได้เชียวหรือ” สุรเสียงทรงอำนาจของผู้เป็นใหญ่แห่งแดนสวรรค์สวนกลับมาทันควัน
“เจ้าเป็นถึงไท่จื่อแห่งเผ่าสวรรค์ผู้ไร้พ่าย
เป็นผู้มีบุญญาธิการสูงส่งในรอบหลายแสนปี ปีศาจตนนั้นไม่คณามือเจ้าหรอกลูกข้า”
“เทียนจวิน...” น้ำเสียงอันอ่อนโยนของสตรีที่นั่งอยู่ข้างกายบนบัลลังก์
ทำให้อารมณ์ของราชาแห่งสวรรค์เย็นลง
เทียนโฮวมองไปยังบุตรชายเพียงคนเดียวที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านล่างอย่างนึกเห็นใจ
“หม่อมฉันเห็นด้วยกับตี้โฮว
วิหคเพลิงกาฬเป็นปีศาจยุคบรรพกาล ซ้ำยังเป็นพาหนะของราชามารบรรพกาล
ก่อนราชามารจะดวงจิตแตกดับก็ได้ถ่ายทอดตบะไว้ให้มันครึ่งหนึ่ง แม้แต่เหล่าเทพบรรพกาลยังทำได้เพียงผนึกมันไว้ในเจดีย์กักมาร”
“เทียนโฮวไม่ต้องเข้าข้างบุตรชายหรอก
สิ่งที่เฟยหมิงทูลขอมา หากพวกเทพเซียนเหล่านั้นได้ยินเข้า
ก็รั้งแต่จะเสียชื่อผู้ไร้พ่าย” ราชาสวรรค์เลื่อนสายตาไปมองทางอื่น
เขามิอาจสบตากับภรรยาได้ มิเช่นนั้นคงได้ใจอ่อนลงในทันทีเป็นแน่ รัชทายาทเฟยหมิงเองก็ทำได้เพียงก้มหน้าฟังอย่างเงียบๆ
มารดาของเขานั้นอ่อนโยนและเห็นอกเห็นใจอยู่เสมอ
ต่างจากผู้เป็นบิดาที่มักเข้มงวดอยู่เสมอ
คอยย้ำเตือนถึงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของการเป็นรัชทายาท
ที่ต้องสืบทอดตำแหน่งเทียนจวินในภายภาคหน้า
“ท่านห่วงชื่อเสียงเกียรติยศมากกว่าชีวิตบุตรชายของหม่อมฉันหรือเพคะ”
“...” คำพูดของราชินีแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
ทำเอาสวามีถึงกับพูดไม่ออก แต่ไหนแต่ไร ผู้สืบทอดตำแหน่งเทียนจวิน
ล้วนต้องคำนึงถึงสามโลกมากกว่าความต้องการส่วนตัว ราชาสวรรค์เองเชื่อมั่นในตัวบุตรชายอย่างยิ่งยวด
ยามเมื่อเฟยหมิงกำเนิดเมื่อหนึ่งแสนสี่หมื่นปีที่แล้ว เกิดปรากฏการณ์อันเป็นมงคลไปทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดน
เหล่ามัจฉาแลวิหคร่วมยินดีเจ็ดวันเจ็ดคืน
เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้มีบุญญาธิการสูงส่งในรอบหลายแสนปี
ความสามารถทั้งบู๊และบุ๋นล้วนเหนือกว่าใครทั้งปวงแล้วเช่นนี้แค่ปีศาจนกนั่นตัวเดียว
จะคณามือของเฟยหมิงได้เยี่ยงไร เพราะคิดอย่างถี่ถ้วนเช่นนี้แล้ว
ราชาสวรรค์จึงได้ถ่ายทอดคำสั่งแก่บุตรชาย
“เสด็จแม่กล่าวหนักเกินไปแล้ว
เสด็จพ่อเพียงแต่ชี้ทางไว้ให้ลูกในอนาคตเท่านั้น” เฟยหมิงรีบแก้ต่าง
เมื่อเห็นว่าเรื่องที่เขานำมากราบทูล
กลับกลายเป็นเรื่องที่ทำให้บิดาและมารดาเกิดบาดหมางต่อกัน
“นี่เจ้า...” ราชินีสวรรค์เอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นชั่วครู่
เมื่อสะกดกลั้นทุกอารมณ์ไว้ภายใต้ใบหน้าสงบนิ่ง จึ่งเริ่มเอ่ยอีกครั้ง “เช่นนั้นก็แล้วแต่ประสงค์ของเทียนจวินและองค์รัชทายาทเพคะ
หม่อมฉันเป็นสตรีมิเก่งเรื่องวางแผนการรบ”
พระนางเอ่ยจบก็ขอตัวลา
ปรายตากลับมามองรัชทายาทเล็กน้อย ให้รู้สึกสะท้อนใจนัก
บุตรชายของนางเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้แล้วเชียวหรือ จากเด็กตัวน้อยๆ บัดนี้เติบใหญ่สง่างาม
ท่าทีองอาจสูงส่งยิ่ง หากมิใช่เพราะตำแหน่งอันหนักอึ้งนี้
สายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกก็คงไม่ห่างเหินเช่นนี้
พระนางจำได้ดี ยามนั้นเฟยหมิงมีอายุเพียงหนึ่งหมื่นเจ็ดพันปี
อุปนิสัยอ่อนโยน ร่าเริงยิ่งนัก กลับถูกสวามีพรากออกไปจากอก
มิได้พบหน้าบุตรชายหลายหมื่นปี ได้พบหน้าอีกครากลับรู้สึกได้ถึงความห่างเหิน
มีเพียงความเย็นชาและสุขุมเท่านั้นที่แสดงออกมา
หลายหมื่นปีมานี้
บุตรชายข้าต้องพบเจอสิ่งใด อดทนต่อสิ่งใด
ขัดเกลามาเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ได้เช่นไร ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บลึกในอก เป็นแม่แท้ๆ
แต่กลับไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อลูกได้เลย คิดเช่นนั้น เทียนโฮวก็ยกมือปาดน้ำตาที่หางตาออกเบาๆ
ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับตำหนักที่ประทับไปในที่สุด
“อีกสามวัน
จงจับตายวิหคเพลิงกาฬเสีย ให้ทั้งสามโลกได้ประจักษ์แก่พลังและความสามารถของเจ้า”
สุรเสียงของราชาสวรรค์ก้องกังวาน รัชทายาทเฟยหมิงยืดตัวขึ้น
รับคำสั่งบิดาอย่างเสียไม่ได้ แม้ความรู้สึกในใจอยากเอ่ยทัดทาน
เขาเชื่อคำเตือนของเสด็จย่า
แต่ความเชื่อของเขาคงมิมากเท่าความเชื่อมั่นของเทียนจวินที่มีต่อรัชทายาทเผ่าสวรรค์
ไป๋จูอาศัยอยู่ ณ
ตำหนักสวนท้อสวรรค์มาสองวันแล้ว นางกินอิ่มนอนหลับ ประหนึ่งอยู่ที่ไป๋หลงกง
ตี้โฮวก็ใจดีกับนางอย่างยิ่ง สองวันมานี้นางเรียนรู้การปลูกดอกไม้ ร่ำสุราดอกท้อ
และฝึกเล่นหมากล้อม ทุกอย่างล้วนเป็นตี้โฮวที่สอนสั่ง นางชอบใจเป็นอย่างยิ่ง
หลี่หลงเองก็ดูจะปรับตัวได้แล้ว
เขาขันอาสาช่วยนางรดน้ำพรวนดิน ดูแลแปลงดอกไม้
และเป็นคู่ฝึกซ้อมเพลงกระบี่กับนางอยู่ทุกวัน
“วันนี้องค์ไท่จื่อจะมาประลองฝีมือกับเจ้าแล้ว
ตื่นเต้นมากหรือไม่” หลี่หลงถามขึ้น ในขณะที่เขาและไป๋จูกำลังพักผ่อนหย่อนใจที่ศาลาริมน้ำ
ส่วนตี้โฮวนั้นพักผ่อนอยู่ในตำหนักที่ประทับ
รับสั่งไม่ให้ใครรบกวนจนกว่ารัชทายาทเผ่าสวรรค์จะมาถึง
“มีสิ่งใดให้ตื่นเต้นกัน” ไป๋จูบอก ขณะรินสุราดอกท้อใส่จอก สถานที่แห่งนี้ถูกใจนางยิ่ง
บรรยากาศโดยรอบสงบแลทิวทัศน์งดงาม ร่วมกับการดื่มด่ำสุราดอกท้อที่บ่มโดยตี้โฮว
ชีวิตนี้นางคิดว่าช่างคุ้มค่านัก
“ไป๋จู
องค์ไท่จื่อมีฉายาว่าผู้ไร้พ่าย เก่งกาจด้านการรบยิ่งกว่าใครในสี่ทะเลแปดดินแดนนี้
แน่นอนว่าเพลงกระบี่ขององค์ชายไป๋อวี้ไม่อาจเทียบเคียงได้” หลี่หลงเอ่ย
ใบหน้าของเขาฉายแววกังวลอย่างไม่อาจปิดบังไว้ได้
เขากลัวนักว่านางในดวงใจจะได้รับอันตราย
ในตอนที่ประลองฝีมือกับรัชทายาทแห่งแดนสวรรค์
“นี่เจ้ากำลังดูถูกวิชากระบี่ของพี่ชายข้ากระมัง
หากไป๋อวี้มาได้ยินเข้า เกรงว่าแม้แต่ครีบหางของเจ้าก็ไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว”
องค์หญิงแห่งเผ่ามังกรขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
นางยังคงละเลียดอยู่กับทิวทัศน์โดยรอบและสุราชั้นดีในมือ
ประลองก็ประลองสิ
นางไม่ได้ขี้ขลาดตาขาวเสียเมื่อไหร่ รัชทายาทเฟยหมิงเองก็คงไม่ได้คิดจะฆ่าแกงนางหรอก
เขาเพียงต้องการหยั่งเชิงฝีมือนางก็เท่านั้น
เจ้าปลามังกรทึ่มนี่ขี้กังวลโดยใช่เหตุ
“ข้านึกว่าพวกท่านกำลังฝึกซ้อมเพื่อเตรียมตัวประลองเสียอีก
ไม่คิดว่าจะลำพองใจถึงขั้นร่ำสุราชมบุปผางามเช่นนี้” สิ้นจากความคิดของนาง
น้ำเสียงทรงอำนาจของผู้ตกเป็นข้อสนทนาก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
ไป๋จูเองก็ได้เพียงคิดในใจต่อว่า บุรุษผู้นี้
ใยชอบย่องเงียบเข้าข้างหลังผู้อื่นนักนะ!
“ข้าถือคติว่า ยิ่งกดดันตัวเอง
ยิ่งไม่สามารถแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่” ไป๋จูปรับลมหายใจ
ปรับสีหน้าให้เรียบเฉย ก่อนจะหันกลับไปมองผู้อยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ
นางจะเผยออกมาไม่ได้ว่าตอนนี้หัวใจของนางกำลังเต้นโครมคราม
ต่างจากก่อนหน้านี้อย่างลิบลับ ตอนฝึกซ้อมกับหลี่หลง นางรู้สึกธรรมดามาก
แต่ในตอนนี้กลับเริ่มมีความตื่นเต้นขึ้นมาเสียแล้ว
ฝ่ามือของนางเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่าฝีมือด้านการรบของรัชทายาทเฟยหมิงนั้นร้ายกาจเพียงใด
แย่แล้ว
เมื่อกี้นางอวดดีให้หลี่หลงฟังไปตั้งเยอะ หากตอนประลองนางเกิดประหม่าเพลี่ยงพล้ำ
ได้ขายหน้าให้เจ้าปลามังกรเป็นแน่แท้
“ดี
มีความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นสิ่งที่ดี
แต่การทะนงตนจนดูถูกคู่ต่อสู้ล้วนแต่นำพาไปสู่หายนะ” น้ำเสียงนี้ราวกับกำลังตำหนิเจ้าเด็กดื้อที่ไม่เชื่อฟัง
“งะ...งั้นข้าจะไปตามตี้โฮว
เจ้ากับองค์ไท่จื่อตามสบายเถิด” หลี่หลงที่เห็นบรรยากาศรอบตัวเริ่มทะมึน
ก็รีบปลีกตัวออกไปอย่างทันควัน ไป๋จูทำได้เพียงก่นด่าในใจตามหลังร่างสูงนั่นไป
“เริ่มประลองเถิด” ผิดคาดที่รัชทายาทเฟยหมิงไม่ได้หาความกับนางต่อ
แต่ผิดคาดไปมากที่ชวนนางประลองอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ท่านไม่รอตี้โฮวก่อนหรือ” ไป๋จูทัดทานร่างที่กำลังหันหลังกลับไป
เฟยหมิงชะงักเท้าแล้วหันกลับมามองนาง สตรีนางนี้ช่างไม่มีสิ่งใดที่ถูกใจเขาเสียเลย
นอกจากใบหน้าที่งดงามอย่างยิ่งนั่น และค่ำเล่าลือเรื่องบุญญาธิการอันสูงส่ง
นางมีสิ่งใดควรค่าให้เขาเสียเวลากันหนอ
“ใยต้องรอเสด็จย่า
ในเมื่อการประลองครั้งนี้ ข้าคือผู้ตัดสินว่าท่านจะคู่ควรหรือไม่” น้ำเสียงหยิ่งผยองของบุรุษตรงหน้า ทำเอาไป๋จูเริ่มมีอารมณ์คุกรุ่น
ทั้งสายตาและน้ำเสียงของเฟยหมิง ล้วนแล้วต้องการดูถูกนางทั้งสิ้น
“ได้
เช่นนั้นท่านก็รีบเดินนำข้าไปเถิด ท่านจะได้รีบตระหนักรู้ว่าข้าคู่ควรหรือไม่”
เฟยหมิงเพิ่งเคยได้เห็นใบหน้าขึงขังของนางเป็นคราแรก
น่าแปลกที่มันชวนสะกดสายตาจนไม่อยากละหนี
ความรู้สึกเช่นนี้สำหรับเฟยหมิงแล้วล้วนแปลกใหม่ เขาหักใจจากใบหน้านั้น
ก่อนจะเดินนำไปยังลานประลองที่ตระเตรียมไว้ ซึ่งอยู่ใจกลางของสวนท้อสวรรค์แห่งนี้
ไป๋จูเดินตามไปอย่างเงียบๆ
โดยทิ้งระยะห่างหลายสิบก้าว เดินไปพลางหันกลับไปมองด้านหลังพลาง
นางเพียงอยากรู้ว่าตี้โฮวกับหลี่หลงจะตามมาแล้วหรือไม่ แต่กลับไร้เงาของบุคคลทั้งสอง
เช่นนี้แล้ว หากรัชทายาทเฟยหมิงไม่ยั้งมือ ทำนางบาดเจ็บสาหัส
ใครจะช่วยนางได้กันเล่า
“เรียกอาวุธคู่กายของท่านออกมา”
ไป๋จูมองตรงไปยังคู่ประลองด้านหน้า
หลังจากที่เดินมาถึงลานประลองแล้ว เฟยหมิงถือกระบี่ฟางเจี้ยนไว้ในมือ
กระบี่ฟางเจี้ยนนี้ เป็นกระบี่ในยุคบรรพกาล และเป็นอาวุธคู่กายของเทพมารดร
ซึ่งได้มอบไว้ให้แก่ตำหนักสวรรค์ก่อนจะดับขันธ์ นอกจากตี้จวินผู้ล่วงลับแล้ว
ก็มีเพียงรัชทายาทเฟยหมิงที่ถูกฟางเจี้ยนเลือกให้เป็นนาย
“เข้าใจแล้ว” ไป๋จูมองกระบี่ในตำนานนั้นอย่างสนอกสนใจครู่หนึ่ง ก่อนจะถูกสายตากดดันของเฟยหมิงให้รีบเรียกอาวุธของตัวเองออกมา
นางหลับตาลง
ตั้งจิตมั่นเพรียกหาอาวุธคู่กาย พลันเกิดลมพายุโหมกระหน่ำ
ท้องฟ้าแปรปรวนส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน
กระบี่ไป๋เจี้ยนลอยละลิ่วพุ่งตรงเข้ามาหาผู้เป็นนายโดยทันที
ภาพที่ได้เห็นตรงหน้านี้ ทำเอารัชทายาทแห่งแดนสวรรค์ตะลึงงัน
กระบี่ปราบมารไป๋เจี้ยนที่เทียนจวินตามหามาหลายหมื่นปี
บัดนี้กลับปรากฏตรงหน้าเขา
ไม่อยากเชื่อว่ากระบี่แห่งเทพสงครามนี้จะเลือกสตรีแห่งเผ่ามังกรขาวเป็นนาย
ช่างเกินความคาดหมายนัก
“ท่านคือผู้ถือครองไป๋เจี้ยนอย่างนั้นหรือ
แล้วใยราชามังกรไป๋หลงจึงไม่เคยกราบทูลเรื่องนี้ต่อสวรรค์เก้าชั้นฟ้า” ไป๋จูมองบุรุษตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ท่านพ่อของนางไม่เคยบอกมาก่อนเลยว่า
การที่นางเป็นผู้ถือครองไป๋เจี้ยนนี้เป็นความลับต่อสี่ทะเลแปดดินแดน
“พวกท่านไม่ได้รู้อยู่ก่อนแล้วหรือ”
เฟยหมิงมองสตรีตรงหน้า แววตาของนางฉายชัดว่านางคิดอย่างที่ถามออกมาจริงๆ
เห็นทีเขาคงต้องนำเรื่องนี้ไปกราบทูลให้เทียนจวินทราบเสียก่อน
“การประลองของเราเสร็จสิ้นแล้ว
ข้าจะนำเรื่องกระบี่ไป๋เจี้ยนกราบทูลต่อ...” เฟยหมิงเอ่ยรวบรัด
การประเมินฝีมือของนางคงไม่จำเป็นแล้วในยามนี้ นางสามารถเรียกหาและควบคุมพลังมหาศาลของกระบี่ปราบมารเล่มนี้ได้อย่างราบรื่น
ถือว่านางผ่านการทดสอบของเขาแล้ว แต่เอ่ยยังไม่ทันจบ
สุรเสียงชวนฟังของตี้โฮวเหยาฉือจวินเยว่ก็ดังแทรกเข้ามา
“ยามนี้
ควรสนใจการปราบปรามวิหคเพลิงกาฬ มากกว่าจะมาสนใจผู้ถือครองไป๋เจี้ยน
หลานไม่คิดเช่นนั้นหรอกหรือ” ร่างงดงามของเทพเคารพก้าวเข้ามายังลานประลองอย่างช้าๆ
ด้านหลังมีปลามังกรหนุ่มหลี่หลงที่กำลังส่งยิ้มมาให้ไป๋จู
“เป็นดังที่เสด็จย่ากล่าว
หลานวู่วามเกินไป เพราะร้อนใจเรื่องกระบี่บรรพกาลเลือกเจ้านายแล้ว
แต่ตำหนักสวรรค์กลับไม่ได้รับรู้แม้แต่น้อย” รัชทายาทเฟยหมิงปรายตามองไปยังองค์หญิงมังกรขาว
ที่ยืนทำหน้าไม่รู้เรื่องราวใด ราชามังกรไป๋หลงมีเหตุใดจึงปกปิดความจริงนี้
เขาหวังอย่างยิ่งว่าเผ่ามังกรขาวจะไม่มีใจเป็นอื่น
“ไว้เจ้าปราบวิหคเพลิงกาฬลงแล้ว
ค่อยกราบทูลต่อเทียนจวินก็ไม่เสียหาย หากกราบทูลเสียตอนนี้ เกรงว่าจะเกิดเรื่องราวใหญ่โต
แต่หายนะของแดนมนุษย์ที่เกิดจากวิหคเพลิงกาฬนั้น จะล่าช้าไม่ได้” ตี้โฮวเอ่ยด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน
สายตาของพระนางมองไปยังไป๋จูที่มีสีหน้างุนงง เกรงว่านี่หาใช่ความผิดนางไม่
แต่บิดาของนางนั้นไม่อาจรู้ได้
หวังว่าการปราบปรามวิหคเพลิงกาฬร่วมกับเฟยหมิงในครานี้
นางจะกระทำการอันยิ่งใหญ่และมีเกียรติ
จนทำให้ทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนลบเลือนเรื่องที่เผ่ามังกรขาวปกปิดเกี่ยวกับกระบี่ไป๋เจี้ยนไปได้
“เช่นนั้นหลานขอกลับไปเตรียมตัว...”
รัชทายาทเฟยหมิงเอ่ยลาต่อตี้โฮว ก่อนจะเลื่อนสายตามาทางไป๋จู
แล้วเอ่ยว่า “พรุ่งนี้เราจะลงไปโลกมนุษย์เพื่อปราบวิหคเพลิงกาฬด้วยกัน
จงเตรียมตัวให้ดีเถิด”
ไป๋จูได้ยินดังนั้น หัวใจก็ลิงโลด
รีบตกปากรับคำทันที นางก้มมองกระบี่ปราบมารในมือ ครานี้นางจะได้ใช้ไป๋เจี้ยนกำจัดมารปราบอธรรมจริงๆ
เสียที หาใช่กวัดแกว่งไปมาเพื่อฝึกปรือเพลงกระบี่อย่างที่เคย
จำได้ว่าในคืนนั้นนางรีบเข้านอนโดยไว
แต่กลับกลายเป็นไม่อาจข่มตาลงได้ เพราะมัวแต่ตื่นเต้นอยากให้ถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
“สีหน้าเจ้าราวกับคนไม่ได้นอนมาทั้งคืนกระนั้นล่ะ”
เป็นหลี่หลงที่เอ่ยทักนางเป็นคนแรก ไป๋จูเลื่อนสายตาไปมองสหายปลามังกรที่หน้าตาดูอดหลับอดนอนไม่ต่างกัน
ไม่ใช่เพียงนางที่ตื่นเต้นสินะ
แม้แต่เจ้าทึ่มหลี่หลงก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกับนางด้วย
“เจ้าก็ไม่ต่างจากข้าหรอก” ไป๋จูเอ่ย พร้อมกับหัวเราะน้อยๆ อย่างนึกชอบใจ “ว่าแต่
เจ้ามาหาข้าทำไมแต่เช้า”
“องค์ไท่จื่อและเหล่าทหารเซียนมาถึงแล้ว”
คำพูดของหลี่หลงทำให้คนที่ยังคงง่วงงุนถึงกับตาสว่างได้โดยพลัน
“ไวปานนี้เชียว
ขะ...ข้ายังไม่ได้เก็บของเลย” ไป๋จูเอ่ยอย่างลนลาน
ส่งผลให้หลี่หลงผู้ตื่นตูมลนลานไปด้วยอีกคน
บุคคลทั้งสองเดินสวนกันไปมาอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำสิ่งใด
“ผู้ที่จะทำการศึก
ต้องมีการเตรียมพร้อมและตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา” น้ำเสียงทรงอำนาจดังอยู่ไกลลิบ
แต่เพียงพริบตา ร่างสูงสง่าของรัชทายาทเผ่าสวรรค์ก็มายืนอยู่หน้าตำหนักรับรองที่นางอาศัยอยู่แล้ว
“หรือท่านถือเอาว่ามีกระบี่ไป๋เจี้ยนอยู่ในมือ จะกระทำตัวไร้ความรับผิดชอบเช่นไรก็ย่อมได้”
“...” บุรุษผู้นี้
จิกกัด ดุด่านางเสียยิ่งกว่าที่บุพการีของนางเคยทำเสียอีก แต่จะเถียงกลับก็จนใจ
ดูแล้วนางจะเป็นผู้ผิดจริงแท้
“รีบไปกันได้แล้ว” เมื่อเห็นสตรีตรงหน้าเงียบอย่างยอมจำนน เฟยหมิงก็ไม่คิดต่อว่านางอีก
ช่วงนี้รู้สึกไปเองหรือไม่
ว่าเขาใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระที่เกี่ยวกับนางไม่น้อยเลย
“ขะ...ข้าขอเก็บของสักครู่”
ห่อผ้าที่ท่านแม่ของนางให้ติดตัวมาจากทะเลชิไห่ มีทั้งของเล่น
ของสวยงามและขนมหวาน ไหนจะสุราดอกท้อไหเล็กที่ตี้โฮวประทานให้
ไป๋จูคิดว่าจะนำไปทั้งหมด
“ของที่ท่านต้องนำติดตัวไปคือความสามารถของท่าน
หาใช่ของไร้ประโยชน์เหล่านั้น องค์หญิงไป๋จู” จบประโยคนั้นของรัชทายาทแห่งแดนสวรรค์
โดยรอบก็ไร้สุ้มเสียงโดยพลัน เจ้าปลามังกรหนุ่มแทบจะไม่กล้าหายใจ
เวลานี้ไอมังกรของทั้งสองร่างตรงหน้าถูกแผ่ออกมาปะทะกันอย่างเงียบเชียบ
เขาอยากจะหายไปจากตรงนี้เสียทันที
ถ้าไม่ติดว่าใจห่วงใยไป๋จูยิ่งกว่าใคร!
สุดท้ายแล้วทั้งไป๋จูและเฟยหมิง
ก็ต้องเห็นความปลอดภัยของทั้งสามโลกมากกว่าอารมณ์ส่วนตน กองทัพทหารเซียนห้าร้อยนาย
กำลังยืนอยู่บนเมฆเหนือเมืองหลวงแห่งแดนมนุษย์ ไป๋จูตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นโลกมนุษย์ด้วยตาตัวเอง งดงาม แปลกตา
อิสรเสรีอย่างยิ่ง
“วิหคเพลิงกาฬจะต้องอาศัยปราณขุ่นในการฟื้นตัว
การลงมายังโลกมนุษย์ที่ยังคงเต็มไปด้วยอารมณ์ ล้วนส่งผลดีต่อตัวมันทั้งสิ้น”
หลี่หลงเอ่ยขึ้น หลังจากกวาดตามองโลกเบื้องล่างอยู่ชั่วอึดใจ
ความรู้มากมายจากในตำราหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย หากเป็นไปตามหลักการแล้ว
สิ่งที่เขาคิดมีความเป็นไปได้สูงสุด แดนมนุษย์นั้นล้วนเต็มไปด้วยปราณขุ่น
เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าปีศาจและหมู่มาร
“ความรู้ของท่านช่างกว้างขวางนัก
ข้านับถือ” หลี่หลงตาเหลือก
เมื่อได้ยินคำชมจากผู้มีฐานะสูงส่งที่ยืนเด่นเป็นสง่า ในฐานะแม่ทัพ
“องค์ไท่จื่อกล่าวชมเกินไปแล้ว”
ไป๋จูเหลือบสายตามองบุรุษทั้งสอง พลางถอนหายใจ
อีกคนก็กล่าวชมไม่มีปี่มีขลุ่ย อีกคนก็ถ่อมตนเสียจนหัวจะโขกพื้นอยู่รอมร่อ
“พวกเจ้าจงเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่นี่และรอรับคำสั่ง
ห้ามกระทำการใดโดยพลการ พวกข้าจะลงไปสืบข่าวยังเบื้องล่าง” น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้น
แต่คำว่า ‘พวกข้า’ หมายรวมถึงตัวไป๋จูกับหลี่หลงด้วยหรือไม่นะ
ไป๋จูมองไปที่ร่างสูงสง่าด้วยความหวัง และเมื่อรัชทายาทเฟยหมิงมองมาที่นาง
หัวใจนางก็ยิ่งลุ้นระทึก
“พวกท่านไปกับข้า” ไป๋จูแทบจะตะโกนกู่ก้องด้วยความปีติ นางกำลังจะได้ลงไปท่องยังแดนมนุษย์
จะได้อ่านนิยายที่เลื่องชื่อ ได้ชิมอาหารรสโอชา
ได้ดูการละเล่นที่สร้างความเพลิดเพลินสำราญใจ ทั้งหมดในตำราที่เคยอ่าน
นางล้วนแล้วจะได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง!
“นี่ไม่ใช่การเที่ยวเล่น
ท่านไม่ต้องแสดงท่าทางยินดีเช่นนั้น” แต่มิวาย ถูกรัชทายาทผู้เข้มงวดดุเข้าให้
หลังจากใช้วิชา ‘ชั่วพริบตา’ ที่สามารถเคลื่อนย้ายวัตถุจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งด้วยความรวดเร็ว ไป๋จู หลี่หลง
และเฟยหมิงก็ยืนเหยียบอยู่บนแผ่นดินของโลกมนุษย์
“การแต่งกายของพวกเราแตกต่างเกินไปหรือไม่”
ไป๋จูเอ่ยพลางกวาดตามองเหล่ามนุษย์ที่เดินกันขวักไขว่ สายตาหลายคู่ล้วนจับจ้องมาอย่างข้องใจ
บ้างก็ว่าเป็นละครจากคณะใด บ้างก็ว่าเป็นคนต่างถิ่นจากที่ใด บ้างก็ว่าเป็นภูตผีปีศาจมาไล่จับคนไปกิน
“ข้าว่าเรารีบไปจากตรงนี้กันเถิด”
หลี่หลงที่เห็นท่าไม่ดีรีบกระซิบบอก
“ใยพวกท่านจึงไม่ใช้วิชาพรางตัว
สร้างความตระหนกให้เหล่ามนุษย์ทำไมกัน” แทนที่จะรีบหาทางหนีทีไล่
แต่เฟยหมิงกลับยืนกอดอก ขมวดคิ้วใส่นางเสียอย่างนั้น
“ข้าเพิ่งเคยมายังโลกมนุษย์ครั้งแรก
ใยท่านไม่บอกก่อนเล่า” ไป๋จูลืมตัว เถียงกลับไปอย่างทันควัน
แม้แต่หลี่หลงยังอ้าปากค้าง ส่วนรัชทายาทแห่งแดนสวรรค์แสดงอาการตกตะลึงเพียงเล็กน้อย
แต่แล้วก็รู้สึกว่าฝูงชนที่เคยพลุกพล่าน แหวกออกเป็นทาง ผู้คนยืนล้อมรอบ
มีนางและหลี่หลงเป็นไข่แดงอยู่ตรงกลาง
“นางคุยคนเดียว สติไม่ดีกระมัง”
ชาวบ้านคนที่หนึ่งทำเสียงซุบซิบ ตามมาด้วย...
“เช่นนี้ต้องแจ้งทางการหรือไม่”
ชาวบ้านคนที่สอง
“ท่านแม่ พี่สาวคนนั้นสวยจัง”
เจ้าเด็กน้อยคนที่สาม
“อย่าเข้าไปใกล้เชียว
นางต้องเป็นปีศาจจิ้งจอกแปลงกายมาแน่” ชาวบ้านคนที่สี่ และ
ห้า หก เจ็ด เสียงซุบซิบเซ็งแซ่เต็มไปหมดจนไป๋จูเริ่มวิงเวียนศีรษะ แต่แล้วก็มีลมวูบหนึ่ง
หอบนางและหลี่หลงไปจากตรงนั้น ยังไม่วายจะได้ยินน้ำเสียงเย้ยเยาะของใครบางคนอยู่ข้างหู
“ปัญหาเพียงเท่านี้ก็รับมือไม่ได้แล้วหรือ
ใยไม่เถียงชาวบ้านพวกนั้นเช่นเถียงข้าเล่า”
ความคิดเห็น