คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 02 | หญิงงามในสวนท้อ [100%]
02
หญิงงามในสวนท้อ
สามวันหลังจากจากรับด่านสวรรค์ องค์หญิงแห่งแดนประจิมจึงลืมตาตื่น
นางหลับไปสามวันสามคืนเต็มๆ อาการบาดเจ็บและบาดแผลต่างๆ
สมานตัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นี่ช่างเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจให้แก่เผ่ามังกรขาว
หรือจะเป็นเพราะไข่มุกมังกรเหมันต์ที่ติดตัวนางมาแต่กำเนิด เนื่องด้วยมันมีฤทธิ์รักษาอาการเจ็บป่วยได้ทุกโรค
ราชาไป๋หลงครุ่นคิดอย่างหนัก เดิมทีบุตรีของเขากำเนิดมาก็เกิดปรากฏการณ์มากมาย
เหล่าวิหคสวรรค์ร่วมยินดี หมู่มัจฉาแหวกว่ายร่ายระบำต้อนรับ แผ่นฟ้าผืนดินสะเทือนเลื่อนลั่น
มือข้างหนึ่งกำไข่มุกมังกรเหมันต์ เพียงเปล่งเสียงร้องออกมาครั้งแรกก็เรียกกระบี่ไป๋เจี้ยนออกมาได้
นับว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการสูง
“ท่านพ่อ ท่านจำที่ข้าเคยขอเมื่อสามวันก่อนได้หรือไม่? ”
ไป๋จูเอ่ยถามในตอนที่บิดามาเยี่ยมอาการบาดเจ็บของนาง
“จูเอ๋อร์ ภายนอกล้วนอันตราย แม้แต่แดนประจิมที่เจ้าเกิดก็ใช่ว่าปลอดภัยไปเสียทุกที่
ขอเจ้าทบทวนให้ดีเสียก่อน” ราชาไป๋หลงกล่าวอย่างอดกังวลไม่ได้
นับแต่เกิดมาบุตรีของเขาไม่เคยออกไปนอกทะเลชิไห่
สี่ทะเลแปดดินแดนนี้มีอันตรายอยู่มาก เขาเป็นกังวลนักว่าบุตรีจะพลาดพลั้งเสียที
“หากเป็นเช่นท่านพ่อกล่าว ข้ายิ่งต้องออกไปเพื่อคืนความสงบสุขให้แก่ราษฎรแดนประจิม”
ไป๋จูเอ่ยอย่างตั้งมั่น ในวันนี้นางเติบโตขึ้นมาก
บัดนี้นางผ่านด่านสวรรค์จนได้เป็นเซียนชั้นสูงแถมนางยังมีอาวุธวิเศษอย่างกระบี่ไป๋เจี้ยน
นางเป็นชาวเผ่าสวรรค์ แล้วใยนางต้องกลัวพวกอธรรม มันไม่ใช่หน้าที่ของนางหรือที่ต้องปราบปรามคืนความสงบให้แก่สี่ทะเลแปดดินแดน
“จูเอ๋อร์ ภายนอกนั้นอันตรายมากกว่าที่เจ้าจะคาดคิด
ทั้งหมู่มารปีศาจ สัตว์อสูรที่ร้ายกาจ ไหนจะพวกมนุษย์แสนโลภ” คราวนี้เป็นราชินีแดนประจิมที่เอื้อนเอ่ย
“แล้วกักข้าไว้แต่ในทะเลชิไห่
ข้าจะรู้ซึ้งถึงอันตรายที่พวกท่านกล่าวหรือ เกิดมาก็ต้องหัดเรียนรู้
หัดเผชิญโลกกว้าง แก้ไขสถานการณ์ เอาตัวรอดได้ด้วยตนเอง
มิใช่ท่านพ่อกับท่านแม่หรอกหรือที่กรอกหูข้ามาตั้งแต่เยาว์วัย”
“เจ้านี่มันโตแต่ตัว
ความดื้อเพ่งของเจ้าไม่ได้ลดลงไปเลย” ราชาไป๋หลงเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก
เมื่อเป็นเด็กนางทั้งซนทั้งดื้อจนเขาต้องกักบริเวณไว้สามหมื่นปี
ผ่านมาถึงสามหมื่นปีนางก็ยังคงดื้อรั้น เพิ่มระดับมากกว่าวัยเยาว์เสียอีก
นางสรรหาเหตุผลมารองรับได้อย่างพอดิบพอดีจนน่าเจ็บใจ
“กระบี่ไป๋เจี้ยนเป็นอาวุธวิเศษที่ถูกสร้างมาให้มีอานุภาพทำลายล้าง
เป็นกระบี่ใช้กำจัดหมู่มารและความอยุติธรรม การที่กระบี่เลือกข้านั้น
แปลว่าต้องการให้ข้าเป็นผู้ขจัดความชั่วร้าย
แล้วใยราชาและราชินีแห่งแดนประจิมจึ่งไม่สนับสนุนข้าเล่า”
“...” เสียงถอดถอนหายใจและการไม่เอ่ยโต้แย้งของบิดาและมารดาทำให้ไป๋จูแอบอมยิ้ม
เกลี่ยกล่อมอีกหน่อยพวกท่านต้องคล้อยตามแน่
“ข้าถือกำเนิดมาพร้อมกับหน้าที่จากสวรรค์ให้ผดุงธรรม
ท่านพ่อและท่านแม่โปรดอย่าขัดขวางหน้าที่ของข้าเลย” สิ้นประโยคของผู้เยาว์กว่า
สองผู้สูงศักดิ์ต่างมองหน้ากันคล้ายกำลังปรึกษากันทางสายตา
สิ่งที่นางเอ่ยล้วนมีเหตุผลและเห็นจะเป็นจริง
ราชาไป๋หลงนึกย้อนไปในวันที่เทพบิดรมอบกระบี่ไป๋เจี้ยนให้แก่เผ่ามังกรขาว
ท่านรับสั่งไว้หนึ่งประโยค
‘กระบี่ปราบมารรอเจ้าของ
เพื่อคืนความสงบสุขแก่สี่ทะเลแปดดินแดน’
เจ้าของในประโยคนั้นเป็นบุตรีของเขาไม่ผิดเพี้ยน ตอนนางถือกำเนิด
เทพชะตาจากแดนสวรรค์ชั้นเก้าฟ้าเคยลงมาดูชะตาให้กับนางและบอกกับทุกคนว่า
นางมีชะตากรรมอันยิ่งใหญ่และมีเคราะห์กรรมอันใหญ่หลวงถึงแก่ชีวิตที่ต้องผจญเช่นกัน
เหตุนี้เองที่ทำให้ราชาและราชินีแดนประจิมเป็นกังวลและเลือกกักบุตรีไว้แต่ในทะเลชิไห่
กลัวเหลือเกินว่าจะเสียบุตรีอันเป็นที่รักไป
“ในเมื่อเป็นลิขิตแห่งสวรรค์ เราไม่ควรเข้าขัดขวาง”
ไป๋อวี้ที่ยืนแอบฟังมาพักใหญ่ก้าวเดินออกมาจากหลังบานประตูห้องบานใหญ่เอ่ยขึ้น
ตลอดระยะเวลาสามหมื่นปีที่เขาพร่ำสั่งสอนวิชาแก่น้องสาว
เขารับรู้ได้ว่านางมีพรสวรรค์ในการต่อสู้มากกว่าใครในเผ่ามังกรขาวที่ไม่ถนัดด้านบู๊หรือแม้แต่เผ่าสวรรค์เองก็ตาม
เป็นเพียงสตรีแต่กลับแข็งแกร่ง เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงได้อย่างว่องไว
เห็นทีเสี่ยวจูของเขาคงเกิดมาตามลิขิตแห่งสวรรค์เพื่อใช้กระบี่ไป๋เจี้ยนผดุงธรรมตามที่นางกล่าวไว้
“แม้แต่เจ้าเองยังเอ่ยเช่นนั้น
ข้าคงหมดปัญญาจะปกป้องโชคชะตาของจูเอ๋อร์แล้ว” ราชาไป๋หลงเอ่ยอย่างหมดหวัง
ในขณะที่ราชินีแดนประจิมเข้าตระกองกอดบุตรสาวไว้แนบอกอย่างนึกใจหาย
นางมีความรู้สึกว่าการปล่อยไป๋จูออกไปเผชิญโลกกว้างคราวนี้
นางอาจสูญเสียบุตรีไปเป็นที่แน่นอน
“กาลเวลาแปรผัน โชคชะตาอาจมีการเปลี่ยนแปลง
ขอท่านพ่อและท่านแม่อย่าได้กังวล” ไป๋อวี้เอ่ยอย่างต้องการปลอบใจบิดาและมารดา
ทั้งที่ตัวเขาเองก็รู้ดีแก่ใจว่าโชคชะตาเป็นลิขิตแห่งสวรรค์กำหนด
ไม่มีวันแปรเปลี่ยน และสิ่งนี้ทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนรับรู้ดี
“เอาล่ะจูเอ๋อร์ ตามพ่อไปที่คลังเก็บอาวุธ
ถึงเวลาที่ต้องส่งคืนกระบี่ไป๋เจี้ยนแก่เจ้าของ” สิ้นคำของบิดา
ไป๋จูก็ผลิยิ้มออกมาอย่างดีใจ ในที่สุดนางก็จะได้ใช้งานอาวุธวิเศษของนางสักที
ไป๋จูเดินตามบิดามายังคลังเก็บอาวุธที่นางเคยแอบย่องมาเมื่อสามหมื่นปีก่อน
ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม มีทหารยามเฝ้าประตูด้วยท่าทางองอาจ
เมื่อเห็นราชาไป๋หลงเดินเข้าไปใกล้ก็รีบทำความเคารพอย่างยำเกรง นางเดินตามหลังบิดาไม่ให้พลาดแม้ครึ่งก้าว
ผ่านหน้าทหารยามที่อยู่ในท่าเคารพเข้ามาภายในคลังเก็บอาวุธวิเศษ
“ไป๋เจี้ยน...” กระบี่ตรงหน้าส่องรัศมีสว่างไสวเหมือนต้องการบอกเป็นนัยๆ
ว่าถึงเวลาที่จะมอบมันให้แก่ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงแล้ว ไป๋จูเอื้อมมือเข้าไปหา ครั้งนี้นางไม่ถูกอาคมของกระบี่ดีดออกมาเหมือนสามหมื่นปีก่อน
น่าอัศจรรย์ที่กระบี่วิเศษลอยมาอยู่บนฝ่ามือของนางเองราวกับเต็มใจ
“จงใช้มันขจัดอธรรม นำความสุขสงบสู่สี่ทะเลแปดดินแดน”
“ลูกรับบัญชาท่านพ่อ” ไป๋จูรับคำบิดาก่อนจะนั่งลงทำความเคารพ
ภายในใจมีความปิติยินดีอัดแน่น ในที่สุดวันเวลาที่นางรอคอยก็มาถึง
“การผจญโลกในครั้งนี้
พ่อจะให้หลี่หลงร่วมเดินทางไปกับเจ้าด้วย” เมื่อฟังคำสั่งจากบิดา
หูนางก็ผึ่งขึ้นมาทันที
“บุตรคนโตของเผ่าปลามังกรนั่นน่ะหรือ แต่ท่านพ่อ
ลูกไปคนเดียวได้” ไป๋จูหวนนึกไปถึงใบหน้าที่ถือว่างดงามเกินชายของบุรุษคนดังกล่าว
พักนี้ท่านแม่ก็ชอบเอ่ยถึงหลี่หลงบ่อยๆ
แถมตัวหลี่หลงเองก็ชอบมาทำตาหวานเชื่อมใส่นางทุกวันนับแต่นางถูกปลดปล่อยจากการกักบริเวณ
แล้วมาวันนี้ท่านพ่อยังจะให้เขาตามไปผจญโลกกับนาง
แค่คิดก็แทบอยากจะชิงหนีไปเสียเดี๋ยวนี้
“พ่อจะยอมให้เจ้าออกไปผจญโลกภายนอก
แต่จะมิยอมให้เจ้าไปเพียงลำพัง” สิ้นคำกล่าว
ใบหน้าของราชาไป๋หลงก็แสดงความขึงเครียดทันตา
อ่า...ดูท่านางจะขัดความต้องการของบิดาไม่ได้เสียแล้ว หากเรื่องมากเกินไป
บิดาอาจจะเปลี่ยนใจไม่ยอมให้นางออกไปผจญโลก
“เช่นนั้นก็ได้ หากแต่เขาชักช้าไม่ทันการ จะมาโทษว่าลูกไม่รั้งรอไม่ได้”
ไป๋จูเอ่ยพลางคิดในใจ หลี่หลงผู้นี้ดูเป็นบุรุษอ้อนแอ้น
จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวดูเชื่องช้านุ่มนิ่ม
ไม่แน่ว่าป่านนี้อาจจะเพิ่งพับผ้าทีละชิ้นใส่ย่าม
“อย่าห่วงเลยบุตรีของข้า
หลี่หลงได้มายืนรอเจ้าอยู่ที่หน้าประตูคลังอาวุธมาพักใหญ่แล้ว” สิ้นคำบิดา
ไป๋จุหันกลับไปทางประตูก็พบกับร่างสูงสง่าที่ดูบอบบางกว่าบุรุษทั่วไป
เขากำลังยืนยิ้มอยู่หน้าประตูภายใต้เสื้อผ้าที่ดูแปลกตาไปจากเดิม
อืม...เจ้าหลี่หลงในวันนี้ดูเป็นบุรุษที่สมบุรุษขึ้นมานิดหน่อย
“หลี่หลงมีวิชาความรู้มากนัก
เขาจะช่วยเหลือเจ้าได้ในภายภาคหน้า” ไป๋จูหันกลับไปมองบิดาอีกคราก่อนจะส่งยิ้มแหยๆ
กลับไปให้โดยไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด
แม้ว่าในใจตอนนี้จะกู่ร้องว่า ‘ข้าดูแลตัวเองได้! ’
“เสี่ยวจู
เจ้าคิดไว้หรือยังว่าจะออกเดินทางไปที่ใด” ไป๋จูหันกลับไปมองบุรุษที่เดินตามหลังอยู่อย่างอืดอาด
แสลงหูนักที่ถูกเขาเรียกว่าเสี่ยวจู บังอาจ เจ้าคนบังอาจ
“เจ้าต้องเรียกข้าว่าไป๋จู
นอกจากไป๋อวี้พี่ชายข้าแล้ว ข้าไม่อนุญาตให้ใครเรียกข้าว่าเสี่ยวจู” หลังจากล่ำลาบิดามารดาและพี่ชาย
ไป๋จูและหลี่หลงก็ออกเดินทางจากทะเลชิไห่ขึ้นสู่แผ่นดิน
“ทำไมถึงเรียกเช่นนั้นไม่ได้
พ่อกับแม่ของเจ้าอยากให้เราปรองดองกัน ภายภาคหน้าเจ้าอาจต้องแต่งเข้าวังของข้า”
สองเท้าของไป๋จูชะงักกึก
ก่อนที่นางจะหันขวับกลับไปมองอีกหนึ่งบุรุษที่ยืนยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา
ความโมโหโกรธาถูกกระตุ้นขึ้นด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำ
ไอมังกรรุนแรงแผ่ออกมาจากร่างข่มขวัญบุรุษตรงหน้า
“ข้าเป็นธิดาแห่งราชามังกรสวรรค์ไป๋หลงผู้ปกครองแดนประจิม
ส่วนเจ้าเป็นบุตรแห่งหัวหน้าเผ่าปลามังกรที่อาศัยในทะเลสาบเล็กๆ
ภายใต้การปกครองของบิดาข้า...ไม่คิดว่าตนเองใฝ่สูงเกินไปรึที่จะแต่งมังกรสวรรค์เข้าเป็นภรรยา
เจ้าไม่รู้สึกว่าตนเองช่างต่ำต้อยบ้างเลยรึ หลี่หลง ” แรงกดดันจากไอมังกรที่รุนแรง
ทำเอาหลี่หลงทรงตัวยืนไว้ไม่อยู่ โลหิตหลั่งไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด
เขารู้สึกมือไม้อ่อนแรงและกลายเป็นเด็กหนุ่มตัวกระจ้อยร่อย
“ขะ...ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว”
ไป๋จูนั้นไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสำนึกได้
นางก็หันหลังกลับและออกเดินทางต่อโดยไม่ได้หันมาสนใจหลี่หลงอีก
โลกภายนอกนี้มีอะไรให้นางสนใจมากกว่าเจ้าปลามังกรทึ่มอย่างหลี่หลง!
“เขาลูกนั้นมันอะไรกัน
มีไอมังกรสวรรค์เต็มไปหมด...” ไป๋จูมองตรงไปยังภูเขาสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
หากจำไม่ผิด เหมือนในตำราที่ไป่อวี้เคยให้ท่องจำจะระบุชื่อของเขาลูกนี้เอาไว้
นางคลับคล้ายคลับคลาจะจำชื่อได้แต่กลับติดอยู่ที่ปลายลิ้น
“เขาคุนหลุน เป็นที่ตั้งของสำนักคุนหลุนที่เหล่าเทพเซียนหลายท่านเคยเป็นศิษย์
ว่ากันว่าตำหนักที่ประทับของเทียนโฮวองค์ก่อนก็อยู่ที่นี่” น้ำเสียงนุ่มนวลของหลี่หลงที่เดินตามมาดังขึ้น
“ใช่ๆ เขาคุนหลุน! เทียนโฮวองค์ก่อน...หมายถึงตี้โฮวเหยาฉือจวินเยว่เหรอ? ” ไป๋จูหันกลับไปถามคนที่ไม่รู้ว่าเดินมายืนเคียงข้างนางตั้งแต่เมื่อใด
สายตาคู่สวยเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดจ่อ
“ถูกแล้ว พระนางประทับอยู่บนเขากั่วซานยอดเขาสูงสุดของคุนหลุนท่ามกลางสวนท้อสวรรค์”
“ทำไมพระนางไม่ประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้าฟ้าเหมือนเทพชั้นสูงองค์อื่น”
ไป๋จูเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ ในตำราบอกเพียงแต่ว่าตี้โฮวปลีกวิเวก
แต่ไม่ได้บันทึกถึงเหตุผล หรือไม่นางอาจจะอ่านข้ามเนื้อหาในตอนใดไป
โธ่...ตำราของไป๋อวี้มีมากนัก อ่านอีกสามแสนปีก็คงไม่หมด
“นับแต่เทียนจวินองค์ก่อนดวงจิตแตกดับ
กลับคืนสู่กระแสธารวิญญาณ พระนางก็แต่งตั้งเทียนจวินองค์ปัจจุบันขึ้นเป็นราชาสวรรค์
ก่อนที่จะปลีกวิเวกถือสันโดษอยู่ที่ตำหนักสวนท้อบนเขากั่วซาน...น้อยครั้งที่จะปรากฏกายต่อหน้าชาวเผ่าสวรรค์
แม้แต่จะเข้าพบยังนับว่ายากนัก” หลี่หลงเอ่ยตอบอย่างภูมิใจในความรู้ของตน
ยิ่งใบหน้างดงามที่จับจ้องมาอย่างใคร่รู้นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกภูมิใจ ที่อย่างน้อยก็สามารถทำให้นางหันกลับมามองเขาอย่างเต็มใจได้
“ฟังดูแล้วช่างเป็นเรื่องที่แสนเศร้า...”
น้ำเสียงของไป๋จูเศร้าสร้อยลงถนัดตา หากจำเรื่องราวในตำราไม่ผิด
เทียนจวินองค์ก่อนสละตนปกป้องสี่ทะเลแปดดินแดนในสงครามเผ่ามาร นับแสนปีก่อนนางจะถือกำเนิด
“ตี้โฮวใช้ชีวิตอย่างเดียวดายมานับแสนปีแล้วสินะ”
“ตี้โฮวเป็นเทพบรรพกาล ท่านย่อมต้องสละซึ่งความรู้สึกโศกเศร้าได้แน่นอน
เจ้าอย่าเศร้าใจไปเลย”
“เทพบรรพกาลแล้วอย่างไร
ต้องเห็นคนรักตายจากไป ต่อให้เป็นมนุษย์หรือเทพเซียนล้วนไม่อาจทำใจได้ทั้งสิ้น”
ใครเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์กันว่าเทพยุคบรรพกาลต้องไร้ซึ่งความรู้สึกทั้งปวง
สวรรค์กำหนดไว้อย่างนั้นน่ะหรือ
“ไป๋จู
เจ้าเอ่ยราวกับเจ้าเคยมีความรัก” หลี่หลงเอ่ยขัดอย่างตะขิดตะขวงใจ
ใยสตรีผู้งดงามในดวงใจจึ่งตัดพ้อต่อว่าราวกับเคยผจญกับความรักมาก่อน
จะเป็นไปได้หรือ? ในเมื่อนางถูกกักบริเวณอยู่แต่ในตำหนักจูหลงมาสามหมื่นปี
มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าไปเยี่ยมเยียนและเล่นกับนางบ่อยๆ
“มีสิ ข้ามีความรักมาตั้งแต่ถือกำเนิด
ข้ารักบิดา มารดาและพี่ชายของข้า ข้ารักเหล่าราษฎรแดนประจิม
ข้ารักทุกสรรพสิ่งในสี่ทะเลแปดดินแดนนี้” หลี่หลงยิ้มแห้ง
ที่แท้เป็นเขาที่คิดมากไป เสี่ยวจูยังไม่รู้จักความรักระหว่างชายหญิง
นั่นนับว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่? หลี่หลงใคร่ครวญซ้ำๆ
แต่เขาก็เป็นหนึ่งในราษฎรแดนประจิม เป็นสรรพสิ่งในสี่ทะเลแปดดินแดน
อย่างน้อยเขาก็ได้รับความรักจากนางแล้ว
ตั้งแต่เด็ก
นางไม่ยอมให้เขาเรียกว่าองค์หญิงเพราะนับว่าเขาเป็นสหายคนหนึ่ง
น่าเสียดายที่เขาไม่ได้คิดเช่นนั้น คิดแล้วก็เวทนาตนเองนัก
เป็นแค่องค์ชายเผ่าปลามังกร บังอาจมีใจรักองค์หญิงแห่งแดนประจิม
บุตรีราชามังกรไป๋หลง มังกรขาวแห่งเผ่าสวรรค์
“ข้าว่าเราออกเดินทางไปแดนมนุษย์เถิด
ที่นั่นคงมีเรื่องราวมากมายให้เจ้าช่วยเหลือ” หลี่หลงชี้แนะเมื่อเห็นว่าไป๋จูเอาแต่เพ่งมองไปยังเขาคุนหลุนที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
“ไม่ ข้าจะขึ้นไปบนคุนหลุนก่อน
ข้าอยากไปเยือนสำนักคุนหลุนสักครั้งในชีวิต” ไป๋จูเอ่ยอย่างแน่วแน่
ไหนๆ ก็ผ่านมาแล้ว เข้าไปสำรวจสักนิดจะเป็นไรไป
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าสวรรค์เชียวนะ
“ที่นั่นมีแต่บุรุษ เจ้าเป็นสตรี
มันไม่ควร” หลี่หลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย
ถึงแม้ว่าต่อให้นางดื้อเพ่งจะขึ้นไป เขาก็พร้อมร่วมเดินทางไปกับนางอยู่ดี
แต่เขาไม่อยากให้บุรุษใดเห็นใบหน้าอันงดงามของนาง เขาคิดอย่างเห็นแก่ตัวเช่นนี้
นางรู้เข้าคงเกลียดเขาเป็นแน่
“บุรุษ สตรี
แล้วมันเป็นอย่างไรเล่า“
“ก็...” หลี่หลงทำได้เพียงแต่มองใบหน้าของนางด้วยท่าทีที่อ้ำอึ้ง
“...” ไป๋จูเพ่งมองบุรุษตรงหน้าด้วยความแคลงใจ
แค่นางอยากจะแวะขึ้นไปทำความเคารพผู้อาวุโสแห่งคุนหลุน มันจะเป็นไรไป
ทำไมหลี่หลงต้องห้ามนาง แล้วทำไมเขาจะต้องหน้าแดงซ่านราวสตรีแรกแย้มเช่นนั้น
เห็นทีสหายผู้นี้อาจมีใจไม่เหมือนบุรุษโดยทั่วไป ทั้งกิริยาวาจาที่อ่อนหวานกว่า
ไหนจะรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นนั่นอีกเล่า งดงามเสียยิ่งกว่าสตรีหลายนาง
แถมช่วงวัยเยาว์ก็ชอบมาคลุกคลีเล่นกับนาง
ไม่มีเด็กผู้ชายที่ไหนชอบเล่นกับเด็กผู้หญิงหรอก
อืม...แต่ละเหตุผลช่างดูส่งเสริม
ใช่แล้ว...ใช่แล้ว
หลี่หลงคงเปรียบดั่งขันธีในพระตำหนักฝ่ายในของแดนมนุษย์
บุรุษผู้มิได้มีใจใฝ่หาสตรี
เช่นนั้นแล
“ใยเจ้าทำหน้าเช่นนั้น
ข้ารู้สึกเสียวสันหลังชอบกล” หลี่หลงรู้สึกได้ว่าองค์หญิงแห่งแดนประจิม
กำลังคิดเรื่องพิเรนทร์สักเรื่องเกี่ยวกับเขาอยู่แน่นอน จากสีหน้าเจ้าเล่ห์ของนางในตอนนี้
เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง
“ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล
เพียงแต่ข้าเข้าใจหัวจิตหัวใจของเจ้าอย่างท่องแท้แล้วเพียงเท่านั้น” ไป๋จูอมยิ้ม ความหนักใจที่อาจจะถูกบิดายกให้หลี่หลงเป็นอันคลี่คลาย “เราขึ้นไปบนคุนหลุนกันเถอะ...หลงเอ๋อร์”
“ละ...หลงเอ๋อร์? ” หลี่หลงตื่นตระหนกกับสรรพนามที่นางในดวงใจใช้เรียกตน
ใยนางทำน้ำเสียงเอ็นดูเช่นนั้นเล่า
หรือว่าความรู้สึกของนางที่มีต่อเขากำลังเริ่มเปลี่ยนแปลงขึ้นมาบางแล้ว? “รอข้าด้วยไป๋จู! ”
ไป๋จูเหลียวหลังกลับไปมองบุรุษอ้อนแอ้นที่กำลังวิ่งตามหลังมาอย่างรีบร้อน
ใบหน้าของเขาดูเบิกบานยิ้มแย้ม
สงสัยสรรพนามใหม่ที่นางใช้ขานเรียกจะถูกอกถูกใจไม่น้อย
แต่ตอนนี้เรื่องที่ควรจดจ่อก็คือการเดินทางขึ้นไปยังเขาคุนหลุน
เส้นทางล้วนมีอุปสรรคและค่ายกลนับไม่ถ้วน
สมแล้วที่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์
การป้องกันคุ้มครองช่างแน่นหนา แต่ก็ไม่ได้คณามือของนางหรอก
“หยุดอยู่ตรงนั้น พวกเจ้าเป็นใคร
บังอาจรุกล้ำแดนศักดิ์สิทธิ์! ” บุรุษชุดขาวจำนวนมาก วิ่งกรูเข้ามารายล้อมนางและหลี่หลง
ในจังหวะที่ประตูทางเข้าของสำนักคุนหลุนตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
นี่คงจะเป็นเหล่าเทพเซียนที่เป็นศิษย์แห่งสำนักคุนหลุนกระมัง
ดูแล้วเป็นพวกเคร่งอยู่ในกฎระเบียบอย่างไม่ต้องสงสัย
เห็นอย่างนี้แล้วนับว่าเป็นของแสลงสำหรับพวกชอบแหกกฎฟ้ากฎสวรรค์เช่นนาง
“นะ...นี่พวกเจ้า อย่าเสียมารยาทนะ!
” หลี่หลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะยืดตัวขึ้น
ทำท่าราวกับกำลังปกป้องนาง ไป๋จูเห็นดังนั้นก็รู้สึกสะท้อนใจนัก
นางจะปล่อยให้บุรุษตัวน้อยแสนบอบบางออกโรงปกป้องได้อย่างไร
“เซียนทุกท่านโปรดระงับโทสะ
ข้าน้อยมีนามว่าไป๋จู เป็นบุตรีแห่งราชามังกรไป๋หลง ข้าและสหายเดินทางผ่านมา มีเจตนาเพียงแค่อยากมาทำความเคารพผู้อาวุโสแห่งคุนหลุน
ไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินแต่อย่างใด”
“ที่แท้เป็นองค์หญิงไป๋จู
พวกข้าต้องขออภัยที่เสียมารยาท” ชายผู้หนึ่งก้าวออกมาด้านหน้าพลางทำท่าทางเคารพนาง
ดูจากท่าทางแล้ว น่าจะเป็นพี่ใหญ่ของบุรุษกลุ่มนี้ “อีกอย่าง
ตอนนี้ท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ที่คุนหลุน
แต่ไปหารือกับเทียนจวินยังสวรรค์เก้าชั้นฟ้า”
“มาเสียเที่ยวหรือนี่...” ไป๋จูพึมพำเบาๆ อย่างแสนเสียดาย “เช่นนั้น
ข้าและสหายก็ไม่ขอรบกวนเวลาฝึกตนของเหล่าเซียนแล้ว ขอลา”
ไป๋จูเอ่ยอย่างนอบน้อม
สายตาก็เหลือบมองประตูทางเข้าของสำนักคุนหลุนอย่างนึกอาลัย
“เราจะเดินทางไปที่ใดต่อหรือ”
หลี่หลงที่เงียบมานานจนนางนึกว่าหนีกลับทะเลชิไห่ไปแล้วก็เอ่ยถามขึ้น
“เขากั่วซาน” นางเอ่ยอย่างมาดมั่น สายตามองตรงไปยังยอดเขาที่ตั้งตระหง่าน
“หะ...หา! นั่นเป็นเขตหวงห้าม
เป็นที่ประทับของเหยาฉือจวินเยว่ หากไม่ได้รับอนุญาต จะต้องทัณฑ์อัสนีสวรรค์แปดสิบสายนะ
ไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้” หลี่หลงเอ่ยอย่างร้อนรน
บัดนี้ในสายตาของไป๋จู เขาช่างเป็นบุรุษน้อยที่ชอบตื่นตระหนกยิ่งนัก
“ข้าแค่จะไปทำความเคารพตี้โฮว
ไม่ได้ก่อเรื่องเสียหน่อย เจ้ากลัวสิ่งใด” นางว่าพลางก้าวขายาวๆ
เดินหน้าไปยังเป้าหมายอย่างไม่ลังเล
ต่างจากปลามังกรหนุ่มที่หันรีหันขวางอย่างตัดสินใจไม่ถูก
แต่จนแล้วจนรอดก็รีบก้าวตามนางมาจนได้ เสียดายก็แต่ปากยังคงพร่ำบ่นไม่หยุด
“ไป๋จู สวรรค์ชั้นเก้าฟ้ามิได้อิสรเสรีอย่างแดนบูรพา
กฏเกณฑ์ล้วนเข้มงวดยิ่ง ต้องโทษแล้วมิอาจละเว้นได้ เจ้าใคร่ครวญอีกครั้งเถิด”
ไป๋จูปรายตามองหนุ่มอ้อนแอ้นที่จ้ำเท้าอยู่ข้างๆ อย่างนึกรำคาญใจ
“หลี่หลง
เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าหัวหดเสียยิ่งกว่าพวกเต่า” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นๆ
“และข้าเกลียดคนนิสัยเช่นนี้นัก”
“...” ปลามังกรหนุ่มหุบปากลงทันใด
รู้ดีแก่ใจว่าตนไม่สามารถห้ามหญิงสาวได้
เขาคงทำได้เพียงร่วมเป็นร่วมตายไปกับนางเท่านั้น
ความรักที่เขามีให้องค์หญิงแห่งเผ่ามังกรขาวนั้น ล้ำลึกเกินกว่านางจะคาดเดาได้
แต่เขาก็คาดหวังว่าสักวันหนึ่งนางจะรับรู้ถึงหัวใจที่เขามีต่อนาง
“สวนท้อสวยเหลือเกิน...” ไป๋จูพึมพำออกมาแผ่วเบา เมื่อสองเท้าเหยียบย่างล่วงล้ำเข้ามายังพื้นที่
ที่มีต้นท้อเรียงรายละลานตาทุกต้นล้วนออกดอกบานสะพรั่ง ส่วนหลี่หลงนั้น
ยังคงมีท่าทีกล้าๆ กลัวๆ เช่นเคย แต่กลับไม่ปริปากพร่ำบ่นเช่นก่อนหน้านี้
“ใครกัน อาจหาญบุกรุกสวนท้อสวรรค์ของข้า...”
สองเท้าที่ก้าวเดินเป็นอันชะงักอยู่กับที่
น้ำเสียงเรียบเรื่อยที่ลอยมากับสายลม ทำให้ไป๋จูหันมองรอบตัว
กระแสเสียงฟังดูเยือกเย็น และให้ความรู้สึกที่ว่างเปล่า
“แย่แล้วไป๋จู
พวกเราเห็นทีจะต้องโทษสถานหนักเป็นแน่” คราวนี้หลี่หลงจอมทึ่มที่เงียบมาตลอดทาง
เริ่มแสดงท่าทีลนลานอีกครั้ง พร้อมกับเข้ามาเขย่าแขนนางด้วยใบหน้าซีดเผือด
ไป๋จูปรายตามองเพื่อนร่วมทางอย่างไม่ชอบใจ
ก่อนจะชักแขนข้างนั้นออกจากการเกาะกุมที่นางไม่ได้อนุญาต
พลางสายตาคู่สวยก็กวาดตามองทั่วป่าท้อเพื่อหาต้นตอของเสียง
ก่อนที่จะเหลือบขึ้นไปมองบนต้นท้อที่นางยืนอยู่ใกล้ที่สุด
นั่นปะไร!
สายตาของนางปะทะเข้ากับร่างของหญิงสาวนางหนึ่ง
ซึ่งกำลังทอดกายอยู่บนกิ่งใหญ่ของต้นท้อ เรือนผมสีขาวที่พลิ้วไหวตามแรงลม
อาภรณ์สีแดงสดที่ถูกสวมทับด้วยเสื้อนอกสีขาวสะอาดตา
ใบหน้านั้นงดงามสะกดตาอย่างที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน ในมือของนางมีไหเหล้าใบเล็กที่ถูกนางยกขึ้นจิบเป็นระยะอยู่หนึ่งใบ
นี่เทพเซียนจากสวรรค์ชั้นไหนกัน...
งดงามเสียจนสตรีอย่างข้าก็อดตะลึงตาค้างไม่ได้!
ไป๋จูพร่ำบ่นกับตัวเอง
ดวงตายังคงนิ่งค้างอยู่กับร่างบนกิ่งต้นท้อ
ไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของเจ้าปลามังกรข้างกายแต่อย่างใด
เจ้าของเรือนร่างงดงามนั้น
หลุบตาลงต่ำเพื่อประสานสายตาเข้ากับนาง ไป๋จูตะลึงงันราวกับต้องมนต์สะกด
ความสวยงามในโลกหล้านี้ ไป๋จูคิดว่าได้มารวมอยู่บนกายของสตรีนางนี้จนหมดสิ้นแล้ว
เมื่อไร้สัญญาณตอบกลับจากผู้บุกรุกตรงหน้า
ร่างงดงามบนต้นท้อนั้น ก็ค่อยๆ หย่อนกายลงมายังพื้นเบื้องล่างด้วยท่าทีงามสง่าอย่างหาใดเปรียบ
“พวกเจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า”
น้ำเสียงเรียบเรื่อยที่ดังอยู่ใกล้ๆ ทำให้ไป๋จูตื่นจากภวังค์
“ขะ...ข้าชื่อไป๋จู
บุตรีของราชาไป๋หลงแห่งแดนบูรพา” นางเอ่ยพลางหลบตาสตรีตรงหน้า
ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน แปลกประหลาดเสียจริง เป็นสตรีเฉกเช่นเดียวกันแท้ๆ “ส่วนนี่หลี่หลง สหายของข้า...”
“ที่แท้ก็ลูกสาวของท่านไป๋หลง
เช่นนั้นเจ้ามาทำอะไรที่เขากั่วซาน…” สายตาคู่สวยจับจ้องมายังไป๋จูเพื่อรอฟังคำตอบ
ใบหน้างดงามของสตรีอ่อนเยาว์ตรงหน้า ทำให้นึกเอ็นดูนัก ผ่านมานานเท่าใดแล้วที่นางไม่ได้เสวนากับผู้คน
“พวกข้าเดินทางผ่านมา
ได้ยินว่าตี้โฮวทรงประทับอยู่ที่นี่ จึงอยากเข้ามาคารวะผู้อาวุโส” ไป๋จูเอ่ยด้วยวาจาที่ฉะฉานกว่าเมื่อครู่
หรือแม่นางผู้นี้ก็คิดจะขวางทางนางไว้ด้วยอีกคน
“กล้าหาญไม่เบา
เมื่อรู้ว่าเป็นที่ประทับของตี้โฮว ก็คงรู้กระมังว่าเป็นเขตหวงห้าม
แล้วทำไมยังบุกรุกขึ้นมาเล่า” นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
พลางมือก็ยกไหเหล้ากรอกเข้าปาก
“นั่นสิไป๋จู
เรารีบออกไปจากที่นี่เถอะ...” หลี่หลงส่งเสียงกระซิบอยู่ด้านหลัง
ไป๋จูเหลือบตาไปมองก็เห็นเพียงแต่ใบหน้าขาวซีดเป็นเนื้อปลาต้ม
“นั่นเพราะข้าคิดว่า ข้าแค่อยากมาทำความเคารพผู้ใหญ่
ทำไมจะต้องกลัวโทษทัณฑ์ด้วยเล่า ผู้น้อยอย่างข้าทำผิดหลักประการใด” ไป๋จูคิดว่า หากสวรรค์จะลงโทษนางด้วยเหตุนี้ ก็ออกจะเกินไปกระมัง
“เสด็จย่า...” ก่อนจะมีใครได้เอ่ยสิ่งใดต่อ
น้ำเสียงทุ้มชวนฟังของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังแหวกอากาศมาจากทางด้านหลังของไป๋จู “ขออภัย ข้าไม่รู้ว่าท่านมีแขก”
“เฟยหมิงของย่าเองหรือ
วันนี้ครึกครื้นเสียจริง” สตรีตรงหน้าเอ่ยขึ้น
ใบหน้าของนางยามนี้ยิ้มแย้ม
แววตาที่ทอดมองผู้มาใหม่ช่างให้ความรู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยน
นั่นทำให้ไป๋จูอดคิดถึงผู้เป็นมารดาของตนไม่ได้ ป่านนี้จะกำลังคิดมากเรื่องของนางอยู่หรือไม่นะ
“หละ...หลี่หลง คารวะองค์รัชทายาท!
” เสียงตื่นตระหนกของหลี่หลงดังขึ้น
ก่อนที่ร่างบอบบางนั่นจะคุกเข่าในท่าทำความเคารพ ไป๋จูมองภาพนั้นด้วยความตกใจ
นางเลื่อนสายตาจากหลี่หลง หันกลับไปยังผู้มาใหม่ที่อยู่ด้านหลัง
ร่างสูงสง่า ใบหน้างดงามราวกับถอดมาจากสตรีก่อนหน้านี้
นัยน์ตาสีทองอร่าม ไอมังกรแผ่อยู่รอบๆ ตัว บุคลิกท่าทางองอาจน่ายำเกรง
เป็นองค์รัชทายาทเฟยหมิงของเผ่าสวรรค์ไม่ผิดแน่
“คารวะองค์รัชทายาท” เฟยหมิงเลื่อนสายตาจากผู้เป็นย่ามายังสตรีนางหนึ่งที่กำลังทำท่าเคารพตนเองอยู่
ประเมินด้วยสายตา นางงดงามหมดจด ในสามโลกนี้คงเป็นรองเพียงเสด็จย่าของเขาเท่านั้น
ไอมังกรรอบกายนาง บ่งบอกให้รู้ว่านางคือเผ่ามังกรไม่ผิดเพี้ยน
แต่องค์รัชทายาทแห่งเผ่าสวรรค์กลับไม่เคยเห็นหน้าของสตรีผู้นี้มาก่อน
หรือจะเป็นเซียนรับใช้ใหม่ที่เสด็จย่าของเขาเรียกมากันนะ
ไม่ถูกต้อง...เผ่ามังกรถือเป็นเผ่าสวรรค์ชั้นสูง
ไม่มีทางเป็นเซียนรับใช้อย่างแน่แท้
แต่เจ้าปลามังกรข้างๆ นั่น
มีความเป็นไปได้เสียมากกว่า
“สหายเซียน เชิญทำตัวตามสบายเถิด”
รัชทายาทเผ่าสวรรค์ตรัสเพียงเท่านั้น
และไม่ได้ให้ความสนใจกับสาวงามแปลกหน้าอีก จนกระทั่ง...
“ตะ...ตี้โฮว ไป๋จูคารวะตี้โฮว!
” ไป๋จูใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ องค์รัชทายาทเรียกสตรีนางนี้ว่า ‘เสด็จย่า’ ตัวเขาเองเป็นบุตรของเทียนจวินองค์ปัจจุบัน
และเทียนจวินองค์ปัจจุบันก็เป็นบุตรชายคนโตของตี้โฮวเหยาฉือจวินเยว่
ไป๋จูนะไป๋จู
เจ้าช่างมีตาแต่หามีแววไม่!
นางทำได้เพียงคร่ำครวญในใจ
ไม่รู้เมื่อครู่ได้เผลอล่วงเกินสิ่งใดไปบ้างหรือไม่
ครั้นสอดส่องสายตาไปยังสหายปลามังกร กลับปรากฏว่าเขาใจเสาะเป็นลมสลบไสลไปก่อนแล้ว
เจ้าปลามังกรไร้ประโยชน์เอ้ย!
“เมื่อครู่ผู้น้อยมีตาแต่ไร้แวว
หากได้บังอาจล่วงเกินตี้โฮว...โปรดอย่าถือโทษผู้น้อยผู้โง่เขลา” ไป๋จูเพิ่งเข้าใจว่าเหงื่อกาฬผุดซึมเป็นเช่นไร นางยังคงก้มหน้าในท่าเคารพ
ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสู้สายตาเทพชั้นสูงทั้งสอง
“องค์หญิงไป๋จู
เจ้าทำตัวตามสบายเถิด” กระแสเสียงของตี้โฮวฟังแล้วเย็นชโลมใจ
ทำให้หัวใจของมังกรขาววัยแรกแย้มอย่างไป๋จูสงบลง นางเหลือบสายตาขึ้นมองผู้มีศักดิ์ทั้งสอง
สิ่งที่นางพบคือรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนของตี้โฮว
งดงามนัก
เป็นสตรีที่งดงามไปทุกกิริยา...
“หลานรุดหน้ามาหาย่าถึงเขากั่วซาน
คงมีเรื่องสำคัญ” ประโยคนี้ตี้โฮวหันกลับไปถามรัชทายาทเผ่าสวรรค์
ยามทอดมองร่างของทายาทรุ่นหลาน ล้วนเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูทั้งสิ้น
“...” รัชทายาทเฟยหมิงไม่ได้ตอบผู้อาวุโสในทันที
สายตาเลื่อนไปมองยังสตรีแปลกหน้าอีกหน เรื่องนี้ยังมิควรแพร่งพราย
โดยเฉพาะกับคนที่เขาไม่รู้จักเช่นนาง แต่จากที่เสด็จย่าเรียกนางว่าองค์หญิง และมองร่างจริงของนางผ่านเนตรทิพย์
คงเป็นองค์หญิงเผ่ามังกรขาวแห่งแดนบูรพา บุตรีของราชาไป๋หลง
เมื่อตอนที่เขาอายุได้เจ็ดหมื่นปี นางก็ถือกำเนิดพร้อมปรากฏการณ์อันเป็นมงคล
เสด็จพ่อ เสด็จแม่ เคยพาเขาไปร่วมยินดียังทะเลชิไห่
ในตอนนั้น...
เขาเห็นเพียงว่านางเป็นทารก
หน้าตาพอน่าเอ็นดู ในมือของนางกำไข่มุกมังกรเหมันต์ไว้ไม่คลาย
เทพชะตาบอกว่าบุญญาธิการของนางเป็นรองเพียงเขาเท่านั้น
โตมาในยามนี้
เฟยหมิงกลับมองไม่ออกว่านางมีลักษณะพิเศษอย่างไร
“...” ไป๋จูรู้สึกได้ว่ามีสายตาทรงอำนาจคู่หนึ่งกำลังทิ่มแทงนางอยู่ทางด้านหลัง
รู้สึกในบัดดลว่าตนเองกลายเป็นส่วนเกินเสียแล้ว
ครั้นมองไปยังร่างของหลี่หลงที่นอนอเนจอนาถอยู่บนพื้นก็ได้แต่ถอดถอนใจ
“ถ้าเช่นนั้นตัวข้าและสหาย...”
ครั้นไป๋จูจะเอ่ยคำลา กลับเป็นน้ำเสียงของตี้โฮวที่เอ่ยขัดขึ้น
“องค์หญิงพาสหายไปพักที่ตำหนักของข้าก่อนเถิด”
ไป๋จูมองผู้อาวุโสอย่างชั่งน้ำหนักในใจ
จะให้นางแบกหลี่หลงลงเขาก็เกรงว่าจะเหนื่อยตายเสียก่อนจะถึงด้านล่าง
แม้นางจะบอกว่าหลี่หลงรูปร่างอ้อนแอ้นไม่สมบุรุษ
แต่เขาก็ตัวใหญ่กว่านางเกือบเท่าตัว
“เป็นพระกรุณาเพคะตี้โฮว” มังกรสาวแรกแย้มทำท่าเคารพอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงไปพยุงสหายขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
คอยดูเถิดนะหลี่หลง ยามใดที่เจ้าตื่นขึ้นมา ข้าจะให้เจ้าชดใช้ความอับอายนี้ให้สาสม!
“ส่งเขามาให้ข้าเถิด” มือใหญ่ของรัชทายาทเฟยหมิงเอื้อมไปช่วยพยุงบุรุษหนุ่มผู้ที่ยังคงไม่ได้สติ
รูปร่างบอบบางเช่นนี้ คำนวณดูแล้วเขาคงแบกไปถึงตำหนักของเสด็จย่าได้โดยไม่เหนื่อยเท่าใด
“อะ...ปะ...เป็นพระกรุณาเพคะองค์รัชทายาท...”
ไป๋จูทำได้เพียงมองไปยังบุคคลเบื้องหน้าอย่างตะลึงงัน
ภาพของบุรุษร่างสูงที่แบกบุรุษร่างบางอีกคนพาดบ่าไว้นั้น ช่างเป็นภาพที่...อ่า
รักใคร่ปรองดอง
“หนุ่มสาวนี่ดีเสียจริง” ตี้โฮวเหยาฉือจวินเยว่เอ่ย พลางยกไหเหล้าใบน้อยขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี
ก่อนจะเดินมุ่งหน้ากลับตำหนักที่ประทับของตน
นี่ข้า...ไป๋จูผู้นี้กำลังจะได้ไปเยือนตำหนักของตี้โฮวเหยาฉือจวินเยว่ผู้ปลีกวิเวก
เรื่องนี้นับว่าเอาไปคุยโวได้ทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนเชียวนะ
แม้แต่ไป๋อวี้ก็ต้องอิจฉาข้าแน่!
ความคิดเห็น