คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : PLAYFUL || Chapter 1 [Loading...50%]
Chapter 1 || ผู้ชายที่ชื่อ ‘รันเวย์’
ตรงนี้มันโล่งมาก
ไม่มีที่ให้ฉันซ่อนตัวเลย!
ฉันรีบวิ่งลงข้างทางแล้วนั่งขดตัวไว้ให้ได้มากที่สุด
ได้แต่คิดว่าขอให้ไม่มีใครในรถคันนั้นสังเกตเห็น สวรรค์โปรดเห็นใจฉันด้วยเถอะ
ฉันเพิ่งจะเป็นเด็กนิเทศปีสอง ฉันไม่ควรจะมีความทรงจำที่เลวร้ายโดยเริ่มต้นเพียงแค่การเดินชนกับใครเข้าสักคนแบบนี้
เอี๊ยด!
แต่ดูเหมือนคำภาวนาฉันจะส่งไปไม่ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
“คุณ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ? ”
เสียงปิดประตูรถดังขึ้นพร้อมกับคำถามที่ถูกส่งมาจากผู้ชายคนหนึ่ง
สัมผัสได้ว่าไม่ใช่มังกร หมอนั่นไม่มีความรู้สึกเป็นคนสุภาพแบบนี้หรอก
“นายเองเหรอ” ฉันค่อยๆ หันกลับไปมองอีกฝ่ายช้าๆ แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกโล่งใจ
ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกดีใจขนาดนี้
นั่นอาจเป็นเพราะเขาเคยบอกว่าจะช่วยฉันไว้ก็ได้ละมั้ง
“อ้าว เธอที่เป็นของเดิมพันนี่” คำเรียกของเขาทำเอาคิ้วฉันกระตุก
“แล้วพวกนั้นล่ะ” ฉันเอ่ยถามในขณะที่ยังนั่งยองๆ อยู่ที่พื้น
สายตากวาดมองไปยังถนนด้านหลังที่มืดสลัว
“พวกไหนอะ ถ้าพวกเพื่อนๆ
ของฉันยังอยู่ในสนาม พอดีฉันมีการบ้านต้องกลับไปทำ เลยขอตัวกลับก่อน” ถามไปแค่นิดเดียวแต่เขาดันตอบซะยืดยาว แถมไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากรู้ด้วย
หมอนี่มันกวนอารมณ์จริงๆ
“ฉันหมายถึงมังกร” ฉันบอกพร้อมชักสีหน้าแบบอัตโนมัติ ช่วงนี้รู้สึกหงุดหงิดง่ายมาก
“อ่อ ผัวเธอก็ยังไม่กลับอะครับ
ฉันมาคนเดียว” ผู้ชายตรงหน้าบอกพร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกันไง!
” คราวนี้ฉันผุดลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนใส่หน้าเขาอย่างไม่ชอบใจ
“แค่แหย่เล่นเอง
ไม่เห็นต้องเสียงดังเลย” เขายังคงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแม้จะโดนฉันตะโกนใส่หน้าก็ตาม
“ช่างเถอะ ฉันขอยืมมือถือหน่อยค่ะ
กระเป๋ากับโทรศัพท์ฉันอยู่บนรถของพวกนั้น” ฉันเอ่ยขอ
คิดไว้ว่าจะโทร.ไปหาพี่เอเดน เพราะไม่ค่อยอยากให้ที่บ้านรู้สักเท่าไหร่ พอลองมาคิดๆ
ดูแล้วมันจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตแน่
ตัวฉันตอนนี้ก็ปลอดภัยแล้วแม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม
ฉันก็ยังมีความเมตตาอยู่บ้างอะนะ
“ไม่มี” และฝ่ายตรงข้ามก็ตอบออกมาแทบทันที
“อะไรนะ? นี่หมายความว่ายังไงคะ อยู่ได้ยังไงโดยไม่มีมือถือ”
ฉันรัวคำถามใสฉันอย่างเหลือเชื่อ
ยุคนี้ยังมีคนที่ไม่ใช้โทรศัพท์มือถืออยู่อีกเหรอ โดยเฉพาะวัยเรียนแบบนี้
แล้วเขาทำยังไงติดต่อบรรดาเพื่อนๆ กับอาจารย์ล่ะ
“มือถือน่ะมี
แต่ว่าตอนนี้มันไม่มีอะครับ” ฉันยืนนิ่ง
เรียบเรียงประโยคของเขาช้าๆ ยังไงของเขากันแน่ มี แต่ตอนนี้ไม่มี
“กำลังกวนประสาทกันอยู่เหรอคะ? ”
ฉันกดเสียงต่ำลง เริ่มจะโมโหแบบจริงจังแล้วนะ
ในสถานการณ์แบบนี้ฉันไม่สนุกด้วยหรอก
“เปล่านะครับ ก็ผมมีมือถือ
แต่ว่าตอนนี้ชาร์จแบตไว้ที่ห้อง ก็เลยไม่มีให้ยืมไง” คนตรงหน้ายังคงอธิบายช้าๆ
ด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ ถ้าเขาพูดแบบนี้ตั้งแต่แรกฉันก็ไม่อารมณ์ขุ่นใส่แบบนี้หรอก
“อืมค่ะ” ฉันพยักหน้าให้เขาสองสามที
ก่อนจะชำเลืองมองไปทางถนนด้านหลังอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าปลอดโปร่งดีก็เริ่มก้าวขาอีกครั้งด้วยความเหนื่อยล้า
พรุ่งนี้เช้าขาฉันต้องระบมแน่ๆ เลย
แต่ยังไงตอนนี้ต้องหาทางออกไปให้พ้นจากที่นี่ก่อน
“แล้วนั่นจะไปไหนครับ” เสียงของคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมดังขึ้น
“กลับบ้านค่ะ” ฉันตอบโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมอง ฉันหมดธุระที่จะคุยกับเขาแล้ว
เพราะฉะนั้นตั้งแต่วินาทีนี้ไปฉันจะไม่รู้จักเขาอีก
และไม่ว่าเจอที่ไหนก็จะไม่ทักทาย
“คงกลับไม่ได้หรอก” คราวนี้ฉันหันกลับไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
และเขาคงเห็นจากสีหน้าของฉันเลยพูดต่อ “เธอต้องไปกับผม”
“ทำไมฉันต้องไปกับนายไม่ทราบ? ”
เป็นอีกครั้งที่ฉันทำหน้าเหวี่ยงและน้ำเสียงฉุนเฉียวใส่เขา
ปกติฉันมักเก็บอารมณ์ได้ดี แต่ช่วงนี้กลับเกรี้ยวกราดง่ายมาก
มีไม่กี่เหตุผลหรอกที่ทำให้เป็นแบบนี้
“ก็ไอ้งั่งนั่นแพ้แล้ว
ของเดิมพันอย่างเธอก็ต้องเป็นของฉันดิ” คิ้วฉันแทบจะขมวดเป็นปม
หมายความว่าเขาเป็นคนชนะการแข่งในครั้งนี้ ไม่ใช่มังกร?
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่ของเดิมพัน
เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะชนะ ฉันก็ไม่ไปด้วยทั้งนั้น! ” ฉันบอกแล้วก้าวเดินต่อแบบไม่รอฟังคำท้วงติงจากเขา
ไอ้คนประสาท พูดจนปากจะฉีกก็ไม่คิดจะฟังกัน
“ฉันก็ไม่สนหรอกว่าเธอเป็นใคร
แต่เธอโผล่มาในสนามแข่งด้วยสถานะของเดิมพัน ในตอนนี้ฉันเป็นฝ่ายชนะ
เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องไปกับฉันเพื่อเป็นรางวัล...”
หมับ!
ไม่ได้พูดเปล่า
แต่คนตรงหน้าเดินตามเข้ามาคว้าต้นแขนฉันไว้แล้วดึงกลับไปหาเขาอีกด้วย
ทำให้ตอนนี้ตัวฉันเซถลาจนใบหน้าไปชนกับแผงอกกว้างนั่นอย่างจัง
โชคดีแค่ไหนที่ฉันสวยตามธรรมชาติ ถ้าศัลยกรรมมาคงได้จมูกเบี้ยวบ้างล่ะ กระแทกแรงขนาดนี้
“นี่นาย...” ฉันรีบเงยหน้าขึ้นเพื่อจะต่อว่าเขา
แต่มันประจวบเหมาะเข้ากับตอนที่เขาก้มหน้าลงมาพอดี ตอนนี้มันเลยกลายเป็นว่าปลายจมูกของเขาสัมผัสเข้ากับบริเวณหน้าผากของฉันแบบไม่ได้ตั้งใจ
“...”
“...”
“ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องไปกับฉัน...”
เราต่างคนต่างเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นและผละออกห่างไป
แต่ว่านั่นไม่ได้แปลว่าเขาปล่อยมือจากต้นแขนของฉัน
“นายพูดไม่รู้เรื่องเหรอไง ปล่อยนะ!
” ฉันโวยวายในตอนที่กำลังถูกเขาลากจูงไปยังรถที่จอดอยู่
“เธอนั่นแหละพูดจาไม่รู้ความ
เป็นแม่การะเกดกลับชาติมาเหรอ” คือนี่มุกตลกเหรอ?
“นายนี่มันไร้สาระจริงๆ เลยนะ
เสพละครไทยมากไปเหรอไง ว้าย! ” เขาลากฉันมาจนถึงรถ
พอเปิดประตูรถได้ก็จับฉันกดหัวลงแล้วยัดเข้ามาในรถทันทีแบบไร้อารยธรรม
ไอ้พวกป่าเถื่อน ขอถอนคำพูดที่ว่าเขาดูนิสัยดีกว่ามังกร!
“เธอนี่ก็ปากจัดกว่าที่คิดนะ”
ปัง!
เขาตอบกลับมาแค่นั้นแล้วก็ปิดประตูรถใส่หน้าฉันในทันทีก่อนจะเดินอ้อมมาฝั่งคนขับแล้วเปิดประตูขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว
นี่ยัยโมนา เธอนั่งบื้ออยู่ทำไมกัน
ทำไมไม่ลง!
“กรี๊ดดด” มือที่กำลังเอื้อมไปเปิดประตูเป็นอันต้องชักกลับมาจิกเบาะไว้แน่นแทน
เมื่อคนขับรถทำตัวบ้าระห่ำโดยการออกตัวด้วยความเร็วจนตัวฉันกระแทกกับเบาะด้านหลังอย่างแรงเพราะไม่ได้ตั้งตัว
“นั่งเฉยๆ ไปเถอะ
ฉันไม่พาเธอไปฆ่าหรอก อย่างมากก็แค่...” เขาพูดแค่นั้นแล้วก็หยุดลงเสียดื้อๆ
สายตาชำเลืองมามองฉันอย่างมีเลศนัย
“แค่อะไร! ” ฉันรีบยกแขนขึ้นมากอดตัวเองเอาไว้
โชคดีที่เสื้อนิสิตของฉันแห้งแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไว้ใจคนข้างๆ
นี่ไม่ได้อยู่ดี
“ถึงก็รู้เองแหละครับ”
ฉันนั่งเงียบมาตลอดทางและเกร็งตัวเป็นบางครั้ง
เพราะคนขับรถมันซิ่งนรกแตกมาก กลัวจะไม่ได้ตายไวหรือยังไงนะ
“ลงดิครับ” ใช้เวลาไปประมาณครึ่งชั่วโมงรถก็เข้ามาจอดในคอนโดแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
กับมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนอยู่
“...” ฉันไม่ได้ตอบอะไร
แต่ก็รีบเปิดประตูลงจากรถ คิดไว้ว่าจะใช้จังหวะนี้วิ่งออกไปขอความช่วยเหลือ
และมันก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละถ้าฉันระมัดระวังตัวสักนิด “โอ้ย!
”
“เอ้า ลงไปจับกบเล่นทำไมเหรอครับ”
เสียงหัวเราะขำขันดังขึ้นหลังจากที่ฉันไม่ทันระวังแล้วขัดขาตัวเองจนล้มคะมำลงไปที่พื้นในจังหวะที่รีบร้อนลงมาจากรถ
เขายืนมองฉันเฉยๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดูชอบอกชอบใจ
ไม่คิดจะยื่นมือเข้ามาฉุดฉันขึ้นจากพื้น ในตอนนี้ฉันรู้สึกทั้งเจ็บและอับอาย
สายตาของผู้คนบริเวณลานจอดรถพุ่งตรงมา บางคนมีท่าทีตกใจ
แต่สุดท้ายก็แอบหัวเราะตามกันไปหมด
“ตลกนักเหรอไง! ” ฉันก้มลงดูเข่าทั้งสองข้างของตัวเองในขณะที่นั่งลงบนพื้นอย่างหมดสภาพ ฮือ
เลือดออกซิบๆ เลย พ่อของฉันจะต้องรู้สึกแย่มากแน่ที่ลูกสาวสุดที่รักมีรอยแผลแบบนี้
และแน่นอนว่าคนที่ทำให้ฉันต้องเจ็บตัวคือไอ้ผู้ชายคนนี้!
ถ้าเขาไม่ฉุดฉันมาด้วย
มีเหรอที่ฉันจะต้องมาเจ็บตัวแบบนี้
ดูสิ เข่าก็เจ็บ
ท้องก็รู้สึกปวดจี๊ดๆ หน่วงๆ ไปหมด ร่างกายของฉันกำลังไม่ปกติ
“ทำอะไรของนาย ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้”
ในขณะที่ฉันกำลังส่งเสียงตัดพ้ออยู่ในใจ
ก็รู้สึกได้ว่าร่างทั้งร่างลอยหวือขึ้นมาจากพื้นด้วยด้วยฝีมือของไอ้ผู้ชายที่ยืนหัวเราะอยู่เมื่อกี้
“อย่าเรื่องมากอยู่เลย ฝนจะตกแล้ว”
เขาทำเสียงเหมือนจะดุใส่ฉัน ก่อนที่ขายาวๆ
นั่นจะก้าวเดินอย่างว่องไว ฉันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนจะเห็นพระจันทร์ที่กำลังส่องแสงสว่างไสว
ฝนจะตกกับผีน่ะสิ!
”ถ้านายไม่ปล่อยฉัน
รับรองได้เลยว่าชีวิตนายเดือดร้อนแน่! ” ฉันกระซิบบอกเสียงต่ำ
หน้าฉันบางเกินกว่าจะตะโกนโวยวายจนกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในบริเวณนี้
“น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ...ไม่กลัวหรอก”
เขาหยุดยืนนิ่งไปแปบหนึ่งพร้อมกับเลื่อนสายตามามองใบหน้าของฉัน
ก่อนที่ขายาวๆ นั่นจะก้าวเดินตามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรในคำขู่
“พ่อฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่...โอ้ย”
ฉันโอดครวญขึ้นมาเมื่อรู้สึกปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย
“เฮ้ย เป็นอะไรไปเธอ” สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูตกใจและทำอะไรไม่ถูก
“ฉันปวดท้อง...” ฉันบอกพร้อมใช้มือเกาะกุมท้องของตัวเองไว้ ความปวดจู่โจมฉันซะจนแทบร้องไห้
ทำไมจะต้องมาปวดในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ด้วยนะ
“ปวดตรงไหน ปวดอะไร ไปหาหมอไหม”
น้ำเสียงร้อนรนของเขาทำให้ฉันแอบเหลือบตามองนิดๆ
เขาดูทำอะไรไม่ถูกและเลิ่กลั่กไปหมด ฉันได้ยินเขาพูดพึมพำแต่ฟังไม่ได้ศัพท์
และตอนนี้ฉันก็ไม่อยากสนใจอะไรนอกจากทำให้อาการปวดที่แสนทรมานนี้มันหายไป
“ไม่ต้อง แค่ปวดท้องแบบผู้หญิง”
ฉันกลั้นใจตอบเขาอีกรอบ ทั้งปวดทั้งหงุดหงิด
แถมรู้สึกถึงการซึมเปื้อนแล้วด้วย บ้าที่สุด
ทำไมในสถานการณ์แบบนี้ฉันยังต้องมาเจอเรื่องซวยซ้ำซ้อนด้วยเนี่ย
“ปวดท้องแบบผู้หญิงคืออะไรวะ...”
ฉันนับหนึ่งถึงสามในใจแล้วเหลือบมองผู้ชายที่ยังคงอุ้มร่างของฉันไว้และยังยืนเก้ๆ
กังๆ อยู่ที่เดิม
“วันนั้นของเดือน...” ฉันตอบเขาแบบไม่เต็มเสียงนัก ส่วนหนึ่งเพราะอาการปวดท้อง
อีกส่วนเพราะรู้สึกอายที่จะต้องมาพูดเรื่องแบบนี้ให้คนแปลกหน้าที่เป็นผู้ชายฟัง
“ห๊ะ! แล้วทำไง
ไปหาหมอเถอะ” เป็นอีกครั้งที่ผู้ชายคนนี้ทำท่าจะพุ่งตัวกลับไปที่รถ
ทำไมฉันต้องมาเจอคนแบบนี้ด้วยนะ หรือสวรรค์ลงโทษที่ฉันใจร้ายกับคนอื่นไว้เยอะ
“ฉันไม่ได้กำลังจะตาย
ปล่อยฉันลง...” ฉันกลั้นใจตอบเขาอีกครั้ง
อาการปวดเริ่มรุนแรงขึ้นจนอดโหยหาของอุ่นๆ ร้อนๆ ไม่ได้ กระเป๋าน้ำร้อน ยาแก้ปวด
เครื่องดื่มอุ่นๆ อะไรก็ได้!
“เธอเป็นแบบนี้ ผมจะปล่อยได้ยังไง”
ประโยคนั้นจบลงด้วยการที่เขาอุ้มฉันขึ้นมาบนคอนโดท่ามกลางสายตานับสิบ
ตัวฉันเองก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะไปขัดขืนอะไรแล้ว
อยู่ในสภาพแบบนี้เขาคงไม่คิดจะทำอะไรไม่ดีกับฉันหรอกมั้ง ใช้เวลาไปร่วมยี่สิบนาทีฉันก็เข้ามาอยู่ภายในห้องของเขาด้วยอาการทุลักทุเล
“เห็นตัวบางๆ แบบนี้
เธอก็หนักไม่ใช่เล่นเลยนะครับ” เขาพูดพลางทำท่าเหนื่อยหอบ
ในขณะที่ฉันได้แต่นั่งขดตัวด้วยอาการปวดท้อง
เขาแบกผู้หญิงที่กำลังปวดประจำเดือนขึ้นบ่า เขามันบ้าไปแล้ว!
“...” ฉันไม่ได้ตอบอะไร
แต่ส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายไปให้เขาแทน
แต่ดูแล้วผู้ชายตรงหน้าจะไม่ได้ใส่ใจมันเท่าไหร่ เขายักไหล่เล็กน้อยก่อนจะกดมือถือแล้วโทร.ออกหาใครสักคน
ไอ้ผู้ชายป่าเถื่อนเอ้ย!
“คิดจะพาสาวขึ้นห้องแต่จัดการเรื่องแค่นี้ก็ไม่ได้
เฮงซวย” เสียงของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งดังขึ้น
หลังจากที่เธอวางกระเป๋าน้ำร้อนทาบลงมาบนหน้าท้องให้กับฉัน
ส่วนตัวฉันตอนนี้ถูกสั่งให้เปลี่ยนเสื้อผ้าโดยมีเสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวโคร่งกับกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวใหญ่อยู่บนร่างกาย
“ก็ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่หว่า”
เสียงถกเถียงกันของคนสองคนสร้างความรำคาญใจให้ฉันอย่างมาก
พวกเขาเถียงกันมาตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวขึ้นจนถึงตอนนี้
“เพราะว่าโง่แบบนี้ไง
ฉันถึงเทนายทิ้งแล้วหาคนใหม่” ถ้าหูฉันไม่ได้เพี้ยน
ผู้ชายคนนี้บอกไว้ว่าจะตามคนคุยเก่ามาดูแลฉัน
เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนนี้คงจะเป็นคนคุยเก่าของเขา แล้วที่เธอด่าเขาว่าโง่
ฉันสนับสนุน
“มันจำเป็นต้องเอามาพูดเหรอพรีม
ก็แค่อดีตที่ฉันหลวมตัวไปคุยกับเธออะ”
“หลวมตัวมาตามเฝ้าฉัน เช้า กลางวัน
เย็นด้วยปะ? ” แค่ปวดท้องก็นับว่าแย่แล้ว
นี่ฉันจะต้องมาปวดประสาทกับคนพวกนี้ด้วยหรือยังไง
“แค่หลงผิดไปชั่ววูบเองปะ” ผู้ชายคนนั้นเถียงกลับ พวกเขาทำตัวราวกับเป็นเด็กสองสามชวบ นิสัยดูเหมือนกันมากเกินไป
เพราะแบบนี้แหละมั้งความสัมพันธ์เลยไปด้วยกันยาก
“พวกคุณสองคนช่วยออกไปทะเลาะกันข้างนอกได้ไหมคะ”
ฉันบอกในขณะที่กอดกระเป๋าน้ำร้อนไว้แนบท้อง
“แต่นี่มันห้องผมอะครับ
งั้นคุณไปนอนปวดท้องข้างนอกก่อนแล้วกัน” ฉันรู้สึกว่าอารมณ์ของฉันขาดผึ่งลงทันที
ผู้ชายคนนี้มันเก่งเรื่องกวนอารมณ์คนด้วยท่าทางโง่ๆ แบบนี้งั้นเหรอ
“ฉันขอให้นายพาฉันมาเหรอคะ
ไม่ใช่นายเหรอที่เสนอหน้าลากฉันมาที่นี่! ” ฉันตะโกนใส่หน้าเขาในขณะที่ยังนอนกอดกระเป๋าน้ำร้อนอยู่
ท้องก็ปวด โมโหก็โมโห
“เรื่องนั้น...” เขามองหน้าฉันพร้อมทำปากพะงาบๆ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
เหมือนอยากขอความช่วยเหลือ
“ทำไม
ความจริงมันตีแสกหน้าจนเถียงไม่ได้เหรอคะ” ฉันยังคงนอนมองอยู่ที่เดิม
ปวดท้องจนไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะอวดดีเดินออกไปจากที่นี่
“เอาล่ะๆ เธอก็กินยาแล้วพักผ่อน
จะได้ดีขึ้น ส่วนนายก็เลิกกวนประสาทเขาได้แล้ว” เธอคนนั้นบอกก่อนจะลากแขนผู้ชายคนดังกล่าวออกไป
ส่วนตัวฉัน เมื่อความสงบคืบคลานเข้ามา ความง่วงก็เริ่มโจมตีจนหลับไปในที่สุด
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยกลิ่นหอมฉุยของโจ๊กหมู
ที่ผู้ชายคนนั้นมาวางไว้ให้ เหลืบมองนาฬิกาบนผนังก็พบว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้ากับอีกแปดนาที
มองไปทั่วห้องแล้วไม่ปรากฏเงาร่างของผู้หญิงคนเมื่อคืน นั่นทำให้ฉันขยับตัวอย่างระแวดระวังมากขึ้นในเช้านี้
“ยังปวดท้องอยู่ไหมครับเธอ
กินโจ๊กร้อนๆ ก่อน เดี๋ยวผมไปเอายามาให้” ผู้ชายคนนั้นบอกก่อนจะนั่งลงข้างๆ
เตียงพร้อมกับจ้องหน้าฉันแบบไม่วางตา แบบนี้มันทำให้ฉันโคตรจะอึดอัดเลย
“นายจ้องขนาดนี้
ฉันจะกินข้าวลงได้ไง” ฉันบอกอย่างแสนจะเซ็ง แต่คำตอบที่ได้จากเขามันทำให้เซ็งยิ่งกว่า
“อ๋อ...เธอเขินผมเหรอ ไม่เป็นไรนะ
ผมไม่ถือหรอก”
ความคิดเห็น