คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Episode 8 {Loading...50%}
Episode 8
“แฟนใหม่เจ็ทนี่น่ารักดีนะ”
ปลายเท้าของฉันที่กำลังจะก้าวเดินเป็นอันหยุดนิ่ง
บทสนทนาที่ไม่ได้ดังมากนัก เล็ดลอดผ่านเข้ามาให้ได้ยินโดยไม่ตั้งใจ
“อืม ลูกหว้าน่ารักมาก” นั่นเป็นเสียงของเจ็ทที่โต้ตอบออกไป พวกเขากำลังพูดเรื่องของฉันอยู่งั้นเหรอ?
“เจ็ทไม่คิดว่าเธอดูคล้ายพี่มากเกินไปเหรอ
หรือว่า...เป็นตัวแทนของพี่? ” ฉันกำหูแก้วกาแฟไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว
จิตใจกำลังลังเลว่าควรจะเดินออกไปเลยดี หรือจะยืนฟังคำตอบของเจ็ทอยู่ตรงนี้ก่อน
ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าสำหรับเจ็ทแล้ว เขามองว่าฉันเป็นใคร
ฉันรู้สึกเจ็บอยู่ลึกๆ เหมือนกันตอนที่เห็นรูปของเธอในกล่องใบนั้น
คิดอยู่เหมือนกันว่าเราทั้งคู่มีส่วนคล้ายกันอยู่หลายส่วน พาให้นึกย้อนไปในคืนนั้น
ฉันจำได้แบบเลือนราง ก่อนเขาจะเอ่ยปากขอฉันเป็นแฟน เขากำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่
และเหมือนเขากำลังทะเลาะอยู่กับปลายสายอยู่ด้วย
“จะปั่น? ” เจ็ทไม่ได้ตอบคำถามของเธอ
แต่เขากลับเป็นฝ่ายตั้งคำถามแทน ด้วยน้ำเสียงที่ดูจะไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่
นั่นทำให้ฉันตัดสินใจก้าวเดินออกไปหาคนทั้งคู่
ไม่ดีแน่ถ้าพวกเขาจะมาทะเลาะกันที่นี่ ฉันไม่อยากต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ชวนอึดอัด
“กาแฟค่ะ” แม้ว่าตอนนี้จะอึดอัดมากก็ตามที
ฉันส่งแก้วกาแฟไปให้เธอที่เป็นแขก พร้อมกับปั้นรอยยิ้มส่งให้อีกนิดหน่อย
แล้วก็อดชมเธอในใจไม่ได้จริงๆ เธอสวยมาก และสง่ามากด้วย ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม
และกลิ่นน้ำหอมของแบรนด์ดังที่ราคาสูงพอตัว
“ชงกาแฟเก่งนะคะ” เธอจิบกาแฟไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยปากชม
ไม่รู้ว่าชมตามมารยาทหรือมาจากใจจริงเหมือนกัน รู้สึกว่าเป็นคนที่เดาใจยากพอสมควร
เดาใจยากเหมือนกับเจ็ท
“ขอบคุณค่ะ ยังไงก็ตามสบายกันนะคะ”
ฉันเอ่ยออกไปเท่านั้นแล้วเดินเลี่ยงออกมา
รู้สึกว่ากลิ่นน้ำหอมสุดหรูนั่นเริ่มจะเหม็นขึ้นมาซะอย่างนั้น
ไม่รู้หรอกว่าเจ็ทกับแฟนเก่าคุยอะไรกันบ้าง
แต่ฉันไม่ชอบใจเลย นี่คงเป็นสัญชาตญาณระหว่างแฟนใหม่และแฟนเก่าสินะ
แค่คิดว่าสองคนนั้นคุยกันอย่างสนิทสนมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว
แต่จะให้ฉันไปนั่งปั้นหน้าอยู่ตรงนั้น ฉันก็ทนกลิ่นฉุนของน้ำหอมนั่นไม่ไหว
น่าแปลกใจจริงๆ เธอคงลงไปอาบมาทั้งตัวเลยละมั้ง
รสนิยมแปลกๆ ดี
ประทับใจตั้งแต่แรกพบ
หลังจากที่หลบเลี่ยงเข้ามาอยู่ภายในห้องนอนได้ไม่ถึงสิบนาที
เจ็ทก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าราบเรียบ
ฉันเดาไม่ออกเลยว่าตอนนี้เขากำลังคิดและรู้สึกยังไง
“เธอล่ะ...” ฉันเอ่ยถาม
หวังอยู่ในใจว่าให้เจ็ทตอบว่าเธอกลับไปแล้ว
ตอนนี้ฉันเหมือนคนที่หวงอาณาเขตยังไงก็ไม่รู้สิ
ไม่อยากให้ใครอื่นรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของเราสองคนเลย
“ไปแล้ว” เจ็ทตอบพร้อมกับเดินเข้ามาหาฉันที่นั่งกอดหมอนอยู่บนเตียง
“ไล่ไปแล้ว”
“...” นี่เป็นคำตอบที่เกินคาดไปมากจริงๆ
“เธอล้อเล่น? ”
“จริงจัง ลูกหว้าไม่ชอบใคร
พี่ก็ไม่ชอบด้วย” เจ็ทตอบพลางทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงเยื้องจากฉันไปเล็กน้อย
เขาเอื้อมมือมาจับปอยผมที่ปรกอยู่บนใบหน้าของฉันตอนไหนไม่รู้ออกไปให้
“ใครบอกว่าเราไม่ชอบแฟนเก่าเธอ”
ฉันเถียงออกไป พยายามเสแสร้งทำสีหน้าว่าไม่ได้เก็บอะไรมาใส่ใจทั้งนั้น
ฉันไม่อยากดูเป็นคนที่งี่เง่า ถึงแม้จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังงี่เง่าอยู่นิดๆ ก็ตาม
“พี่เก่ง” สรรพนามที่เปลี่ยนไปของเจ็ท
ทำให้ฉันยุบยิบอยู่ในใจมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เขานี่มันเหลือเกินจริงๆ
มีเรื่องเซอร์ไพรส์ฉันได้ทุกวี่ทุกวัน
“เธอเดามั่ว” บางทีเจ็ทก็คงแค่โยนหินถามทางเท่านั้น
“สายตาของหว้ามันบอกพี่หมดแล้ว”
เจ็ทบอกพร้อมกับส่งยิ้มร้ายๆ มาให้ฉัน
ฉันเกลียดรอยยิ้มนี้ของเขาจริงๆ มันเหมือนฉันเป็นแค่ลูกแกะตัวน้อยๆ
ที่ถูกหมาป่าอย่างเขาล่อหลอก
“สายตาเรามันทำไม” ใครๆ ก็พูดกันว่าสายตามันโกหกกันไม่ได้ ไม่จริงหรอก ฉันไม่เชื่อ
“สายตามันไม่โกหกหรอกนะ
หว้ากำลังหึงพี่” ฉันเงียบลง
ไม่รู้ว่าควรต่อปากต่อคำอะไรกับเขาดี รู้สึกจนด้วยคำพูด “ไม่ชอบอะไร
ก็ขอแค่บอกมาเท่านั้น”
“ถ้าบอกว่าไม่ให้ติดต่อกับผู้หญิงคนนั้นอีก
เธอทำให้เราได้ไหมล่ะ” ฉันมองปฏิกิริยาของเจ็ทหลังจบประโยค
เขาดูนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มร้ายๆ นั่นจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ต้องขอ
ก็คิดที่จะทำให้อยู่แล้ว” เจ็ทบอกก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาปัดเป่าอยู่บริเวณข้างแก้มของฉัน
และก็เป็นตัวฉันเองที่เบี่ยงตัวหนี ก่อนที่ปลายจมูกโด่งคมนั่นจะกดฝังลงมา
“เราจะไปอาบน้ำแล้ว” ฉันบอกก่อนจะรีบลุกขึ้นจากเตียง ปล่อยตัวไม่ได้หรอกนะ
เจ็ทน่ะจ้องแต่จะจับฉันกิน ทำตัวหิวกระหายเหมือนอดอยากปากแห้งมาหลายปี
“อาบด้วยสิ” เจ็ทคว้าข้อมือของฉันไว้
พร้อมกับน้ำเสียงออดอ้อนและสายตาเว้าวอน เขาต้องการให้ฉันมีรีแอคแบบไหนกัน!
นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว อันตรายกับหัวใจของฉันเกินไป
“ขอปฏิเสธ...อ๊ะ” และต่อให้ฉันยืนกรานที่จะปฏิเสธเขา
แต่คนเอาแต่ใจอย่างเจ็ทก็ไม่เคยเก็บคำพูดพวกนั้นให้ผ่านเข้าสมองหรอก เผด็จการชะมัด
“อากาศมันร้อน อยากได้คนถูหลัง”
เขาบอกพร้อมออกแรงเล็กน้อย ฉุดให้ฉันเซกลับไปหาอ้อมกอดของเขาแทน
ขี้โกง
“เธอไม่ต้องมาเจ้าเล่ห์
เรารู้ทันหมดแล้ว” ฉันพยายามดันตัวเองออกมาจากอ้อมกอดแสนอบอุ่นนั่น
และคราวนี้เจ็ทยอมคลายอ้อมกอดแต่โดยดี แถมยังหัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจอีกด้วย
รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ครั้งนี้เขาไม่เอาแต่ใจแฮะ...
ก่อนจะสะดุ้งตกใจกับความคิดของตัวเอง
นี่ฉันเสียดายอะไรกัน บ้าน่าลูกหว้า ทำตัวเป็นพวกคลั่งรักไปได้
“สมแล้วที่เป็นคนรู้ใจของพี่”
ฉันย่นจมูกใส่คำพูดของเขาและท่าทางที่ดูราวกับมีความสุขนักหนา
และก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวฉันเองมีเรื่องที่จะปรึกษากับเจ็ท
“เธอ เรามีเรื่องหนึ่งจะปรึกษา”
ฉันเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินไปค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋า
ไม่กี่วินาทีถัดมา นามบัตรใบหนึ่งก็ถูกยื่นไปตรงหน้าของเจ็ท
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือมารับมันไปจากฉัน
“จะเข้าวงการบันเทิง? ” เจ็ทหลุบตามองนามบัตรใบนั้นเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมามองฉัน
พร้อมกับเลิกคิ้วถามด้วยควาสงสัยปนไม่เห็นด้วย “หว้าแน่ใจแล้วเหรอ?
”
“ไม่แน่ เลยอยากปรึกษา” ถ้าเป็นคนอื่น เขาอาจจะดีใจก็ได้ที่ถูกทาบทามให้ไปเป็นนักแสดง
แต่สำหรับฉันแล้ว มันมีหลายสิ่งหลายอย่างให้คิดเยอะเหลือเกิน
ฉันไม่อาจตัดสินใจด้วยตัวเองได้ อย่างน้อยก็ต้องการให้มีคนช่วยคิด ช่วยให้คำแนะนำ
ช่วยสนับสนุนหรือคัดค้าน
“พี่ไม่ติดปัญหาอะไร
มันติดแค่ว่าลูกหว้าจะโอเคหรือเปล่าถ้าได้เจอกับคนๆ นั้น” เจ็ทเน้นเสียง
‘คนๆ นั้น’ ในท้ายประโยค นั่นสินะ
ฉันจะโอเคไหมถ้าต้องไปเผชิญหน้า และคนๆ นั้นจะโอเคหรือเปล่าถ้ารู้ว่าฉันก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง
ก็ดูเหมือนว่าจะไม่อยากให้ฉันเฉียดใกล้วงการนี้สักเท่าไหร่
“ไม่โอเค” ฉันเอ่ยออกไปในที่สุด
ฉันคงไม่สามารถปั้นหน้าเข้าหาคนๆ นั้นได้หรอก ไม่มีทาง
“งั้นก็เป็นคนธรรมดาที่สวยแบบนี้แหละ เดี๋ยวมีคนชอบเยอะ”
เจ็ทเอื้อมมือมาคว้ามือของฉันไป
ก่อนที่เขาจะบรรจงจรดริมฝีปากลงบนหลังมือของฉันอย่างนุ่มนวล นั่นเป็นประโยคหวงที่ไม่มีคำว่าหวงหรือเปล่านะ
“...” ฉันค่อนข้างอึ้งกับการกระทำดังกล่าวพอสมควร
ไม่คุ้นชินเอาซะเลย แต่จะชักมือออกก็ดูแย่ไปหน่อย ยิ่งนับวัน
เราก็ยิ่งมีการสัมผัสกันมากขึ้น มีความรู้สึกที่ลงลึกขึ้น
จนฉันกลัวว่าวันหนึ่งจะไม่สามารถถอนตัวไปจากเจ็ทได้
“แล้วคนสวยอยากไปอาบน้ำหรือยัง” ฉันกระพริบตามองหน้าเจ็ท
ใช้เวลาประมวลคำถามอยู่หลายวินาที ก่อนจะพยักหน้าให้เขาสองสามที “งั้นก็ไปอาบกันเถอะ”
“เจ็ท! ” ฉันส่งเสียงท้วงคนที่ใช้ท่อนแขนช้อนร่างฉันขึ้นมาแบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
“อาบด้วยกัน ประหยัดเวลา” และคนหน้าด้านแบบเขาก็ไม่เคยสนใจใยดีเสียงของผู้หญิงตัวเล็กๆ
อย่างฉันหรอก เจ็ทอุ้มฉันไว้ในท่าเจ้าหญิงก่อนจะก้าวขายาวๆ ไปยังห้องน้ำ
และการอาบน้ำของฉันในวันนี้ก็หาความสงบสุขไม่ได้อีกเลย
หลังจากวันที่ปรึกษากับเจ็ท ฉันก็โทรไปปฏิเสธพี่แมนนี่
ตอนแรกเขาทำท่าจะไม่ยอม พยายามพูดตื้อจะให้ฉันไปเป็นนักแสดงให้ได้ จนสุดท้ายเจ็ทต้องแย่งโทรศัพท์ไปคุยเอง
และไม่รู้ว่าคุยกันยังไง พี่แมนนี่ถึงเลิกให้ความสนใจฉัน
“กลางวันนี้ไปกินร้านไหนกันดี” เจ็ทเอ่ยถามหลังจากที่เขาสั่งงานกับช่างสักในร้านเรียบร้อยแล้ว
ใช่ วันนี้ฉันมานั่งเสนอหน้าอยู่ที่ร้านของเจ็ท วันนี้มีช่างหลายคนกำลังทำงานอยู่
น่าแปลกที่ฉันเห็นลูกค้าของเจ็ทมีแต่ผู้หญิง
แต่พอมองหน้าเจ้าของร้านแล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอก
ไหนจะออร่าที่ปล่อยออกมาแบบล้นหลามนี่อีกล่ะ
เห็นแล้วอยากเดินไปจิ้มตาผู้หญิงพวกนั้นที่จับจ้องมาที่เขาเหลือเกิน
“อยากกินก๋วยเตี๋ยวเรือตรงหน้าปากซอยอะ อร่อยไหม”
ฉันเงยหน้าถามเจ้าของใบหน้าคมคาย
ได้ยินเสียงซุบซิบของบรรดาลูกค้าสาวๆ
แต่ฟังไม่ถนัดว่าบทสนทนาเหล่านั้นคือเรื่องอะไร แต่ฉันก็ไม่ได้ให้ความสนใจนัก
ตอนนี้ฉันสนใจก๋วยเตี๋ยวเรือมากกว่า มันรู้สึกอยากกินแบบที่ไม่เคยเป็นมากกว่า
ฉันไม่ใช่คนที่ชอบกินอาหารเส้นมากนัก แต่คราวนี้น่าแปลกมาก
แปลกแบบที่คิดว่าถ้าตัวเองไม่ได้กินตอนนี้ เดี๋ยวนี้จะต้องนั่งร้องไห้แน่ๆ
“ต้องเสี่ยงดวงหน่อย ร้านเด็ดคนเยอะ” เจ็ททำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยต่อ “เดี๋ยวไปซื้อมานั่งกินที่นี่ดีไหม
แดดแรง อากาศร้อน จะได้ไม่ต้องไปรอนาน”
“แต่เราอยากนั่งกินที่ร้าน” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
จะขัดใจเหรอ นี่พี่เจ็ทจะขัดใจเหรอคะ พอคิดแบบนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา...
“โอเคๆ งั้นเดี๋ยวพี่สั่งงานที่ร้านไว้ก่อน” เจ็ทบอกก่อนจะผละไปหาพี่วัฒน์ ซึ่งเป็นช่างสักฝีมือดีของร้าน น่าแปลก
ตอนนี้ฉันอารมณ์ดีมากแล้ว แต่มันก็ต้องสะดุดลงเพราะร่างเพรียวบางร่างหนึ่งที่เดินผ่านหน้าไป
“เขาแค่ควงเล่นๆ ทำตัวเอาแต่ใจเดี๋ยวก็ถูกเขี่ยทิ้ง”
เธอพูดในขณะที่มือถือโทรศัพท์ไว้แนบหู แต่กลับปรายตาจิกฉันแบบชัดเจน
อ่า...นี่หาเรื่องกันใช่ไหม
“ทำตัวรู้ดีเหมือนมานอนอยู่ใต้เตียง...” ฉันเอ่ยออกมาลอยๆ แต่น้ำเสียงมันก็ดังพอให้คนในร้านได้ยินกันอย่างทั่วถึง
ฉันไม่เคยเป็นคนอารมณ์ร้อนขนาดนี้มาก่อน นี่ฉันกำลังโมโหเรื่องอะไรกัน
ปกติฉันก็ไม่เคยแคร์อยู่แล้วว่าคนอื่นจะมองความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเจ็ทยังไง
“ไม่ทราบว่าพูดกับเราเหรอคะ? ” ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เดินผ่านหน้าไปเมื่อกี้จะรีบร้อนตัว
เดินย้อนกลับมาหา
“เรื่องอะไรเหรอคะ? ” ฉันเอียงคอถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงและแววตาที่ใสซื่อ
“ก็เมื่อกี้ที่เธอพูดไง คนเขาก็ได้ยินกันทั้งร้าน...”
เธอเชิดหน้าขึ้นและทำท่าทางเหมือนอยู่สูงกว่าฉันนักหนา เห็นท่าทางแบบนี้ของเธอ
ยิ่งทำให้ฉันไม่สบอารมณ์เอามากๆ
“ทำไมเราต้องพูดกับเธอคะ รู้จักกันเหรอ? ” ฉันขัดขึ้นก่อนที่ผู้หญิงตรงหน้าจะได้เอ่ยจนจบประโยค
“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ” เจ็ทเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างเรา
ตอนนี้สายตาของช่างสักและลูกค้าในร้าน ต่างจับจ้องมายังจุดหมายเดียวกัน
“ก็เด็กใหม่ของพี่เจ็ทน่ะสิ ทำตัวระราน” เธอบอกพร้อมเข้าไปเกาะแขนแฟนฉันอย่างสนิทสนม ยัยผู้หญิงคนนี้เป็นใคร
กล้าดียังไงมาสนิทแนบเนื้อกับแฟนคนอื่น
“เด็กใหม่? ลับหลังเราเธอมีเด็กกี่คนเหรอ” คราวนี้สายตาของฉันจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อคมคายของเจ็ท
สลับกับมองมือของยัยผู้หญิงตรงหน้าที่เกาะหนึบเจ็ทไม่ห่าง และดูเหมือนเจ็ทจะรู้ตัว
เขาแกะมือของเธอออกอย่างแนบเนียน
“แหม อย่าพูดเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของพี่เจ็ทสิ
ในเมื่อเธอก็เป็นแค่หนึ่งในนั้นของเขาเหมือนกัน” ดูท่ายัยผู้หญิงปากไม่มีหูรูดนี่ก็คงเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่เจ็ทควงสินะ
บอกไม่ให้ฉันทำตัวเป็นเจ้าของ แต่ตัวเองทำตัวราวกับเป็นคนโปรดของเขาซะอย่างนั้น
“พอได้แล้วมะปราง...” เจ็ทหันไปปรามคนข้างๆ
ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับทุกคนในร้าน “พี่คงลืมแนะนำไป
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เด็กใหม่อะไรทั้งนั้น แต่เธอชื่อลูกหว้า เป็นแฟนของพี่เอง”
สีหน้าของทุกคนดูประหลาดใจ โดยเฉพาะช่างในร้าน
ที่หันมามองฉันเป็นตาเดียว นี่อย่าบอกนะว่าเจ็ทไม่ได้แนะนำฉันให้พวกเขารู้จัก
ถึงว่าล่ะ ฉันพยายามเข้าไปคุยกับใครก็ไม่มีพี่ๆ คนไหนอยากเสวนากับฉันสักเท่าไหร่
แสดงว่าเจ็ทพาผู้หญิงมาบ่อยงั้นเหรอ...
โมโห โมโห!
“พี่เจ็ทมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่คะ? ” น้ำเสียงสงสัยของผู้หญิงคนเดิมเพิ่มระดับความขุ่นมัวให้อารมณ์ของฉัน
เห็นอะไรก็พาลหงุดหงิดไปซะหมด
“สี่ปีแล้วค่ะ ต้องให้รายงานอะไรอีกไหมคะ นอนด้วยกันมากี่ครั้ง
หอมแก้มไปเท่าไหร่ ทำไมขี้สงสัยจังคะ” ฉันมองหน้าผู้หญิงคนนั้นสลับกับเจ็ทด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก
โมโห หงุดหงิด อยากกินก๋วยเตี๋ยวเรือหน้าปากซอย!
“หว้าใจเย็นๆ เดี๋ยวพี่พาไปกินก๋วยเตี๋ยวนะครับ”
เจ็ทเข้ามาประชิดตัวฉันพร้อมกับสอดมือคล้องเอวฉันไว้หลวมๆ
แต่แค่เห็นหน้ากับรอยยิ้มกว้างของเขา มันก็ทำให้ฉันไม่สบอารมณ์แล้ว
ฉันสะบัดตัวออกจากสัมผัสของเจ็ท
ก่อนจะเดินนำออกมาจากร้านก่อนและมีเจ็ทตามมาในอีกเกือบหนึ่งนาที
พอเดินออกมาได้ครึ่งทางก็รู้สึกเหมือนจะวูบให้ได้
รู้สึกเหมือนพร้อมจะลงไปนอนกองบนพื้นได้ทุกเมื่อ
สงสัยเป็นเพราะแดดจ้าและอากาศที่ร้อนจัดในตอนเที่ยงวัน ทั้งๆ
ที่ร้านของเจ็ทอยู่ไม่ไกลจากหน้าปากซอยแท้ๆ เดินแค่ไม่กี่เมตรฉันก็ไม่ไหวแล้วเหรอ
“ซื้อไปกินที่คอนโดดีไหมหว้า
พี่ว่าสีหน้าหว้าไม่ดีเลยนะ” เจ็ทเข้ามาประคองฉันไว้อย่างรวดเร็ว
ในจังหวะที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินเซไปเซมา
ฉันพยักหน้าให้เขาอย่างว่าง่ายก่อนจะถูกประคองให้ไปนั่งรอบนรถ เอาล่ะ
ฉันจะเก็บความไม่พอใจในวันนี้เอาไว้ก่อน รู้สึกดีขึ้นเมื่อไหร่
เขามีเรื่องต้องคุยกับฉันยาวแน่
และสุดท้ายมื้อเที่ยงก็จบลงด้วยการที่เราซื้อก๋วยเตี๋ยวเรือมานั่งกินที่คอนโด
พร้อมกับฉันที่กินเข้าไปได้แค่ไม่กี่คำ ทั้งที่บ่นอยากจะกินนักหนา
“ไม่กินอีกสักหน่อยเหรอ หว้ากินน้อยไปนะ” เจ็ทมองหน้าฉันก่อนจะหลุบตามองชามก๋วยเตี๋ยวของฉันอีกที
“รู้สึกเหมือนท้องอืดอะ กินไม่ไหวแล้ว” ฉันบอกพลางเลื่อนชามของตัวเองไปตรงหน้าเจ็ท เป็นการบอกอ้อมๆ
ว่าช่วยจัดการก๋วยเตี๋ยวในชามให้หน่อย
“เดี๋ยวพี่ไปหยิบยาแก้ท้องอืดมาให้” ฉันพยักหน้าช้าๆ ก่อนที่จะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
“ไม่ต้อง! ” ฉันร้องห้ามเจ็ทที่กำลังจะก้าวขาเดินไปทางห้องครัว
“หืม ทำไมล่ะ” เจ็ทมีท่าทีงุนงงกับปฏิกิริยาของฉัน
ส่วนฉันทำได้แค่ก้มหน้ามองมือตัวเอง แล้วเอ่ยตอบเขาด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม
ใบหน้าเห่อร้อนอย่างช่วยไม่ได้
“เราไม่อยากผายลมต่อหน้าเธอ...”
ความคิดเห็น