คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Episode 5 {100%}
Episode 5
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปถึงกี่โมงแล้ว
แต่ฉันเพิ่งจะได้ข่มตานอนไปเมื่อตอนตีสี่ที่ผ่านมา ต้นเหตุมาจากเจ็ท! เขาต้องดื่มมาหนักจนสติเพี้ยนไปแน่ๆ
เล่นเอาฉันหวาดระแวงจนไม่กล้าข่มตานอน
และที่ฉันรู้สึกตัวตื่นอยู่ตอนนี้ก็เพราะเขาอีกนั่นแหละ
“เธอ ตื่นเร็วๆ ” เจ็ททั้งสะกิดแขน เขย่าแขน จนแทบจะจับฉันเขย่าทั้งตัวได้แล้วมั้ง
“ปล่อยเรานอนได้ไหม” ฉันบอกพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าหมอนอีกใบมาปิดหน้า
ไม่ค่อยอยากจะอ้าปากตอบเขาในตอนนี้ ฉันง่วงมาก
“สิบเอ็ดโมงแล้วนะ
ตื่นไปกินข้าวกัน” ฉันถอนหายใจออกมาหนักๆ
ยอมที่จะหยิบหมอนออกจากใบหน้า แล้วลืมตามองเขา
“ไม่ทำงานทำการหรือไง
มาวอแวเราอยู่ได้” ฉันบอกด้วยสีหน้าที่ติดจะหงุดหงิด ใช่
ฉันหงุดหงิดมากที่เขามารบกวนการนอนของฉัน
“ทำตัวเป็นเม่นแคระขี้เซา” เจ็ทโต้ตอบกลับมา เล่นเอาฉันเกือบตาสว่าง
นี่เขากำลังเปรียบเทียบฉันเป็นเม่นเหรอ? ตามปกติแล้วเขาต้องเปรียบเทียบกับน้องหมาน้องแมวสิ
“เราเหมือนตรงไหน? ” คราวนี้ฉันถามเขาด้วยน้ำเสียงที่พร้อมบวก
“น่ารัก แต่มีหนาม อยากจับก็ต้องยอมเจ็บตัว
เหมือนเธอเลย” เจ็ทบอกด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่อ่อนโยนอย่างเฉียบพลัน
พร้อมกับที่เขาแอบดึงผ้าห่มออกไปจากตัวของฉัน “ปะ
เราพาไปอาบน้ำแต่งตัว”
“เราจะนอนไง ทำไมเธอซึนแบบนี้”
ฉันบอกพร้อมกับกำผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่น วันนี้ฉันจะไม่ฟังเขา
“แค่อยากไปด้วยกัน...” ใบหน้าที่สลดลงไปเล็กน้อยของเจ็ท ทำเอาฉันแอบใจหาย
หน้าหงอยเหมือนลูกหมาที่เจ้านายไม่เล่นด้วย โธ่ ไอ้เจ้านุ่มฟู
“จะลากเราไปไหนอีกล่ะวันนี้”
ฉันเอ่ยถามแบบอ้อมแอ้ม ตัดสินใจยันตัวลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากับเขา
แต่ใจจริงฉันอยากจะทิ้งตัวลงนอนมากๆ เลยนะ
แต่ว่า...ฉันแพ้ความนุ่มฟูของเจ็ทในตอนนี้ บ้าเอ้ย!
“ช้อปปิ้ง
ผู้หญิงชอบไปช้อปปิ้งกันใช่ไหม? ” ฉันมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจนัก
แบบนั้น...มันเสี่ยงจะเจอคนรู้จักได้ง่ายไม่ใช่เหรอไง
“ไม่ล่ะ
ถ้าเจอคนรู้จักขึ้นมาละแย่แน่” ฉันตอบปฏิเสธแทบจะทันที
“เจอก็ดี” แต่เจ็ทกลับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูดื้อดึง
นี่เขาจะเอายังไงกับฉันเนี่ยตอนแรกก็พอใจกับการซุกซ่อนฉันอาไว้
พอมาตอนนี้กลับอยากเอาออกมาอวดคนอื่นซะอย่างนั้น แต่บอกไว้เลยว่าฉันไม่ชิน
และไม่อินกับการต้องแสดงตัวเป็นแฟนกับเขาต่อหน้าทุกคน
“ให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเถอะนะ
เธออย่าทำให้อะไรมันยุ่งยากเลย” ฉันคุ้นชินแล้วกับความสัมพันธ์ของเรา
หรือไม่...ฉันอาจคุ้นชินกับการถูกซุกซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์ก็ได้ นั่นสินะ
มันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กแล้ว
“ถ้าอยากให้เป็นแบบนั้น
ทำไมเธอต้องทำหน้าเศร้า” ว่าไงนะ? ฉันน่ะเหรอทำหน้าเศร้า
“เรื่องนั้น...” ฉันชะงักถ้อยคำที่กำลังจะเอ่ยออกมา เพราะแววตาอ่อนโยนของเจ็ท
เขามองฉันแบบนี้อีกแล้ว ช่วงนี้ฉันเจอสายตาแบบนี้จากเขาบ่อยเกินไปแล้วมั้ง
เมื่อก่อนไม่มีแบบนี้นี่หน่า หัวใจของฉันไม่คุ้นชินเอาซะเลย
“ไม่ต้องไปสนใจสายตาใครหรอก มันเป็นสิ่งที่พวกเราควรทำมาตั้งนานแล้ว”
เจ็ทค่อยๆ เอื้อมมือมาจับที่ต้นแขนของฉัน
ก่อนจะดึงตัวฉันเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอย่างนุ่มนวล
จนตอนนี้...ฉันไม่รู้เลยว่าเสียงหัวใจของเจ็ทกับฉัน
หัวใจของใครส่งเสียงดังมากกว่ากัน
ในที่สุดฉันก็ถูกเจ็ทลากออกมาเดินช้อปปิ้งจนได้
ไอ้เรื่องช้อปปิ้งก็ชอบอยู่หรอก แต่มันก็รู้สึกระแวงหลังด้วยนี่สิ
ไม่รู้เลยว่าความคิดของเจ็ทมันถูกหรือผิด เขาคิดจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราจริงๆ
น่ะเหรอ รู้สึกไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่แฮะ
“ลูกหว้า...” เสียงเรียกคุ้นหูของใครบางคน
ทำให้ฉันที่กำลังกวาดสายตามองเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายหยุดชะงัก
ฉันหันกลับไปทางด้านหลังก่อนจะพบเจ้าของเสียง ในจังหวะนั้น หัวใจของฉันหล่นวูบ...
“กำปั้น...” เหตุการณ์สมัยปีหนึ่งย้อนกลับมาหาฉันอีกครั้ง
ผู้ชายที่อบอุ่นอ่อนโยน ผู้ชายที่ฉันรู้สึกว่าชอบเขามาก ผู้ชายที่ทำให้ฉันเฮิร์ทในครั้งนั้น
“บังเอิญจังนะ”
“ไม่คิดว่าจะเจอในที่แบบนี้นะเนี่ย”
กำปั้นเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้มสดใส แหงสิ ผู้หญิงส่วนมากคงไม่เข้ามาในร้านขายเสื้อผ้าของผู้ชายหรอก
“...” ฉันไม่ได้ตอบอะไร
ทำเพียงส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับเขาเท่านั้น ตอนนี้เจ็ทกำลังไปลองเสื้ออยู่
ไม่รู้จะโผล่หน้าออกมาในจังหวะไหน ขอแค่ไม่ใช่จังหวะนรกก็พอละมั้ง
“ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้นล่ะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองกำปั้นพร้อมยิ้มกลบเกลื่อนทันที
นี่ฉันเผลอแสดงสีหน้าออกมาอีกแล้วเหรอ “ว่าแต่มาซื้อเสื้อผ้าให้แฟนเหรอ
ทำไมเราไม่เห็นรู้เลยว่าลูกหว้ามีแฟนแล้ว”
“อ่อ ปะ...เปล่า ไม่ใช่
มาซื้อให้...” ให้ใครดีวะยัยหว้าเอ้ย จะใครก็ได้
หาทางเอาตัวออกจากสถานการณ์ตอนนี้ก่อนก็แล้วกัน “ให้พ่อ...”
“พ่อทูนหัว...” ท่อนแขนหนักๆ ของใครบางคนพาดลงบนบ่าของฉัน
พร้อมกับกลิ่นหอมประจำตัวของเขาที่ลอยมาแตะจมูกของฉัน
“อ้าวพี่เจ็ท
มาด้วยกันเหรอครับเนี่ย” น้ำเสียงแปลกใจของกำปั้น
ทำให้ฉันรีบหันไปมองเจ็ทพร้อมกับใช้สายตาห้ามปรามเขา
ร่างสูงมองสบตากับฉันอย่างไม่ชอบใจสักเท่าไหร่
“อ่อ...” ฉันเผลอกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว
สายตาจับจ้องไปยังริมฝีปากของเจ็ทที่กำลังขยับอย่างช้าๆ “บังเอิญเจอน้องหว้าน่ะ
เลยวานให้มาช่วยเลือกเสื้อหน่อย รสนิยมเขาดีนักแหละคนนี้”
เจ็ทพูดยิ้มๆ
พร้อมกับใช้มือโยกหัวฉันเบาๆ อีกด้วย แหม น่าเอ็นดูนักเหรอสถานการณ์แบบนี้น่ะ
“พอดีเลย
เราอยากได้ชุดไปงานแต่งพี่สาวพอดี ช่วยเราเลือกหน่อยได้ไหม? ”
“เอ่อ...” คำพูดของกำปั้น
ทำเอาฉันรู้สึกอึดอัดอยู่ภายในใจ
ฉันไม่ได้มีปัญหากับบุคคลที่เป็นเพศทางเลือกหรอกนะ
แต่ฉันไม่ชอบที่กำปั้นเคยมาทำท่าทีเป็นชอบฉัน ไม่รู้ว่าเขาทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร
บางทีคงแค่อยากจีบผู้หญิงสักคนเพื่อบดบังรสนิยมของตัวเอง
เพราะยุคนี้ยังมีคนอีกหลายคนที่ไม่เปิดรับอะไรแบบนี้
“น่าเสียดายจังครับ
พอดีพี่ชวนน้องหว้าไปเลี้ยงข้าวเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี่เอง
ตอบแทนที่เสียเวลามาช่วยพี่” ฉันรับรู้ได้ถึงน้ำหนักของท่อนแขนที่ทิ้งตัวลงมามากกว่าเดิม
ใบหน้าของเจ็ทยังคงมีรอยยิ้ม แต่ภายในใจของเขาตอนนี้คงขุ่นมัวไม่น้อยเลย
“ไว้เจอกันใหม่นะกำปั้น” ฉันผลักแขนของเจ็ทออกจากบ่าอย่างแนบเนียน
ก่อนจะเอ่ยกับผู้ชายอีกคนอย่างสุภาพ ฉันว่าควรปลีกตัวออกจากที่นี่ให้ไวที่สุดเลย
อึดอัดชะมัด
“อื้ม ไว้เจอกันใหม่ครับ” ฉันไม่รู้ว่ากั้นมีสีหน้ายังไง เพราะเป็นฝ่ายเดินนำออกมาจากร้านก่อนใคร
แต่เขาจะทำหน้ายังไงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันหรอก
ขอแค่หลุดพ้นความน่าอึดอัดตรงนั้นมาได้ก็พอ
“คนนั้นใคร รู้จักด้วยเหรอ”
คนที่เดินตามหลังมา เอ่ยถามขึ้นแทบจะทันที ฟังจากน้ำเสียงแล้ว...ดูท่าระดับอารมณ์จะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“เพื่อนร่วมคณะอะ
ก็รุ่นน้องเธอนั่นแหละ ไม่รู้จักเหรอ” บางทีการที่เจ็ทไม่รู้จักกำปั้น
ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก ขนาดตัวฉันเองยังจำรุ่นพี่ได้ไม่ครบทุกคนเลย
“คุ้นหน้า แต่จำไม่ได้” เจ็ทพึมพำ แต่ว่าฉันก็ยังได้ยินอยู่ดี “สงสัยไม่มีค่าพอให้จำ”
อื้อหือ เล่นบทผู้ชายร้ายๆ
เหรอคะพี่เจ็ท
“ฟังดูใจร้ายเหลือเกินนะ” ฉันหันกลับไปมองหน้าเจ็ท แต่สายตาวาดผ่านร้านเสื้อผ้าร้านเดิม
ทำให้เห็นว่าร่างสูงของกำปั้นยังคงยืนมองอยู่ ฉันรู้สึกตัวแข็งโดยอัตโนมัติ
และแอบขยับออกห่างจากเจ็ทเล็กน้อย
“เป็นอะไรขึ้นมาอีก” เจ็ทเอ่ยถาม และเขาคงจะสังเกตเห็นสายตาของฉัน จึงเลือกหันกลับไปมองยังร้านเสื้อผ้าร้านนั้นด้วยและเขาก็หันกลับมาถามฉันอีกครั้ง
“ไม่ใช่แค่คนรู้จักใช่ไหม ไอ้นั่นน่ะ”
“...” ในสถานการณ์แบบนี้
ฉันควรตอบออกไปว่ายังไงดี จะให้บอกว่าเป็นคนที่เคยชอบเหรอ
หรือต้องบอกว่าเป็นคนที่เขามาหลอกให้รู้สึกดี เฮ้อ ไม่ใช่คำตอบที่ดีสักอย่าง
ในสภาวะอารมณ์ของเจ็ทในตอนนี้
“คนคุยเก่า แฟนเก่า หรือกำลังดีล? ”
คราวนี้สายตาคมนั่นดูดุดันมากขึ้น
อ่า...แบบนี้คือต้องเลือกมาสักคำตอบสินะ
“เราเคยชอบเขาเมื่อตอนปีหนึ่ง
แต่...”
“หลังคบกับเรา? ” เจ็ทไม่รอให้ฉันได้อธิบายจนจบ เขากลับรีบแทรกขึ้นมาเหมือนกำลังร้อนใจ
ไอ้มนุษย์ผู้ชายคนนี้ เมื่อไหร่จะยอมฟังคนอื่นพูดให้จบสักทีนะ
“ก่อนจะคบกับเธอ เฮิร์ทจากเขา
เลยไปคบกับเธอไง” ฉันบอก
พร้อมกับตัดสินใจเดินออกมาจากตรงนั้น รู้สึกงุ่นง่านใจขึ้นมาอีกแล้ว
หลังจากคบกับเขา ฉันก็ไม่เคยไปชอบพอกับใครอีก หรือจะพูดให้ถูกก็คือ
หลังจากเจ็บมาจากกำปั้น ฉันก็ไม่คิดจะสนใจใครเป็นพิเศษอีก ที่ผ่านๆ มานั่นก็แค่คุย
ออกไปพบปะสังสรรค์บ้าง แค่นั้นจริงๆ
“เขาแค่อดีต โฟกัสมาที่เราก็พอ”
เจ็ทเอ่ยกระซิบลงข้างใบหูของฉัน ในตอนที่เดินขึ้นมาขนาบข้างฉันแล้ว
ทำไมชอบทำอะไรประเจิดประเจ้อนักนะ
“เบาได้ก็เบาหน่อย” ฉันใช้มือข้างหนึ่งผลักใบหน้าของเขาให้ออกห่าง
รู้สึกใจสั่นขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
“ขี้เกียจแล้ว” เจ็ทตอบ พร้อมกับที่ฝ่ามือหนาประสานเข้ากับฝ่ามือของฉัน “อย่าสะบัดนะ เราอยากอวดแฟน”
“...” ขอร้อง!
ฉันไม่ชินจริงๆ แต่ถึงจะร่ำร้องสักเท่าไหร่
ร่างกายกลับไร้การต่อต้าน ฉันยอมเดินกุมมือกับเจ็ท จนไปถึงร้านอาหารที่เขาจองโต๊ะไว้
“ยัยหว้า พี่เจ็ท...” แต่เหมือนกับว่าวันนี้ โชคชะตาเล่นตลกกับฉันมากจนเกินไป
ฉันสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของเจ็ทโดยอัตโนมัติ
“คือ...” ฉันกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่
คำพูดมากมายจุกอยู่ที่ลำคอ สายตาของคะนิ้งเลื่อนมองมาที่ฉันสลับกับเจ็ท
“บังเอิญจังครับคุณอา
มากินข้าวกันเหรอครับ” เป็นเจ็ทที่เอ่ยทักทายคุณพ่อของคะนิ้งอย่างเป็นธรรมชาติ
ส่วนเพื่อนของฉันตอนนี้ เธอกำลังหันหน้าหนีไปทางอื่น...
“อ่อ
อามีนัดกับลูกค้าน่ะ...ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ็ทเป็นแฟนกับหนูหว้าอยู่” สายตาของผู้สูงวัยมองมาที่ฉัน เป็นความรู้สึกที่ฉันอธิบายไม่ถูกจริงๆ
อยากจะปฏิเสธ แต่กลับไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้
“เกือบสี่ปีแล้วครับ
ไม่ได้หวือหวาอะไร งั้นผมไม่กวนคุณอาแล้วครับ” เจ็ทว่าพลางเอื้อมมือกลับมากุมมือของฉันไว้ดังเดิม
ฉันลอบมองสีหน้าของเพื่อนเป็นระยะ ในที่สุดเรื่องที่ฉันเป็นกังวลก็เกิดขึ้นจนได้
ทำไมมันจะต้องบังเอิญขนาดนี้ด้วยนะ
“อ่า งั้นตามสบายนะ อาขอตัวก่อน”
ฉันมองตามหลังของสองพ่อลูกไปอย่างเศร้าสร้อย
คุณพ่อของคะนิ้งให้ความเอ็นดูกับฉันมาตลอด แต่ในวันนี้
ฉันกลับสัมผัสได้ว่าท่านเว้นระยะห่างจากฉันไปแล้วระดับหนึ่ง
“ไปกินข้าวกันเถอะ” เจ็ทออกแรงกระตุกมือของฉันเบาๆ พลางทำท่าจะเดินนำเข้าไปในร้าน
แต่ฉันส่ายหน้าให้เขาเป็นคำตอบ
“เรากลับก่อนได้ไหม เราไม่อยาก...”
“ไม่ช้าก็เร็ว
ทุกคนก็ต้องได้รู้อยู่ดี” เป็นอีกครั้งที่เจ็ทแทรกขึ้นเพื่อขัดจังหวะฉัน
“เธอคิดจะปิดบังความสัมพันธ์ของเราไปจนตายเลยหรือไง”
“เรื่องนี้มันเริ่มจากใครกันล่ะ”
คราวนี้ฉันมองสบตาเขา แววตาของเจ็ทปรากฏความวูบไหวขึ้นหนึ่งระลอก
เพราะว่าในวันนั้น...หลังจากที่เราตกลงคบกัน เขายื่นข้อเสนอมาให้ฉัน
ว่าเราจะไม่ก้าวก่ายชีวิตของกันและกัน ไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ให้ใครรู้
ถ้าพร้อมจะมีรักใหม่ให้เดินจากกันไปได้เลย
แล้วพอมาในวันนี้
ทำไมเขาถึงกระตือรือร้นอยากจะเปิดเผยมันนัก ในเมื่อเลือกที่จะปิดบังทุกคนมาตลอด
แน่นอนว่ามันย่อมมีผลลัพธ์ของการกระทำนั้น แล้วใครกันที่ต้องรับผลของมันมากที่สุด
คำตอบมันก็แสนจะง่าย คือฉันนี่ไงล่ะ
“เราขอโทษ เราจะรับผิดชอบกับทุกอย่างที่ตามมาเอง”
ฉันเลื่อนสายตาออกจากใบหน้าของเจ็ท
“แน่ใจเหรอ ว่าเธอสามารถรับผิดชอบทุกอย่างได้
เธอเอาอะไรมามั่นใจ” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยปกตินัก
สีหน้าของคะนิ้งเมื่อกี้ มันทำให้ฉันรู้ว่าจากนี้
ความเป็นเพื่อนของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป “พาเรากลับห้องหน่อย
เรามีเรื่องต้องเคลียร์กับเธอ”
ฉันทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง
หลังจากกลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัย ในท้ายที่สุด วันนี้ก็กลับกลายเป็นวันแย่ๆ ฉันกับเจ็ทนี่มันคู่กรรมจริงๆ
เลยนะ ฉันเหลือบสายตามองใครอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้อง
สีหน้าของเขาดูมีเรื่องครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา
“เธอจะเคลียร์อะไรกับเรา” แต่เขาก็ยังเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น
“เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเรา
มันไม่ดีต่อคนอื่น” ฉันตอบพร้อมเลื่อนสายตาหนนีเขา
“ไม่ดีต่อใคร เพื่อนเธอ?
เสือกอะไรด้วย” แต่แล้วฉันก็ต้องกลับมามองหน้าเขาอีกครั้ง
เจ็ทกำลังโมโหมาก แต่ฉันก็ดูออกว่าเขาพยายามที่จะระงับโทสะของตัวเอง เพื่อให้เราจะไม่ต้องโต้เถียงกันแบบรุนแรง
“คุมสติกับคำพูดหน่อย เธอก็รู้ว่าคะนิ้งชอบเธอ
ไม่เห็นหน้าคะนิ้งวันนี้หรือไง” ฉันเลือกจะพูดกับเขาอย่างใจเย็น
ถึงแม้จะรู้สึกโกรธอยู่หน่อยๆ
“แล้วยังไง? ” เจ็ทตวัดสายตามองฉัน แววตาของเขาดูแข็งกร้าว “ต้องให้เราเลิกกับเธอแล้วไปคบเขาไหม
ถึงจะดีกับทุกคน”
“...” ฉันนิ่งอย่างจนคำพูด
ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น เพียงแต่...ฉันไม่อยากมีปัญหา
“เราเคยบอกแล้วว่าไม่ได้ชอบเพื่อนเธอ
ขอถาม เธอเคยจำไหม? ”
“...” ดูท่าตอนนี้
เจ็ทคงไม่อยากจะใจเย็นกับฉันแล้ว
“เธอเคยให้เราเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่เธอแคร์บ้างหรือเปล่า”
เจ็ทยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
แต่คำพูดของเขากลับฟาดหน้าฉันเสียจนรู้สึกเจ็บ ฉันคงไม่เคยแคร์เขาจริงๆ นั่นแหละ
“เรา...”
“เธอให้ทุกคนมาก่อนเราเสมอ”
ราวกับว่าคำพูดนั่นของเขา มันคือความจริง
พอได้ลองทบทวนดุแล้ว...ฉันทำแบบนั้นจริงๆ
แต่เหตุผลมันก็เริ่มต้นมาพร้อมกับความสัมพันธ์แปลกๆ ของเรานั่นแหละ
“ช่างเถอะ
มันผิดที่เราตั้งแต่เริ่ม” เจ็ทตัดบท แล้วหันหลังเดินออกไปจากห้องของฉันในทันที
พอเห็นว่าแผ่นหลังของเขากำลังห่างออกไป หัวใจของฉันมันก็รู้สึกโหวงเหวงขึ้นมา
แต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่สามารถพาฉันไปฉุดรั้งร่างสูงเอาไว้ได้
ในที่สุดเจ็ทก็ออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกทรมานภายในใจ
แต่ฉันก็มีเหตุผลของตัวเอง
ถ้าการที่เราคบกันแบบไม่เปิดเผยมันดีอยู่แล้ว ทำไมเราจะต้องทำให้มันยุ่งยาก
ในเมื่อเราก็รู้ผลลัพธ์ของมันเป็นอย่างดี
ฉันทำถูกแล้วนั่นแหละ
ฉันคิดแบบนั้น
พร้อมกับทิ้งตัวนอนลงบนเตียงแล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น พอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกที
ทั้งห้องก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยความมืด
มือของฉันควานหาโทรศัพท์มือถือที่โยนทิ้งไว้ไม่ไกลตัวนัก
ไม่มีแจ้งเตือนจากเจ็ท
ปกติแล้ว
เจ็ทมักจะโกรธฉันได้ไม่นานเวลาเราทะเลาะกัน แต่ดูท่าครั้งนี้เขาจะโกรธแบบจริงจังมาก
สมองของฉันบอกว่าช่างมันเถอะ เดี๋ยวเขาก็กลับมาเอง
แต่ภายในใจของฉันกลับมีแต่กลุ่มก้อนของความรู้สึกเจ็บปวด ทำไมฉันถึงได้มีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นกันนะ
มีคนเคยบอกไว้ว่า
ความรักย่อมคู่กับความเจ็บปวด
“เรารักเขาเหรอ...เธอรักพี่เจ็ทเหรอลูกหว้า”
ฉันถามตัวเองเบาๆ แล้วได้แต่หัวเราะเยาะตัวเองในใจ มันไม่ใช่หรอก
ความรักมันเป็นแบบไหนฉันยังไม่รู้เลย
แล้วฉันจะหลงรักผู้ชายที่ไม่เคยคิดอะไรด้วยมาหลายปีได้ยังไงกันล่ะ
ตลกจังเลยนะ...
หลังจากนั้น ในช่วงเวลาหลายวันต่อมา ฉันไม่ได้เจอกับเจ็ทอีก และไม่ได้รับการติดต่อจากเขาด้วย ค่อนข้างจะรู้สึกประหลาดใจ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เมื่อก่อนเขาก็เป็นแบบนี้ อืม...เหมือนว่าตอนนี้ทุกอย่างจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน
ดีแล้ว แบบนี้แหละดี
ถึงจะคิดแบบนั้น
แต่ไม่รู้ว่าทำไมภายในใจถึงไม่สงบ ช่วงหลายวันนี้ฉันเอาแต่คิดเรื่องของเจ็ท
และเคยคิดจะเป็นฝ่ายติดต่อไปหาเขาก่อนอยู่หลายรอบ
“นั่งขมวดคิ้วอีกแล้วนะหว้า”
เสียงของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเอ่ยท้วง
ฉันเหลือบสายตาขึ้นมองกำปั้น เห็นว่าเขากำลังมองมาพร้อมกับรอยยิ้ม
เราบังเอิญได้เจอกันตอนฉันออกมาเดินเล่นแก้เบื่อ เขาเสนอตัวจะเลี้ยงกาแฟฉัน
แล้วฉันก็ดันปฏิเสธไม่ได้
“คนไม่มีงานทำก็แบบนี้แหละ”
ฉันบอกพร้อมกับหัวเราะกลบเกลื่อน
“นึกว่ากำลังคิดเรื่องพี่เจ็ทอยู่ซะอีก...”
กำปั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จนฉันต้องถามเขาอีกรอบ
“เมื่อกี้ปั้นว่าไงนะ” ฉันมองตรงไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเฝ้ารอคำตอบ
“เรื่องงาน ให้เราช่วยไหม? ”
ฉันนิ่งไปเล็กน้อย ได้ยินมาจากเพื่อนๆ ว่า
กำปั้นทำงานอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่
ผลการเรียนของเขาดีเลิศซะจนทางบริษัทขอจองตัวไว้ตั้งแต่ยังไม่ทันจะเรียนจบ
“ไม่เป็นไรหรอก
เรายังไม่อยากเป็นเด็กเส้นนะ” ฉันพยายามหัวเราะออกมาให้เป็นธรรมชาติที่สุด
และกำปั้นก็พยักหน้าเข้าใจ
“ว่าแต่...หว้าไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เจ็ทจริงๆ
เหรอ”
“...” ฉันเงียบลงอย่างคาดไม่ถึง
ไม่คิดว่าเขาจะเปิดประเด็นนี้กับฉัน
“วันนั้นดูพี่เขากันท่าแปลกๆ
เราพอดูออกนะ” กำปั้นเอ่ยออกมาพร้อมกับหัวเราะ
ฉันรู้ว่าเขาพยายามที่จะให้คำถามนั้น เป็นเพียงเรื่องขำๆ แต่ว่าเขามองออกจริงๆ
“ปั้นคิดมากไปแล้วล่ะ” ฉันเอ่ยพร้อมส่งยิ้มเรียบๆ ไปให้ เป็นการเตือนทางอ้อมว่า
ฉันไม่ต้องการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวอีก
อันที่จริงเราไม่ได้สนิทกันด้วยซ้ำไป ก็แค่ ‘เคย’ ชอบเขาเท่านั้น
“ความจริง...เราอยากขอโทษเรื่องในตอนนั้นมาตลอดเลยนะ”
กำปั้นน่าจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของฉัน
เขาจึงเลือกที่จะเปิดประเด็นขึ้นใหม่ เรื่องในตอนนั้นเหรอ?
หมายถึงที่เขาพยายามจะใช้ฉันบังหน้าเพื่อปกปิดตัวตนของตัวเองน่ะเหรอ
“ช่างเถอะ เราแทบจะลืมไปแล้ว”
ฉันตอบพร้อมกับพยายามปั้นยิ้มให้กับคนตรงหน้า ที่บอกว่า ‘แทบจะลืม’ สำหรับฉันมันมีความหมายว่า ฉันยังไม่ลืม
แต่ฉันไม่อยากจะเอามาใส่ใจอีกแล้ว
ถ้าฉันเก็บเอามาใส่ใจจริงๆ
ความรู้สึกที่ว่าเราเป็นเพียงคนรู้จัก อาจจะกลายเป็นฉันเกลียดเขาก็ได้
ไม่มีใครหรอกนะ ที่ยินดีจะเจอเรื่องแบบนั้น
“เราอยากขอโทษจริงๆ
เรารู้ตัวว่าที่เราทำ มันเป็นเรื่องที่แย่มาก” แต่ว่ากำปั้นก็ยังคงหยิบยกเรื่องในอดีตขึ้นมาไม่หยุด
“ถ้ารู้ตัวแล้วสำนึกได้
มันก็ดีแล้วล่ะ” ฉันบอกพร้อมกับเอื้อหยิบกระเป๋าใบเล็กที่วางไว้ข้างตัว
“วันนี้เราขอตัวก่อน”
“อะ...อืม” ฉันลุกขึ้นยืน
เตรียมตัวจะเดินออกไปจากที่ตรงนี้ สายตาที่วาดผ่านใบหน้าของกำปั้น
เพียงเสี้ยววินาที ฉันมองเห็นใบหน้าเจื่อนๆ และรอยยิ้มฝืนๆ ของเขา
ฉันกลับมาถึงหอพักในช่วงหัวค่ำ
จริงๆ ออกมาจากร้านกาแฟนั่นตั้งแต่ช่วงบ่าย
แต่เพราะว่าความรู้สึกเบื่อหน่ายและแสนเซ็ง ทำให้ฉันเลือกที่จะพาตัวเองออกไปผ่อนคลายอารมณ์ต่อ
เรื่องกำปั้นวันนี้
กวนอารมณ์ฉันในระดับหนึ่ง
เพิ่งจะมาสำนึกผิดเอาป่านนี้
มันช้าไปหน่อยหรือเปล่า ฉันพยายามจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้แล้วนะ
แต่วันนี้กำปั้นกลับขุดมันขึ้นมาพูด เล่นเอาฉันรู้สึกโกรธการกระทำในตอนนั้นของเขาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“...” เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป
สิ่งแรกที่ฉันได้เห็นคือเงาตะคุ่มๆ ของใครบางคนที่นั่งอยู่ปลายเตียง
ฉันเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟพร้อมกับหัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำ “เธอ...”
“...” เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นบุคคลที่ทำตัวหายสาบสูญ
ฉันก็รู้สึกโล่งใจ เจ็ทไม่ได้เอ่ยอะไร เขาทำเพียงแค่มองตรงมายังฉัน
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ฉันพยายามถามคำถามให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
กี่วันแล้วนะที่เขาหายหน้าหายตาไป แถมขาดการติดต่อจนผิดปกติ
“ช่วงบ่าย” คำตอบของเขาทำให้ฉันเผลอกำมือแน่น
ตอนนี้เกือบจะสองทุ่มแล้ว
“อ่า...กินอะไรหรือยัง” ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเหมือนคนโง่ ทำได้แค่ถามคำถามพื้นๆ
“อืม” เจ็ทตอบกลับมาเพียงเท่านั้น
ก็ถือว่าดี อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้นั่งรออยู่ในห้องนี้มาหลายชั่วโมงอย่างที่ฉันคิด “เธอไปไหนมา? ”
“เราออกไปเดินเล่นแก้เบื่อมา”
ใช่ ฉันออกไปตั้งแต่เช้าและเพิ่งจะกลับมาเอาป่านนี้ จริงๆ
ตั้งใจว่าจะออกไปแค่ครึ่งวัน แต่มันดันบังเอิญเจอกับกำปั้นเข้า
“สนุกไหม” ฉันเห็นว่าขณะที่เจ็ทถาม
นิ้วของเขาก็ปัดอยู่บนหน้าจอมือถือ
ดูท่าในมือถือของเขาจะมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าฉัน “ลับหลังเรา
สนุกมากไหม? ”
“...” ฉันที่กำลังจะเอ่ยปากตอบคำถามแรกของเขา
จำเป็นจะต้องเงียบลงด้วยคำถามถัดมา เจ็ทกำลังหมายถึงอะไร?
“ไอ้คนนั้นคือคนที่เธอเคยชอบสินะ”
เจ็ทบอกพร้อมกับโยนมือถือของตัวเองไว้บนเตียงของฉัน
ห้องของฉันไม่ได้กว้างมากนัก แม้ว่าตอนนี้ฉันจะยังคงยืนอยู่ตรงหน้าประตู
แต่สายตาของฉันก็พอเห็นรูปบางอย่างที่หน้าจอมือถือของเขา ฉันตัดสินใจสาวเท้าเข้าไปใกล้เจ็ท
โน้มตัวลงหยิบมือถือของเขาขึ้นมา
รูปภาพสองสามรูปที่ดูเหมือนเป็นรูปแอบถ่ายปรากฏสู่สายตาของฉัน
มันเป็นรูปของฉันกับกำปั้นในร้านกาแฟวันนี้
ใบหน้าของเราทั้งคู่ดูยิ้มแย้ม
มองภายนอกก็ดูเหมือนกับว่าคู่รักที่กำลังกระหนุงหระหนิง ดูจากในรูป
ดูเหมือนคนที่แอบถ่ายก็อยู่ในร้านด้วยเหมือนกัน
“เธออย่าเพิ่งเข้าใจผิด
ฟังที่เราอธิบายก่อน” ฉันรีบละสายตาจากรูปในมือถือไปยังเจ็ท
ภายในใจกำลังบอกว่าให้ฉันทำอะไรสักอย่าง เช่นการอธิบายความจริง
“ว่ามาสิ เรารอฟัง” เจ็ทบอกพร้อมกับหันหน้ามามองฉัน รู้สึกว่าสีหน้าของเขาดูไม่ดีสักเท่าไหร่
“วันนี้เราบังเอิญเจอกำปั้น
เลยนั่งคุยกันนิดหน่อย” ฉันเอ่ยปาก
พลางลอบมองปฏิกิริยาของเจ็ทไปด้วย
“อืม น่าจะคุยกันถูกคอ...” แต่ดูจากประโยคของเจ็ทแล้ว เขาน่าจะไม่ได้ตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันบอกไปเลย “ถ่านไฟเก่าคุไหม? ”
“เธอเอารูปพวกนี้มาจากไหน? ”
ฉันเลือกจะมองข้ามคำพูดแดกดันของเขา เรื่องที่ฉันเคยชอบกำปั้น ฉันเคยบอกเจ็ทไปแล้ว และเขาก็บอกฉันเองว่ามันเพียงแค่อดีต
“มีคนถ่ายรูปพวกนี้ส่งให้เราไง”
เจ็ทค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับฉัน เขาก้าวเข้ามาใกล้ฉันทีละก้าว
จนในตอนนี้เราต่างอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่คืบ “เพื่อนรักที่เธออยากจะเสียสละ”
“...” ฉันไม่ได้โง่เกินกว่าจะเดาไม่ออก
ว่าเจ็ทกำลังหมายถึงใคร
“เธอว่า...เพื่อนที่เห็นว่าเราเป็นเพื่อน
จะทำร้ายเราลับหลังแบบนี้ไหม? ” เจ็ทยื่นหน้าเข้ามาใกล้เสียจนฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนจัดของเขา
“เธอไม่ต้องพูดแล้ว เราไม่อยากฟัง”
ฉันเบือนหน้าหนี พร้อมกับถอยหลังทิ้งระยะห่างจากเจ็ทไปหลายก้าว
แม้ใจหนึ่งจะไม่อยากเชื่อ แต่ที่ผ่านมา เจ็ทไม่เคยโกหกฉันเลยสักครั้ง
“แต่เราอยากพูดให้เธอฟัง
ช่วยเปิดหูเปิดตาหน่อยเถอะ” เจ็ทเอื้อมมือมาคว้าแขนฉันไว้ในขณะที่ฉันถอยห่างจากเขาไปทีละก้าว
ร่างสูงใช้แรงพอประมาณในการกระชากฉันกลับเข้าไปหาตัวเขา
“...” สัมผัสของเจ็ทร้อนจัด
เนื้อตัวของเขาร้อนมากจนฉันตกใจ หลงลืมไปแล้วว่าประเด็นหลักในตอนนี้คืออะไร
“เธออย่าปล่อยให้ความเชื่อใจทำร้ายตัวเอง...”
ฉันรู้สึกได้ว่าดวงตาของเจ็ทเริ่มหรี่ปรือ
และร่างสูงเริ่มจะถ่านเทน้ำหนักลงมาหาฉัน
“เธอ...ไม่สบายนี่หน่า” ฉันเอ่ยขึ้นในตอนที่ตัดสินใจทิ้งตัวลงบนเตียง
โดยมีเจ็ทล้มตามลงมาอย่างง่ายดาย กลายเป็นว่าตอนนี้ร่างสูงของเจ็ทกำลังนอนทับฉันอยู่
ฉันพยายามจะดันเขาให้นอนลงข้างๆ แต่ว่า...
“อย่าร้องไห้เพราะใครอีกเลย...”
เสียงพึมพำของเจ็ท ทำเอาฉันน้ำตาคลอ นี่เขาทรมานร่างกายตัวเอง
มานั่งรอฉันหลายชั่วโมง เพื่อจะพูดเรื่องพวกนี้กับฉันงั้นเหรอ
“เธอมันบ้า” ฉันเอ่ยตอบเบาๆ
ในตอนที่ตัดสินใจยกฝ่ามือขึ้นลูบผมนุ่มลื่นของเขา เจ็ทซุกใบหน้าลงกับซอกคอของฉัน
ลมหายใจของเขาร้อนผ่าวจนน่าใจหาย
“เราเป็นอะไรก็ได้
แค่เธอไม่เสียใจ...”
“...” คำพูดของเจ็ทพร้อมกับลมหายใจที่เริ่มสม่ำเสมอ ทำให้มือของฉันที่กำลังลูบผมของเขาหยุดการเคลื่อนไหว
หลับแล้วเหรอ
ฉันนอนนิ่งไปอีกหลายอึดใจ ก่อนจะค่อยๆ ดันตัวเจ็ทให้นอนลงตรงที่ว่างข้างๆ แทน
เจ็ทหลับไปแล้วจริงๆ สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ไม่รู้ว่าระหว่างที่รอฉันกลับห้อง เขาได้ดูแลตัวเองอย่างดีหรือเปล่า
“เธออย่าดีกับเรามากๆ แบบนี้เลย
ถ้าเราโลภขึ้นมา เธอห้ามไปจากชีวิตเรานะ” คลับคล้ายกับว่ากำแพงในใจของฉัน
ค่อยๆ ทลายลงมาทีละนิด หลายวันมานี้ฉันได้ใช้เวลาทบทวนในหลายๆ เรื่อง มันอาจเป็นเพราะช่วงหลังมานี้
เจ็ททำดีกับฉันมาก เขาคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เสมอ มันทำให้ฉันอุ่นใจและปลอดภัยมาก
มันมากซะจนฉันเคยตัวกับการมีเขาวนเวียนอยู่ในชีวิต
มันก็น่าตลกดีที่ตอนมีเขาคอยมาวอแว ฉันกลับคิดว่าไม่ชินกับความรู้สึกนี้
แต่พอเขาห่างหายออกไปจริงๆ ฉันกลับไม่ชอบใจเอาซะเลย ยอมรับแบบหน้าด้านๆ
ว่ามีเขาคอยวอแวมันดีกว่า
ย้อนแย้งจังเลยนะตัวฉัน
ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าไอ้ความรู้สึกที่ก่อตัวตอนนี้มันเรียกว่าอะไรก็เถอะ
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่อะไรนักหรอก
ขิงจ้ะ : @LookWha อยู่ไหมคะคุณเพื่อน
เสียงแจ้งเตือนจากแชตกลุ่มในแอปพลิเคชั่นไลน์
ทำให้ฉันเหลือบสายตามองไปที่เจ็ทโดยอัตโนมัติ เมื่อพบว่าเขายังอยู่ในห้วงนิทรา
ก็ทำให้ฉันแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
Me : ว่าไงคะ
Newyear : เรามีเรื่องต้องคุยกันนะหว้า
อ่า...ฉันว่าฉันพอจะเดาออกอยู่บ้างว่าเรื่องอะไร
คงไม่พ้นเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับเจ็ทที่ปิดบังทุกคนมาเกือบสี่ปี
เคยแอบคิดเล่นๆ ว่าสักวันทุกคนคงรู้ความจริง
แต่เหมือนทุกอย่างจะไวเกินกว่าที่ฉันจะได้เตรียมใจ
Newyear : คงรู้นะว่าพวกฉันอยากคุยเรื่องอะไร
Me : อืม ไว้นัดกันอีกที
ฉันกดออกจากแอปพลิเคชั่นในทันที
ก่อนจะโยนมือถือไปทางอื่น ไม่รู้ว่าฉันจะจัดการปัญหานี้ได้ดีแค่ไหน
ถึงแม้ก่อนหน้านั้นเจ็ทจะเคยบอกว่าจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างเองก็เถอะ
แต่ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว นี่มันคือความผิดของฉันต่อเพื่อนๆ
ฉันก็ควรจะเป็นคนจัดการมันเอง ได้แต่หวังว่าเพื่อนๆ จะเข้าใจในเหตุผลห่วยๆ ของฉัน
ฉันเลื่อนสายตาไปมองเจ็ทอีกครั้ง
สีหน้าของเขาดูทรมานกับพิษไข้
พอลองใช้หลังมือแตะที่หน้าผากของเขาก็แอบตกใจกับความร้อนผ่าว ฉันควรปลุกเขาแล้วพาไปหาหมอ
“เธอ” ฉันแตะที่ต้นแขนของเจ็ทพลางเขย่าเบาๆ
เขามีไข้ค่อนข้างสูง และตัวฉันเองไม่เคยดูแลคนป่วยมาก่อน เกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา
ฉันคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย
“...” น่าแปลกที่เจ็ทรู้สึกตัวอย่างง่ายดาย
ทั้งที่ฉันคิดว่าเขาหลับลึก
“ไปหาหมอกัน ไข้เธอขึ้น” ฉันเอ่ยปากแบบนั้น แต่เจ็ทกลับส่ายหน้า
“มียากับเจลลดไข้ไหม” น้ำเสียงของเจ็ทฟังดูไม่ดีเลยจริงๆ ฉันอยากจะพาเขาไปหาหมอ
แต่เขากลับดึงดัน
ดื้อ!
“รอแปบนะ” ฉันเคยซื้อเจลลดไข้มาเก็บไว้ในตู้เย็น
แต่ไม่รู้ยังใช้ได้ไหม ส่วนยาลดไข้ก็คงมีแต่พารา
อืม...คนป่วยนี่เขาต้องทำยังไงบ้างนะ เพราะฉันป่วยน้อยมากและไม่เคยอาการหนัก
เลยไม่ค่อยรู้วิธีดูแลคนป่วยเท่าที่ควร นี่ฉันควรจะเช็ดตัวให้เขาด้วยหรือเปล่า
ทำแบบนั้นเขาจะหนาวไหมนะ
ฉันเดินกลับมาหาเจ็ท
พร้อมเจลและยาลดไข้ เขายันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลจนฉันต้องเข้าไปช่วยประคอง
เจ็ทจัดการแปะเจลนั่นลงที่หน้าผาก พร้อมเอ่ยปากขอน้ำเปล่าเพื่อกินยา
“เธอกินข้าวแล้วใช่ไหม” คำถามของฉันได้รับคำตอบโดยการพยักหน้า สีหน้าเขาดูอิดโรยมาก
ฉันควรจะปล่อยให้เขาพักผ่อน
“เธอช่วยเช็ดตัวให้เราที” น้ำเสียงและสายตาของเจ็ทที่ส่งมา เล่นเอาฉันทำตัวไม่ถูกเลย
ฉันไม่เคยเช็ดตัวให้ใครมาก่อน ไม่แน่ใจเลยว่าจะทำออกมาได้ดี แต่พอเห็นท่าทางของเขาแล้วก็อดจะตอบรับไม่ได้
“งั้นเธอนอนไปก่อน
เดี๋ยวเราไปเตรียมผ้ากับน้ำ” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่สิ่งที่ฉันกำลังทำในตอนนี้
คือการค้นหาวิธีเช็ดตัวลดไข้ในอินเทอร์เน็ต เอ่อ...มันดูยุ่งยากจังเลยแฮะ
“เธอเตรียมผ้ากับน้ำมาแค่นั้นแหละ
ไม่ต้องไปหาในอินเทอร์เน็ตหรอก” ฉันหันกลับไปมองเจ็ท
เมื่อเขาส่งเสียงขึ้นมา พบว่าตอนนี้เจ็ทถอดเสื้อออกไปแล้ว
และกำลังทำท่าจะถอดกางเกงด้วย
“เธอทำอะไรน่ะ” ฉันว่าพลางมองค้างไว้อย่างนั้น
“ถอดเสื้อผ้า เธอจะได้เช็ดตัวถนัด”
“อ่อ...” ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นรูปร่างของเจ็ทเสียที่ไหน
ทำไมฉันต้องรู้สึกเขินด้วยเนี่ย ฉันรีบเดินเข้ามาในห้องน้ำ
เตรียมน้ำและผ้าขนหนูใส่กะละมังใบเล็กที่ซื้อติดห้องไว้เมื่อนานมาแล้ว
พอเดินออกมาอีกที ก็เห็นว่าเจ็ทกำลังนอนอยู่บนเตียง โดยมีผ้าห่มของฉันปกปิดช่วงกลางลำตัวของเขาเอาไว้
โชคดีนะที่ฉันยังไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ ไม่งั้นเขาได้นอนสั่นแน่
“วันนี้ดีจัง ได้เห็นหน้าเธอ”
P.S. ขออนุญาติยกยอดวิธีรักษาไข้พี่เจ็ทไว้บทหน้านะคะ คิกคัก
บอกเลยว่าบทหน้าพ่อจะฟาดทุกคนที่ทำยัยน้องเสียใจ หึ!
ถ้าชื่นชอบนิยายเรื่องนี้ อย่าลืมกดFav. ไว้นะ
แล้วก็ฝากคอมเม้นต์ติชมไว้ให้กันด้วยฮ้าบบบบบ
ความคิดเห็น