คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Episode 2 { 100%}
Episode 2
สุดท้ายแล้วในวันนั้นฉันก็ถูกกักตัวอยู่ในห้องของเจ็ท
พอบังคับฉันให้อาบน้ำได้ ก็บังคับให้ฉันนอนห้องเดียวกับเขาด้วย
ฉันรู้สึกเพลียและเหนื่อยเกินกว่าจะสู้รบกับเขา เลยปล่อยเลยตามเลย
ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้ว
“สัมภาษณ์งานเป็นไงบ้างลูกหว้า”
ขิงเอ่ยถามฉันถึงการสัมภาษณ์งานครั้งก่อน วันนี้แก๊งเรานัดกันมาที่ร้านเหล้าร้านประจำ
“โมโห! ” ฉันบอกพร้อมยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกอย่างขุ่นมัว
ทุกคนควรมีสิทธิ์แสดงความสามารถสิ ไม่ใช่รีบตัดสินใจแบบนั้น
ไม่คิดว่าจะมีช้างเผือกรออยู่บ้างหรือไงกัน ชิ!
“แสดงว่าไม่ผ่าน” ปีใหม่คาดเดาคำตอบได้อย่างแม่นยำ
“ไม่ทันได้สัมภาษณ์ด้วยซ้ำ”
ฉันบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ทำไมวันนี้คะนิ้งมาช้าจัง”
“เห็นว่าป๊าให้เข้าไปทำงานในบริษัท
ยังเคลียร์งานไม่เสร็จมั้ง” ปีใหม่เป็นคนอธิบาย
ฉันคิดว่าคะนิ้งโชคดีมาก ที่เรียนจบมาก็มีงานรองรับ เป็นบริษัทของครอบครัว แทบไม่ต้องพยายามอะไรมากมาย
“แล้วเรื่องเรียนต่อโทของแกเป็นไงบ้าง”
ประโยคของขิงทำให้ฉันรู้สึกสนอกสนใจ
ฉันพอรู้อยู่แล้วว่าปีใหม่ตั้งใจจะเรียนต่อปริญญาโท
แต่ก็ยังไม่เคยคุยรายละเอียดกับเพื่อนเลย
“ฉันว่าจะไปต่อที่อังกฤษ
พ่อกับแม่ก็เห็นด้วย” นั่นเป็นคำตอบของปีใหม่ ถ้ายัยนี่ไปจริง
ฉันคงแอบเหงาและแอบคิดถึงมากแน่ๆ
“ถ้าแกตั้งใจไว้แบบนั้น ก็ลุยเลย
อย่าลืมกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ นะ” ฉันบอกพร้อมขยับเข้าไปซบปีใหม่อย่างออเซาะ
ฉันเป็นคนติดเพื่อน เวลามีพวกเธออยู่ด้วย
มันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยวจนเกินไป มันทำให้ฉันลืมความอ้างว้างที่แสนน่ากลัวในวัยเด็ก
“แกอย่ามาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นแม่ลูกอ่อนได้ไหม!
” ปีใหม่บอกพลางผลักฉันออกอย่างไม่จริงจังนัก
“พวกแกกก” เสียงสดใสของคะนิ้งดังขึ้น
พร้อมกับร่างบางสมส่วนที่กำลังก้าวตรงมายังโต๊ะที่พวกเรานั่งอยู่
“คุณเป็นใครเหรอคะ” ขิงเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น
พร้อมกวาดตามองร่างของเพื่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ฉันค่อนข้างว้าวกับลุคนี้ของเพื่อน แม่สาวนักธุรกิจ ดูสวยสง่า
ดูมีภูมิฐานและชาติตระกูลสุดๆ
“ขิง ฉันจะตีแก” คะนิ้งบอกพร้อมทำท่าง้างมือ
“บอสคะ อย่าค่ะบอส” และขิงก็ยังคงแกล้งแซวเพื่อนต่อไป
จนตอนนี้คนโดนแซวหน้าแดงด้วยความเคอะเขิน ส่วนพวกฉันก็หัวเราะชอบใจกันไปตามระเบียบ
“มาช้าจังแก” ฉันเอ่ยหลังจากคะนิ้งนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับตัวเอง
“เพิ่งเลิกงาน
พอเลิกปุ๊บฉันก็รีบพุ่งมาเลย” สีหน้าของคะนิ้งดูอิดโรยนิดๆ
แต่ก็ยังคงมีพลังงานล้นเหลือ
“คนหรือจรวดมิสไซล์อะ
พุ่งมาเลยเนี่ย” คราวนี้ปีใหม่ก็ร่วมผสมโรงด้วย
ทำเอาเพื่อนสาวผู้มาใหม่ถึงขั้นหน้างอง้ำ
“ฉันจะตีพวกแกเรียงตัวเลย ชิ”
คะนิ้งบอกพร้อมกระดกแก้วเหล้าที่ขิงชงไว้ให้ ก่อนจะเปิดปากพูดอีกรอบ
“พวกแกรู้ไหม ว่าวันนี้ฉันเจออะไร”
“...” พวกเราที่เหลือเลือกจะเงียบ
พร้อมกับสีหน้าอยากรู้อยากเห็น น้ำเสียงคะนิ้งดูอยากภูมิใจนำเสนอขนาดนี้
แปลว่าเรื่องที่ว่าจะต้องเด็ดดวงใช้ได้
“ช่วงนี้ฉันเจอพี่เจ็ท! ” สีหน้าของคะนิ้งตอนนี้บ่งบอกว่า เธออยากอวดมาก
“แค่นี้? ” และนี่คือรีแอคชั่นของฉัน
ไม่เร้าใจเลย
“ยังไงๆๆ” นี่ของขิง
“เล่ามาๆๆ” และนี่ของปีใหม่
“คือฉันก็เพิ่งรู้ว่าครอบครัวของพี่เจ็ท
เป็นหุ้นส่วนกับบริษัทของป๊าด้วย ถือหุ้นตั้งยี่สิบเปอร์เซ็น” คะนิ้งยังคงทำหน้าที่เล่าต่อไปโดยไม่ได้สนใจว่าฉันอยากฟังด้วยหรือเปล่า “ช่วงนี้มีประชุมของผู้ถือหุ้น ฉันเลยได้ไปกินข้าวกับพี่เขาทุกวันเลย”
“...” ฉันรู้สึกเหมือนคิ้วกระตุกๆ
นิดหน่อย สงสัยจะเป็นลางร้าย เพราะกระตุกข้างขวา
โบราณว่าถ้าตาขวากระตุกจะเจอเรื่องไม่ดี คิ้วก็อยู่ใกล้ๆ ตา
นับว่าเป็นเรื่องไม่ดีด้วยได้ไหม
“ดูแกจะดีใจมาก
ทำเหมือนไม่เคยรู้จักพี่รหัสตัวเอง” ขิงเอ่ยขึ้น
คงเพราะท่าทางของคะนิ้งตอนนี้ดูกระดี๊กระด๊าอย่างมาก
“พวกแกไม่รู้เหรอว่าคะนิ้งมันมีความลับ”
ปีใหม่พูดขึ้นพร้อมหัวเราะคิกคักใส่คนที่กำลังนั่งหน้าแดงอยู่ตรงข้ามกับฉัน
“ความลับ?
นี่พวกแกมีความลับกับพวกฉันเหรอ” ฉันหรี่ตามองหน้าปีใหม่สลับกับคะนิ้งไปมา
ทำไมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ
“คะนิ้งอะ แอบชอบพี่เจ็ทมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว
พวกแกไม่หัดสังเกตเพื่อนบ้างเลย! ” คำพูดต่อมาของปีใหม่
ทำให้ฉันที่กำลังยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ เผลอใช้ฟันกัดปากแก้วโดยอัตโนมัติ
“ฉันก็ไม่ได้แสดงออกขนาดนั้นเว้ยแก”
คะนิ้งเอ่ยขัดขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มแบบขวยเขิน
“แล้วนึกไงมาพูดตอนนี้
อย่าบอกนะว่าจะคุยๆ กับพี่เจ็ท? ” ขิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจัง
“ก็พอกลับมาเจอกันอีก
ฉันก็ยังใจเต้นแรงอยู่เลยอะ ตอนนี้พี่เขาก็ไม่ได้มีใคร ฉันเลยอยากจะลองดู” ยิ่งฟังเพื่อนพูดแบบนั้น ยิ่งรู้สึกอึดอัดใจยังไงก็ไม่รู้ แอบคิดเล็กๆ ว่าถ้าคะนิ้งรู้ความจริง
จะโกรธฉันหรือเปล่า
“แต่พี่เจ็ทเขาไม่ได้จริงจังกับใครเลยนะ
แกแน่ใจที่จะเสี่ยงเหรอ” ขิงยังคงเอ่ยถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ฉันรู้ว่าเธอกำลังเป็นห่วงและกลัวว่าคะนิ้งจะต้องเสียใจ
“แกคิดมากไปแล้วขิง เพื่อนก็สวยน่ารัก
ชาติตระกูลก็ดี เพียบพร้อมขนาดนี้ ฉันว่าพี่เจ็ทแพ้ทางแน่นอน” ปีใหม่ออกอาการว่าเชียร์คะนิ้งให้พี่รหัสเต็มที่
จนตอนนี้แม้แต่ขิงก็เลือกจะไม่พูดอะไร และความหนักใจก็ตกมาอยู่ที่ฉัน
“หว้าเป็นไรอะ
เงียบไปตั้งแต่เมื่อกี้” เสียงทักท้วงจากคะนิ้งทำให้ฉันเลื่อนสายตาไปมองเพื่อนอีกครั้ง
ก่อนรอยยิ้มบางเบาจะถูกแต่งแต้มขึ้นมา
“มึนๆ อะ สงสัยดื่มหนักไป” ฉันตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก
“อย่าสตอค่ะเพื่อน
สิบแก้วก็ทำอะไรหล่อนไม่ได้ นี่ฉันเพิ่งชงให้แกสองแก้วเอง” แต่ก็โดนปีใหม่ดักทางอย่างรู้ทัน
“ฉันว่าผู้ชายโต๊ะหลัง
มองมาทางแกนานแล้วนะ” เหมือนโชคเข้าข้าง ขิงเบี่ยงประเด็นไปยังผู้ชายหน้าตาดีกลุ่มหนึ่งแทน
เพราะฉันนั่งหันกลังให้พวกเขา
เลยไม่ได้สังเกตว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของกลุ่มดังกล่าว
“ว้าว เพื่อนฮอตอีกแล้วค่ะ”
คะนิ้งเอ่ยปากแซว มันแทบจะเป็นเรื่องปกติ
ที่เวลามาร้านเหล้าแล้วเจอผู้ชายมากหน้าหลายตาเข้าหา ไม่ใช่แค่กับฉันหรอก
แก๊งฉันทั้งแก๊งล้วนเป็นผู้หญิงหน้าตาดี
“จะเป็นแบบครั้งก่อนไหม
เข้ามาขอไลน์แล้วโดนเมียดึงหูกลับโต๊ะ” ปีใหม่พูดพร้อมกับหัวเราะออกมา
เหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นบ่อย มีสองกรณี อย่างแรกเลย
พวกฉันโดนแฟนสาวของบุคคลนั้นๆ เขม่น ด่ากราด พร้อมตบ กับกรณีที่สอง
พวกเธอรู้ว่าผู้ชายของตัวเองมักมากเอง และเลือกจากไปแบบงียบๆ
“ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ” ผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มดังกล่าวเดินเข้ามาหาฉันที่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว
ก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงบนที่วางแขนของโซฟา หืม...ขนาดนี้แล้วไม่ต้องขอก็ได้ละมั้ง
“จะให้ตอบว่าไงดีเหรอคะ? ” ฉันเอ่ยพร้อมกับช้อนตาขึ้นมองบุคคลดังกล่าว อืม หล่อเหลาใช้ได้
แค่เห็นหน้าและสายตาก็พอรับรู้ว่าหน้าหม้อและขี้ล่อขนาดไหน
“จะดีลเพื่อนเราเนี่ย
ใจถึงหน่อยนะคะ” คำพูดของขิงเรียกรอยยิ้มจากทุกคนได้เป็นอย่างดี
คำพูดเรียบๆ แต่บ่งบอกได้ว่ารู้เจตนาของคนแปลกหน้าคนนี้ หน้าตาฉันอาจดูเหมือนสาวน้อยใสๆ
ไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมผู้ชาย แต่โลกมันสอนให้ฉันมีนิสัยขัดกับหน้าตาอยู่พอประมาณ
“ดีลอะไรกันครับ
ผมแค่อยากทำความรู้จักกับคนสวยๆ ได้มองแล้วมันสบายตา” น้ำเสียงและประโยคชวนฟังของผู้ชายคนนี้สามารถทำให้ผู้หญิงหลายๆ
คนเคลิบเคลิ้มได้ แต่คงไม่ใช่กับฉันที่เคยฟังประโยคเหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วนปากหวานเหมือนกันหมด
“ผมชื่อโอนะครับ สาวๆ ชื่ออะไรกันบ้าง”
“อยากรู้จักทุกคน
หรือแค่คนที่อยู่ข้างๆ กันแน่คะ” ปีใหม่ยกมือขึ้นเท้าคาง
ก่อนจะเหลือบตามองผู้ชายคนนี้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“แหม ก็ต้องทุกคนสิครับ” เขาลากสายตามองผ่านเพื่อนของฉัน
ก่อนจะดึงสายตากลับมาจับจ้องฉันที่นั่งอยู่ต่ำกว่าเขา “โดยเฉพาะคนนี้
รู้สึกใจเต้นแรงตั้งแต่ที่เห็นเดินเข้ามาในร้านแล้ว”
“เหล้าคงแรงจนเลือดสูบฉีดสินะคะคุณโอ”
ฉันเอนเอนพิงกับพนักโซฟา ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองเขาอีกครั้ง
แค่เห็นสายตาที่มองมาแบบมีความหมายนั่น ฉันก็แทบอยากจะลุกออกไปจากตรงนี้
จะมีสักคนไหมที่เข้ามาแล้วไม่หวังเรื่องอย่างว่า
“ใครว่าล่ะ
เพราะผมหลงเสน่ห์คุณต่างหาก” ฉันอยากจะยี้ให้กับมุกจีบสาวคร่ำครึนี่
แต่ก็ยังคงสีหน้ายิ้มๆ เอาไว้อย่างมีมารยาท ซึ่งบรรดาเพื่อนๆ
ของฉันก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกัน ถ้าเผลอแสดงความจริงออกไป
กลัวพ่อหนุ่มมั่นหน้าคนนี้จะเสียเซลฟ์
“หืม ใครหลงอะไรนะ? ” น้ำเสียงคุ้นเคยทำให้ฉันที่กำลังรู้สึกกร่อยๆ ตื่นตัว
“พี่เจ็ท...” นั่นเป็นเสียงแปลกใจของคะนิ้ง ก่อนที่เธอจะยิงคำถามไปด้วยน้ำเสียงที่ดูดีใจจนปิดไม่มิด
“มาเที่ยวด้วยเหรอคะ”
“ครับ พอดีอยากมาผ่อนคลาย” เจ็ทหันไปตอบคะนิ้งด้วยใบหน้าและน้ำเสียงที่ดูใจดี
ก่อนจะลากสายตามามองฉันในตอนสุดท้าย
“บังเอิญจังเลยนะคะเนี่ย” ปีใหม่เอ่ยทักพร้อมด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญอยู่จริงหรอกครับ”
เจ็ทพูดด้วยประโยคที่แฝงความหมายบ้างอย่างเอาไว้ “พี่มาคนเดียว ขอนั่งด้วยได้หรือเปล่า? ”
“ได้ค่ะ” คะนิ้งรีบตอบอย่างกระตือรือร้น
พร้อมกับหันไปเรียกพนักงานของร้าน เพื่อขอเก้าอี้เสริม สถานการณ์ตอนนี้สำหรับฉัน
ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรดี
“อ้าว นั่นแฟนน้องลูกหว้าเหรอครับ
ตัวติดกันเชียว” เจ็ททำเป็นเอ่ยทักฉันในตอนที่เขาหย่อนก้นลงบนเก้าอี้
ซึ่งพนักงานในร้านยกมาให้ กลีบปากของเขากำลังระบายยิ้ม
แต่สายตาที่จับจ้องมาทำให้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ฉันชักจะเกลียดการสวมหน้ากากคนแปลกหน้าใส่กันซะแล้ว
แต่ก็อ้าปากตอบเพราะไม่อยากทำตัวเสียมารยาท
“กำลังดีลอยู่ค่ะ
ว่าจะเป็นคนคุยหรือแฟนดี”
“อ่อ...” เจ็ทพยักหน้าเหมือนกับเข้าอกเข้าใจ
ก่อนจะพูดต่อพร้อมกับรอยยิ้มปั้นแต่ง ที่เขาชอบทำเป็นประจำต่อหน้าคนอื่น “งั้นก็ต้องเลือกให้ดีนะครับ ระหว่างของจริงกับของเล่น”
“...” กลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบ
ส่วนตัวต้นเรื่องกลับยกแก้วเหล้าขึ้นมาจิบอย่างสบายอกสบายใจ
“ฮ่าๆๆ จำไว้นะยัยหว้า
รุ่นพี่เขาสอน” ขิงหัวเราะแห้งๆ
หลังจากที่บรรยากาศเริ่มกร่อยมากกว่าเดิม ก่อนจะหันมาพูดกับฉัน
“นั่นดิหว้า เรียนจบแล้ว
ก็ต้องเลือกหาคนดีๆ มาอยู่ข้างๆ แล้วล่ะ” คะนิ้งเป็นอีกคนที่พยายามหัวเราะเพื่อให้บรรยากาศกลับมาดีดังเดิม
ฉันว่ายาก เหมือนการมาของเจ็ท เป็นการจงใจมาปั่นประสาทฉันเสียมากกว่า
“เดี๋ยวผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับสาวๆ
” ผู้ชายที่นั่งเงียบอยู่ข้างฉันมาพักหนึ่งเอ่ยขึ้น เขาคงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ
เลยพยายามปลีกตัวออกไป ฉันเองก็ไม่ได้คิดจะสานสัมพันธ์อะไรกับเขาเป็นทุนเดิม
จึงไม่คิดรั้งเขาไว้ ทำเพียงพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้บางๆ
“จริงสิ
พี่เจ็ทเปิดร้านสักใช่ไหมคะ? ” คำถามของปีใหม่
ทำให้บรรยากาศเหมือนจะดีขึ้นมาหน่อย
“ครับ ใครสนใจก็ไปหาพี่ที่ร้านได้เลยนะ”
{ Special part : Jet }
‘ยิ่งคบ ยิ่งรู้สึกดี’
มีใครเคยได้ยินคำพูดแนวนี้มาก่อนไหม?
นั่นเป็นความรู้สึกของผม
ตลอดระยะเวลาที่คบกับลูกหว้า จุดเริ่มต้นของเรามันไม่ใช่ความรัก
และคิดว่าตอนนี้ก็ยังไม่ใช่ ผมคิดแบบนั้น
วันนี้ผมไม่ได้จงใจจะมาหาเธอที่ร้านเหล้าแต่อย่างใด
เพียงแค่มาดู ‘ลาดเลา’ แต่ไอ้ผู้ชายหน้าหมาที่ถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ เธอ
ทำให้ผมตั้งใจที่จะเดินเข้ามาหา
ไม่รู้จะสวยน่ารัก
เนื้อหอมเป็นขี้ไปถึงเมื่อไหร่ ผมไม่ชอบพวกฝูงแมลงวันที่มาตอมเธอ มันน่ารำคาญ
“จริงสิ พี่เจ็ทเปิดร้านสักใช่ไหมคะ?
” เสียงของปีใหม่
ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกับลูกหว้าเอ่ยถาม เธอพยายามจะทำให้บรรยากาศรอบๆ
ตัวของพวกเราดีขึ้น เธอจัดว่าเป็นคนน่ารักใช้ได้เลย น่าเอ็นดู
“ครับ
ใครสนใจก็ไปหาพี่ที่ร้านได้เลยนะ” ผมตอบพร้อมกับส่งยิ้มที่คิดว่าเป็นมิตรที่สุดไปให้
การเป็นช่างสัก มันก็เป็นแค่งานอดิเรกของผม มันเกิดจากการที่ผมชอบวาดรูป
และเรียนรู้มาจากเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นช่างสัก เป็นงานอดิเรกที่ไม่ง่ายเท่าไหร่
แต่ก็เพลินๆ ดี สาวเข้าร้านเยอะ ชอบสักกันใต้ร่มผ้า ก็ถือว่าอาหารตาเล็กน้อยแล้วกัน
ผมแค่ทำตามหน้าที่ ไม่ได้คิดลวนลามลูกค้าแต่อย่างใด แต่ถ้าลูกค้าเสนอมาให้...
แรกๆ ก็สนอง หลังๆ ไม่
เกรงใจเมียเก็บที่ชื่อลูกหว้า
เคยขอกอดเธอบ่อยๆ แล้วโดนเธอตบ
เลยต้องหาเศษหาเลยให้ตัวเอง
หลังๆ มาพอจะฉุกคิดอะไรได้บ้าง
เลยเลิกทำตัวง่ายๆ กับผู้หญิงสวยๆ ที่พยายามผ่านเข้ามาในชีวิต
“คะนิ้งเคยบ่นว่าอยากสักอะพี่เจ็ท” พอได้ยินคำพูดถัดมาของปีใหม่
เลยทำให้ผมต้องหันไปเลิกคิ้วมองน้องรหัสที่นั่งอยู่ข้างๆ
คะนิ้งไม่ใช่สาวเรียบร้อยอ่อนหวานอะไร แต่ดูแล้วเธอไม่น่าจะชอบอะไรแบบนี้ได้
รู้สึกว้าวเลยแฮะ
“คุณอาจะยอมเหรอครับ
ดูท่านจะไม่ชอบเรื่องพวกนี้” ผมเอ่ยถามคนข้างๆ
เนื่องจากครอบครัวของเราทำธุรกิจร่วมกัน
เลยทำให้ผมพอจะรู้นิสัยใจคอของอีกครอบครัวอยู่บ้าง
คุณพ่อของคะนิ้งค่อนข้างหัวโบราณและเจ้าระเบียบ ขืนเห็นลูกสาวมีรอยสักตามตัว
ได้อกแตกตายกันพอดี
“คะนิ้งว่าจะแอบสักค่ะ
อยากจะหาร้านที่ไว้ใจได้” ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
พลางเหลือบสายตาไปมองลูกหว้าที่เอาแต่นั่งเงียบ
“คะนิ้งไปสักที่ร้านพี่เจ็ทได้ไหมคะ? ”
“ไม่กลัวพี่เอาไปบอกคุณอาเหรอครับ”
ผมเอ่ยถามเพื่อลองเชิง ไม่ได้คิดจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของใคร
เธอจะแอบใครสักนั่นผมไม่สน ผมมีหน้าที่แค่ทำงานและรับเงินมา
“ไม่ค่ะ คะนิ้งไว้ใจพี่เจ็ท”
น้องรหัสตอบพร้อมส่งยิ้มสดใสมาให้ ผมยังคงเอ็นดูคะนิ้งเสมอ
ตั้งแต่เธออยู่ปีหนึ่งจนถึงในตอนนี้ อาจเป็นเพราะผมเป็นลูกคนเดียวด้วยล่ะมั้ง
เลยรู้สึกเหมือนกับมีน้องสาว ผมชอบอะไรที่ดูน่ารัก คะนิ้งน่ารัก เพื่อนๆ
ของเธอก็น่ารัก
“ว่างวันไหนครับ พี่จะได้อยู่ร้าน”
ผมถามขณะที่ลากสายตาผ่านลูกหว้าเป็นระยะ ดูท่าจะไม่พอใจผมมาก
ไม่ชายตามองสักนิดเดียว เอาแต่นั่งจิบเหล้าเงียบๆ
เมาหัวทิ่มขึ้นมา พ่อจะ...ให้ยับ
ถ้าไม่โดนฝ่ามือพิฆาตซะก่อนน่ะนะ
“อืม อีกสองวันดีไหมคะ
หลังประชุมผู้ถือหุ้น” คะนิ้งมองผมอย่างมีความหวัง
ตอนนี้ทั้งโต๊ะมีเพียงบทสนทนาระหว่างผมกับคะนิ้งเท่านั้น
ปีใหม่กับขิงก็ดูสนใจสมาร์ทโฟนในมือมากกว่าสิ่งรอบข้าง ส่วนอีกคนที่เหลือ เธอก็ยังคงอยู่ในอากัปกิริยาเดิมๆ
“...”
งอนหรือเปล่า ง้อไงดี?
“พี่เจ็ทคะ...” สัมผัสบางเบาที่แตะลงที่ต้นแขน ทำให้ผมรีบชักสายตากลับมาอย่างเป็นธรรมชาติ
ในความคิดของตัวผมเอง
“ได้สิครับ งั้นเป็นช่วงบ่ายนะ
พี่จะเคลียร์คิวรอ” ผมส่งยิ้มให้น้องรหัสอีกครั้ง ก่อนจะพยายามชวนคนอื่นๆ
คุยบ้าง “สามสาวอยากสั่งด้วยไหมครับ มาพร้อมคะนิ้งได้เลยนะ”
“หนูกลัวเข็มค่ะพี่เจ็ท
ต้องไปจัดการเรื่องเรียนต่อด้วย คงต้องสละสิทธิ์” ปีใหม่เงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับส่งยิ้มแหยมาให้
“ขิงก็มีงานเปิดตัวโชว์รูมรถพอดีเลยค่ะ
ต้องสละสิทธิ์อีกคน” ขิงตอบพร้อมกับรอยยิ้มบางเบา
เหมือนเธอจะทำงานเป็นพริตตี้หรือเอ็มซี อะไรทำนองนั้น ผมจำไม่ค่อยได้
“หว้า ฉันรู้ว่าแกว่าง
ไปเป็นเพื่อนฉันนะ” คะนิ้งส่งเสียงแกมบังคับไปยังเพื่อนคนสุดท้าย
ที่ดูจะไม่หือไม่อืออะไรกับใคร ลูกหว้าลากสายตากลับมามองเพื่อนสาวของตัวเอง ก่อนจะทำท่าใช้นิ้วชี้หน้าตัวเอง
“อันนี้ไม่ได้ขอร้องถูกไหม? ”
เธอถาม ก่อนจะกรอกตาเมื่อน้องรหัสของผมพยักหน้ายืนยัน
จะว่าไป...ลูกหว้าไม่เคยไปเหยียบที่ร้านของผมเลยสักครั้ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมไม่เคยพาไป หรือเธอไม่เคยคิดจะไป
เหมือนข้อหลังจะมีน้ำหนักมากกว่า
หลังจากนั้นผมก็คุยเรื่องจิปาถะกับน้องๆ
ไปเรื่อย จนเวลาล่วงเข้าตีสองจึงแยกย้ายกัน
ผมยืนอยู่หน้าร้านเพื่อรอใครบางคนที่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ในขณะที่เพื่อนๆ
ของเธอโบกมือลากันไปแล้ว เข้าไปเป็นสิบนาทีได้แล้ว หลับคาห้องน้ำแล้วหรือไง
“ไม่ไปไง ไม่ไปอะ ฟังไม่รู้เรื่อง?
” น้ำเสียงที่ฟังดูค่อนข้างอ้อแอ้ดังขึ้นในบริเวณใกล้ๆ
ผมจำได้ว่านั่นคือเสียงแฟนสาวของตัวเอง แต่เธอพูดกับใคร?
“แปบเดียวเองครับ
เดี๋ยวผมไปส่งบ้าน” ผมยังคงไม่ขยับขาไปไหน
ทำแค่ยืนฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่เงียบๆ อยากรู้เหมือนกันว่าลูกหว้าจะจัดการยังไง
เธอจะตกลงหรือเปล่า แค่คิดว่าเธอจะยินยอม หัวใจผมก็กระตุกวูบ
ความหงุดหงิดเริ่มเข้ามาโจมตีแทบจะทันที
“ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ
ไอ้หน้าหมา! ” อืม
เธอยังคงเป็นผู้หญิงที่เมาแล้วใจกล้าเสมอต้นเสมอปลาย นักเลงจัดๆ
“เฮ้ย นังนี่
อย่ามาเล่นตัวนักได้ไหมวะ! ” เสียงตะคอกของอีกฝ่าย ทำเอาผมแทบจะพุ่งออกไปกระชากคอมัน
กล้าดียังไงมาหยาบคายใส่ผู้หญิงของผม
“เสือก! ” และนั่นคือสิ่งที่ลูกหว้าตอบกลับไป
ถ้าเธอเป็นผู้ชาย คงโดนกระทืบไปแล้วล่ะ
“อีเวรนี่ เดี๋ยวกูตบปากแตก!
” ผมเกือบจะก้าวเท้าเข้าไปหาคนทั้งคู่ เพราะกลัวลูกหว้าจะถูกทำร้าย
แต่ประโยคตอบกลับของเธอก็ทำให้ผมชะงักลงอีกครั้ง
“โชว์เก๋า เห่าอย่างหมา...”
อ่า...เพื่อนๆ ของเธอไม่ควรปล่อยเธอไว้คนเดียวแบบนี้เลยจริงๆ
“วอนนักนะมึง” ผมได้ยินผู้ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงลอดไรฟัน
ก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างตกกระทบกับพื้น
พร้อมเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของลูกหว้า แทบจะทันทีที่ผมเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่
ภาพที่เห็นคือลูกหว้านั่งอยู่ที่พื้น ส่วนผู้ชายคนดังกล่าวกำลังง้างมือขึ้น
คาดเดาได้ว่ามันกำลังจะตบเธอ
“ถ้ามึงตบ...เตรียมไปนอนในคุก”
ผมบอกพร้อมกับชูสมาร์ทโฟนในมือขึ้น
ทำท่าเหมือนว่ากำลังอัดวีดีโออยู่ ผู้ชายคนดังกล่าวทำท่าหัวเสีย
มันมองผมสลับกับลูกหว้าด้วยแววตาไม่พอใจ ก่อนจะยอมรามือไปอย่างหัวเสีย
ผมจำได้แล้ว
มันคือผู้ชายคนเดียวกับที่เข้าไปนั่งสนิทชิดเชื้อกับเธอเมื่อก่อนหน้านี้
ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าผมกลับไปก่อน เธอจะต้องเจออะไร
ผู้ชายที่มาเที่ยวร้านเหล้าไม่ได้เลวไปซะหมดทุกคน และแน่นอนว่าไม่ได้มีแต่คนดี
“ลุก เมาเป็นหมาแล้ว” ผมบอกพร้อมกับฉุดแขนเธอขึ้นมาจากพื้น
“หมาอะไร นี่ไงหมา” เธอบอกพร้อมกับชี้หน้าผม
“ไม่ใช่หมา นี่ผัว” ผมตอบพร้อมกับลากแขนเธอให้เดินออกมาจากร้าน และเธอก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี
“อ่อ ผัวจ๋าเหรอ” ลูกหว้าไม่ใช่คนประเภทปล่อยให้ตัวเองเมาจนขาดสติ เธอยังคงมีสติอยู่บ้าง
แต่ชอบมีนิสัยประหลาดตอนเมา บางครั้งก็น่ารักจนทำให้ใจเต้น เช่นประโยคเมื่อกี้
“ไม่ใช่ผัวจ๋า ผัวหว้า” ผมตอบตอนที่ลากเธอมาถึงรถของตัวเองแล้ว
“จุ๊ๆ ไอ้หนุ่มนี่มันกวนส้นตีน”
เวรเอ้ย ทั้งน่าขำทั้งน่าโมโหเลยผู้หญิงคนนี้
“ขึ้นรถ กลับห้อง” ผมบอกพร้อมกับจับเธอยัดเข้าไปในรถอย่างเบามือ และเธอก็ยอมแต่โดยดี
เวลาเมานี่มันดีจริงๆ ว่านอนสอนง่าย ทำตัวน่ารัก เสียอย่างเดียว...ใจนักเลงไปหน่อย
เสี่ยงตายคาตีนชาวบ้าน
“ค้างป่ะ” จู่ๆ
คนที่เอาแต่พึมพำอ้อแอ้มาตลอดทางก็ถามขึ้น
ในตอนที่ผมกำลังเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่หลังหอพักของเธอ แถมสีหน้าท่าทางเธอก็นิ่งกว่าก่อนหน้านี้ด้วย
สร่างเมาแล้ว? ไวไปหรือเปล่า
“อยากให้ค้างไหม” ผมถามออกไปพร้อมเอื้อมมือไปปลดสายคาดเบลท์ให้ลูกหว้าที่ยังคงนั่งนิ่ง
“อยาก...” ในจังหวะที่ผมโน้มตัวเข้าไปใกล้
เธอก็กระซิบตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา พอเหลือบสายตามองใบหน้าสวยนั้น
ใจผมก็เต้นไม่เป็นจังหวะ เธอช้อนสายตาขึ้นมองผมอย่างออดอ้อน
แก้มของเธอขึ้นสีแดงระเรื่อ
เวรแล้วไอ้เจ็ท
มึงจะตื่นเพียงเพราะโดนผู้หญิงช้อนตามองไม่ได้!
P.S. ดิฉันขออนุญาติขำอิพี่นะคะ
55555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555
ชอบอะ ชอบนิสัยตอนเมาของลูกหว้า ล่อตีนดี 55555
เมื่อวานจะอัปให้แล้วนะ แต่คอมเด๋ออีกแล้ว! วันนี้ก็ทำท่าจะเด๋อๆ อีก ฮึ่ย ยังไงก็อ่านให้สนุกน้าาาาาาาาา นิยายเรื่องนี้ไม่หนักดราม่า ไม่หนักความหวานด้วย หนักความประสาทแดกกกกก
ขอบคุณกำลังใจและยังอดทนรอแม้นังไรท์จะอัปช้านะคะ แฮะ
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์น้าาา เค้าอ่านทุกเมนต์เลย มันชื่นใจจจจจ
ความคิดเห็น