ตอนที่ 6
พี่เชษฐ์แสนดี
ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆทำให้อากาศไม่ร้อน แต่ถึงอย่างนั้นตัวของผมก็ยังเต็มไปด้วยเหงื่อจากการเดินและการแบกของเหมือนบ้าหอบฟาง ขณะที่ใครบางคนเดินตัวปลิว ไม่เอามาแม้กระทั่งกล้องถ่ายรูปด้วยเหตุผลที่ว่าถ่ายด้วยกันก็ได้
“มาผมถือให้” กระเป๋าบนบ่าถูกดึงไปเพื่อให้ผมถ่ายรูปสะดวกยิ่งขึ้น ผมกล่าวขอบคุณโดยไม่หันไปมอง
“หญ้าได้งานที่ไหน” เมฆชวนผมคุยเรื่อยเปื่อย
“บริษัทส่งออกแถวสาธร”
“บริษัทส่งออกเหรอ? ที่บ้านผมก็ทำบริษัทส่งออกเหมือนกัน มาทำด้วยกันไหม”
ผมชะงักมือหันไปมองหน้าเมฆ อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้ เดี๋ยวสิเว้ยย จะชวนกันง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้
“พูดเล่นใช่ไหม”
“พูดจริง ได้คนเก่งแบบหญ้ามาช่วยงานใครจะไม่อยากได้”
“เก่งตอนเรียนกับเก่งตอนทำงานมันไม่เหมือนกัน”
“แต่ผมเชื่อว่าหญ้าทำได้”
ผมสบตากับเมฆ ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นทำให้หวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต ในวันที่อาจารย์ประกาศผลคะแนนสอบด้วยการติดประกาศไว้ที่บอร์ดใต้ตึกคณะ
“ไอ้เหี้ยนี่อีกแล้ว วันๆ มันทำอะไรบ้างวะ สงสัยแม่งยังซิงเพราะทำอย่างอื่นไม่เป็น”
เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นหมู่คณะโดยไม่มีใครรู้ว่าผมยืนอยู่ด้านหลังสุดของกลุ่มคนที่มาดู
“คะแนนขนาดนี้ไม่น่าจะใช่เหี้ยทำนะ”
ทุกสายตาหันไปมองเจ้าของเสียงทุ้ม สีหน้าของเมฆติดรอยยิ้มแต่ดวงตาลุ่มลึก ทำให้ยากต่อการคาดเดา
“ไอ้เมฆ”
“น่าจะเป็นพวกเรามากกว่า คะแนนแบบนี้เหี้ยแล้ว” เมฆเคาะนิ้วลงบนกระดาษ ดูเหมือนชื่อของเมฆกับคนที่พูดจะอยู่ใกล้กัน
“มันก็แค่คำเรียกหรือเปล่าวะมึงจะจริงจังทำไม”
“กูไม่ได้จริงจังหรือมึงจริงจัง” ดวงตาของเมฆติดรอยยิ้มขำ
“กูเปล่า!”
เมฆยกยิ้มมุมปาก หันกลับไปมองผลคะแนนก่อนหมุนตัวเดินแทรกกลุ่มคนออกมา สายตาจึงประสานเข้ากับสายตาของผมพอดี เมฆชะงักก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้มกว้าง
“ยินดีด้วย”
“ขอบใจ”
เสียงทักของเมฆทำให้กลุ่มที่เดินตามมาพลอยชะงักไปด้วย อีกฝ่ายดูเหมือนจะตกใจอยู่ไม่น้อย แต่เพียงครู่เดียวก็แสดงสีหน้าไม่ยี่หระออกมา
“สวัสดี” ผมหันไปเผชิญหน้า ทักทายด้วยน้ำเสียงปกติ
“เออ” คำตอบรับห้วนสั้น สายตาจ้องตอบผมโดยไม่หลบ ริมฝีปากของผมคลี่ยิ้มออกช้าๆ
“ไปซื้อลอตเตอร์รี่ติดไว้ก็ดีนะ เห็นเขาพูดกันว่าถ้าเจอเหี้ยทักจะโชคดี”
ผมเดินแทรกตัวผ่านกลุ่มคนขึ้นไป หรืออันที่จริงทุกคนพร้อมใจกันหลบห้ผมมากกว่า ได้ยินหัวเราะดังตามหลังมา สันนิษฐานว่าเป็นเสียงของเพื่อนในกลุ่มหมอนั่นเอง ผมไม่สนใจสักนิดว่าหมอนั่นจะคิดยังไง คนบางคนก็ไม่มีสาระพอให้จดจำ แต่กับคนบางคนแม้สิ่งที่ทำจะเล็กน้อยเแค่ไหนกลับไม่เคยลืม
“หญ้า” เสียงเรียกทำให้ผมดึงความคิดตัวเองกลับมา
“หือ?” ผมกดชัตเตอร์อีกสองรูปก่อนปล่อยกล้องห้อยที่คอ
“นึกว่าหลับกลางอากาศไปแล้ว”
“เปล่า”
“ไม่เห็นตอบผมเลย”
“ตอบเรื่องอะไร”
“ก็ที่ชวนไปทำงานด้วย”
“อ๋อ ผมรับปากทางโน้นไปแล้ว”
“ผมให้เงินเดือนสูงกว่าที่โน่น”
“รู้เหรอว่าผมได้เงินเดือนเท่าไหร่”
“ไม่รู้” เมฆหน้า ดวงตาที่มองมาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ “แต่หญ้าคงไม่คิดกับเพื่อนโหดนักใช่ไหม”
เปรตเอ๊ยยย จะคิดสิบเท่าก็ตรงคำว่าเพื่อนนี่แหละ
“ผมไปไม่ได้ ไม่อยากเสียคำพูด” ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ๆ แม้อยากจะตกปากรับคำแค่ไหนก็ตาม
“ไม่เป็นไร แต่ข้อเสนอของผมยังอยู่หญ้าอยากมาทำเมื่อไหร่ก็ได้”
“ขอบใจมาก”
“ผมมีอีกเรื่องที่อยากถาม”
“ถามมาสิ”
“หญ้าตัดใจได้หรือยัง”
!!!
ความเย็นพุ่งเข้าสู่ร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ร่างกายแข็งเป็นหิน ใจเต้นรัวเร็ว
“หญ้ายังชอบน้องเพลินอยู่เหรอ”
“หะ!!” ผมอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง สมองเหมือนถูกน็อคสองครั้งซ้อน
“โกรธหรือเปล่าที่ถาม”
โกรธเหรอ? ตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร น้องเพลินมายังไงผมยังงงไปหมด
“พี่เชษฐ์บอกผมว่าหญ้าชอบน้องเพลิน”
ไอ้พี่เชรดดดดดด
“ไม่ได้ชอบแล้ว” ผมตอบสั้นๆ ส่วนหนึ่งโล่งใจจนอยากลงไปนั่งกองที่พื้น อีกส่วนหนึ่งก็อยากจองตั๋วเครื่องบินมันเดี๋ยวนี้เลย
“งั้นเหรอ”
“ทำไมอยู่ๆ ถึงถาม”
“เห็นมันนานแล้วแต่หญ้ายังไม่มีใครเลยถามดู”
“ก็แค่ยังไม่คิดเรื่องนั้น”
“อืม”
“เมฆคุยกับพี่เชษฐ์นานหรือยัง”
“สักสองปีมั้ง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะตอนขึ้นปีสาม”
ผมอยากถามว่าคุยอะไรกันบ้าง ทำไมถึงมาเกี่ยวกับผมได้ แต่การซักมากไปอาจจะนำความซวยมาให้ผมได้จึงเงียบเสีย
“กลับเลยไหม แดดเริ่มร้อนแล้ว”
“เอาสิ” ผมพยักหน้า เดินตามเมฆกลับไปยังที่พัก ลืมไปเลยว่าอีกฝ่ายสะพายกระเป๋าให้ จนกระทั่งเมฆวางมันลงในเต๊นท์
“โทษที ผมลืมไปเลย”
“เป็นไรไป” เมฆส่งยิ้มให้ผม หยิบกีต้าร์ที่วางอยู่ขึ้นมา
“เดี๋ยวมา ผมจะเอากีต้าร์ไปคืน”
“อืม” ผมพยักหน้า รอจนเมฆเดินห่างออกไปแล้ว รีบหยิบโทรศัพท์ออกมากดหาพี่เชษฐ์ทันที
“ฮัลโหล” ปลายทางรับสายได้รวดเร็วทันใจ
“พี่เชษฐ์!”
“เดี๋ยว! อะไรอีกวะ กูทำอะไรอีก” พี่เชษฐ์ร้องโอดครวญ
“ทำไมเมฆคิดว่าผมแอบชอบน้องเพลิน ตอบมาเดี๋ยวนี้” ผมพูดช้าๆ ชัดๆ เน้นเสียงหนักทีละคำ
“อ่า...ฮ่าๆ” ฟังเสียงหัวเราะก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังซื้อเวลาเพื่อหาข้อแก้ตัว
“คืองี้..”
“พูดมาเร็วๆ”
“คือตอนโน้นน ข้าไปกินเหล้ากับไอ้เมฆ แล้วข้าดันเผลอพูดมากไป แบบไปถามมันว่าเจอเอ็งบ้างหรือเปล่า คุยกันบ้างไหม อะไรประมาณนี้แหละข้าก็จำไม่ได้แล้ว เอ็งก็รู้ว่าไอ้เมฆมันฉลาดจะตาย ข้าดูทรงแล้วเหมือนมันเริ่มสงสัย ข้าเลยแกล้งถามมันว่ารู้จักรุ่นน้องที่ชื่อเพลินไหม เป็นใคร น่ารักหรือเปล่า เห็นเอ็งแอบชอบอยู่ ก็เอาตัวรอดมาได้”
“......”
“เป็นไงข้าเก่งไหม เพื่อเอ็งเลยนะเว้ย ไอ้เมฆเลิกสงสัยไปเลยว่าเอ็งชอบมัน”
ไอ้...
พี่...
เฮงซวยยยย
“มีอย่างอื่นจะสารภาพอีกไหม อย่าให้ผมรู้ทีหลังนะ” ผมไม่คิดเลยว่าเสียงตัวเองจะเหี้ยมได้ถึงขนาดนี้
“ไม่มี้”
“แน่ใจ”
“โห เอ็งพูดแบบนี้กับข้าได้ไงวะ ข้าทำเพื่อเอ็งเลยนะเว้ย แสนดีขนาดไหน”
“เอาความดีกองไว้ตรงนั้นก่อน บอกความชั่วผมมาเดี๋ยวนี้”
“ก็บอกว่าไม่มีแล้ว”
ผมไม่ไว้ใจคำว่าไม่มีของพี่เชษฐ์สักนิด แต่ไม่มีเวลาคาดคั้นเพราะหางตาเห็นเมฆกำลังเดินกลับมา
“พี่เชษฐ์”
“อะไรอีกกก”
“รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ นะพี่ อย่าให้ใครชิงฆ่าไปก่อนผม”
“ไอ้น้องเวร”
ผมรีบวางสายหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว ทำสีหน้าปกติยิ้มให้อีกฝ่ายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วสบถอยู่ในใจ
• • • • •
ถึงแม้จะมีเรื่องชวนปวดหัวเกิดขึ้น แต่ความสวยของท้องฟ้ายามกลางคืนทำให้จิตใจผมสงบขึ้น ผมนั่งมองตั้งแต่ดวงดาวเริ่มขึ้น ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด ยิ่งคิดว่าเป็นคืนสุดท้ายแล้วก็ยิ่งเสียดาย
“พรุ่งนี้อยากไปไหน”
ผมเบือนสายตามามองเมฆ พูดด้วยน้ำเสียงรู้ทัน
“มีคิดไว้แล้วใช่ไหม”
“หึๆ” เมฆหัวเราะแต่ไม่ตอบ ยื่นมือมาข้างหน้าผม
“อะไร”
“โทรศัพท์”
“เอาไปทำไม”
“ผมยังไม่มีเบอร์ของหญ้าเลย”
“บอกเบอร์ของเมฆมา” ใครจะกล้าส่งให้ในเมื่อในโทรศัพท์ผมมีเบอร์ของเมฆแล้ว ผมขอมาจากพี่เชษฐ์อีกที
“ศูนย์หกหนึ่ง...”
ผมกดหมายเลขตามที่เมฆบอก โดยยกโทรศัพท์ตั้งขึ้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็นหน้าจอ ครบสิบตัวแล้วก็กดโทรออก รอจนได้ยินเสียงสัญญาณจึงกดวางสาย วางโทรศัพท์คว่ำหน้าลงทันที
“ไม่บันทึกเบอร์ไว้เหรอ”
“เดี๋ยวก็ได้” ผมทำเหมือนหยิ่งแต่ความจริงคือผมบันทึกเอาไว้แล้วด้วยชื่อ ‘ก้อนเมฆ’
เมฆยิ้มนิดๆ ไม่เซ้าซี้ผม หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาบันทึก
“เรียบร้อย”
ผมอดเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ไม่ได้ เลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นชื่อที่เมฆบันทึก แปลกใจเพราะมันเป็นชื่อที่ผมมักใช้เขียนถึงตัวเองเสมอ
‘ปลายหญ้า’
“ทำไมถึงบันทึกชื่อนั้น”
“ก็หญ้าชื่อหญ้า” คนตอบยังคงยิ้ม สีหน้าแบบนี้แหละที่บอกไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่
“แล้วทำไมไม่ใช่ใบหญ้า ต้นหญ้า กอหญ้า หรือดอกหญ้า”
“เพราะผมชอบปลายหญ้า” ดวงตาของเมฆทำเอาหัวใจผมสั่นไหวจนต้องหลบสายตา ด้วยการเบือนหน้ากลับไปมองดวงดาวบนท้องฟ้า
“กลับไปแล้วติดต่อกันบ้างนะ”
“อืม” ผมพยักหน้าโดยไม่หันกลับไปมอง
“แล้วผมจะโทรไปหา”
ผมอยากพูดว่าอย่าเลยเพราะแค่นี้ผมก็อยากจะบ้าแล้ว แต่ใครจะกล้าพูดออกไป
“อืม”
“เสียดายที่ไม่เห็นทางช้างเผือก”
“แค่นี้ก็สวยมากแล้ว ผมไม่เคยเห็นดาวเยอะแบบนี้มาก่อน”
“เอาไว้คราวหน้า ผมจะพาหญ้าไปดู”
สายตาของผมยังจ้องอยู่บนท้องฟ้าเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย แต่หัวใจกลับรู้สึกอบอุ่น
ผมชักอยากรู้แล้วว่าสองข้างของทางช้างเผือกที่สาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัวต่างยืนอยู่ จะไกลเท่ากับระยะทางจากปลายหญ้าไปถึงก้อนเมฆบนฟ้าหรือเปล่า
:::: ♥ TBC ♥::::
**การเช่าเต๊นท์จากอุทยานจะได้เป็นถุงนอนนะคะ แต่เพื่ออรรถรสคนเขียนจึงเปลี่ยนเป็นหมอนกับผ้าห่ม (ตอนที่แล้ว)
**ไม่แน่ใจว่าผาหัวสิงห์จะเปิดให้ขึ้นไปหรือยังนะคะ เพราะเคยปิดไม่ให้ขึ้นสืบเนื่องจากแผ่นดินไหว เจ้าหน้าที่กลัวจะทรุดตัวลงมาค่ะ
ขำความอาฆาตของหญ้า ป่านนี้พี่เชษฐอยู่ไม่เป็นสุขเเล้วมั้งน่ะ
ไม่ใช่ว่าหญ้าทำงานที่บริษัทบ้านของเมฆนะจะบังเอิญเกินไปรึป่าว
พี่เชษฐ์นี่มันน่าจริงๆ เลย