ตอนที่ 4
เสมอดาว
เวลาบนดอยเสมอดาวสำหรับผมแล้วผ่านไปช้ามาก เพราะต้องคอยระวังคำพูดและสีหน้าอยู่ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วเวลากลับผ่านไปเร็วมาก เผลอแป๊บเดียวท้องฟ้าก็กลายเป็นสีอมชมพู สวยจนต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรัวๆ
“ขอถ่ายบ้างสิ”
มือที่กดชัตเตอร์ชะงักเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง ผมหันไปมองก่อนพยักหน้า
“ไปยืนตรงโน้น”
“เปล่า ผมไม่ได้หมายถึงให้หญ้าถ่ายให้ผม ผมอยากถ่ายรูปให้หญ้า”
“ผมไม่ชอบถ่ายรูป”
“มีไว้เป็นที่ระลึกก็ดีไม่ใช่เหรอ”
สายคล้องกล้องที่คล้องอยู่ที่คอถูกอีกฝ่ายยกออก มือที่เคลื่อนผ่านใบหน้าเหมือนส่งต่อความร้อนได้ ใบหน้าของผมจึงขึ้นสีแดงเรื่อ
“หญ้าถ่ายรูปสวย” คนตัวสูงถือวิสาสะกดไล่ดูรูปที่ผมถ่าย เพราะมัวแต่หาทางกำจัดสีแดงบนใบหน้า กว่าจะคิดได้ว่าในกล้องมีรูปของเมฆอยู่หลายภาพผมก็ห้ามอีกฝ่ายไม่ทันแล้ว
“ถ่ายผมด้วยเหรอ”
“มาด้วยกันไม่ให้ถ่ายรูปเมฆจะให้ถ่ายรูปใคร”
“ขอบคุณ” รอยยิ้มและดวงตาที่มองมาทำเอาผมอยากจะผลักใบหน้านั้นไปทางอื่นเพราะมันดีต่อใจเกินไป
“ผมชอบรูปนี้” เมฆเอียงกล้องให้ผมดูรูปที่ตัวเองชอบ เป็นรูปวิวที่ผมถ่ายติดพื้นหญ้า ภูเขาด้านหลัง และท้องฟ้าสีฟ้าอมชมพู
“อืม” ผมพยักหน้าเมื่อเห็นว่าเป็นรูปไหน
“รู้ไหมว่าทำไมผมถึงชอบ”
“ชอบวิว” ผมตอบเหมือนที่เคยได้ยินอีกฝ่ายบอก ว่าวิวที่นี่สวยดี
“เปล่า ผมชอบเพราะมันมีทั้งหญ้าแล้วก็เมฆ”
ผมสบตากับดวงตาเป็นประกายที่มองมา อย่างที่บอกเวลาผมเขินทีไรปากจะเสียทุกที
“เหมือนอยู่คนละชั้นเลย”
“หึๆ” ผมว่าเมฆคงชินกับผมแล้ว เพราะดวงตาคู่นั้นออกไปทางขำมากกว่า
“หญ้าไปยืนตรงโน้นผมจะถ่ายรูปให้”
“อืม”
ผมอยากออกห่างเมฆอยู่แล้วจึงรีบเดินไปหยุดยืนในจุดที่อีกฝ่ายชี้ เมฆกดชัตเตอร์ไปสองสามครั้ง ก่อนจะเดินเข้ามาหาผม
“ทำอะไร” ผมถามด้วยสีหน้าแปลกใจเมื่อเมฆลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้น เงยกล้องขึ้นสูงก่อนกดชัตเตอร์ เจ้าตัวเช็ครูปที่ถ่ายจนได้รูปที่พอใจ ถึงลุกขึ้นยืนและส่งกล้องคืนให้ผม
“ตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันแล้ว”
ผมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดอีกเมฆ สายตาตกลงมองรูปที่หน้าจอ เมฆถ่ายต้นหญ้าในมุมเสยขึ้น ในรูปจึงมีเพียงใบหญ้าสีเขียวเข้มกับท้องฟ้าที่อยู่ข้างบน
“เป็นไง”
“บ้าดี”
“หือ? ไม่สวยเหรอ”
“เปล่า ผมหมายถึงคนถ่าย เมื่อกี้ผมพูดเล่นไปอย่างนั้นเอง” ผมพยายามกลั้นรอยยิ้มเอาไว้สุดกำลัง เพราะถ้าผมหลุดยิ้มออกมาปากคงฉีกถึงหู
“ไม่ชอบงั้นลบนะ”
“ผมไม่ได้พูดถึงรูป”
มือผมคงไวพอๆ กับหัวใจ กล้องจึงถูกเบี่ยงออกจากมือที่ยื่นมาอย่างรวดเร็ว สายตาที่มองมาเป็นประกายวิบวับ ผมพยายามไม่คิดว่าเมฆรู้ทัน เพราะไม่อยากยอมรับว่าตัวเองถูกจับได้ว่าชอบรูปนี้มากแค่ไหน
“หญ้าหิวหรือยัง” โชคดีที่เมฆยอมเปลี่ยนเรื่อง ก่อนขับรถขึ้นดอยเราแวะซื้อของที่ร้านค้าข้างทางขึ้นมาด้วย เน้นไปทางเครื่องดื่มและของกินเล่น เพราะบนนี้มีร้านอาหารบริการจึงไม่จำเป็นต้องซื้อขึ้นมา
“ยังแต่ไปกินเลยก็ได้” ผมตอบรับ อยากให้เรียบร้อยก่อนพระอาทิตย์ตก จะได้อาบน้ำให้เรียบร้อยและใช้เวลาที่เหลือชื่นชมความงดงามของท้องฟ้ายามค่ำคืน
• • • • •
เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของเด็กวัยประมาณสามขวบกว่าดังไม่ขาดระยะ ดูเหมือนเมฆจะเข้ากันได้ดีกับลูกชายของเจ้าหน้าที่ เด็กชายตัวกลมเดินผ่านพวกเขา เด็กน้อยหยุดมองพอเมฆยิ้มให้ก็วิ่งหนีไป สักพักก็วิ่งกลับมาใหม่ เล่นกันอยู่แบบนี้หลายครั้งก่อนจะกลายเป็นคู่หูคู่ใหม่ ผมได้แต่มองและแอบอิจฉาอยู่ในใจ ว่าทำไมเมฆถึงดูเป็นธรรมชาติได้มากขนาดนี้
ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท ผมนั่งบนผ้าผืนใหญ่ที่ปูอยู่หน้าเต็นท์ ดวงดาวบางดวงเริ่มปรากฏให้เห็น เมฆหายไปกับเด็กชายตัวอ้วนก่อนเดิมกลับมาพร้อมกับกีต้าร์ในมือ
“เอามาจากไหน”
“ของพี่เจ้าหน้าที่ เขาให้ยืม” ร่างสูงนั่งลงข้างผม หัวเข่าแตะกับต้นขา
“อยากฟังเพลงอะไร”
“อยากร้องเพลงอะไรก็ร้องเลยฟังได้ทั้งนั้น” ผมยกขาขึ้นเพื่อไม่ให้โดนขาของเมฆ มองขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน
“งั้นก็....” เมฆกรีดนิ้วลงบนสายกีต้าร์ ก่อนเสียงทุ้มจะดังขึ้น
เป็นเพราะฟ้ามันดูแปลกดีก็เพราะมีดาว
อาจจะเพราะกลางคืนมันเหงาเกินไป
ฉันไม่รู้เพราะฉันบังเอิญไม่มีใคร
หรือจะเป็นเหตุผลอะไรก็ช่างมัน
อดใจไม่ไหวต้องมา อยากรู้เธอเป็นอย่างไร
อดใจไม่ไหวต้องเจอ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
อยากมาหาหวังว่าคงไม่เป็นไร
ฉันไม่ค่อยเข้าใจ แต่ขอให้เธอเข้าใจก็พอ
ผมหันมาประสานสายตากับเมฆ ดวงตาที่มาอ่อนโยน ชั่วขณะนั้นผมอดคิดไม่ได้ว่าหรือเมฆจะชอบผมเหมือนกัน
ใจก็รู้ว่าคนจะมองอย่างเข้าใจผิด
อาจจะคิดกันไปว่าฉันรักเธอ
ก็แล้วแต่เขา เพราะเขาบังเอิญไม่ใช่เธอ
ขอแค่เจอแค่นี้มันคงไม่เท่าไร
ถ้าเมื่อครู่ผมเผลอเพ้อไปตอนนี้ก็ได้สติกลับมาแล้ว จะจีบกันมันต้องบอกว่ารักไม่ใช่เหรอไม่ใช่บอกว่าไม่รัก ช่างเลือกเพลงได้อินดี้พอๆ กับคนร้องเลย
“ไม่ชอบเหรอ” เสียงเพลงหยุดลงพร้อมกับคิ้วที่เลิกขึ้น
“เพราะดี คุ้นๆ แต่นึกชื่อไม่ออก”
“เพลงนานแล้วผมเห็นมันเข้ากับบรรยากาศตอนนี้ดี”
“อืม”
“นึกถึงตอนไปค่ายอาสาตอนปีหนึ่งเลย หญ้าก็ไปใช่ไหมผมไม่แน่ใจ”
ผมเหลือบสายตาไปมองเมฆก่อนหันกลับมา “ไปสิ”
“สนุกดีนะ”
“อืม” ผมพยักหน้า
“ผมจำได้ว่ามีการเล่นเกมแล้วให้ผู้ชนะลงโทษใครก็ได้หนึ่งคน โดยการให้กินเหล้าสองแก้วแล้วปั่นจิ้งหรีดต่อทันทีสามสิบครั้ง เมฆชนะแล้วเลือกผม คืนนั้นผมอาเจียนไปสามรอบและหมดสภาพจนถึงเช้า
ผมได้ยินเสียงกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก ผมจึงหันไปมองตรงๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกช้าๆ “สนุกดีนะว่าไหม”
เมฆสบตาผมก่อนหัวเราะออกมา ยกมือขึ้นประกบกัน “ขอโทษ”
“ช่างมันเถอะ”
“ถ้าผมปั่นจิ้งหรีดตอนนี้หญ้าจะหายโกรธไหม”
“จะลองดูก็ได้” ผมเอนตัวไปทางด้านหลัง เท้ามือกับพื้น เงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้า นึกถึงค่ำคืนนั้น ที่ใครบางคนช่วยลูบหลังให้ จับศีรษะผมหนุนตักและอยู่เป็นเพื่อนจนถึงเช้า และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความรักของผม
“ดาวสวยนะ” เสียงทุ้มดังใกล้มาก ใกล้จนผมไม่กล้าหันไปมอง
“ผมกำลังมองหาอยู่”
“หาดาวดวงไหน ผมเก่งเรื่องนี้นะ”
“ดาวจิ้งหรีด อยู่ไหน” ผมตอบหน้าตาย
“ฮ่าๆ จะให้ผมปั่นจริงๆ เหรอ”
“เปล่า” ผมส่ายศีรษะ “คืนนี้ผมจะได้เห็นทางช้างเผือกไหม”
“ไม่รู้สิ หญ้าได้นัดหนุ่มเลี้ยงวัวไว้หรือเปล่า”
“ผมไม่ใช่สาวทอผ้า” ผมเผลอหันไปมอง ร่างกายเกร็งค้างเมื่อใบหน้าของเมฆอยู่ใกล้มาก ใกล้จนผมกลัวว่าปลายจมูกจะสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่าย
“มองใกล้ๆ แบบนี้ขนตาหญ้ายาวจัง” นิ้วยาวยื่นเข้ามาใกล้ ผมเอนตัวหลบโดยไม่ตั้งใจ
“ขอโทษที”
เพราะแบบนี้ใช่ไหมเขาถึงบอกว่าอย่าเล่นตัวมากจนเกินงาม ผมมองตามมือของเมฆด้วยความเสียดาย บอกตามตรงว่าตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าตัวเองอยากใกล้ชิดเมฆหรืออยากหนีไปให้ไกลๆ ได้แต่หวังว่าแรงดึงดูดที่ชื่อพี่เชษฐ์จะกินอิ่มนอนหลับ รอเวลาให้ผมกลับไปชำระแค้น
เสียงกีตาร์ดังขึ้นอีกครั้ง ผมรู้มานานแล้วว่าเมฆร้องเพลงเพราะ แต่การได้ฟังในบรรยากาศแบบนี้ทำให้หัวใจอ่อนไหวง่ายขึ้น
“ง่วงหรือยัง”
เมฆหยุดเล่นกีต้าร์ไปนานแล้ว ผมส่ายศีรษะโดยไม่ได้หันไปมอง เวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ผมไม่เคยเห็นดาวเยอะแบบนี้มาก่อน ให้นั่งมองทั้งคืนยังได้”
“เอาไว้คืนพรุ่งนี้ดีกว่าไหม คืนนี้เข้านอนเร็วหน่อยพรุ่งนี้จะได้ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น”
“ต้องตื่นกี่โมง”
“สักตีห้ากำลังดี จะได้มีเวลาทำธุระส่วนตัว”
ผมดูนาฬิกาที่ข้อมือเกือบเที่ยงคืนแล้ว ถ้าต้องตื่นตีห้าก็ควรเข้านอนตั้งแต่ตอนนี้
“นอนเลยก็ได้”
“ไปห้องน้ำไหม”
“อืม” ผมหันไปหยิบแปรงสีฟันจากในกระเป๋าและผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดเอาไว้ เดินตามร่างสูงของเมฆไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากที่พัก
ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นดีจนกระทั้งถึงเวลานอน ความคิดที่ว่าเต๊นท์ก็ไม่ได้แคบเท่าไหร่เปลี่ยนไปทันทีเมื่อต้องล้มตัวลงนอนพร้อมอีกคน ผมไม่รู้จะเอาแขนขาไปไว้ที่ไหนนอกจากหนีบไว้กับตัว แค่นี้แผ่นหลังของผมกับเมฆก็เกือบแนบชิดกันอยู่แล้ว
“หญ้า”
“หือ?” ผมตอบรับในลำคอ ที่จริงอยากแกล้งตายมากกว่า
“หนาวเหรอ”
“เปล่า”
“ทำไมหญ้าตัวสั่น”
ไอ้บ้าเอ๊ย!
“เปล่า” นอกจากตัวสั่นแล้วผมยังต้องบังคับไม่ให้เสียงสั่นด้วย
“อากาศค่อนข้างหนาว หญ้าใส่เสื้อแจ็คเก็ตผมนอนดีกว่า”
“ไม่เป็นไร”
ผมรับรู้ถึงการเคลื่อนนไหวของเมฆ เพียงครู่เดียวแจ็คเก็ตตัวหนาก็คลุมลงมาบนตัว
“ดีขึ้นไหม”
“อืม”
“ฝันดี”
“ฝันดี” ผมพึมพำอยู่ในลำคอ
คืนนี้เป็นคืนที่สองที่เรานอนอยู่ด้วยกันในสถานที่คับแคบกว่าเดิมมาก มากจนผมรับรู้ถึงลมหายใจที่เปาลดต้นคอเบาๆ การลุกขึ้นของเมฆเมื่อสักครู่ทำให้ท่านอนของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป เมฆหันหน้าเข้าหาแผ่นหลังของผมแทน
อากาศที่เย็นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เมฆซุกตัวเข้าหาผมจนแผ่นอกเกือบแนบชิดกับแผ่นหลัง แขนพาดลงมาบนเอว
ผมไม่สามารถบรรยายความรู้สึกของการต้องติดอยู่กับคนที่ชอบให้ฟังเป็นคำพูดได้ แต่ถ้าให้เปรียบเทียบผมคงเหมือนคนกำลังลดน้ำหนักที่ได้กินของอร่อย มีความสุขตอนกิน และเศร้าตอนขึ้นยืนบนเครื่องชั่งน้ำหนัก แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจที่เต้นตึกตักก็ทำให้ผมรู้ว่าความสุขมันเป็นยังไง
บางที...
ริมฝีปากของผมคลี่ยิ้มออกกว้าง ก่อนเสียงหัวเราะจะหลุดลอดออกมาเบาๆ
บางทีอาจเหมือนคืนนั้น คืนที่เมฆสั่งทำโทษผมจนไม่สบายแต่ก็คอยดูแลไม่ไปไหน รักหมอนี่เป็นแบบนี้สินะ มีทั้งความสุขและทรมาน
“นอนได้แล้ว” เสียงทุ้มกระซิบชิดริมหู ต้นคอของผมลุกเกรียว เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ได้แต่คิดว่าลูกแอปเปิ้ลคงโหม่งโลกไปเรียบร้อยแล้ว ใครจะต้านทานแรงดึงดูดนี้ได้
ถ้าไม่ได้นอนหกคืนความรักของผมจะลดน้อยลงบ้างไหม เร็วๆ นี้ผมคงได้รู้คำตอบ
แ-ากใกล้หญ้าขนาดนี้เลยเหรอ