ตอนที่ 10
ผิดที่ผิดเวลา
เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้สุดท้ายผมก็ต้องผูกติดกับเมฆไปอีกสองคืนสามวัน แม้จะข้องใจอยู่มากว่าทำไมอีกฝ่ายถึงกลับวันเดียวกับผมเป๊ะ แต่การถามน่าจะไม่เกิดประโยชน์อันไหนนอกจากหาเรื่องให้ตัวเองเปล่าๆ ผมจึงเงียบไว้และทำตัวเป็นคนไม่อยู่กับร่องกับรอยแทน ด้วยการชวนเมฆออกมาตระเวนรอบเมือง แวะไหว้พระ หาที่ถ่ายรูป แวะทานข้าว ทานขนม ทั้งที่ป่าวประกาศไปแล้วว่าอยากพักผ่อนอยู่รีสอร์ท ผมยอมถูกขำดีกว่าต้องอยู่สองคนกับเมฆในห้องพักทั้งวันทั้งคืน หัวใจไม่ใช่แค่ก้อนเนื้อ ผมไม่แน่ใจว่าจะดูแลมันได้ดีแค่ไหน
Rrrrrr
เสียงโทรศัพท์ดังแทรกเสียงเพลงในรถขึ้นมา เพราะเมฆต้องขับรถจึงรับได้ช้า เปิดโอกาสให้ผมมองหน้าจอ รูปที่ปรากฎให้เห็นส่งผลให้ผมยกยิ้มที่มุมปาก เห็นไหมสุดท้ายผมก็วนกลับมาที่เก่า
ภาพสายตาและรอยยิ้ม ภาพมือที่วางบนศีรษะด้วยความเอ็นดูบนอัฒจรรย์วันนั้น ภาพที่เมฆเดินกอดไหล่หญิงสาวที่ห้างสรรพสินค้าใกล้มหา’ลัยในวันที่ผมบังเอิญเจอ ภาพคนสองคนอยู่ในรถที่ขับผ่านผมไป เหมือนหนังที่ไม่มีวันเก่า มันฉายซ้ำได้อย่างไม่รู้เบื่อ
ยังติดต่อกันอยู่สินะ
ผมหันไปมองนอกหน้าต่าง ได้แต่ยิ้มให้กับเงาของตัวเองในกระจก สองปีที่พยายามเข้าใกล้ อีกสองปีที่ตัดสินใจแอบมองอยู่ห่างๆ โดยไม่ยุ่งเกี่ยว หกเดือนที่ตัดสินใจบอกลา และจบลงด้วยการนั่งฟังอีกฝ่ายคุยโทรศัพท์กับคนที่ทำให้ผมตัดใจ จะมีอะไรตลกไปกว่านี้อีกไหม
“อยู่ที่บ้านเหรอ แม่บอกล่ะสิ”
ถึงเมฆไม่อยู่ก็ไปที่บ้านได้ มันกินความหมายลึกมาก
“ของฝากอะไร” เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ
“ตกลงที่โทรมานี่จะทวงของฝากใช่ไหม ไม่ได้คิดถึงกันเลย”
แค่ฟังก็รู้ว่าเมฆเอ็นดูคนที่อยู่ปลายสายมากแค่ไหน
“ทราบแล้วครับ เดี๋ยวแวะเอาไปให้ที่คอนโด”
ทีนี้ก็เลิกเข้าข้างตัวเองได้แล้วหญ้า
“ฝากบอกแม่ด้วยว่าอย่างอน ไม่ซื้อฝากอรคนเดียวแน่นอน ไม่ต้อง...เมื่อเช้าเพิ่งคุยกัน”
อีกไม่นานคงมีข่าวดี
“อืม แล้วเจอกัน”
เสียงสนทนาเงียบลงแล้ว ผมยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับไม่ใส่ใจ ริมฝีปากติดรอยยิ้มบางแม้ในใจจะปวดหนึบก็ตาม
“ฝากหญ้าเตือนผมซื้อของฝากด้วยนะ”
“อืม” ผมพยักหน้า สายตายังจับจ้องอยู่ที่เดิม
“มาน่านก็ต้องผ้ายอมครามหรือเปล่า”
“น่าจะใช่”
โว้ยย จะถามอะไรนักหนากับคนอกหักซ้ำๆ
“หญ้าช่วยเลือกให้หน่อยนะผมเลือกของให้ผู้หญิงไม่เก่ง”
แม่งจิตใจทำด้วยอะไรวะ
“มีของแม่ผมกับของอร หญ้าพอจะจำอรได้ไหม เหมือนหญ้าจะเคยเจอครั้งสองครั้ง”
“จำได้” ผมกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ “ยังคบกันใช่ไหม”
“คบกัน?” น้ำเสียงแปลกใจของเมฆทำให้ผมอดเหลือตาไปมองไม่ได้
“เปล่า อรเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม เป็นลูกของอา”
ลูกของอา?” ผมคิดว่าไข่ห่านอาจจะเล็กกว่าดวงตาของผมในตอนนี้เพราะความแปลกใจ
“ใช่ พ่อกับอามีลูกปีเดียวกัน ผมเกิดต้นปี อรเกิดกลางปีก็เลยสนิทกันมาก เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก”
ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ถามในสิ่งที่ยังติดค้างในใจออกไป
“แต่ผมได้ยินมาว่าเมฆจีบอร”
“ใครพูด?” เมฆขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะหัวเราะออกมา “อ๋อ เคยได้ยินเหมือนกันว่ามีคนที่คณะเข้าใจว่าผมกับอรเป็นแฟนกัน เพราะเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ รายนั้นยังเคยอำเพื่อนตัวเองว่าผมจีบ บอกว่าสนุกดี”
เปรตเอ๊ยยย!!
“เป็นอะไร” เมฆพูดด้วยเสียงปนขำเมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของผม
“เปล่า” ผมพูดเสียงห้วนโดยไม่รู้ตัว
“โมโหผมเหรอ”
“เปล่า”
ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะโมโหใครดี โมโหเมฆที่ชอบควงอรโผล่มาให้เห็นบ่อยๆ โมโหพี่เชษฐ์ที่ไม่เคยบอกกันบ้างเลย หรือโมโหตัวเองดีที่ดันไปนั่งอยู่ผิดที่ผิดเวลา ได้แต่ไว้อาลัยให้กับสี่ปีที่สูญเปล่าของผม
แต่เอาเถอะมาถึงตอนนี้แล้วก็ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นความหลังไป จะโกรธเมฆก็คงไม่ถูก เราไม่ได้สนิทกันขนาดต้องแนะนำทุกคนในชีวิตให้รู้จัก จะโกรธพี่เชษฐ์ก็พูดได้ไม่เต็มปาก ในเมื่อหลังจากที่หลุดพูดออกไปคืนนั้นผมก็ไม่เคยคุยกับพี่เชษฐ์เรื่องเมฆอีกเลย
“หญ้า ไม่เป็นอะไรแน่นะ?”
“อากาศมันร้อน”
ผมเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเมฆ ก็มันคิดได้แค่นั้นจะให้ทำยังไง
-เมฆ-
ผมอดขำท่าทางของหญ้าไม่ได้ แต่ไม่กล้าหัวเราะออกมา พราะกลัวอีกฝ่ายจะยิ่งโกรธ ผมไม่รู้ว่าหญ้าเป็นอะไร รู้แต่ว่าอีกฝ่ายดูหงุดหงิด อาการคล้ายจะตีอกชกหัวตัวเองแต่ก็ไม่ได้ทำ ถ้าจะให้ผมเดาเป็นไปได้ว่าหญ้าอาจจะหงุดหงิดที่มีผมคอยตามติด
“ถึงแล้ว” ผมจอดรถที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นร้านอาหารแบบบ้านสวน ต้องเดินข้ามคลองเล็กๆ เข้าไปด้านใน
“ไม่เห็นต้องจับเลย ผมเดินเองได้ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว” เสียงบ่นพึมพำดังเข้าหูเมื่อผมจับข้อมือหญ้าดึงให้เดินไปด้วยกัน
“ก็ใครว่าผมเห็นหญ้าเป็นเด็ก”
“....”
“หิวแล้ว”
ผมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงบ่นเบาๆ ถึงแม้หญ้าจะเป็นคนตรง แต่กลับเป็นคนที่แสดงความรู้สึกไม่เก่งเลย จึงมักแสดงสีหน้าหรือพูดอะไรแปลกๆ ออกมา
“กาแฟใครวะ”
เย็นวันหนึ่งพี่เชษฐ์ยกกาแฟกระป๋องที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมองด้วยสีหน้าแปลกใจ เพราะสิบห้านาทีก่อนเดินไปเข้าห้องน้ำยังไม่มีวาง
“น่าจะของหญ้า เมื่อกี้เห็นมันเดินมา”
“ไอ้หญ้ากาแฟเอ็งเหรอ” พี่เชษฐ์ตะโกนถาม หญ้านั่งห่างออกไปสองสามโต๊ะที่ลานกิจกรรม
“ใช่”
“มาเอาไป”
“ผมไม่ง่วง” หญ้าตะโกนตอบกลับมา
“ของข้าเหรอวะ?” พี่เชษฐ์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง เพราะเป็นคนเดียวที่บ่นง่วงจนต้องเดินไปเข้าห้องน้ำ
“อืม”
“ขอบใจเว้ย เป็นน้องที่น่ารักจริงๆ”
“กาแฟมันเหลือ พี่กินเถอะ”
“กูว่าแล้วเชียว” พี่เชษฐ์บ่นพร้อมกับเปิดฝากระป๋องยกขึ้นดื่ม ผมนั่งอยู่โต๊ะถัดจากหญ้าเห็นชัดเจนว่าอีกฝ่ายเพิ่งเดินไปซื้อมา เหมือนกับที่หญ้าเคยเดินไปส่งผมก่อนหน้านี้ไม่นาน
“ไหวแน่นะมึง”
“สบายมาก” ผมตอบเพื่อนร่วมทีมฟุตบอล มันเป็นการแข่งขันเล็กๆ ที่จัดกันเองเพื่อความสนุก แต่โชคร้ายที่ผมโดนฝั่งตรงข้ามเสียบขาจนเกิดอาการปวดข้อเท้าขึ้นมา
“เออ งั้นไว้เจอกัน”
“เจอกัน” ผมแยกกับเพื่อนที่หน้าสนามบอล เดินตรงไปยังลานจอดรถที่อยู่ห่างออกไป ผมได้ยินเสียงเดินอยู่ด้านหลังจึงเดินชิดด้านในเพื่อให้ทาง ผ่านไปนานเกือบนาทีก็ยังไม่มีใครเดินผ่านไปผมจึงหันกลับไปมอง
“หญ้า!” นั่นคือคำแรกที่ผมทักทายหญ้า ก่อนจะส่งยิ้มให้อีกฝ่าย “ไปไหน”
หญ้าชี้มือไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร ผมจึงเลิกซักไซ้ คิดว่าเดี๋ยวหญ้าคงเดินนำผมไปแต่ไม่เป็นอย่างที่คิด หญ้าเดินช้าๆ ตามผมมาเงียบ เมื่อถึงลานจอดรถผมจึงหันไปมอง
“ฉันจอดรถไว้ที่นี่”
“อืม”
“ไปล่ะ” ผมส่งยิ้มให้หญ้า
หญ้าพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ผมจึงแยกย้ายเดินตรงไปยังรถของตัวเอง หลังจากเก็บกระเป๋า ก็มีสายเข้าพอดีผมจึงคุยโทรศัพท์อยู่เกือบสิบนาทีถึงออกรถ
ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นหลังคุ้นตาเดินอยู่ด้านหน้า ฝั่งตรงข้ามกับสนามบอล
“หญ้า” ผมชะลอรถเทียบข้างอีกฝ่าย หญ้าสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันมามอง
“ไปไหน เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่เป็นไร” หญ้าส่ายหน้าทันที
“ไอ้หญ้าเร็วๆ พวกนั้นถึงร้านแล้ว” เสียงตะโกนดังข้ามถนนมา เมื่อหันไปมองก็เห็นพี่เชษฐ์ยืนอยู่หน้าสนาม จำได้ว่าอีกฝ่ายมาดูการแข่งด้วย ผมจึงเปิดหน้าต่างแล้วยื่นหน้าออกไปทักทาย
“พี่เชษฐ์”
“อ้าวมันเดินไปส่งเอ็งไม่ใช่เหรอ” พี่เชษฐ์มองด้วยสายตาแปลกใจ “เท้าเป็นไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วพี่ ขอบคุณมาก” ผมขอบคุณรุ่นพี่ที่เป็นห่วงก่อนหันกลับมามองหญ้า รอยยิ้มฝุดขึ้นที่ริมฝีปาก
“เมื่อกี้เดินไปส่งเหรอ”
“แค่เดินเล่นฆ่าเวลา”
“ขอบใจ”
“ ไปล่ะ” คราวนี้หญ้าเป็นฝ่ายบอกผมบ้าง ร่างเล็กเดินข้ามถนนตรงไปหาพี่เชษฐ์ ผมรอจนทั้งสองคนขึ้นรถที่จอดรออยู่ จึงขับรถออกมา
ตั้งแต่วันนั้นหญ้าก็น่ารักขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาของผม ถึงวันหนึ่งผมก็ยอมรับกับตัวเองว่าผมชอบหญ้าเข้าให้แล้ว แต่ใช่ว่าทุกคนจะสมหวังในความรัก ความจริงที่ได้รู้จากพี่เชษฐ์ว่าหญ้ามีคนที่ชอบอยู่แล้วทำให้ผมหยุดตัวเองเอาไว้
“อาหารมาแล้ว” ผมแตะไหล่ของหญ้าจากทางด้านหลัง อีกฝ่ายเดินออกมาถ่ายรูปด้านนอกระะหว่างรออาหาร
หญ้าลดกล้องในมือลง เดินตามผมกลับเข้ามาในร้าน
“กลับกรุงเทพฯ แล้วหญ้ายังไม่ได้เริ่มงานใช่ไหม” ผมตักยำถั่วพูใส่จานของหญ้า
“ใช่ อีกอาทิตย์หนึ่งถึงจะเริ่ม”
“ยังพอมีเวลา”
“หือ?” หญ้าเลิกคิ้วขึ้น ผมจึงส่งยิ้มไปให้
“พักผ่อน”
“อ๋อ ผมก็คิดไว้แบบนั้น เที่ยวอาทิตย์หนึ่ง พักอาทิตย์หนึ่งแล้วเริ่มงาน”
“เดือนก่อนผมเจอน้องเพลินที่ห้าง” ผมพูดช้าๆ สังเกตปฏิกิริยาของหญ้าไปด้วย
“สบายดีไหม”
“สบายดี เข้ามาทักถึงจำได้ มากับแฟน”
“อ๋อ..อืม เคยเจอเหมือนกัน”
สีหน้าของหญ้าเป็นปกติ ไม่มีร่องรอยความเสียใจให้เห็น
ก่อนหน้าที่พี่เชษฐ์จะบอกผมเรื่องหญ้าชอบน้องเพลิน พี่เชษฐ์เคยเล่าถึงรุ่นน้องคนหนึ่งให้ผมฟัง ว่ากำลังแอบรักคนรู้จักอยู่ ตัวเองรู้สึกเป็นห่วงเพราะเป็นไปได้ยาก แต่รุ่นน้องคงไม่ตัดใจง่ายๆ แน่ เป็นพวกได้แค่แอบรักก็ยังดี ในที่สุดผมก็ได้รู้ว่าเป็นหญ้า และนั่นทำให้ผมได้แต่มองอยู่ห่างๆ มาตลอด แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปอีกแล้ว
โทษพี่เชษฐ์ได้ไหมเนี่ยไม่งั้นหญ้าสมหวังไปนานแล้วเนี่ย
อยากบอกสั้น "พี่เชษฐฐฐฐฐ" ทำอะไรลงไป๊ ????????
อยากพูดว่า
"-พี่เชษฐ์!!!!"
😐🙄😡