ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รักตามหลัก...แสบ

    ลำดับตอนที่ #4 : แสบ...ยกสี่

    • อัปเดตล่าสุด 21 ม.ค. 51


    เล่ห์รักตามหลัก...แสบ

    4

    เสียงไก่ขันแว่วมาไม่ได้ทำให้ผมสะดุ้งสะเทือนเหมือนทุกวัน...เพราะอะไรน่ะหรือครับ? ผมจะบอกให้...ผมตื่นก่อนไก่ตัวแรกจะเผยอจงอยปากเสียอีก ก็ตั้งแต่เมื่อวานนั่นแหละครับที่เรื่องรบกวนใจผมมันเริ่มขึ้น...เรื่องที่แม่ผมและแม่น้องหงส์คุยกันซึ่งผมบังเอิญได้ยินทำให้ตลอดเมื่อวานนี้ผมไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากคิดหาเหตุผลในการหลีกเลี่ยงภัยชีวิตครั้งนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย แถมพอหัวถึงหมอนคุณน้องหงส์เธอก็มาโผล่ในฝันวิ่งไล่ผมจนไม่เป็นอันหลับอันนอน...สุดท้ายผมก็เลยตื่นเต็มที่ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

    หลังจากกะว่าคนงานขาจรที่ผมว่าจ้างและนัดหมายให้มาเก็บมะม่วงไปส่งร้านมาถึงแล้ว ผมถึงได้โผเผไปจัดการกับธุระส่วนตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับลุยงานแล้วผมก็ไปสมทบกับคนงานซึ่งมีทั้งหญิงและชาย ส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักมักคุ้นกันดี ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง ผมวุ่นวายอยู่กับการสั่งงานและลงมือเก็บมะม่วงต้นแล้วต้นเล่า จนมีคนงานหญิงมาสะกิดบอกให้กินข้าวเที่ยงนั่นแหละ ผมถึงได้รู้ตัวว่า ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรนอกจากน้ำเข้าไปอาศัยกระเพาะผมเลยแม้แต่น้อย แต่เนื่องจากมะม่วงที่แก่จัดพอเก็บเหลืออีกไม่กี่ต้น ผมจึงขอร้องให้คนงานเก็บต่อให้เสร็จ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าเสร็จเร็วก็ได้เงินค่าแรงเท่าเดิม แถมได้กลับบ้านเร็วอีกต่างหาก...นั่นทำให้ผมก้าวขาที่ค่อนข้างจะสั่นนิด ๆ เพราะความหิวมาถึงกระท่อมในเวลาเกือบบ่ายสามโมง

    ทันทีที่ก้าวขึ้นบันไดกลิ่นหอมของกระเทียมเจียวก็โชยมาเข้าจมูกก่อนจะทะลุทะลวงสู่กระเพาะอาหารให้ส่งเสียงร้องเต็มที่ ผมลูบท้องเบา ๆ เป็นเชิงปรามให้มันไว้หน้าเจ้าของบ้าง เพราะค่อนข้างแน่ใจว่า...คนที่สร้างกลิ่นกระเทียมเจียวจะต้องเป็นน้องสเลเตอย่างแน่นอน

    แหะ...แหะ...ผมไม่ได้เป็นพ่อมดหมอผีหรอกนะครับ ที่ผมรู้ว่าคนนั้นเป็นน้องเตก็เพราะ พอผมก้าวขึ้นบ้านน้องเตก็โผล่หน้าสวยมายิ้มหวานให้ผมทันที

    “พี่หมอกมาพอดีเลยค่ะ...เตกับเด็ก ๆ ขอยืมให้ครัวเรียนวิชาทำกับข้าว...สนใจเป็นหนูทดลองชิมมั้ยคะ?” ผมยิ้มรับคำชวนพร้อมกับเดินเร็ว ๆ เพื่อไปให้ถึงตัวน้องเต...แต่เท้าเจ้ากรรมมันดูหนัก ๆ อย่างไรพิกล ทำให้ผมต้องก้มลงมองอย่างสงสัย...แต่...มันก็ดูปกติดีนี่นา

    “เตมารบกวนพี่หมอกหรือเปล่าคะ?” เสียงเกรงอกเกรงใจนั้นทำให้ผมเงยหน้าเตรียมปฏิเสธ แต่ทันทีที่ผมเงยหน้า บรรยากาศรอบตัวกลับดูเหลืองซีดเหมือนตอนพลบค่ำอย่างน่าประหลาด และก่อนที่ผมจะทันพูดอะไร ไอ้บรรยากาศเหลืองซีดเมื่อครู่กลับถูกความมืดมิดครอบคลุมทันที ก่อนที่สติสัมปชัญญะผมจะหมด เสียงหวีดร้องของน้องเตเป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน

    ลมเย็นโชยมาพร้อมกลิ่นหอมเย็นอ่อน ๆ ชวนสูดกลิ่นให้ชุ่มปอด ผมขยับตัวเพื่อจะพบกับความนุ่มตามมาด้วยความเย็นทั่วใบหน้า และความเย็นนั่นเองที่เป็นตัวฉุดสติผมให้กลับไปย้อนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น...ผมเป็นลม...แถมเป็นลมต่อหน้าแม่ดอกสเลเตเสียด้วย...ผมรีบลืมตาทันทีเมื่อนึกได้ แต่ภาพแรกที่ผมเห็นกลับทำให้ผมอยากหลับตาอีกรอบ...ใบหน้าสวยหวานที่เห็นความห่วงใยกระฉอกออกมาจากดวงตาคู่สวย แถมสิ่งที่ผมรู้สึกนุ่มเมื่อขยับตัวก็คือ ตักของน้องเตนั่นเอง...โอ...สวรรค์

    “น้าหมอก...เป็นอะไรมากหรือเปล่าหาหมอมั้ย?” เสียงที่ดังแทรกบรรยากาศชวนโรแมนติก(ตอนบ่ายแก่ ๆ) คือเสียงของหลานตัวแสบซึ่งผมจับกระแสแห่งความห่วงใยได้ไม่ยาก ยัยน้ำเหนือเป็นเด็กอย่างนี้แหละครับ ร้าย แสบ...แต่ถ้ารักแล้วสุดหัวใจเช่นกัน ผมกะพริบตาปรับสภาพแสงก่อนจะพยุงตัวขึ้นจากตักนุ่มอุ่น แม้จะเสียดายอยู่บ้างแต่ถ้าจะมัวนอนกลิ้งเกลือกอยู่มันก็คงน่าเกลียดพิลึก

    “พี่หมอก...ค่อย ๆ ค่ะ” ดอกสเลเตส่งกลิ่นหอมเย็นมาทักท้วง ผมหันกลับไปส่งยิ้มซึ่งคงจะดูแหยเต็มทีก่อนจะบอกว่า

    “พี่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ...คงเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่กินข้าว แถมเมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยหลับเลยวูบน่ะ”

    “งั้นเดี๋ยวเหนือไปยกข้าวที่เหนือกับพี่เตทำมาให้นะ น้าหมอกจะได้กิน พี่เตช่วยพยุงน้าหมอกไปนั่งด้วยนะคะ” ยัยเหนือสั่งการเสร็จก็รีบกุลีกุจอวิ่งปร๋อเข้าครัว น้องเตค่อย ๆ พยุงผมขึ้นอย่างทะนุถนอม...ผมพูดไม่ผิดหรอกครับ...เธอจับผมค่อย ๆ เหมือนกลัวผมจะหักอย่างไรอย่างนั้น...เอ...หรือว่าเธอเห็นผมเป็นเหมือนเด็กอนุบาลที่เธอสอนหว่า?

    “พี่หมอกเดินค่อย ๆ นะคะ”

    “พี่ไม่ได้เป็นง่อยนะน้องเต...พี่แค่วูบเฉย ๆ” ผมบอกกลั้วหัวเราะจนคนพยุงหันมามองค้อนวงใหญ่

    “แล้วพี่หมอกไปทำอะไรมาคะถึงได้นอนไม่หลับ...แถมข้าวเช้าก็ไม่ทานอีก” เธอถามทันทีเมื่อจับผมนั่งเก้าอี้ได้ ผมส่งยิ้มก่อนบอกว่า

    “พี่ก็แค่ฝันร้าย ไม่มีอะไรมากหรอก” ตอบคำถามเสร็จผมก็หันกลับไปสบตาคนถามตรง ๆ “ส่วนเรื่องข้าวเช้า ความจริงพี่ก็หิวนะ แต่ทำไงได้...ไอ้เรามันไม่มีแม่ศรีเรือนนี่นา เลยมีกินบ้างไม่มีบ้างอย่างนี้แหละ...เฮ้อ...สงสัยคงเป็นกรรมของพี่ชาตินี้คงไม่มีโอกาสกินข้าวเช้าเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา” ผมถอนหายใจพลางรำพึงรำพันแต่สายตายังจ้องเขม็งไปที่ใบหน้านวลเนียนจนน่าสัมผัส เม็ดนิลคู่งามส่งประกายบางอย่างที่ทำให้ผมนึกไปถึงคำบอกกล่าวของสายสืบมือฉมัง ‘พี่เตเกลียดผู้ชายเจ้าชู้’ และนั่นทำให้ผมรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที

    “ว่าแต่เมนูฝึกหัดวันนี้คืออะไรเหรอ ตอนพี่เดินเข้ามาได้กลิ่นหอม ๆ” คำถามของผมคงจะฉุดรั้งสติของเธอ เพราะเธอกะพริบตาถี่ก่อนจะตอบว่า

    “อ๋อ...เตเจียวกระเทียมไว้โรยน้ำซุปน่ะค่ะ..ตายแล้วเหนือทำอะไรอยู่นะ พี่หมอกหิวแย่แล้วสิคะเนี่ย” เธออุทานพร้อมกับชะเง้อมองไปทางครัวซึ่งยัยเหนือกำลังถือถาดเดินยิ้มแฉ่งออกมาเหมือนกับรู้เวลาออกฉากอย่างไรอย่างนั้น

    “มาแล้วค่า...อาหารมื้อพิเศ๊ษ พิเศษ ไข่สอดไส้แล้วก็หมูทอดกระเทียม พร้อมด้วยข้าวหอม...กลิ่นความรัก” คำสรรพยอกหยอกเอินของยัยเหนือทำเอาผมยิ้มแต้ขณะที่น้องเตหันไปไล่เบี้ยกับคนพูดซึ่งรีบหลบเป็นพัลวัน

    อาหารมื้อกึ่งเที่ยงกึ่งเย็นของผมผ่านไปด้วยความอิ่มอร่อย แถมอิ่มอกอิ่มใจเป็นพิเศษอีกต่างหาก ก็แหม...มีสาวสวยมาคอยพะเน้าพะนอหยิบโน่นตักนี่ประเคน...เอ๊ย...ตักให้จนแทบจะถึงปากอย่างนี้ ใครบ้างจะไม่สุขใจ เฮ้อ…น้องสเลเต เธอจะรู้บ้างไหมหนอว่าพอพี่หมอกเห็นหน้าน้อง ความกลัดกลุ้มที่รุมเร้าตั้งแต่เมื่อคืนก็มีอันจางหายไปหมดสิ้น ความจริงผมก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองสักเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่ว่าท่าทางกับสายตาของน้องเตมันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเธอมีใจให้ผม...ดูท่าผมคงจะมองน้องเตเพลินเกินไปหน่อย เพราะพอรู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อมียัยเหนือมาบดบังทัศนียภาพทางสายตานั่นแหละ

    “รู้สึกตัวสักทีนะน้าหมอก เหนือเรียกตั้งนานแล้ว” ยัยเหนือบอกพร้อมกับถอนหายใจประกอบ ผมดึงสติกลับมาทันได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากน้องเต นั่นทำให้ผมถึงกับเก้อไปเลยทีเดียว

    “เรียกทำไมเล่า” ผมแก้เกี้ยวหันมาถามยัยเหนือ

    “เหนือจะบอกว่า...เย็นนี้ยายให้แวะไปหา เห็นบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ยายบอกให้ย้ำด้วยว่าต้องไปให้ได้เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ” ยัยเหนือเน้นตรงคำว่า ‘สำคัญมาก ๆ’ เป็นพิเศษ นั่นทำให้ผมนึกรู้ว่าเรื่องสำคัญที่คุณน้ำรินต้องการตามตัวผมนั้น เป็นเรื่องอะไร อารมณ์สุนทรีของผมมีอันหดสั้นเข้า ๆ จนหายไปในที่สุด...ทำไมเส้นทางความรักของผมมันถึงได้ติด ๆ ดับ ๆ เหมือนหลอดไฟไม่สมประกอบอย่างนี้นะ...เฮ้อ...ผมถอนหายใจพร้อมกับส่งสายตาละห้อยไปให้สเลเตดอกงาม

    “พี่หมอก...มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ?” น้องเตเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นผมมองนิ่งนานผิดปกติ ผมถอนหายใจยาว ใจจริงอยากจะเล่า อยากจะบอกเรื่องที่ถูกจับคลุมถุงชนกับยัยน้องหงส์หัวฟูนั่น แต่คิด ๆ ไปแล้วขืนบอกเธอไปเกิดน้องเตที่อาจจะเริ่มมีใจให้ผมเปลี่ยนความคิดกะทันหันผมก็แย่ไปเท่านั้น ทางทีดีเก็บไว้ดีกว่า เอาให้แน่ใจมากกว่านี้ผมจะไม่ปิดบังอะไรเธอเลยแม้แต่นิดเดียว

    “ไม่มีอะไรหรอกครับ” ผมปฏิเสธยิ้ม ๆ น้องเตเหมือนอยากถามต่อแต่ก็ไม่ถาม

    “ถ้าอย่างนั้น...เตขอตัวกลับก่อนนะคะ” เธอบอกยิ้ม ๆ พลางผุดลุกขึ้นจนผมผวาตาม

    “ทำไมกลับเร็วจังล่ะครับ” ผมถามเสียงละห้อย

    “ไม่เร็วหรอกน้า...นี่มันเย็นมากแล้วนะ พี่เตเป็นผู้หญิงนะน้าเดี๋ยวชาวบ้านได้ลือกันปะไร วงการนินทาบ้านเรายิ่งแคบ ๆ อยู่ด้วย” ยัยเหนือออกความเห็นพร้อมกับคว้าข้อมือน้องเตก่อนพากันเดินจากไป โดยที่ผมไม่มีคำโต้แย้งใด ๆ เพราะเมื่อคิดตามคำที่มันบอก ผมก็เห็นด้วย น้องเตเป็นผู้หญิง....สวยมากซะด้วย มาอยู่บ้านหนุ่มโสดแสนหล่ออย่างผมคงหนีสังคมนินทาไปไม่พ้นแน่ ๆ ผมคิดพร้อมถอนหายใจส่งตาปรอย ๆ มองตามแผ่นหลังน้องเตไป...แต่แล้วผมต้องตาเหลือกค้างเมื่อน้องเตหันมามองส่งท้ายพร้อมด้วยรอยยิ้มแสนสวยก่อนเบือนกลับไป...หลวงปู่ถาวรช่วยด้วยเถอะ! มันแจ่มชัดยิ่งกว่าภาพสโลว์โมชั่นเสียอีก...โอย...รอยยิ้มนั้นจะทำให้ผมหลับลงได้หรือ นี่


    เย็นมากแล้วเมื่อผมมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน อากาศกำลังเย็นสบายแตกต่างจากในหัวใจผมซึ่งกำลังร้อนรุมเดือดพล่าน สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้...นอกจาก...น้องหงส์...แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าทิศตะวันตกไปแล้ว มันพาเอาความสดใสของผมจากไปด้วยเหมือนกัน ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนก้าวยาว ๆ เข้าเขตบ้าน...เอาน่า...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดน่า...ผมปลอบใจตัวเอง

    คุณนายน้ำรินนั่งอยู่บนโซฟากำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานกับรายการโทรทัศน์โดยมียัยน้ำเหนือนั่งขัดสมาธิพินอบพิเทาอยู่ใกล้ ๆ เมื่อเจ้าตัวร้ายหันมาเห็นผมจึงเอื้อมมือสะกิดผู้เป็นยายแรง ๆ พร้อมกับชี้ผมราวกับพยานชี้ตัวผู้ต้องหา ผมถลึงตาให้ยัยหลานก่อนก้าวไปทรุดนั่งลงข้างคุณน้ำรินซึ่งกำลังยิ้มมองผมอยู่ก่อนแล้ว

    “ยัยเหนือบอกว่าแม่มีเรื่องจะคุยกับหมอก แถมย้ำว่าสำคัญมากด้วย?” ผมยิงคำถามทันที คุณน้ำรินหัวเราะเบา ๆ ก่อนบอกว่า

    “ไม่มีอะไรมากหรอกแม่แค่อยากเห็นหน้าหมอกเท่านั้นแหละ ก็หมอกน่ะถ้าแม่ไม่เรียกไม่เค้ย ไม่เคยโผล่มาสักทีนี่นา”

    “ก็ถ้ารู้ว่าโผล่มาแล้วต้องเจอเรื่องน่าปวดหัว เป็นแม่...แม่จะอยากมาเหรอครับ?!” ผมประชดเข้าให้ คุณน้ำรินไม่ตอบแถมรอยยิ้มยังไม่ตกหล่น...แต่...ฝ่ามือของคุณแม่ท่านกลับซัดผัวะเข้าที่หัวผมชนิดเต็มรัก!

    “ชิชะ...บังอาจว่าฉันหาเรื่องปวดหัวให้แกงั้นเรอะ!”

    “ผมพูดสักคำหรือยังล่ะว่าแม่เป็นคนหาเรื่องปวดหัวมาให้ ยังไม่ได้เอ่ยสักแอะก็ตีแล้ว” ผมโวยวายพลางลูบหัวป้อย ๆ

    “จริงด้วยนะยาย น้าหมอกยังไม่ได้บอกสักคำว่ายายเป็นคนหาเรื่องปวดหัวมาให้ เหนือรับรอง” ยัยเหนือเอ่ยขึ้นพร้อมชูสามนิ้วรับรอง...เมื่อกี้มันน่าตีแต่ตอนนี้มันน่ารักแฮะ ผมยิ้มพร้อมกับยักคิ้วให้ยัยตัวแสบ

    “เอ๊ะ ยัยหลานนี่” คุณน้ำรินเสียงเริ่มขุ่นเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังโดนรุม ยัยเหนือเหมือนรู้แกว เพราะมันผุดลุกพรวดพราดแถมวิ่งไปตั้งหลักที่บันได

    “หลานยายชื่อเหนือ ไม่ได้ชื่อนี่จ้ะ” พูดจบมันก็เผ่นขึ้นบ้านชนิดไม่รอฟังผลแต่อย่างใด คุณน้ำรินที่ตั้งท่าเงื้อง่าได้แต่ถอนหายใจกับหลานคนโปรดก่อนหันมาวางมือที่เงื้อค้างลงบนกลางหัวผมอีกครั้ง

    “เป็นพวกเดียวกันก็รับแทนมันละกัน” ท่านว่าหลังจากฝากรอยประทับแล้ว ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับนอกจากมองค้อนตาคว่ำตาหงาย...เถียงก็ไม่ได้ ขืนเถียงคงได้เพิ่มอีกป้าบแน่ ๆ

    “เอาล่ะ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า” คุณน้ำรินเอ่ยขึ้น

    “ไหนว่าไม่มีอะไรแค่คิดถึง อยากเจอหมอกเท่านั้นไงแม่” ผมแย้ง

    “แต่ตอนนี้เริ่มจะมีแล้วนี่...ทำไม? แกมีปัญหางั้นเหรอ?!” เสียงถามกลับค่อนข้างขุ่นทำให้ผมได้แต่ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่า...ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด คุณน้ำรินพยักหน้ารับอย่างพอใจก่อนกระแอมกระไอ

    “แม่อยากพูดเรื่องหนูหงส์น่ะ” ไหมล่ะ...แค่เกริ่นผมก็เริ่มปวดหัวตุบ ๆ แล้ว

    “ทำไมเหรอครับ” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย

    “หมอกเจอกับน้องเขาหลายครั้งแล้วรู้สึกยังไงบ้าง?” คุณน้ำรินถามพลางขยับเข้ามาใกล้ผมอีก แถมยื่นนิ้วมาสะกิดเบา ๆ ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มที่ผมเห็นแล้ว เพลียหัวใจพิลึก!

    “รู้สึกประหลาดดีครับ” ผมตอบอย่างใจคิด...จริง ๆ นะครับ..ผมยังไม่เคยเห็นผู้หญิงประหลาดอย่างน้องหงส์มาก่อนเลยผับผ่า...นั่นคือความประหลาดในความหมายของผม แต่...คุณน้ำรินท่านจะเข้าใจว่าอย่าไรมิทราบเพราะพอฟังจบคุณท่านก็ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม

    “แม่บอกได้เลยว่านั่นเป็นอาการเริ่มต้นของคนกำลังตกหลุมรักจ้ะ” โอย...ให้ตายเถอะหลวงปู่ถาวร นี่แม่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย! เข้าใจความหมายเองโดยไม่ถามต่อเลยสักนิด...สงสัยแม่ผมต้องโดนเส้นผมฟู ๆ ของน้องหงส์บังตาแน่ ๆ

    “แม่ครับ...” ผมเอ่ยหมายแย้ง...แต่...

    “แม่บอกแล้วว่าหนูหงส์น่ะ น่ารัก ทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ แม่รับรองว่าถูกต้องตามฉลาก...เอ๊ย...โฉลก ถ้าหมอกมองข้ามหนูหงส์ไปซะ แม่ว่าหมอกต้องใช้ถั่วทำตาแน่ ๆ เชียว...เฮ้อ...ได้ยินอย่างนี้แม่ก็เบาใจ แม่รับรองเลยนะว่าถ้าได้หนูหงส์มาเป็นลูกสะใภ้จะไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นแน่ ๆ  แหม ๆ อยากแจ้งข่าวดีเร็ว ๆ จัง...เอาอย่างนี้ วันนี้พอแค่นี้ก่อน เอาไว้หมอกมีความคืบหน้าอยากรายงานแม่หรือแม่อยากรู้อะไรเดี๋ยวจะไปตามเอง เดินทางกลับกระท่อมดี ๆ นะลูก” คุณน้ำรินร่ายยาวชนิดสรุปเอง ฟันธงเอง แถมยังไล่ผมกลับทั้ง ๆ ที่ผมเพิ่งจะมานั่งยังไม่ทันหายเหนื่อยด้วยซ้ำ พูดจบคุณท่านก็ลุกขึ้นเดินอย่างร่าเริงขึ้นบ้านไป...ผมเป็นยังไงน่ะเหรอครับ? เหวอรับประทานสิคุณ! ถ้าหากคุณยังไม่เคยเห็นผู้ชายหล่อทำหน้าเหวอล่ะก็...ผมล่ะอยากเชิญคุณมาดูผมตอนนี้จริง ๆ เชียว...ให้ดิ้นตาย!


    ค่ำคืนอันยาวนานของผมเต็มไปด้วยฝันร้ายไม่ต่างจากคืนที่ผ่านมาเท่าใดนัก จะมีดีนิดหน่อยตรงที่ผมไม่ต้องรีบตื่นเพื่อคุมคนงานเก็บผลไม้เหมือนเมื่อวาน อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของผมจึงไม่โผล่มาให้เห็น หลังจากกระแทกกาแฟขมจัดซึ่งผมถือว่ามันเป็นยาแก้ง่วงชั้นยอดเรียบร้อยแล้ว ผมก็เกิดความรู้สึกประหลาด...หนังตาข้างขวามันเต้นตุบ ๆ พอให้ได้ขมวดคิ้วสงสัยเล่น ยังไม่หายสงสัยดี มันก็เริ่มกระตุกถี่จนผมต้องรีบยกมือขึ้นจับไว้ อาการขนลุกเกรียวอย่างไม่มีสาเหตุเป็นสิ่งตามมาติด ๆ ...คุณครับ...โบราณท่านว่าไว้หนังตากระตุกข้างขวาดูท่าว่าจะโชคร้าย นั่นก็ทำเอาใจผมหวาดพออยู่แล้วตั้งแต่มันเริ่มกระตุก...นี่ยังจะมาเพิ่มขนลุกอีก...อะไรมันจะซวยขนาดน้าน...ผมคิดพลางถอนหายใจอย่างปลง ๆ ลงอีแบบนี้ผมก็คงต้องถือคำพระเข้าช่วย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดจะไปห้ามปรามก็รังแต่จะป่วยการเปล่า อย่ากระนั้นเลยรอรับมันด้วยความสงบดีกว่า


    ...คุณคนอ่านพอจะเดาได้ไหมครับว่า...ความซวยจากลางบอกเหตุของผมคืออะไร? เดาไม่ถูกกันหรอกเหรอครับ? เอาล่ะไม่เป็นไร...ผมเฉลยดีกว่า

    พระอาทิตย์ยามสายส่งแสงแดดซึ่งเริ่มทวีความร้อนขึ้นทุกขณะโดยไม่สนใจสักนิดว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกจะสามารถทานทนต่อความร้อนนั้นได้หรือไม่ สวนผลไม้ผมวันนี้มีโอกาสได้ต้อนรับพนักงานกิตติมศักดิ์ ซึ่งเป็นสิ่งดึงดูดสายตาคนงานในสวนให้หันกลับมามองด้วยความไม่แน่ใจก่อนจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจจนไม่เป็นอันทำงาน

    พนักงานคนนั้นวันนี้อยู่ในชุดเสื้อยืดแนบเนื้อสีแดงสด...สดจริง ๆ นะครับ ชนิดที่เรียกได้ว่ายืนห่างเป็นกิโลก็ยังเห็นชัดแจ้งแจ่มแจ๋วเชียวล่ะ...ส่วนกางเกงก็ไม่ได้น้อยหน้ากว่ากันสักกี่มากน้อย กางเกงผ้ายืดสี่ส่วน สีเหลืองครับสีเหลือง...เหลืองสดไม่แพ้เสื้อเลยครับ มาดูรองเท้าบ้าง...เข้าชุดกับเสื้อผ้าเป็นที่สุดเพราะรองเท้าผ้าใบข้างหนึ่งสีเหลืองอีกข้างหนึ่งสีแดง...ล้ำดีมั้ยครับคุณคนอ่าน?!

    แรกที่น้องหงส์เธอนวยนาดมาถึงสวน ทรงผมนางสาวไทยรับมงกุฎฟูฟ่องท้าแดดท้าลมดียิ่งนัก แต่เมื่อได้เวลาลุยงานคุณน้องเธอก็จัดการใช้ผ้าผูกผมสีแดงแปร๊ดมัดรวบไว้ให้ดูทะมัดทะแมง...แต่ว่า...ให้ตายเถอะ...แว่นตาสีชาอันนั้นเมื่อไหร่เธอจะถอดเสียทีนะ...เฮ้อ...การแต่งตัวและสีเสื้อของน้องหงส์ทำให้ผมลืมถามว่า...เธอมาทำไม

    “พี่หมอกขา...หงส์นำพาน้ำเย็นมาให้ค่า” เสียงแหลมเล็กแสนร่าเริงมาพร้อมกับร่างเพรียวของน้องหงส์วิ่งปรูดตรงมา ในมือมีขันน้ำใบเล็กซึ่งเมื่อคุณเธอวิ่งน้ำก็พาลกระฉอกออกไปหมด แต่น้องหงส์เธอก็ไม่ได้สนใจเพราะสายตาหวานเชื่อมทะลุแว่นตาสีชาของเธอตอนนี้จับจ้องมาที่ผมเป็นจุดหมายเดียว กระทั่งเมื่อมาถึงตัวระยะประชิดชนิดที่เรียกได้ว่าอกกว้าง ๆ เต็มไปด้วยมัดกล้ามของหนุ่มหล่อแสนแมนอย่างผมเป็นตัวช่วยแบรกให้คุณน้องเธอนั่นแหละ น้องหงส์ยิ้มขวยเขินจนฟันเลี่ยมทองพราวระยับกับระยะประชิดนั้น แต่ผมกลับรู้สึกขนลุกยังไงบอกไม่ถูก ยิ่งมองเลยจากฟันทองแสนแสบตามาปะทะไฝเม็ดเป้งนั่นด้วยแล้ว...บรื๋อ...

    “น้ำค่า” น้องหงส์บอกพลางยื่นขันน้ำที่เหลือน้ำติดก้นขันเล็กน้อยให้ผม

    “เอ่อ ขอบคุณครับ” ผมตอบรับพลางแสยะยิ้มให้ทีหนึ่งตอนแรกก็กะจะถือขันไว้โก้ ๆ หรอกครับ แต่สายตาที่ทะลุแว่นตาสีชาอันใหญ่ออกมานั่นทำให้ผมต้องยกขันน้ำขึ้นกระดกเอาน้ำติดก้นขันเข้าปากกลืน น้องหงส์ยิ้มกว้างจนเห็นฟันเลี่ยมทองซี่ในสุดเหมือพอใจกับกับการกระทำของผมหนักหนา

    “คุณป้าบอกว่า พี่หมอกกำลังต้องการคนดูแลคนงาน ครั้นจะจ้างใครก็ไม่ไว้ใจ คุณป้าก็เลยวานให้หงส์มาช่วยค่า...แถมยังบอกว่าให้หงส์มาซ้อมไว้แบบว่า...เป็นโครงการในอนาคตอันใกล้ไงค้า” คำอธิบายต่อจากรอยยิ้มกว้างถึงที่มาที่ไปของการปรากฏกายวันนี้ของเธอทำให้ผมอึ้งคล้ายกับน้ำในขันมันเอ่อล้นท่วมปากอย่างไรอย่างนั้น

    “แต่ว่า...ถ้าพี่หมอกไม่สะดวกใจ...หงส์ก็...” น้องหงส์เอ่ยเสียงเครือเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของผม

    “เปล่า ๆ พี่ไม่ได้ว่าอะไร” ผมรีบปฏิเสธตามมารยาท น้องหงส์ยิ้มแต้พร้อมกับปราดเข้ามาเกาะแขนผมเอาแก้มแนบต้นเขนพลางแหงนหน้าขึ้นมองผม แผงขนตาหนาในแว่นตาสีชาอันโตกะพริบปุ๊บปิ๊บอย่างน่า...สยอง...เอ๊ย...น่าเอ็นดู

    “พี่หมอกไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหงส์เลยนะค้า แค่พี่หมอกบอกว่าต้องการให้หงส์ดูแลตรงไหนหงส์รับรองว่าจะทำงานให้ดีเยี่ยมเลยล่ะค่า” ผมได้แต่หัวเราะฝืด ๆ เมื่อฟังจบพร้อม ๆ กับพยายามแกะมือน้องหงส์จากแขน ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ เสียงเจื้อยแจ้วของยัยตัวแสบก็แทรกบรรยากาศมา

    “ยู้ฮูน้าหมอก...วันนี้เปิดสวนสนุกหรือไงน้า มีตัวโบโซ่มาด้วย” พูดจบยัยเหนือก็หันไปหัวเราะคิกคักกับหนูอินลูกคู่ ซึ่งเดินเคียงกันมา สายตาทั้งคู่เหลือบแลไปมองใครบางคนเพื่อสื่อให้รู้ว่า โบโซ่ที่เข้าสองตัวหมายถึงคือใคร ผมชักสีหน้าเข้าใส่เด็กสองคนนั้นทันที...ถึงผมจะรู้ว่าน้องหงส์เธอแปลกมากแค่ไหนแต่การที่เด็กอย่างยัยเหนือหรือหนูอินแสดงกิริยาไม่ให้ความเคารพคนแก่กว่าก็ทำให้ผมชักฉุน

    “มากไปยัยเหนือ” ผมปรามด้วยคำพูดและสายตา แทนที่ยัยตัวแสบจะเกรงกลัวบ้างก็เปล่า มันยักไหล่ทำปากบิดก่อนเดินมาแนบชิดน้องหงส์จนผมชักเอะใจ

    “ไม่เป็นไรหรอกน่าน้าหมอก เหนือกับพี่หงส์น่ะ ซี้กันจะตาย เนอะพี่หงส์เนอะ” ท้ายประโยคยัยเหนือหันไปพยักพเยิดกับน้องหงส์ที่รีบผงกศีรษะรับพร้อมกับฉีกยิ้มโชว์ฟันเลี่ยมทองซึ่งแย่งความเด่นของไฝไปชั่วคราว

    “ใช่แล้วค่าพี่หมอกขา หงส์กับน้องเหนือน่ะสนิทกันม้ากมากค่า” ไม่พูดเปล่าการตรงเข้าไปสวมกอดและแนบแก้มซึ่งกันและกันประกอบก็คล้ายจะเป็นการยืนยันคำพูดของทังคู่ ผมได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับนึกสงสัยขึ้นมาติดหมัด...ถ้าสนิทกันขนาดนั้นแล้ว ‘เชื้อ’ ใครกันหนอที่แรงกว่ากัน

    “ถึงสนิทแค่ไหนก็ควรให้เกียรติพี่เขาบ้าง อย่างน้อยพี่หงส์ก็อายุมากกว่าเหนือนะ” ผมบอกเรียบ ๆ คำพูดของผมทำให้เด็กสองคนกับผู้หญิงอีกหนึ่งคนชะงักพร้อมกับหันมามองผมราวกับเห็นตัวประหลาด

    “โห...น้าหมอก เป็นน้าเป็นหลานกันมาตั้งนาน เหนือพึ่งรู้นี่แหละว่าน้าหมอกมีมุมที่เป็นบุรุษแสนสุภาพกับเขาด้วย!” ...เฮ้อ...ยัยหลานเอ๊ย...ทำไมนับวันมันยิ่งเหมือนแม่อย่างนี้นะ

    “เออ...รู้ไว้ก็ดี”  ผมตัดบทขี้เกียจต่อแความยาวกับยัยตัวแสบ

    “พี่หงส์...พี่เตให้มาบอกว่าจะช่วยทำของชำร่วยตอนนี้รออยู่บ้านแน่ะ” หนูอินเอ่ยขึ้นหลังจากหัวเราะหัวใคร่กันแล้ว การเอ่ยถึงน้องเตทำให้ผมหูผึ่งและให้ความสนใจทันที

    “ต๊าย...จริงเหรอจ๊ะ? แหม ดีจริงยิ่งเร่ง ๆ อยู่ด้วย” น้องหงส์อุทานอย่างดีอกดีใจก่อนหันมาบอกผมว่า “พี่หมอกขา...วันนี้หงส์คงต้องขอตัวก่อนนะคะ เกรงใจเตเค้าน่ะค่ะอุตส่าห์อยากช่วย...แต่พี่หมอกไม่ต้องเสียใจหรอกนะคะหงส์รับรองว่าหงส์จะมาช่วยพี่หมอกแน่ ๆ” น้องหงส์ชูกำปั้นอย่างหนักแน่นแทนคำสัญญา ผมยิ้มรับแหย ๆ ก่อนพยักหน้ารับแกน ๆ น้องหงส์มีสีหน้าเสียอกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เธอต้องจากไปก่อนเวลาอันควร ตรงกันข้ามกับผมที่รู้สึกโล่งใจก่อนเวลาอันควรเช่นกัน

    “เหนืออย่าเพิ่งไป” ผมกระซิบพร้อมกับคว้าแขนยัยตัวแสบที่กำลังจะเดินตามหนูอินกับน้องหงส์ไป ยัยเหนือหันกลับมาทำหน้าหมางงกับผมก่อนถามกลับ

    “อะไรอีกล่ะน้า...เหนือก็รีบนะต้องไปช่วยพี่เค้าทำของชำร่วยด้วย”

    “ทำไมแกไม่เคยบอกว่าหงส์กับเตรู้จักกัน” ผมถามอย่างคาดคั้น

    “ก็น้าไม่เคยถามนี่” ดูมันตอบสิครับแถมตอบเสร็จยังมายักไหล่ให้อีกต่างหาก กวนทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเชียวผมต้องพยายามข่มอกข่มใจไม่ให้มอบมะเหงกก่อนเวลาอันควรให้ยัยตัวแสบ

    “ก็แล้วทำไมตอนแกขายข่าวไม่มีเรื่องนี้ด้วยเล่า...หรือแกตั้งใจจะเพิ่มราคาวะ” ผมเริ่มฉุนแถมเริ่มออกท่าทางข่มขู่ แต่ยัยเหนือก็ไม่ได้มีทีท่าจะเกรงกลัวแต่อย่างใด ยัยตัวแสบดีดนิ้วเปาะก่อนบอกอย่างร่าเริงว่า

    “แหม...เมื่อก่อนไม่ได้คิดเลยนะ พอน้าพูดเมื่อกี้ปิ๊งเลย...เก็บพี่หงส์ไว้เพิ่มราคา แหม...เงินท้างน้าน” มันตอบพลางลอยหน้าลอยตากวนอารมณ์ ผมกำลังจะพูดต่ออยู่แล้วเชียวถ้ายัยตัวแสบไม่ดักคอก่อน “อ๊ะ...อย่ามากล่าวหากันเรื่องพี่หงส์นะ ตอนน้าซื้อข่าวน่ะ น้าเอาแค่เรื่องของพี่เตนะ ไม่ได้รวมเพื่อนด้วยนี่” คำแย้งของยัยเหนือทำให้ผมต้องกลืนถ้อยคำกล่าวหากลับลงคออย่างยากเย็นเมื่อคิดตามคำพูดของมันแล้วเห็นว่ามันเป็นเรื่องจริง

    “เอ้า...ก็ได้ ๆ แกถูก” ผมบอกพลางยกมือยอมแพ้ ยัยน้ำเหนือหัวเราะร่าอย่างสะอกสะใจก่อนแบมือข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้าผม นิ้วทั้งห้ากระดิกดุ๊กดิ๊กคล้ายกับจะบอกผมว่า แต่ละนิ้วมีค่าเท่ากับหนึ่งซึ่งหลังเลขหนึ่งจะมีศูนย์กี่ตัวก็ตาม ผมคงต้องจ่ายอย่างแน่นอน

    “เท่าไหร่?” ผมถามเหนื่อย ๆ

    “ห้าร้อยเรียกน้ำย่อยพร้อมข้อมูลเบื้องต้นของพี่หงส์...ถ้ารวมเพื่อนคนอื่น ๆ ด้วยก็...อืม...คนละห้าร้อยโอเคป่าวน้า...ถ้าไม่โอเคก็...ไม่เหมือนกัน” ยัยตัวแสบพูดจบก็ไหวไหลอย่างไม่ยี่หระ ผมฟังจบก็แทบลมจับ

    “จะไม่ขอดเกล็ดกันหนักไปหน่อยเรอะเจ้าเหนือ” ผมแย้งเสียงขุ่น

    “ก็เหนือรู้นี่นาว่างูเหลือมอย่างน้าน่ะมีเกล็ดให้เหนือขอดอีกเยอะ” ยัยหลานตัวแสบลอยหน้าลอยตาตอบ ผมถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนยกมือยอมแพ้อีกรอบ ควักกระเป๋ามาเปิด ยัยเหนือหัวเราะชอบใจก่อนพูดต่อว่า “มันต้องอย่างนั้นแหละน้า...ถึงน้าจะมีเหตุผลมากมายแค่ไหนก็เสียเวลาเปล่าเพราะสุดท้ายน้าก็ต้องจ่ายอยู่ดี...น่าไม่ต้องเสียดายหรอกถือซะว่าให้หลานผู้น่ารักซะก็สิ้นคาใจ” ประโยคสุดท้ายมันพูดเพราะเห็นผมหยิบเงินในกระเป๋านานเกินไป สุดท้ายมันก็เลือกที่จะยื่นมือมาหยิบธนบัตรฉบับที่ต้องการจากระเป๋าผมด้วยมือมันเอง ผมได้แต่มองตามธนบัตรสีม่วงซึ่งเจ้าตัวแสบกำลังยกขึ้นจูบอย่างทะนุถนอมด้วยความรู้สึกปลง ๆ

    “แล้วพี่หงส์ทองของแกนี่เป็นเพื่อนสายไหนกับน้องเต?” ผมเอ่ยถามขึ้น ยัยตัวแสบทำปากยื่นตวัดตามองผมก่อนเอ่ยเสียงเหยียด ๆ ว่า

    “แหม…พี่หงส์ทองของแก น้องเต รู้สึกการเรียกขานจะบอกความรู้สึกชนิดต่างขั้วเลยนะน้า”

    “แล้วไง...มันสิทธิ์ของฉันโว้ย! หน้าที่แกตอนนี้คือรายงานข้อมูลตามราคาที่แกเอาไป...ว่ามาได้แล้ว” ผมว่ากลั้วยิ้มพร้อมกับเอื้อมมือไปโยกหัวยัยตัวแสบแรง ๆ ทีหนึ่ง มันบ่นพึมพำส่งค้อนปะหลับปะเหลือกก่อนเริ่มเข้าเรื่องที่ผมต้องการ

    “พี่เตกับพี่หงส์น่ะ เค้าสนิทกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว นอกจากจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันม้าก มาก ยังเกี่ยวดองเป็นญาติกันอีกด้วย...ก็อย่างที่น้าหมอกเห็นพี่เตออกจะเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีปากมีเสียงกับใคร เวลามีเรื่องอะไรก็จะมีพี่หงส์เป็นคนออกโรงออกงิ้วแทนตลอด สำหรับพี่หงส์ก็อย่างที่น้าหมอกเห็นและ ‘รู้สึก’ นั่นแหละ เหนือว่าความรู้สึกของน้าหมอกก็คงไม่ต่างจากคนอื่นนักหรอก เหนือรู้เพราะเคยได้ยินคนนินทาพี่หงส์มาบ่อยมากเรื่องความแปลกของพี่แก แต่ใครก็ตามอย่าได้นินทาให้พี่เตได้ยินเชียว...เพราะหากพี่เตรู้แล้วล่ะก็ คนพูดมีสิทธิ์แหลกคามือแน่ ทั้งพี่หงส์และพี่เตเค้าก็เกื้อกูลกันมาอย่างนี้แหละ...ถ้าจะให้เหนือพูดง่าย ๆ ก็คือ เค้าเป็นเหมือนส่วนที่ขาดหายไปของกันและกัน...หมดแล้วห้าร้อยได้เท่านี้แหละน้า อยากได้เพิ่มเติมต้องจ่ายอีกเท่าตัวสำหรับรายเดิมแต่วันนี้คงไม่ได้แล้วล่ะ เหนือต้องไปทำงาน”

    ยัยหลานตัวแสบจากผมไปแล้วหลังจากพูดจบ...แต่ผมกลับจมอยู่กับคำอธิบายราคาห้าร้อยบาทนั่นกระทั่งเย็นย่ำ ความคิดเฝ้าวนเวียนด้วยการถามตัวเองบ่อยครั้งว่าระหว่างผู้หญิงสองคน คนหนึ่งสะสวยทั้งหน้าตา ความรู้และกริยามารยาททุอย่างล้วนสร้างความพึงพอใจให้กับผม...กับอีกคนซึ่งดูเหมือนจะตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ถ้าถามกันตรง ๆ และตอบแบบจริงใจแล้วล่ะก็...ผมเลือกน้องเตแน่นอนอยู่แล้ว...แต่สิ่งที่ทำให้ผมสลัดผู้หญิงอีกคนไม่หลุดเป็นเพราะ...เธอไม่ได้มีความผิดอันใดแม้แต่น้อย ยิ่งเมื่อคิดย้ำแถมด้วยการหาเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ขึ้นมาอ้างกับตัวเอง...ผมก็ยิ่งพบว่าสิ่งเดียวที่ผิดสำหรับเรื่องนี้คือ...ความคิดผมเอง

    ...ก็น้องเตยังไม่มีทีท่าอะไรมากมายกับผม และน้องหงส์ก็อาจจะมาตามติดผมเพราะขัดคำสั่งไม่ได้เหมือนผม ทุกอย่างที่ผมกล่าวอ้างกับตัวเองก็ล้วนมาจากความคิดผมทั้งนั้น...

    เฮ้อ...ผมเครียดมากจริง ๆ ครับวันนี้...ทั้ง ๆ ที่ผู้หญิงทั้งสองคนนั้นจะว่าไปผมก็ยังไม่คิดจะจริงจังกับคนใดคนหนึ่งด้วยซ้ำ แต่กลับสร้างความเครียดได้ขนาดนี้...แล้วถ้าหากผมตัดสินใจลุย...โอย...ขออนุญาตยังไม่คิดตอนนี้ดีกว่าครับผม!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×