คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : แสบ...ยกสาม
เล่ห์รักตามหลัก แสบ
3
วันอาทิตย์เที่ยงตรง ผมก็เดินเข้าร้าน กลางเดิ่น ด้วยความมั่นใจหน่อย ๆ อีกต่างหาก ผมคิดว่ายังไงเสียผมคงหาน้องหงส์ขวัญใจคุณแม่ได้ไม่ยากนัก ก็แหม ขนาดนัดบอดยังเห็นสว่างขาดนั้น แล้วนัดกลางวันอย่างนี้ ผมว่าน่าจะสะดุดตาสุด ๆ แน่ ๆ
และผมก็คาดไม่ผิด เพราะพอผมกวาดตามองไปทั่วร้านที่แม้จะมีผู้คนพลุกพล่าน เพราะเป็นตอนกลางวัน เป็นมื้อเที่ยงสำหรับหลายคน แต่ผมก็จ๊ะเอ๋คุณน้องหงส์ได้อย่างง่ายดาย
เสื้อยืดสีเขียวสะท้อนแสงตัวโคร่งผูกชายไว้อย่างเก๋ไก๋ กับกำไลวงโตสีเดียวกันโดดเด่นมาก่อนใครเพื่อน แม้ว่าน้องหงส์เธอจะนั่งหันหลังให้ผมก็ตาม และพอผมเดิมอ้อมโต๊ะไปนั่งตรงข้าม ผมก็เห็นที่คาดผมสีแดงแปร๊ดบนผมฟู ๆ ของเธอ แถมต่างหูดอกไม้เกล็ดปลาสีแดงอันโตเกือบเท่าถ้วยน้ำพริก อยากหัวเราะอยู่หรอกครับแต่รอยยิ้มโชว์ฟันทองที่ดูเหมือนจะจริงใจก็ทำให้ผมไม่กล้า ที่บอกว่าดูเหมือนก็เพราะว่าผมไม่เห็นแววตา เพราะมันซุกซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตาสีชาอันบิ๊กเบิ้มเหมือนครั้งที่แล้ว สงสัยคุณน้องเธอต้องเป็นโรคอะไรสักอย่างแน่ ๆ ถึงได้ใส่แว่นสีชาตลอดเวลาอย่างนี้
“สวัสดีค่าพี่หมอก”
น้องหงส์ยกมือไหว้ผมอย่างกระชดกระช้อย เสียงกำไลกระทบกันดังกรุกกริก ผมรับไหว้พร้อมกับแยกเขี้ยวให้ทีหนึ่ง ยิ้มไม่ได้ครับ เพราะผมกำลังกลั้นหัวเราะอยู่ไม่ให้ขำยังไงไหว ก็สายตาผมมันดันมองไปเห็นกางเกงลุกฟูกที่น้องเธอใส่ สีเดียวกับที่คาดผมเลยครับ แถมรองเท้าก็ดันเป็นสีเดียวกับเสื้อ ผมไม่สงสัยเลยสักนิดที่คนทั้งร้านจะหันมามองที่คุณน้องเธอเป็นจุดเดียว แถมคนที่มองก็ดูเหมือนจะอมยิ้มแก้มตุ่ยกันทั้งนั้น
“รอนานมั้ยครับ?” ผมทักตามมารยาท น้องหงส์ยิ้มโชว์ฟันอีกครั้ง กรีดนิ้วขยับแว่นตา ก่อนจะตอบว่า
“วุ้ย..ไม่เลยค่า สำหรับพี่หมอก นานแค่ไหนหงส์ก็รอได้” น้องหงส์ตอบกระชดกระช้อยจนผมอุปากทานเห็นแผงขนตาภายใต้แว่นสีชากะพริบถี่เชียว
“หิวหรือยัง ทานอะไรดีครับ?” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวว่าจะทนอิหลักอิเหลื่อไม่ไหว
“ก็นิดหน่อยค่า เพราะปกติหงส์ทานข้าวเที่ยงตอนห้าโมงค่า” น้องหงส์ตอบพร้อมกับยิ้มแต้ ผมได้รับคำตอบแล้วก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงครึ่ง นี่คุณน้องเธอมานั่งแขวนท้องเพื่อรอผมเป็นชั่วโมงเชียวหรือ?
“งั้นสั่งเลยดีกว่าครับ” ผมเรียกพนักงานมาสั่งอาหารโดยเลือกชนิดที่คิดว่าทำงายและเร็วไว้ก่อน สั่งเสร็จจึงได้หันกลับมาเห็นน้องหงส์นั่งเท้าคางยิ้มปลื้มเปรมจ้องอยู่ก่อนแล้ว
“พี่หมอกขา เคยมีคนชมพี่หมอกหรือยังค้า ว่าล้อ หล่อ” เสียง ‘ล้อ หล่อ’ นั่นทำเอาผมแทบพลัดตกเก้าอี้! ผมยิ้มให้น้องหงส์ก่อนจะตอบว่า
“ก็พอมีครับ แต่ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟังแล้ว..เอ่อ ขนลุก”
“ต๊าย พี่หมอกเนี่ย หงส์เขินน้าา” น้องหงส์เสียงแหลมจนผมตกใจ เธอบิดไม้บิดมือจนผมกลัวว่าจะหักไปซะก่อน
“น้องหงส์ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่เหรอครับ” ผมรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาให้ไกลตัว คุณน้องเธอหยุดการบิดแขนก่อนจะหันมายิ้มหวานฟันทองแพรวพราว
“ก็เตรียมตัวเป็นแม่บ้านไงค้า หงส์เคยบอกพี่หมอกแล้วน้า ครั้งก่อนไงคะจำไม่ได้เหรอ?” น้องหงส์ทำเสียงกระเง้ากระงอด
“จำได้ครับ แต่นอกจาก เอ่อ เตรียมตัวแล้วทำอะไรอีกบ้างครับ” ผมรีบกลบเกลื่อนอาการลืมของตัวเอง รู้สึกผิดขึ้นมาติดหมัด
“ก็ ทำของชำร่วยงานแต่งงานค่า วุ้ย ตอนนี้กำลังเร่งมือกันใหญ่เลย เห็นแม่บอกว่าเร็ว ๆ นี้อาจจะมีงานแต่งงานเกิดขึ้นที่บ้านค่า” น้องหงส์จีบปากจีบคอบอกก่อนก้มหน้าเอียงอาย
“ใครจะแต่งงานเหรอครับ” ผมหลุดปากถามไปแล้วก็นึกอยากจะตบปากตัวเองยิ่งนัก เฮ้อ ตกหลุมเสียแล้วนายหมอกเอ๋ย
น้องหงส์ไม่ตอบ แต่ยิ้มเอียงอายพบลางพยักหน้ามาทางผมหงึกหงัก ก่อนจะใช้นิ้วชี้ของมือข้างที่ว่างจากการบิดชายเสื้อชี้ที่ตัวเอง เฮ้อ โดนชกเสียแล้วนายหมอก
ดีว่าพนักงานเสิร์ฟยกอาหารมาวาง ผมจึงไม่ต้องทนอิหลักอิเหลื่อกับหลุมอันเบ้อเริ่มที่ผมขุดเอง ตกเอง แต่ไม่สามารถขึ้นเองได้ ช่วงที่ผมสาละวนช่วยพนักงานยกจานกับข้าววางบนโต๊ะ ผมบังเอิญเห็นว่าน้องหงส์เธอไม่ได้มองที่ผม แม้แว่นตาสีชาจะบดบังแววตาไปได้แต่ก็แค่บางส่วน ผมยังไม่ทันหันไปมองตามโฟกัสของน้องหงส์ คุณน้องเธอก็ยกมือเท้าคาง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“เอ่อ..หงส์ขอไปห้องน้ำสักครู่นะค้า” พูดจบคุณน้องก็ลุกเดินไปห้องน้ำโดยยังอยู่ในท่ามือเท้าคาง ผมได้แต่มองตามด้วยความงุนงง อะไรเข้าสิงน้องหงส์อีกล่ะทีนี้ พักใหญ่คุณน้องเธอก็เดินยิ้มโชว์ฟันทองกระชดกระช้อยกลับมา ผมเขม้นมองอย่างไม่แน่ใจ หน้าตาคุณน้องเธอดูแปลกไปอย่างไรบอกไม่ถูก ไม่ใช่เพราะการเติมแป้งเหมือนอย่างที่สาว ๆ เขาชอบใช้การเข้าห้องน้ำเป็นข้ออ้างแน่ ๆ แต่อะไรหนอ ที่ดูแปลก ผมเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้
“พี่หมอกมองอะไรค้า” เสียงแหลม ๆ ของน้องหงส์ดังแทรกความแปลกใจของผมจนหูคลอน ผมปฏิเสธพลางเชื้อเชิญให้คุณน้องเธอทานข้าว ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้รับคำปฏิเสธ
ผมพยายามคิดว่า คงเพราะความหิวถึงทำให้น้องหงส์เธอสวาปาม เอ๊ย รับประทานได้รวดเร็วชนิดพายุฟัด เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีกับข้าวบนโต๊ะก็เกลี้ยงเกลา และท่าทางน้องหงส์คงจะยังไม่อิ่ม เพราะเธอเรียกพนักงานเสิร์ฟมาสั่งอาหารเพิ่มอีกหลายรายการ ผมมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างละเหี่ยใจ นี่ถ้าผมตกร่องปล่องชิ้นกับเหาตัวนี้จริง ๆ อนาคตจะเป็นยังไงหนอ มองไม่เห็นเลยครับท่าน!
มื้อเที่ยงแสนทรมานของผม เสร็จสิ้นลงเมื่อเกือบบ่ายสองโมง หลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย ผมอาสาจะไปส่งน้องหงส์แต่ได้รับการปฏิเสธ
“คือ หงส์มีนัดน่ะค่ะ ก็เรื่องของชำร่วยแหละค่า พอดี๊ พอดีอุปกรณ์ในการทำมันหมด หงส์นัดเพื่อนเอามาให้ที่นี่แหละตอนบ่ายสาม เอาไว้โอกาสหน้านะคะ หงส์รับรองว่าพี่หมอกต้องได้บริการหงส์แน่ ๆ แต่คราวนี้อย่าเสียใจไปเลยนะค้า” น้องหงส์เสียงหวานเจื้อยพร้อมกับทำสีหน้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง ซึ่งช่างตรงกันข้ามกับผมเสียเหลือเกิน ผมอิดเอื้อนพอเป็นพิธี ก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวออกจากร้าน ไม่ใช่ อะไรหรอกครับ กลัวคุณน้องเธอเปลี่ยนใจน่ะ อารามรีบร้อนทำให้ผมเกือบชนเด็กสองคนที่โผล่พรวดออกมาจากห้องน้ำหญิง
“ขอโทษค่า” เสียงแปร่ง ๆ ดังขึ้นโดยคนพูดไม่ยอมเงยหน้า ปีกหมวกตามสมัยนิยมที่ทั้งกว้างและยาว หลุบต่ำจนผมไม่สามารถเห็นหน้าได้ชัด หลังจากคำขอโทษเด็กหญิงทั้งคู่ก็ผลุบกลับเข้าห้องน้ำอีกครั้ง ผมได้แต่มองตามอย่างงง ๆ เพิ่งจะออกมา ทำไมกลับเข้าไปอีก สงสัยปวดหนักยกกำลังสองมั้ง..ผมคิด
ขับรถออกจากร้านกลางเดิ่น ผมถึงได้เอะใจ เสียงแปร่ง ๆ ของเด็กที่เดินชนผมเมื่อครู่ทำไมมันคล้ายกับเสียงยัยเหนืออย่างไรอย่างนั้น แต่ความคิดของผมก็สะดุด แล้วยัยเหนือจะมาทำอะไรที่ร้านอาหารที่เรียกได้ว่าหรูที่สุดในละแวกนี้ ยิ่งมันเจอผม ทั้งหนืดทั้งเค็มอย่างมัน มีหรือจะไม่ขอให้ผมจ่าย ผมสะบัดหัวไล่ความคิดกังวลหล่นหลาย ไหน ๆ ก็ผ่านเรื่องร้าย ๆ มาแล้ว ขอผมคิดถึงเรื่องที่เป็นสุขบ้างเถอะครับ ใครที่กำลังทายผลอยู่ล่ะก็ ถูกต้องนะคร้าบ ผมกำลังคิดถึง น้องเต ดอกสเลเตที่กลิ่นกรุ่นอยู่ในใจผมไม่เคยจางนับแต่วันแรกพบสบตา ขออยู่กับจินตนาการสักครู่ครับผ้ม!
อากาศอบอ้าวช่วงต้นฤดูร้อน อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกหงุดหงิดเพราะความเหนียวเหนอะจากเหงื่อไคล แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นในบ้านสวนผมแน่นอน เพราะนอกจากไม้ผลยืนต้นร่มครึ้มทั่วทั้งสวนแล้ว บ่อน้ำที่ผมขุดไว้สำหรับกักเก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้ง ก็เป็นแหล่งระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้บ้านสวนของผมในช่วงหน้าแล้งจะเนื้อหอมมากเป็นพิเศษเพราะแขกมากหน้าหลายตา ต่างก็แวะเวียนมาคลายร้อนกันทั้งนั้น บางคนมาเพื่อจุดมุ่งหมายหวังได้ของฟรี คือ ผลไม้จากสวนของผมติดไม้ติดมือไปบ้างก็มี...เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครับ...จนสายเลือดงกอย่างยัยเหนือร่ำ ๆ จะปิดสวนผมล้อมผ้าเก็บตังค์เสียนี่
เสียงตะโกนกริ่วลั่นสวนจนนกหนูวิ่งกันพล่านจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากยัยตัวแสบ น่าแปลก...วันหยุดอย่างนี้ยัยเหนือน่าจะสุนทรีอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยมที่บ้าน ไม่น่าจะมาสร้างความปั่นป่วนกับสวนได้ แต่เสียงพูดคุยที่มีมากกว่าหนึ่งคนซึ่งแว่วมานั้นก็ทำให้ผมอกพองอย่างบอกไม่ถูก...ใครจะว่ายังไงก็ช่างเถอะครับแต่ผมจำได้ว่าหนึ่งในนั้นต้องเป็นเสียงน้องสเลเตแน่ ๆ
“น้าหมอก...วู้...อยู่หรือเปล่าขอขนมมื้อบ่ายกินหน่อย!” ตะโกนแปดหลอดไม่เกรงใจต้นไม้คงไม่มีใครเกินหน้ายัยเหนือ ผมโผล่หน้าที่ปิดความยินดีไว้ไม่มิดออกไปต้อนรับ...จริงดังคาดครับ! น้องเตคนสวยที่วันนี้เธอรวบผมยาวตรงสลวยไว้หลวม ๆ ส่งยิ้มพิมพ์ใจมาให้ผมทันทีที่เห็น
“หวัดดีครับน้องเต...ลมอะไรหอบมาถึงนี่ครับ...อ๊ะ...อย่าบอกว่าลมคิดถึงนะเดี๋ยวพี่จะลอย” ผมหยอดลูกเกี้ยวอัตโนมัติ...อัตโนมัติจริง ๆ นะครับ เพราะคำพวกนี้ผมไม่ได้คิดไว้ก่อน...แหะ ...แหะ...พอเจอสาวทีไรมันเป็นเองทู้กทีสิน่า
“น้ำเน่าน่าน้าหมอก...อย่ามาปล่อยแถวนี้เลยมุกแก่ ๆ ...มีอะไรให้เหนือกินแก้หิวได้มั้ยเนี่ย?” ยัยเหนือแขวะผมก่อนจะเดินเข้าบ้านมุ่งตรงไปยังตู้เย็น เปิดค้นอะไรกุกกักสักพักก็หอบของมาเต็มอ้อมแขน
“เฮ้ย...ล้างตู้เลยรึนั่น...เดือนนี้น้าเพิ่งเข้าเมืองเองนะโว๊ย” ผมโวยวายเมื่อเห็นของกินมากมายที่โดนกวาดมาจากตู้
“โอ๊ย...อย่าบ่นเลยน่า เหนือรู้หรอกว่าแค่เนี้ยขนหน้าแข้งหน้าหมอกไม่ร่วงหรอก...แล้วอีกอย่างเหนือก็ไม่ได้กินคนเดียวด้วย หนูอินกะพี่เตก็กินด้วย...หรือน้าหมอกจะมาร่วมวงก็ไม่ว่ากัน...เจอกันที่ศาลานะน้า” ยัยเหนือยกแม่ดอกสเลเตขึ้นอ้างอย่างกับรู้ว่าจะได้ผล และผมก็ไม่มีทางที่จะปล่อยโอกสงาม ๆ นี้ให้หลุดลอย นอกจากผมจะไม่ต่อว่าเรื่องของกินทั้งหลายที่ยัยเหนือขนไปแล้ว ผมยังใจปล้ำ...เอ๊ย...ใจป้ำงัดน้ำหวานรุ่นพี่บิ๊กออกจากที่ซ่อนไปร่วมสมทบอีกหลายขวด
“มาติวกันหรือครับ?” ผมถามขึ้นหลังจากแจกจ่ายน้ำหวานไปถ้วนทั่ว...แน่นอนครับผมต้องได้ที่นั่งใกล้น้องเตอยู่แล้ว
“ค่ะ” น้องเตตอบผมพร้อมรอยยิ้ม...เฮ้อ...สวยจริง ๆ ผับผ่า
“วิชาอะไรกัน ไม่เห็นเอาหนังสือหนังหามาประกอบเลย” ผมถามอย่างสงสัย ดูเหมือนน้องเตค่อนข้างลำบากใจในการตอบคำถามนี้ของผม เพราะเธอรีบหลบสายตาแถมกระอึกกระอัก ผมเห็นเธอสะกิดยัยเหนือที่กำลังกัดขนมปังกรอบคำโตเบา ๆ ยัยเหนือหันขวับก่อนจะรีบกลืน
“อ๋อ...วิชานี้ไม่มีอยู่ในหลักสูตรหรอกน้า...แล้วอีกอย่างสมองอย่างพี่เตไม่ต้องพึ่งหนังสือหรอก...สอนปากเปล่าสบายอยู่แล้ว” ยัยเหนือบอกอวด ๆ ก่อนจะหันไปพยักพเยิดกับแม่ดอกสเลเตที่ยิ้มรับแหย ๆ
“เอ...พี่ชักสนใจแฮะ...อยากรู้จังว่าวิชานอกหลักสูตรวิชานี้เป็นยังไง ขอเรียนด้วยคนได้มั้ยครับ?” ผมถามยิ้ม ๆ
“ไม่ได้นะน้า!” ยัยเหนือตะโกนจนผมกับน้องเตซึ่งกำลังส่งยิ้มให้กันสะดุ้งเฮือก แม้แต่หนูอินเองก็อยู่ในอาการตกใจไม่ต่างกัน
“ทำไมจะไม่ได้...แกไม่ได้เป็นคนสอนไม่มีสิทธิ์อนุญาตโว๊ย” ผมบอกยัยเหนือเบา ๆ ก่อนจะหันมาถามเจ้าของหลักสูตรว่า “จริงมัยครับน้องเต” น้องเตไม่ตอบผมแฮะ แต่ท่าทางกระวนกระวายปนกับยิ้มฝืดเฝื่อนนั้นก็พอทำให้ผมรู้สึกทะแม่ง ๆ ได้
“เอ่อ...คือ...พี่หมอกเรียนด้วยไม่ได้หรอกค่ะ” น้องเตตอบเบา ๆ แต่เป็นคำตอบที่ทำให้หัวใจพองคับอกของผมแฟบบลงทันที
“ทำไมล่ะครับ” ผมถามอย่างละห้อยละเหี่ย...ก็อุตส่าห์ว่าจะได้ใกล้ชิดสนิทสนมมากกว่าเดิมแล้วเชียวนี่นา
“คือ...มันเป็นเรื่องของผู้หญิงน่ะค่ะ...เตคิดว่า...ถ้าพี่หมอกอยู่...คง...เอ่อ...ไม่สะดวก” น้องเตตอบเบา ๆ ท่าทางกระวนกระวายปนเขิน ๆ ของเธอน่ารักใช่ย่อยเชียวแหละครับ
“อ้อ...แล้วไป...นึกว่าน้องเตรังเกียจพี่ซะแล้ว” ผมถอนใจอย่างโล่งอก พลางส่งยิ้มให้น้องเตซึ่งก็ดูเหมือนว่าถอนใจยาวไม่แพ้เด็กอีกสองคน...แหมๆ ดูสิครับ...ขนาดถอนหายใจผมกับน้องเตยังทำพร้อมกัน...เฮ้อ...คนมันดวงเป็นเนื้อคู่นี่เนอะ...ผมคิดอย่างกระหยิ่ม
“เอ้า...ไม่เป็นไร...เอาไว้วันไหนที่ติวเรื่องในหลักสูตร...หวังว่าพี่คงจะเข้าร่วมวงด้วยได้นะครับ...บังเอิญที่พี่เรียนๆ มาดั๊น คืนครูไปหมดแล้ว...น้องเตคงไม่รังเกียจนะครับที่จะรับสอนนักเรียนโข่งอีกคน” ผมหยอดลูกอ้อนอย่างไม่สนใจท่าโก่งคออาเจียนของยัยเหนือกับหนูอิน น้องเตยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะตอบว่า
“ยินดีค่ะ” โอย...หัวใจจะหยุดเต้นเสียให้ได้...น้องเตจะรู้หรือเปล่าหนอว่ารอยยิ้มของน้องเตกำลังครอบงำหัวใจผมอยู่ทุกวินาที
“แต่ว่าตอนนี้น้าหมอกไปได้แล้วมั้ง...เขาจะเริ่มเรียนกันแล้ว” ยัยเหนือไล่ผมชนิดไม่ไว้หน้า ผมหันกลับมาถลึงตาให้ก่อนจะหันไปบอกน้องเตว่า
“ยังไงวันนี้ถ้าไม่รังเกียจอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะครับ” ปากผมถามแต่มือผมเอื้อมไปสะกิดยัยหลานแรงๆ ยัยเหนือมองหน้าผมงง ๆ ก่อนจะร้องอ๋อเมื่อผมยกนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว...เป็นอันรู้กันระหว่างผมกับยัยเหนือว่าเรากำลังตกลงราคากันอยู่
“อยู่นะพี่เต...นะหนูอิน...น้าหมอกทำกับข้าวอร่อยที่สุดในสวนเลย” ยัยเหนือบอกน้องเตยิ้มรับน้อย ๆ
“ก็ได้ค่ะ...เดี๋ยวถ้าเตสอนเด็ก ๆ เสร็จแล้วจะไปช่วยนะคะ” สำเร็จครับท่าน! ในที่สุดผมก็คืบหน้าได้อีกขั้น ผมเดินผิวปากออกจากศาลาอย่างสบายอารมณ์ พร้อมกับคิดถึงเมนูข้าวเย็นมื้อแรกระหว่างผมกับน้องเต...ผมสัญญากับต้นไม้เลยนะว่า...ครั้งนี้มันจะไม่เป็นครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน...ไม่เชื่อคอยดูสิเอ้า!
สวนผลไม้ของผมนอกจากจะมีไม้ผลยืนต้นทั้งหลายแหล่แล้ว ส่วนหนึ่งตรงหลังบ้านพักผมยังแบ่งเนื้อที่ให้กับแปลงผักสวนครัวด้วย อันนี้ผมปฏิบัติตามคำแนะนำของพี่สาวสุดที่รัก คุณนายน้ำน่าน เพราะฉะนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย กับข้าวมื้อนี้ฝีมือผมต้องอุดมไปด้วยผักปลอดสารจากหลังบ้านแน่นอน
บอกตามตรงนะครับ ถึงผมจะเป็นผู้ชายแต่ก็ชอบเข้าครัวทำกับข้าว แต่ไม่รวมการเก็บล้างนะครับ..อันว่านิสัยนี้มันติดตัวผมมาตั้งแต่สมัยเรียนโน่นแหละครับ ความเป็นเด็กหอและต้องออกค่ายถี่จัด บางที่ที่เราไปดูงานก็ไกลบ้านเสียจนคิดถึงข้าวเหนียวขึ้นมาติดหมัด ผู้หญิงเอกเราที่พอมีน้ำยาก็น้อย ผมจึงเริ่มฝึกทำอาหารมานับแต่นั้น ครูผมก็มีคุณน้ำรินบ้างกับเพื่อนผู้หญิงบ้าง ทำไปทำมานานเขามันก็กลายเป็นความชำนาญอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งเป็นวันดีอย่างวันนี้รับรองฝีมือมีเท่าไหร่ผมทุ่มควักออกมาใช้ไม่อั้น
“พี่หมอก...มีอะไรให้เตช่วยมั้ยคะ?” เสียหวาน ๆ ที่ดังมาจากข้างหลังแม้จะทำให้ผมสะดุ้งโหยงเพราะกำลังเพลินกับการหั่นผัก แต่มันก็ปนมาด้วยความยินดี ผมหันไปยิ้มรับเจ้าของเสียงทันที
“ถ้าน้องเตจะช่วยจริง ๆ ล่ะก็...ยืนยิ้มพร้อมส่งกำลังใจมาให้ก็เหลือเฟือแล้วครับ” เอาอีกแล้ว...ผมเกี้ยวแบบอัตโนมัติอีกแล้วครับ! น้องเตหัวเราะคิกทันทีที่ผมพูดจบ...เฮ้อ...ผู้หญิงอะไรหนอ...แม้แต่อารมณ์ขำก็ยังสวย...
“เวอร์ไปหรือเปล่าคะพี่หมอก...จะไม่ให้เตช่วยจริงๆ เหรอคะ?” เธอถามกลับยิ้ม ๆ ผมได้เสหัวเราะแก้เกี้ยวกับความหน้าหม้อของตัวเองก่อนจะยืนยันนักแน่นว่าให้เธอเป็นแค่คนให้กำลังใจ
“พี่หมอกทำกับข้าวเก่งจังเลย...ไปเรียนมาจากสำนักไหนคะนี่?” เธอถามอย่างทึ่งจัดเมื่อเห็นท่าทางคล่องแคล่วประดุจจอมยุทธ์ของผม ผมฉีกยิ้มกว้างรับคำชมเข้าเต็มทรวง
“ก็เรียนจากแม่บ้าง ถามเพื่อนบ้าง พอทำนานเข้ามันก็ชำนาญไปเอง” ผมบอกอวด ๆ น้องเตหรี่ตามองผมอย่างครุ่นคิด จนผมต้องรีบหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นสายตานั้นเข้า
“แต่น้องเตอย่าเข้าใจผิดนะ...พี่ไม่ใช่แอบนะ...ผู้ชายทั้งแท่งแถมหัวใจก็ว่าง ร่างกายก็โสดด้วยนะ” พอผมพูดจบเธอก็หัวเราะคิกคัก...แหม...น่าเอ็นดู
“เตยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” เธอพูดพลางยิ้มน้อย ๆ ทำให้ผมต้องหัวเราะแก้เกี้ยวอีกครั้ง เพราะกลายเป็นตุ๊กแกกินปูนร้อนท้องเสียเอง “เพียบพร้อมนะครับพี่เนี่ย นอกจากทำกับข้าวอร่อยแล้วซักผ้าถูบ้านก็ถนัดนะครับ...ใครได้เป็นคนรักล่ะก็สบายเชียวล่ะ” ผมโฆษณาตัวเองเมื่อมีโอกาส แต่เห็นน้องเตทำหน้ากระอักกระอ่วนจะบึ้งก็ไม่ใช่ จะหัวเราะก็ไม่เชิงผมจึงรีบพูดตัดบท “เห็นยัยเหนือบอกว่าเตเรียนจบจากกรุงเทพ..จบอะไรมาเหรอครับ” ผมชงประเด็นขึ้นหลังจากยิ้มหัวปนอึ้งกันไปพักใหญ่
“จบบัญชีค่ะ” ผมรู้สึกไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ว่า พอจบคำถามผมเธอทำหน้าแปลก ๆ แถมตอนตอบยังทำเหมือนไม่เต็มใจตอบงั้นแหละ
“อ้าว...พี่นึกว่าจบครู ไหนเหนือบอกว่าเตสอนอยู่โรงเรียนอนุบาลไง...ไปไงมาไงถึงมาสอนที่นี่ได้ล่ะ...งานของเตน่ะน่าจะอยู่ตามบริษัทนี่นา” ...นี่แหละผม...ถึงจะรู้ว่าเขาไม่เต็มใจตอบแต่คนมันอยากรู้นี่ครับทำไงได้ แหะ แหะ
“คือ...เอ่อ...” น้องเตอึกอักพร้อมกับทำสีหน้าลำบากใจ ซึ่งนั่นทำให้ความอยากรู้ของผมกระจายไปในอากาศทันที
“ไม่เป็นไรครับ...ถ้ามันเป็นความลับหรือเรื่องส่วนตัวพี่ก็ขอโทษที่ละลาบละล้วง” ผมบอกเบา ๆ เธอช้อนตาขึ้นมองผมทันที สีหน้าตระหนก “ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ” ผมสำทับเมื่อเห็นการกระอักกระอ่วนของเธอ “เอาไว้เมื่อไหร่ที่น้องเตมีเรื่องไม่สบายใจอยากระบายล่ะก็...อย่าลืมว่าพี่หมอกยังคงรอรับฟังทุกเรื่องของน้องเตเสมอนะครับ” ผมพูพร้อมกับส่งตาหวานเชื่อมสื่อความหมายไปให้ แวววูบไหวปรากฏขึ้นบนเม็ดนิลคู่นั้น ก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเธอหัวเราะขึ้นน้อย ๆ
“ขอบคุณค่ะ” คำขอบคุณที่ดูเหมือนจะตอบรับกลาย ๆ นั้น ทำให้ผมชื่นใจยิ่งกว่ากินน้ำเย็นใส่น้ำยาอุทัยเสียอีก...และทำให้ผมตัดสินใจให้ในสิ่งที่น้อยคนนักจะได้จากผม...นั่นคือ
“นี่เบอร์โทรของพี่...ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ...ไม่สะดวกพบหน้าก็โทรมาได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลยนะครับ” ความจริงที่ผมให้เบอร์นี่ก็หวังอย่างเดียวครับ...เผื่อได้เบอร์โทรกลับด้วยไง...น้องเตรับกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ของผมไปพร้อมกับส่งยิ้มสวยบาดใจมาให้อีกครั้ง
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ” ยิ้มก็หวานตาก็เชื่อม...โอย...ผมอยากบอกน้องเตเหลือเกิน...ว่าเธอกำลังกินพื้นที่ของหัวใจผมมากขึ้นทุกที
อาหารเย็นมื้อสุดแสนพิเศษผ่านไปด้วยความชื่นมื่นและอิ่มท้องกันถ้วนหน้า หลังจากพูดคุยย่อยอาหารกันสักพักน้องเตกับหนูอินก็ลากลับ แม้ผมจะอาสาขับรถไปส่งก็ไม่ยอม ปฏิเสธเสียงแข็งทั้งคู่จนผมอ่อนใจที่จะเซ้าซี้จึงได้แต่ปล่อยให้ความเป็นสุภาพุรุษของผมหายไปพร้อมกับความเกรงใจ
หลังจากบังคับข่มขู่ให้ยัยเหนือเก็บกวาด เก็บล้างห้องครัวเรียบร้อย ผมก็ไม่รอช้าที่จะเฉดศีรษะของยัยตัวยุ่งให้กลับบ้านท่ามกลางเสียงบ่นกะปอดกะแปด แต่ผมไม่สนใจ...วันนี้ผมอยากอยู่คนเดียว ค่ำคืนนี้แม้จะเป็นคืนเดือนมืดก็ไม่ได้มีผลกับอารมณ์ของผมมากนัก เพราะในใจของผมตอนนี้มันสว่างไสวไปด้วยรอยยิ้มกระจ่างใจของผู้หญิงชื่อหอมนามดอกสเลเต...
ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าบ้านทันทีเมื่อได้ยินเสียงคุยกันดังมาจากห้องรับแขก เสียงหนึ่งเป็นเสียงแม่ผมแน่นอน แต่อีกเสียงน่าจะเป็นแขก ความมีมารยาททำให้ผมถอยเพื่อจะหันเหเส้นทางเดินไปทางอื่น ก่อนจะสะดุดกึกเมื่อบทสนทนาทะลุประตูออกมากระทบหูเข้าอย่างจัง
“ไปสวยเลยนะเธอตาหมอกกับหนูหงส์น่ะ...ทางเธอเป็นไงบ้าง” เสียงนี้ผมจำได้ว่าเป็นคุณน้ำริน และชื่อผมกับคุณน้องหัวฟูนั่นก็ทำให้นิสัยเก่าสมัยเด็กเข้าสิงอัตโนมัติ ผมแนบหูเข้ากับรอยแยกข้างประตูทันที
“วุ้ยเธอ...ลูกฉันเป็นผู้หญิงนะจ๊ะ...ฉันเลี้ยงอบรมมาอย่างดีเขาไม่แสดงออกโจ่งแจ้งหรอกจ๊ะ...อย่างมากพอฉันถามเขาก็แค่รับแล้วก็บอกว่า ‘ดีค่ะ’ แค่นี้ก็หรูสุดแล้วล่ะเธอ” เสียงแขกของแม่ผมจีบปากจีบคออธิบาย และประโยคบอกเล่านั้นก็ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพราะคิดไม่ออกจริง ๆ ครับว่าไอ้ท่าสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอย่างนั้น จะเกิดกับคุณน้องหัวฟูได้อย่างไร
“ส่วนของฉันยังเฉย ๆ นะเธอ...แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวอีกหน่อยคงมีอาการบ้างหรอกน่า...หนูหงส์ออกจะสวยน่ารักขนาดนั้น” โอย...ผมจะเป็นลม...แม่ผมถูกผีบังตาแน่ ๆ ทีเห็นน้องหงส์หัวฟูสวยน่ารัก...อยากจะบ้าตายให้รู้แล้วรู้รอดจริง ๆ ผมผละจากประตูอย่างละห้อยละเหี่ยหัวใจก่อนจะเดินเลี่ยงไปทางหลังบ้าน ผ่านค่ายมวยของพ่อ ผมตรงรี่เข้าไปชกกระสอบทรายอย่างเอาเป็นเอาตายจนเด็กในค่ายหันมามองผมเป็นตาเดียว
“เอ้า ๆ เจ้าหมอก ระวังกระสอบแตกนะเว้ย หลายตังค์อยู่” คุณอิทธิพลตะโกนมาก่อนตัว ผมหันไปมองตาขวาง
“โธ่พ่อ...ขอระบายหน่อยกำลังกลุ้ม” ผมโอดอย่างขอความเห็นใจก่อนจะสะบัดมือเร่าๆ เพราะเพิ่งนึกได้ว่าใช้มือเปล่า ๆ กระแทกกระสอบทรายซึ่งนุ่ม...ไม่มีเหลือ
“เฮอะ...อย่างแกมีเรื่องกลุ้มด้วยเรอะ...เจ้าหมอก?” ท่านพ่อผมเย้ายิ้ม ๆ พลางใช้มือหนาเพราะไขมันตบไหล่ผมจนแทบทรุด
“อ้าว...ผมเป็นมนุษย์ปุถุชนนะครับ มันก็ต้องมีเรื่องไม่สบายใจกันบ้าง แถมวัยของผมยังอยู่ในช่วงกิเลสหนา ไม่ใช่วัยกิเลสเตรียมเปลดเกษียนเหมือนพ่อนี่” ผมย้อนกลับหน้าตูม
“เฮ้ย...ไอ้ลูกคนนี้ปากแกนี่มันเสียจนแก้ไม่หายเลยใช่มั้ย?...หนอย...หลอกด่าพ่อเชื้อ เดี๋ยวก็แพ่นกบาลแยกเสียหรอก” ท่านว่าพลางเงื้อมืออูม ๆ ขึ้นสุดแขนจนผมต้องหลบวูบแม้จะรู้ว่าพ่อผมไม่เคยเดี๋ยวแบบแม่ แต่ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นดี
“เอ้า...มีเรื่องกลุ้มอะไรว่ามาเผื่อพ่อช่วยได้” คุณอิทธิพลช่างสมกับที่เป็นต้นกำเนิดแห่งยีนผู้ชายในตัวผมเสียจริง ผมเดินตามไปทรุดนั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะเปิดประเด็นว่า
“พ่อรู้ป่าว...แม่กำลังเย็บถุงใบเบ้อเริ่มเอาไว้คลุมหัวผมให้ชนกับใครก็ไม่รู้”
“อ้าว...ไหนบอกไปเดทกันสองหนแล้วไม่ใช่รึ? อย่างนี้เรียกว่าใครก็ไม่รู้ไม่ได้นะเว้ย!” พ่อสวนกลับเล่นเอาผมอึ้ง
“นี่พ่อก็รู้เรื่องกะแม่ด้วยงั้นสิ?” ผมถามด้วยความสงสัย
“เออสิ...พ่อเห็นว่าที่ลูกสะใภ้แล้วนะ...แหม...น่ารักนิสัยดีจะตาย ผู้หญิงที่ผ่านการคัดสรรฝีมือแม่แกคุณภาพหายห่วง” คุณอิทธพลท่านย้ำด้วยสีหน้ามั่นใจสุด ๆ “ยังไงคนนี้ก็อย่าให้หลุดมือไปล่ะ...เรียบร้อยดี...พ่อชอบ” ท่านสำทับก่อนจะตบไล่ผมอีกข้าง (สงสัยจะให้สมดุลกับข้างที่แทบทรุดเมื่อครู่) ก่อนจะยิ้มร่าไปควบคุมเด็กในค่ายต่อ ปล่อยให้ผมนั่งมองตาปริบ ๆ อย่างอัศจรรย์ใจ...นี่คนในบ้านผมเป็นอะไรกันไปหมดหนอ...ตาทำด้วยถั่วหรือไรถึงได้มองเห็นน้องหัวฟูซึ่งในสายตาผม...ขนาดข้างหลังยังดูสยอง...แต่ทุกคนกลับเหมือนหลับหูหลับตามองถึงได้เห็นว่าน้องหัวฟูดีอย่างโน้น เรียบร้อยอย่างนี้...โอย...ผมจะบ้าตาย
ผมคิดภาพไม่ออกจริง ๆ ว่าถ้าเกิดผมตกร่องผปล่องชิ้นกับคุณน้องหงส์เข้าตามประสงค์คุณแม่...ชีวิตผมคงถึงกาลวิบัติในไม่ช้านี้แน่ ๆ ...แล้ว..น้องเต...แม่ดอกสเลเตกลิ่นกรุ่นของผมเล่า...โธ่...ชีวิต...แค่คิดก็มืดมนเสียแล้วนายหมอกเอ๋ย...
ความคิดเห็น