คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : แสบ...ยกแรก
เล่ห์รักตามหลัก แสบ
1
จำผมได้ไหมครับ !
หลายคนคงค้อนควักตะบักตะบวยไปหลายตลบ แถมบางคนจะแถมคำสรรเสริญ มาเสียอีกด้วย ถ้าเป็นคนที่กล้าหน่อย(ซึ่งผมคิดว่าอาจจะมีเยอะเสียด้วย)คงจะตะโกนก้องว่า 'ก็แล้วมึงเป็นใครละโว้ย' อะไรประมาณนั้น
เอาล่ะ ผมคิดว่า ผมแนะนำตัวดีกว่านะครับ เพื่อเป็นการป้องกันกิริยาอาการต่าง ๆ ข้างต้น ผมชื่อน้ำหมอกครับ เห็นมะ หลายคนเริ่มจะทำหน้าตาครุ่นคิด แล้วพอผมบอกเพิ่มว่า ผมเป็นน้องชายของคุณนายน้ำน่าน และเป็นคู่แฝดนรกกับ(ไอ้)น้ำมนต์ รับรอง(มั้ง)ว่าต้องมีคนร้องอ๋อ .กันเป็นแถบ(ขออนุญาติหลงตัวเองหน่อยครับ แหะ แหะ นาน ๆ มีโอกาสที)
ครับ ไหน ๆ ก็มีคนจำได้บ้าง ไม่ได้บ้างแล้ว ผมก็อยากจะเล่าเรื่องราวที่ผ่าน ๆ มาให้ฟังซะหน่อย เผื่อจะมีคนคิดถึงพี่สาวสุดเซี้ยว และพี่ชงฆ์สุดหล่อของผมบ้าง
พี่น้ำน่านกับพี่ชงฆ์แต่งงานกันหลังจากที่พี่ชงฆ์เรียนจบ และเปิดบริษัทเล็ก ๆ ที่ร่วมทุนกับผองเพื่อน เรื่องแต่งงานนี่จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่งานแต่งที่ราบรื่นสักเท่าไหร่หรอกครับ เพราะก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่า คุณพ่อของผมท่านต้องการให้ลูกสาวคนเดียวกลับมาอยู่ ที่บ้าน(ก.ท.ม. = กลางทุ่งนามหาสารคาม) และความต้องการที่ว่า ก็แทบจะทำให้งานแต่งงานไม่เกิดขึ้น เพราะท่านพ่อประกาศลั่นว่า
'ถ้าจะอยู่ที่อื่น ฉันไม่อนุญาติให้แต่งว้อย'
เล่นเอาปั่นป่วนกันไปพักใหญ่ ดีว่าคุณน้ำทั้งคู่ (น้ำริน + น้ำน่าน) ท่านได้ประชุมลับเป็นการส่วนตัว ก่อนที่ไม่กี่วันต่อมาจะมีเหตุการณ์ชุลมุนเกิดขึ้น ในตอนนั้นผมกับนายมนต์โดนกันออกจากห้อง 'เอ็ดตะโร' ด้วยคำจำกัดความที่ว่าเด็ก แต่ไอ้การยิ่งห้าม มันก็เหมือนยิ่งยุ อย่างว่าแหละครับผมกับนายมนต์จึงได้ใช้วิชา 'แอบ' ฟังตามรอยแตกของหน้าต่างหลังบ้าน เสียงที่แว่ว ๆ มาแบบกระท่อนกระแท่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้สมองอันปราดเปรื่องของผมกับนายมนต์จับใจความไม่ได้หรอกนะครับ
'พ่อนึกไม่ถึงเลยว่าน่านจะเป็นคนแบบนี้ ปล่อยให้ท้องได้ยังไง'
เพราะประโยคนี้ของพ่อแหละครับ ทำให้ผมพอเดาได้ว่าเรื่องที่คุณนายทั้งสองท่านประชุมกันมันเรื่องอะไร แต่อย่านึกนะครับว่าเรื่องท้องเรื่องไส้ของพี่น่านจะเป็นเรื่องจริง ธ่อ คุณที่เคยติดตามเรื่องมาจะจำไม่ได้เชียวหรือว่าพี่สาวผมแกหวงตัวได้ชนิดพอดี ๆ แหละครับ แล้วพี่ชงฆ์ก็ดูจะ 'เกรงใจ' พี่สาวผมจะตาย ถ้าเกิดเรื่องที่พี่น่านท้องเป็นเรื่องจริง ผมว่าคนที่จะโดนหนักที่สุดคงเป็นพี่ชงฆ์แหละครับ แหม ก็พี่น่านน่ะ มือหนักหยอกเสียเมื่อไหร่ เรื่องนี้ผมกับนายมนต์ยืนยันได้
อีกอย่างที่ทำให้ผมรู้ว่าเรื่องที่พี่น่านท้องเป็นเรื่องกุขึ้น ก็เพราะหลังจากที่พี่น่านคลอดลูกชายคนแรก พี่ชงฆ์แอบมากระซิบกับผมว่า
'นายหมอกเอ้ย พยายามแทบตายเชียวแหละกว่าจะท้องได้ตามกำหนด'
เป็นไงครับติดเรตดีมั้ยคำพูดพี่เขยผม
ถึงแม้ว่าในตอนแรกทั้งพี่สาวและพี่เขยของผมจะดำรงตนเป็นคนเมือง แต่ในที่สุดเมื่อโดนพิษเศรษฐกิจขาลง (ความจริงผมว่าน่าจะเป็นขาขึ้น ขึ้นก่ายหน้าผาก5555) ท่านพี่ทั้งสองจึงได้แพ็คกระเป๋า โบกมือบ๊าย บายเมืองฟ้าอำมร กลับสู่บ้านเกิด(แน่นอนต้องมหาสารคาม จะให้ไปลำปางได้ยังไง บอกแล้วพี่เขยผมเกรงใจเมีย) ท่ามกลางความดีใจจนออกนอกหน้าของคุณอิทธิพล พ่อผม ซึ่งนอกจากจะยินดีที่ลูกสาวกลับบ้านแล้ว หลานชายกับหลานสาววัยกำลังซนก็สร้างความชุ่มชื่นรื่นหัวใจ คนแก่พุงพลุ้ยอย่างพ่อผมเป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงคุณน้ำรินมารดาบังเกิดเกล้าด้วย
ความจริงผมอยากจะขอบพระคุณหลานทั้งสองมาก ที่ทำให้ทุกคนในครอบครัวมุ่งความสนใจไปที่คุณหลาน จนทำให้เลิกมาให้ความสนใจกับผมและนายมนต์ เป็นช่วงเวลาอิสระที่ผมรอคอยมานานเชียวแหละครับ ก็แหม ไอ้การเป็นคู่ที่อายุน้อยที่สุดในบ้านมันทำให้ทั้งผมกับนายมนต์ โดนมองเป็นเด็กอยู่เรื่อย แม้ว่าตอนนั้น ผมกำลังจะสอบเอ็นสะท้านอยู่มะรอมมะร่อ !
-_-!
คงเป็นเพราะการเกรงใจภรรยาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของพี่เขยผม หลานชายหลานสาวทั้งหมดจึงถูกโอนชื่อมาเข้าตระกูลน้ำทั้งสิ้น ..น้ำทองคือชื่อของหลานชายคนโต น้ำทิพย์คือชื่อของหลานสาวคนแรก แถมด้วยยัยคนสุดท้องที่คลานตามมาเพิ่มอีกคนคือ น้ำเหนือ
ดูเหมือนว่า นายน้ำทองกับยัยหนูน้ำทิพย์จะรับเอาพันธุกรรมทางพ่อมาเยอะ เห็นได้จากกริยามารยาทที่ดูสุขุม เรียบร้อย สวนยัยหนูน้ำเหนือนะหรือครับ คงต้องบอกว่า คุณน้ำรินผสมกับคุณน้ำน่านสักสามครั้งถึงจะมีผลลัพธ์เป็นยัยน้ำเหนือ !
เอาเถอะครับ พักเรื่องของคนอื่น ๆ ไว้ก่อน มาอ่านเรื่องของผมกับนายมนต์กันบ้างดีกว่า ก็แหม ยัยคนเขียนรับรองกะผมแล้วนี่นาว่าจะให้ผมเป็นพระเอก จะมัวพูดถึงคนอื่น ผมก็ไม่เด่นสิครับ น่า ไม่ต้องเสียใจ เรื่องของคนอื่นจะตามมาในไม่ช้า ยัยคนเขียนกระซิบมาว่างั้น
หลังจากที่ผมเอ็นสะท้านไม่ติด ซึ่งมันก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่เก่งนะ เพราะตอน อยู่ในห้องสอบผมวิเคราะห์คำตอบทุกข้อเป็นอย่างดี คำตอบที่ผมฝนไปทุกข้อ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไหงพอผลออกมา คะแนนผมถึงได้ริบหรี่นักก็ไม่รู้ อันนี้ผมไม่โทษตัวเองหรอก ผมโทษคนออกข้อสอบโน่น คำถามต้องวิเคราะห์ คำตอบต้องวิแคะ หรือบางทีอาจเป็นที่คอมพิวเตอร์ก็ได้ ไม่แน่นา ตอนตรวจกระดาษคำตอบของผม มันอาจจะเริ่มขี้เกียจคือ ตรวจบางข้ออะไรประมาณนี้
แต่ถึงผมจะแก้ตัวทั้งกับตัวเองและคนอื่นอย่างไร ความจริงที่ว่าผมเอ็นไม่ติดก็ยังคงสะกิดหัวใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
นายมนต์แฝดผู้พี่ของผมเกิดก่อนผมแค่ไม่กี่นาที ดันเอ็นท์ติด แถมติดคณะวิศวะ มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศเสียด้วย นายมนต์เลยกลายเป็นความภูมิใจของแม่ไปโดยปริยาย เพราะเป็นลูกคนเดียวที่เอ็นท์ติด ส่วนผมนะรึ โดนค่อนแคะไปตามระเบียบ แต่ผมมีข้อแก้ตัวนะ ผมบอกคุณน้ำรินว่า
'แม่นั่นแหละผิด แม่เบ่งนายมนต์ออกมาก่อน มันได้สูดอากาศก่อน สมองมันเลยโตเต็มที่ แต่ตอนที่แม่เบ่งหมอก แม่เหนื่อยแล้วนี่ แรงเบ่งน้อย ผมเลยสูดอากาศไม่ทันนายมนต์ สมองเลยค่อนข้างตีบ'
คำแก้ตัวของผมทำให้โดนซัดไปหลายผัวะเหมือนกัน โทษฐานที่คำพูดไม่สมเหตุสมผล แต่ถึงผมจะเอ็นไม่ติด ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในบ้านจะซ้ำเติมผม พ่อแม่ พี่สาว พี่เขย รวมทั้งนายมนต์ เข้าอกเข้าใจผมเป็นอย่างดี
แล้วยิ่งตอนผมประกาศภายหลังกลางงานเลี้ยงเอ็นท์ติดของนายมนต์ว่า ความจริงแล้วคะแนนผมติดโควต้ามหาวิทยาลัยในจังหวัดบ้านเกิด ผมก็โดนกำปั้นทั้งครอบครัวทุบจนจุกด้วยความเข้าอกเข้าใจ โทษฐานที่ทำให้ความเห็นใจหลั่งไหลไม่ขาดสาย ถึงตรงนี้ผมไม่อยากจะบอกเล้ย ว่าความสามารถพิเศษของผมก็คือ การเก็บความลับเป็นเยี่ยมนี่แหละครับ
กระซิบนิดหนึ่ง 'ความเห็นใจ' ที่ผมบอกว่าหลั่งไหลไม่ขาดสายนั่นก็คือ นาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดจากคุณอิทธิพล รองเท้ากีฬาราคาแพงหูดับ (สำนวนคุณน้ำรินท่านล่ะ) ที่ผมเคยร่ำร้องจากคุณน้ำริน เครื่องเล่น DVD จากคุณพี่สาวและพี่เขย และกล้องดิจิตอลจากนายมนต์ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าขณะนี้ คนอ่านบางคนคงอยากร่วมสกรัมผมบ้างแล้วกระมัง !
อ้อ ขอแถมครับ 'ความเห็นใจ' นอกเหนือจากของผู้ใหญ่ ของเด็กก็มีนะครับ หลานคนหัวปีนายน้ำทอง ให้สีไม้ผมกล่องหนึ่ง นัยว่าเอาไว้วาดความฝันอะไรทำนองนี้แหละ แหม มันฉลาด ส่วนหนูน้ำทิพย์เอาท๊อฟฟี่ 1 กำมือมายัดให้ผมโดยไม่พูดอะไร
ทีนี้ก็เหลือคนสุดท้ายคือยัยน้ำเหนือ ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ในพุงโย้ ๆ ของพี่สาวผม รู้ไหมครับว่าอะไรคือความเห็นใจจากยัยตัวแสบ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ออกมาดูโลกด้วยซ้ำ พอผมก้มลงไปถาม 'จะให้อะไรน้า' มันถีบผมโครมเบ้อเร่อ แหม มันร้ายตั้งแต่อยู่ในท้องเลยเห็นมะ !
-_-!
หลังจากแยกย้ายกันไปเรียนคนละที่ แถมเรียนกันคนละอย่าง นายมนต์ติดวิศวะ ส่วนผมติดเกษตร เป็นไงครับ ต่างกันชนิดสุดขั้วเลย ผมจบตามเกณฑ์ ในขณะที่นายมนต์ต้องเรียนถึงห้าปีตามเกณฑ์วิศวะเหมือนกัน
หลังจากเรียนจบคุณอิทธิพลพ่อผม แบ่งที่ทางให้ผมได้ลองวิชา ความจริงจะว่าไปแล้ว ผมก็ลองวิชามาตั้งแต่เริ่มเรียนนั่นแหละครับ โดยใช้สวนที่พ่อปลูกต้นไม้ทิ้ง ๆ เอาไว้เป็นแหล่งทดลอง กว่าผมจะเรียนจบ ก็พอดีไม้ผลที่ผมทดลองก็ให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้พอดี ผมฉลาดมั้ยครับ
ผมปลุกปล้ำกับการเป็นเจ้านายตัวเองอยู่หลายปี นายมนต์ที่เรียนจบและได้งานทำ ก็กลับบ้าน แจ้งข่าวดีที่ทำให้คุณอิทธิพลแทบจะปิดหมู่บ้านฉลอง นายมนต์หัวดีสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศได้ครับ
นอกจากจะเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริกแล้ว ตอนไปส่งยิ่งกว่าเอิกเกริกอีกครับ ดอนเมืองแทบพัง นี่ดีนะว่าผมยับยั้งวงโยธวาทิตของคุณอิทธิพลไว้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้น สงสัยคงได้ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เป็นแน่
พ่อผมเฝ้าแต่พร่ำคำคุณพระคุณเจ้าให้มาคุ้มครองสมองอันปราดเปรื่องของนายมนต์ ส่วนคุณแม่นั้นเล่า ก็เฝ้าแต่เพียรพร่ำว่า อย่าหาเมียแหม่มมาให้ โดยให้เหตุผลว่า
'สมัยเรียนแม่ตกภาษาอังกฤษประจำ เดี๋ยวคุยกันไม่รู้เรื่อง'
ท่านว่าอย่างนั้น นายมนต์รับคำหนักแน่น แต่ผมดันมองไปเห็นนิ้วไขว้กันสัญลักษณ์ 'โกหกนะว้อย' อยู่ด้านหลัง ผมยิ้มให้นายมนต์อย่างรู้กัน แต่ไม่พูดอะไรหรอกครับ แหม ก็บอกแล้วว่าผมเก็บความลับเก่งสุดยอด อีกอย่าง ถ้าเป็นผม มีรึจะยอมให้ผู้หญิงสวย ๆ เล็ดรอดสายตาและหัวใจไปได้ ยิ่งอยู่ไกลหูไกลตาแม่ด้วยแล้ว ถึงไหนถึงกันสิน่า เฮ้อ ชักอิจฉานายมนต์แฮะ
ตอนที่นายมนต์กลับจากเมืองนอก เจ้าทองลูกชายคนโตของพี่น่าน เอ็นติดสถาปัตย์พอดิบพอดี บ้านเราจึงได้มีโอกาสเลี้ยงใหญ่อีกครั้ง กระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว ตามสไตล์คุณประหยัดของพี่น่าน นายมนต์กลับมาทำงานใช้ทุนอยู่พักใหญ่ ก็ชิงตัดหน้าผม แต่งงาน
ดีว่าเจ้าสาวของนายมนต์ไม่ได้เป็นแหม่มอย่างที่ใคร ๆ นึกกลัว (โดยเฉพาะคุณน้ำริน) กลับเป็นพยาบาลสาวที่นายมนต์ไปเจอะ ไปจีบมาตั้งแต่อยู่เมืองนอกโน่น (ไอ้)นายมนต์นี่มันวาดสะหนาดีจริง ผับผ่าสิ
หลังแต่งงานนายมนต์ก็ไปทำงานใช้ทุนต่อ แต่ยังคงขยันพาภรรยามาเยี่ยมครอบครัวอยู่ทุกบ่อย แรก ๆ ที่นายมนต์แต่งงานก็ไม่กระไรหรอกครับ แต่พอนานไปสักหน่อย รู้สึกสายตาหลาย ๆ คู่จะมาตกอยู่ที่หนุ่มโสดอย่างผมซะนี่
"หมอก ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วลูก"
คุณน้ำรินถามผมในเย็นวันหนึ่ง ผมมองเห็นลูกกะตายิก ๆ ของคุณแม่ท่านแล้วชักจะหวั่นใจแฮะ มาไม้ไหนอีกหนอ
"แม่เป็นแม่หมอกจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นแม่จริงทำไมจำไม่ได้ว่าเบ่งลูกออกมาเมื่อไหร่ และผ่านไปกี่ปีแล้ว เอ๊ะ หรือแม่ชักจะแก่"
ผมย้อนคืนตามนิสัยน้ำลายบูดที่แก้ยังไงก็ไม่หาย ได้ผลครับ ลูกกะตายิก ๆ ของคุณน้ำรินเปลี่ยนเป็นเขียวปี๋อย่างรวดเร็ว น่าจับล้อมผ้าเก็บตังค์เสียนี่กระไร
"ชิ ชะ ถามทำย้อน เดี๋ยวจะโดน"
ขอโทษเถอะครับ ไอ้คำว่า 'เดี๋ยว' ของคุณน้ำรินน่ะ หมายความว่า ผมโดนโดยไม่ต้องเดี๋ยวแล้วล่ะครับ ผมอุบอิบบอกอายุพร้อมกับลูบหัวป้อย ๆ พอได้รับคำตอบที่น่าพอใจ คุณท่านของผมก็กลับไปทำลูกกะตาแพรวพราวใหม่
"อือม ก็ถือว่าหนุ่มจัดแล้วนะ"
ฟังสำนวนท่านสิครับ หนุ่มจัด ฟังไปฟังมาผมไพล่คิดไปถึงไม้ผลที่ถึงเวลาแก่จัดจนใกล้จะหล่นจากขั้วนั่นเทียว
"เมื่อไหร่จะมีสะใภ้ให้แม่เสียทีล่ะลูก หมอกมอง ๆ ใครบ้างหรือยัง" คุณท่านถามต่อ
"โฮ้ย..ยายไม่รู้อะไร น้าหมอกเค้ามีแล้วล่ะที่หมายตาน่ะ เป็นดงเลย"
ยัยน้ำเหนือตัวแสบเอ่ยขึ้น หลังจากเสียมารยาทนั่งฟังผู้ใหญ่คุยกันอยู่เป็นนาน คุณน้ำรินหันขวับไปมองหลานตัวโปรดทันที ผมเองก็มองเจ้าตัวร้ายตาเขม็งเหมือนกัน ก็ผมมั่นใจว่าไม่เคยแอบมองใครที่ไหนนี่ครับ (มองแบบจริงจังน่ะไม่มีจริง จริ๊ง สาบานให้ฟ้าผ่าต้นหมากเลยเอ้า) แล้วจะให้มามีที่หมายตาได้ยังไง แถมเป็นดงเสียด้วย ชักทะแม่ง ๆ แฮะ
"ธ่อ ยายไม่รู้อะไร น้าหมอกเค้าซ่อนไว้หลังบ้านสวนแน่ะ ที่น้าหมอกไม่ค่อยกลับบ้านก็เพราะสาว ๆ ดงนี้แหละ ยิ่งตอนนี้กำลังตั้งท้องกันทั้งดงเลย"
ยัยตัวแสบลอยหน้าลอยตาตอบ และนั่น ทำให้คุณน้ำรินถึงกับตบอกปุเลยทีเดียว ส่วนผมนะหรือครับ งงสิครับงง มันเอาอะไรของมันมาพูด
"พูดให้สวย ๆ เหมือนชื่อแกหน่อยยัยเหนือ ไหนอธิบายให้เคลียร์"
ผมทำเสียงเข้มข่มขวัญ แต่อย่างว่าแหละครับ ยัยตัวแสบมันเคยกลัวใครที่ไหน
"เก๊าะ คุณตานี คุณน้ำว้า คุณไข่ ที่ห่มสไบสีเขียวอยู่หลังบ้านน้าไง" ยัยตัวแสบบอกพร้อมกับถอนหายใจหนัก ๆ "เฮ้อ แค่นี้ทำนึกไม่ออก แต่ก็อย่างว่าแหละเนอะ คนแก่ ตามมุกเด็กไม่ทันหรอก"
มันว่าของมันพร้อมกับเดินส่ายหน้าด๊อกแด๊กจากไป ผมมัวแต่คิดถึงคุณ ๆ ที่มันเอ่ยชื่อมา ก็เลยไม่ทันได้ตอบโต้อะไร เออ ฝากเอาไว้ก่อนยัยตัวแสบ !
"แม่รู้หรือยังว่ายัยเหนือหมายถึงอะไร" ผมหันมาถามคุณน้ำรินที่ตอนนี้กำลังดมยาวุ่น
"แล้วใครล่ะยะคุณทั้งหลายของแก ชื่อเหมือนกล้วยเหลือเกิ๊น" คุณน้ำรินตอบพร้อมกับส่งค้อนประหลับปะเหลือกมาให้ผมด้วย ผมหัวเราะสนั่นทุ่งก่อนจะเฉลย
"ก็กล้วยนะสิแม่ก็ ผมลงกล้วยไว้หลังบ้านสวนน่ะ รุ่นแรกกำลังได้ผล พูดง่าย ๆ ก็คือกำลังตั้งท้องตามสำนวนยัยเหนือนั่นแหละ" ผมพูดพร้อมกับหัวเราะอีกครั้ง คราวนี้มีคุณน้ำรินร่วมผสมโรงด้วย
"เออ..แล้วไป แหม๊ ใจหายหมดนึกว่าจะได้ลูกสะใภ้ที่ไม่ได้เลือกเสียแล้ว"
การพึมพำของคุณน้ำริน สะดุดหูผมโครมเบ้อเร่อเลยล่ะครับ และนั่นทำให้ผมหุบยิ้มแทบจะทันที
"แม่พูดยังกะว่าเลือกไว้แล้วงั้นแหละ" ผมลองหยั่งเชิงพร้อมๆ กับรู้สึกขนลุกอย่างไม่มีสาเหตุ
"แหม ก็ไม่ถึงกับขนาดว่าเลือกเลิกอะไรหรอก แม่แค่มอง ๆ ไว้เผื่อแกเฉย ๆ " คุณน้ำรินบอกเขิน ๆ แต่ผมกลับแทบตกจากเก้าอี้ เอาแล้วไหมล่ะแม่ผม หาเรื่องซวยมาให้แล้วไง
"อย่านะแม่ !"
ผมตะโกนเสียงดัง และค่อนข้างมั่นใจว่าตาผมคงเหลือกจนแทบจะถลน เพราะคุณน้ำรินเธอทำท่าตกอกตกใจในตอนแรก (กับเสียงตะโกนของผม) ก่อนจะส่งค้อนวงใหญ่มาให้
"ทำไมยะ จะมาห้ามฉันทำไม ฉันหาให้น่ะดีแล้ว เพราะรอแกหาเองมานานเต็มทีแล้ว เอ๊ะ หรือว่าแกชอบป่าเดียวกัน" ท่านพูดพร้อมกับทำท่าตกใจอีกรอบ ผมรีบปฏิเสธเสียงหลง
"ไม่ช้าย ผมลูกผู้ชายทั้งแท่งนะแม่..แต่..อย่าครับคุณแม่ที่เคารพ ผมขอร้อง ถ้าผมจะหาเหาใส่หัว ขอให้ผมเลือกเหาตัวนั้นด้วยตัวเองเถอะครับ" ผมโอดครวญเมื่อเห็นท่าไม้ตายของคุณน้ำริน
"เหอะ หาเอง โธ่เอ้ยเจ้าหมอก แม่รอเหาแกจนจะแก่ตายอยู่แล้ว ไม่รู้ล่ะ ยังไงแม่ก็อยากให้แกไปเจอเหาตัวที่แม่มองไว้เผื่อแกเสียก่อน หนูหงษ์น่ะ ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรหรอกนะ เอาไว้แกเจอก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ไม่แน่นา แกอาจจะปิ๊งคนนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ทุ่มครึ่งที่ร้าน 'กลางเดิ่น' นะห้ามผิดเวลาล่ะ นัดครั้งแรกอย่าไปสาย อ้อ แล้วก็ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษกับหนูหงษ์ด้วยล่ะ"
คุณน้ำรินร่ายยาว ชนิดไม่เปิดโอกาสให้ผมได้โต้แย้ง พอพูดจบตามประสงค์ ท่านก็ลุกขึ้นสะบัดบั้นท้ายที่เริ่มจะมโหฬารตามอายุจากไป โดยไม่วายส่งสายตาถมึงทึงที่เริ่มคล้ายนางผีเสื้อสมุทร พร้อมกับชี้หน้าผมเป็นการส่งท้าย
เอาละสิครับท่านผู้อ่าน ไอ้ผมชักจะเริ่มคันศีรษะขึ้นมาตะหงิด ๆ ลางร้ายบางอย่างส่งสัญญาณเตือนผมว่า นับจากนี้ต่อไป คงมีเหาหลายตัวแวะเวียนมาสร้างความปวดเศียรให้ผมเป็นแน่แท้ กรรมของเวรแท้ ๆ ตอนนี้ผมขอเกาล่วงหน้าก่อนนะคะร้าบ
-_-!
ความคิดเห็น