ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รักตามหลัก...แสบ

    ลำดับตอนที่ #1 : แสบ...ยกแรก

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.พ. 49


    เล่ห์รักตามหลัก…แสบ

    1

    จำผมได้ไหมครับ !

    หลายคนคงค้อนควักตะบักตะบวยไปหลายตลบ แถมบางคนจะแถมคำสรรเสริญ มาเสียอีกด้วย ถ้าเป็นคนที่กล้าหน่อย(ซึ่งผมคิดว่าอาจจะมีเยอะเสียด้วย)คงจะตะโกนก้องว่า 'ก็แล้วมึงเป็นใครละโว้ย' อะไรประมาณนั้น

    เอาล่ะ…ผมคิดว่า ผมแนะนำตัวดีกว่านะครับ เพื่อเป็นการป้องกันกิริยาอาการต่าง ๆ ข้างต้น…ผมชื่อน้ำหมอกครับ…เห็นมะ…หลายคนเริ่มจะทำหน้าตาครุ่นคิด แล้วพอผมบอกเพิ่มว่า …ผมเป็นน้องชายของคุณนายน้ำน่าน และเป็นคู่แฝดนรกกับ(ไอ้)น้ำมนต์…รับรอง(มั้ง)ว่าต้องมีคนร้องอ๋อ….กันเป็นแถบ(ขออนุญาติหลงตัวเองหน่อยครับ …แหะ…แหะ…นาน ๆ มีโอกาสที)

    ครับ ไหน ๆ ก็มีคนจำได้บ้าง ไม่ได้บ้างแล้ว ผมก็อยากจะเล่าเรื่องราวที่ผ่าน ๆ มาให้ฟังซะหน่อย เผื่อจะมีคนคิดถึงพี่สาวสุดเซี้ยว และพี่ชงฆ์สุดหล่อของผมบ้าง

    พี่น้ำน่านกับพี่ชงฆ์แต่งงานกันหลังจากที่พี่ชงฆ์เรียนจบ และเปิดบริษัทเล็ก ๆ ที่ร่วมทุนกับผองเพื่อน…เรื่องแต่งงานนี่จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่งานแต่งที่ราบรื่นสักเท่าไหร่หรอกครับ…เพราะก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่า คุณพ่อของผมท่านต้องการให้ลูกสาวคนเดียวกลับมาอยู่ ที่บ้าน(ก.ท.ม. = กลางทุ่งนามหาสารคาม) และความต้องการที่ว่า ก็แทบจะทำให้งานแต่งงานไม่เกิดขึ้น เพราะท่านพ่อประกาศลั่นว่า

    'ถ้าจะอยู่ที่อื่น ฉันไม่อนุญาติให้แต่งว้อย'

    เล่นเอาปั่นป่วนกันไปพักใหญ่ ดีว่าคุณน้ำทั้งคู่ (น้ำริน + น้ำน่าน) ท่านได้ประชุมลับเป็นการส่วนตัว ก่อนที่ไม่กี่วันต่อมาจะมีเหตุการณ์ชุลมุนเกิดขึ้น…ในตอนนั้นผมกับนายมนต์โดนกันออกจากห้อง 'เอ็ดตะโร' ด้วยคำจำกัดความที่ว่าเด็ก…แต่ไอ้การยิ่งห้าม มันก็เหมือนยิ่งยุ…อย่างว่าแหละครับผมกับนายมนต์จึงได้ใช้วิชา 'แอบ' ฟังตามรอยแตกของหน้าต่างหลังบ้าน เสียงที่แว่ว ๆ มาแบบกระท่อนกระแท่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้สมองอันปราดเปรื่องของผมกับนายมนต์จับใจความไม่ได้หรอกนะครับ

    'พ่อนึกไม่ถึงเลยว่าน่านจะเป็นคนแบบนี้…ปล่อยให้ท้องได้ยังไง'

    เพราะประโยคนี้ของพ่อแหละครับ ทำให้ผมพอเดาได้ว่าเรื่องที่คุณนายทั้งสองท่านประชุมกันมันเรื่องอะไร…แต่อย่านึกนะครับว่าเรื่องท้องเรื่องไส้ของพี่น่านจะเป็นเรื่องจริง…ธ่อ…คุณที่เคยติดตามเรื่องมาจะจำไม่ได้เชียวหรือว่าพี่สาวผมแกหวงตัวได้ชนิดพอดี ๆ แหละครับ…แล้วพี่ชงฆ์ก็ดูจะ 'เกรงใจ' พี่สาวผมจะตาย ถ้าเกิดเรื่องที่พี่น่านท้องเป็นเรื่องจริง ผมว่าคนที่จะโดนหนักที่สุดคงเป็นพี่ชงฆ์แหละครับ…แหม…ก็พี่น่านน่ะ มือหนักหยอกเสียเมื่อไหร่…เรื่องนี้ผมกับนายมนต์ยืนยันได้

    อีกอย่างที่ทำให้ผมรู้ว่าเรื่องที่พี่น่านท้องเป็นเรื่องกุขึ้น ก็เพราะหลังจากที่พี่น่านคลอดลูกชายคนแรก พี่ชงฆ์แอบมากระซิบกับผมว่า

    'นายหมอกเอ้ย…พยายามแทบตายเชียวแหละกว่าจะท้องได้ตามกำหนด'

    เป็นไงครับติดเรตดีมั้ยคำพูดพี่เขยผม…

    ถึงแม้ว่าในตอนแรกทั้งพี่สาวและพี่เขยของผมจะดำรงตนเป็นคนเมือง แต่ในที่สุดเมื่อโดนพิษเศรษฐกิจขาลง (ความจริงผมว่าน่าจะเป็นขาขึ้น…ขึ้นก่ายหน้าผาก5555) ท่านพี่ทั้งสองจึงได้แพ็คกระเป๋า โบกมือบ๊าย บายเมืองฟ้าอำมร กลับสู่บ้านเกิด(แน่นอนต้องมหาสารคาม จะให้ไปลำปางได้ยังไง บอกแล้วพี่เขยผมเกรงใจเมีย) ท่ามกลางความดีใจจนออกนอกหน้าของคุณอิทธิพล พ่อผม ซึ่งนอกจากจะยินดีที่ลูกสาวกลับบ้านแล้ว หลานชายกับหลานสาววัยกำลังซนก็สร้างความชุ่มชื่นรื่นหัวใจ คนแก่พุงพลุ้ยอย่างพ่อผมเป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงคุณน้ำรินมารดาบังเกิดเกล้าด้วย

    ความจริงผมอยากจะขอบพระคุณหลานทั้งสองมาก ที่ทำให้ทุกคนในครอบครัวมุ่งความสนใจไปที่คุณหลาน จนทำให้เลิกมาให้ความสนใจกับผมและนายมนต์ เป็นช่วงเวลาอิสระที่ผมรอคอยมานานเชียวแหละครับ…ก็แหม…ไอ้การเป็นคู่ที่อายุน้อยที่สุดในบ้านมันทำให้ทั้งผมกับนายมนต์ โดนมองเป็นเด็กอยู่เรื่อย แม้ว่าตอนนั้น ผมกำลังจะสอบเอ็นสะท้านอยู่มะรอมมะร่อ !

    -_-!

    คงเป็นเพราะการเกรงใจภรรยาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของพี่เขยผม…หลานชายหลานสาวทั้งหมดจึงถูกโอนชื่อมาเข้าตระกูลน้ำทั้งสิ้น ..น้ำทองคือชื่อของหลานชายคนโต น้ำทิพย์คือชื่อของหลานสาวคนแรก แถมด้วยยัยคนสุดท้องที่คลานตามมาเพิ่มอีกคนคือ น้ำเหนือ…

    ดูเหมือนว่า นายน้ำทองกับยัยหนูน้ำทิพย์จะรับเอาพันธุกรรมทางพ่อมาเยอะ เห็นได้จากกริยามารยาทที่ดูสุขุม เรียบร้อย สวนยัยหนูน้ำเหนือนะหรือครับ…คงต้องบอกว่า คุณน้ำรินผสมกับคุณน้ำน่านสักสามครั้งถึงจะมีผลลัพธ์เป็นยัยน้ำเหนือ !

    เอาเถอะครับ พักเรื่องของคนอื่น ๆ ไว้ก่อน มาอ่านเรื่องของผมกับนายมนต์กันบ้างดีกว่า …ก็แหม…ยัยคนเขียนรับรองกะผมแล้วนี่นาว่าจะให้ผมเป็นพระเอก…จะมัวพูดถึงคนอื่น ผมก็ไม่เด่นสิครับ …น่า ไม่ต้องเสียใจ เรื่องของคนอื่นจะตามมาในไม่ช้า…ยัยคนเขียนกระซิบมาว่างั้น…

    หลังจากที่ผมเอ็นสะท้านไม่ติด…ซึ่งมันก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่เก่งนะ เพราะตอน อยู่ในห้องสอบผมวิเคราะห์คำตอบทุกข้อเป็นอย่างดี คำตอบที่ผมฝนไปทุกข้อ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์…แต่ไหงพอผลออกมา คะแนนผมถึงได้ริบหรี่นักก็ไม่รู้…อันนี้ผมไม่โทษตัวเองหรอก ผมโทษคนออกข้อสอบโน่น…คำถามต้องวิเคราะห์ คำตอบต้องวิแคะ หรือบางทีอาจเป็นที่คอมพิวเตอร์ก็ได้…ไม่แน่นา ตอนตรวจกระดาษคำตอบของผม มันอาจจะเริ่มขี้เกียจคือ ตรวจบางข้ออะไรประมาณนี้…

    แต่ถึงผมจะแก้ตัวทั้งกับตัวเองและคนอื่นอย่างไร…ความจริงที่ว่าผมเอ็นไม่ติดก็ยังคงสะกิดหัวใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน…

    นายมนต์แฝดผู้พี่ของผมเกิดก่อนผมแค่ไม่กี่นาที ดันเอ็นท์ติด…แถมติดคณะวิศวะ มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศเสียด้วย…นายมนต์เลยกลายเป็นความภูมิใจของแม่ไปโดยปริยาย เพราะเป็นลูกคนเดียวที่เอ็นท์ติด…ส่วนผมนะรึ…โดนค่อนแคะไปตามระเบียบ…แต่ผมมีข้อแก้ตัวนะ ผมบอกคุณน้ำรินว่า

    'แม่นั่นแหละผิด…แม่เบ่งนายมนต์ออกมาก่อน มันได้สูดอากาศก่อน สมองมันเลยโตเต็มที่ แต่ตอนที่แม่เบ่งหมอก แม่เหนื่อยแล้วนี่ แรงเบ่งน้อย ผมเลยสูดอากาศไม่ทันนายมนต์ สมองเลยค่อนข้างตีบ'

    คำแก้ตัวของผมทำให้โดนซัดไปหลายผัวะเหมือนกัน โทษฐานที่คำพูดไม่สมเหตุสมผล…แต่ถึงผมจะเอ็นไม่ติด ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในบ้านจะซ้ำเติมผม…พ่อแม่ พี่สาว พี่เขย รวมทั้งนายมนต์ เข้าอกเข้าใจผมเป็นอย่างดี

    แล้วยิ่งตอนผมประกาศภายหลังกลางงานเลี้ยงเอ็นท์ติดของนายมนต์ว่า ความจริงแล้วคะแนนผมติดโควต้ามหาวิทยาลัยในจังหวัดบ้านเกิด…ผมก็โดนกำปั้นทั้งครอบครัวทุบจนจุกด้วยความเข้าอกเข้าใจ โทษฐานที่ทำให้ความเห็นใจหลั่งไหลไม่ขาดสาย…ถึงตรงนี้ผมไม่อยากจะบอกเล้ย…ว่าความสามารถพิเศษของผมก็คือ การเก็บความลับเป็นเยี่ยมนี่แหละครับ

    กระซิบนิดหนึ่ง 'ความเห็นใจ' ที่ผมบอกว่าหลั่งไหลไม่ขาดสายนั่นก็คือ นาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดจากคุณอิทธิพล รองเท้ากีฬาราคาแพงหูดับ (สำนวนคุณน้ำรินท่านล่ะ) ที่ผมเคยร่ำร้องจากคุณน้ำริน เครื่องเล่น DVD จากคุณพี่สาวและพี่เขย และกล้องดิจิตอลจากนายมนต์…ผมค่อนข้างมั่นใจว่าขณะนี้ คนอ่านบางคนคงอยากร่วมสกรัมผมบ้างแล้วกระมัง !

    อ้อ…ขอแถมครับ 'ความเห็นใจ' นอกเหนือจากของผู้ใหญ่ ของเด็กก็มีนะครับ หลานคนหัวปีนายน้ำทอง ให้สีไม้ผมกล่องหนึ่ง นัยว่าเอาไว้วาดความฝันอะไรทำนองนี้แหละ…แหม…มันฉลาด ส่วนหนูน้ำทิพย์เอาท๊อฟฟี่ 1 กำมือมายัดให้ผมโดยไม่พูดอะไร…

    ทีนี้ก็เหลือคนสุดท้ายคือยัยน้ำเหนือ ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ในพุงโย้ ๆ ของพี่สาวผม…รู้ไหมครับว่าอะไรคือความเห็นใจจากยัยตัวแสบ…ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ออกมาดูโลกด้วยซ้ำ พอผมก้มลงไปถาม 'จะให้อะไรน้า' …มันถีบผมโครมเบ้อเร่อ…แหม…มันร้ายตั้งแต่อยู่ในท้องเลยเห็นมะ !

    -_-!

    หลังจากแยกย้ายกันไปเรียนคนละที่ แถมเรียนกันคนละอย่าง นายมนต์ติดวิศวะ ส่วนผมติดเกษตร เป็นไงครับ ต่างกันชนิดสุดขั้วเลย ผมจบตามเกณฑ์ ในขณะที่นายมนต์ต้องเรียนถึงห้าปีตามเกณฑ์วิศวะเหมือนกัน

    หลังจากเรียนจบคุณอิทธิพลพ่อผม แบ่งที่ทางให้ผมได้ลองวิชา ความจริงจะว่าไปแล้ว ผมก็ลองวิชามาตั้งแต่เริ่มเรียนนั่นแหละครับ โดยใช้สวนที่พ่อปลูกต้นไม้ทิ้ง ๆ เอาไว้เป็นแหล่งทดลอง กว่าผมจะเรียนจบ ก็พอดีไม้ผลที่ผมทดลองก็ให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้พอดี…ผมฉลาดมั้ยครับ

    ผมปลุกปล้ำกับการเป็นเจ้านายตัวเองอยู่หลายปี นายมนต์ที่เรียนจบและได้งานทำ ก็กลับบ้าน แจ้งข่าวดีที่ทำให้คุณอิทธิพลแทบจะปิดหมู่บ้านฉลอง…นายมนต์หัวดีสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศได้ครับ

    นอกจากจะเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริกแล้ว ตอนไปส่งยิ่งกว่าเอิกเกริกอีกครับ…ดอนเมืองแทบพัง…นี่ดีนะว่าผมยับยั้งวงโยธวาทิตของคุณอิทธิพลไว้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้น สงสัยคงได้ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เป็นแน่…

    พ่อผมเฝ้าแต่พร่ำคำคุณพระคุณเจ้าให้มาคุ้มครองสมองอันปราดเปรื่องของนายมนต์ ส่วนคุณแม่นั้นเล่า ก็เฝ้าแต่เพียรพร่ำว่า อย่าหาเมียแหม่มมาให้ โดยให้เหตุผลว่า…

    'สมัยเรียนแม่ตกภาษาอังกฤษประจำ เดี๋ยวคุยกันไม่รู้เรื่อง'

    ท่านว่าอย่างนั้น นายมนต์รับคำหนักแน่น แต่ผมดันมองไปเห็นนิ้วไขว้กันสัญลักษณ์ 'โกหกนะว้อย' อยู่ด้านหลัง ผมยิ้มให้นายมนต์อย่างรู้กัน แต่ไม่พูดอะไรหรอกครับ…แหม…ก็บอกแล้วว่าผมเก็บความลับเก่งสุดยอด อีกอย่าง ถ้าเป็นผม มีรึจะยอมให้ผู้หญิงสวย ๆ เล็ดรอดสายตาและหัวใจไปได้ ยิ่งอยู่ไกลหูไกลตาแม่ด้วยแล้ว ถึงไหนถึงกันสิน่า…เฮ้อ…ชักอิจฉานายมนต์แฮะ…

    ตอนที่นายมนต์กลับจากเมืองนอก เจ้าทองลูกชายคนโตของพี่น่าน เอ็นติดสถาปัตย์พอดิบพอดี บ้านเราจึงได้มีโอกาสเลี้ยงใหญ่อีกครั้ง …กระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว…ตามสไตล์คุณประหยัดของพี่น่าน นายมนต์กลับมาทำงานใช้ทุนอยู่พักใหญ่…ก็ชิงตัดหน้าผม…แต่งงาน…

    ดีว่าเจ้าสาวของนายมนต์ไม่ได้เป็นแหม่มอย่างที่ใคร ๆ นึกกลัว (โดยเฉพาะคุณน้ำริน) กลับเป็นพยาบาลสาวที่นายมนต์ไปเจอะ ไปจีบมาตั้งแต่อยู่เมืองนอกโน่น…(ไอ้)นายมนต์นี่มันวาดสะหนาดีจริง…ผับผ่าสิ…

    หลังแต่งงานนายมนต์ก็ไปทำงานใช้ทุนต่อ แต่ยังคงขยันพาภรรยามาเยี่ยมครอบครัวอยู่ทุกบ่อย…แรก ๆ ที่นายมนต์แต่งงานก็ไม่กระไรหรอกครับ แต่พอนานไปสักหน่อย รู้สึกสายตาหลาย ๆ คู่จะมาตกอยู่ที่หนุ่มโสดอย่างผมซะนี่

    "หมอก…ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วลูก"

    คุณน้ำรินถามผมในเย็นวันหนึ่ง ผมมองเห็นลูกกะตายิก ๆ ของคุณแม่ท่านแล้วชักจะหวั่นใจแฮะ…มาไม้ไหนอีกหนอ

    "แม่เป็นแม่หมอกจริงหรือเปล่า…ถ้าเป็นแม่จริงทำไมจำไม่ได้ว่าเบ่งลูกออกมาเมื่อไหร่ และผ่านไปกี่ปีแล้ว…เอ๊ะ…หรือแม่ชักจะแก่"

    ผมย้อนคืนตามนิสัยน้ำลายบูดที่แก้ยังไงก็ไม่หาย…ได้ผลครับ ลูกกะตายิก ๆ ของคุณน้ำรินเปลี่ยนเป็นเขียวปี๋อย่างรวดเร็ว…น่าจับล้อมผ้าเก็บตังค์เสียนี่กระไร

    "ชิ…ชะ…ถามทำย้อน เดี๋ยวจะโดน"

    ขอโทษเถอะครับ ไอ้คำว่า 'เดี๋ยว' ของคุณน้ำรินน่ะ หมายความว่า ผมโดนโดยไม่ต้องเดี๋ยวแล้วล่ะครับ…ผมอุบอิบบอกอายุพร้อมกับลูบหัวป้อย ๆ พอได้รับคำตอบที่น่าพอใจ คุณท่านของผมก็กลับไปทำลูกกะตาแพรวพราวใหม่

    "อือม…ก็ถือว่าหนุ่มจัดแล้วนะ"

    ฟังสำนวนท่านสิครับ…หนุ่มจัด…ฟังไปฟังมาผมไพล่คิดไปถึงไม้ผลที่ถึงเวลาแก่จัดจนใกล้จะหล่นจากขั้วนั่นเทียว…

    "เมื่อไหร่จะมีสะใภ้ให้แม่เสียทีล่ะลูก…หมอกมอง ๆ ใครบ้างหรือยัง" คุณท่านถามต่อ

    "โฮ้ย..ยายไม่รู้อะไร…น้าหมอกเค้ามีแล้วล่ะที่หมายตาน่ะ…เป็นดงเลย"

    ยัยน้ำเหนือตัวแสบเอ่ยขึ้น หลังจากเสียมารยาทนั่งฟังผู้ใหญ่คุยกันอยู่เป็นนาน คุณน้ำรินหันขวับไปมองหลานตัวโปรดทันที ผมเองก็มองเจ้าตัวร้ายตาเขม็งเหมือนกัน …ก็ผมมั่นใจว่าไม่เคยแอบมองใครที่ไหนนี่ครับ (มองแบบจริงจังน่ะไม่มีจริง จริ๊ง…สาบานให้ฟ้าผ่าต้นหมากเลยเอ้า) แล้วจะให้มามีที่หมายตาได้ยังไง แถมเป็นดงเสียด้วย ชักทะแม่ง ๆ แฮะ

    "ธ่อ…ยายไม่รู้อะไร น้าหมอกเค้าซ่อนไว้หลังบ้านสวนแน่ะ ที่น้าหมอกไม่ค่อยกลับบ้านก็เพราะสาว ๆ ดงนี้แหละ ยิ่งตอนนี้กำลังตั้งท้องกันทั้งดงเลย"

    ยัยตัวแสบลอยหน้าลอยตาตอบ และนั่น ทำให้คุณน้ำรินถึงกับตบอกปุเลยทีเดียว ส่วนผมนะหรือครับ…งงสิครับงง…มันเอาอะไรของมันมาพูด

    "พูดให้สวย ๆ เหมือนชื่อแกหน่อยยัยเหนือ ไหนอธิบายให้เคลียร์"

    ผมทำเสียงเข้มข่มขวัญ …แต่อย่างว่าแหละครับ ยัยตัวแสบมันเคยกลัวใครที่ไหน

    "เก๊าะ…คุณตานี คุณน้ำว้า คุณไข่ ที่ห่มสไบสีเขียวอยู่หลังบ้านน้าไง" ยัยตัวแสบบอกพร้อมกับถอนหายใจหนัก ๆ "เฮ้อ…แค่นี้ทำนึกไม่ออก แต่ก็อย่างว่าแหละเนอะ…คนแก่…ตามมุกเด็กไม่ทันหรอก"

    มันว่าของมันพร้อมกับเดินส่ายหน้าด๊อกแด๊กจากไป ผมมัวแต่คิดถึงคุณ ๆ ที่มันเอ่ยชื่อมา ก็เลยไม่ทันได้ตอบโต้อะไร…เออ…ฝากเอาไว้ก่อนยัยตัวแสบ !

    "แม่รู้หรือยังว่ายัยเหนือหมายถึงอะไร" ผมหันมาถามคุณน้ำรินที่ตอนนี้กำลังดมยาวุ่น

    "แล้วใครล่ะยะคุณทั้งหลายของแก ชื่อเหมือนกล้วยเหลือเกิ๊น" คุณน้ำรินตอบพร้อมกับส่งค้อนประหลับปะเหลือกมาให้ผมด้วย ผมหัวเราะสนั่นทุ่งก่อนจะเฉลย

    "ก็กล้วยนะสิแม่ก็…ผมลงกล้วยไว้หลังบ้านสวนน่ะ รุ่นแรกกำลังได้ผล พูดง่าย ๆ ก็คือกำลังตั้งท้องตามสำนวนยัยเหนือนั่นแหละ" ผมพูดพร้อมกับหัวเราะอีกครั้ง คราวนี้มีคุณน้ำรินร่วมผสมโรงด้วย

    "เออ..แล้วไป …แหม๊…ใจหายหมดนึกว่าจะได้ลูกสะใภ้ที่ไม่ได้เลือกเสียแล้ว"

    การพึมพำของคุณน้ำริน สะดุดหูผมโครมเบ้อเร่อเลยล่ะครับ และนั่นทำให้ผมหุบยิ้มแทบจะทันที

    "แม่พูดยังกะว่าเลือกไว้แล้วงั้นแหละ" ผมลองหยั่งเชิงพร้อมๆ กับรู้สึกขนลุกอย่างไม่มีสาเหตุ

    "แหม…ก็ไม่ถึงกับขนาดว่าเลือกเลิกอะไรหรอก แม่แค่มอง ๆ ไว้เผื่อแกเฉย ๆ " คุณน้ำรินบอกเขิน ๆ แต่ผมกลับแทบตกจากเก้าอี้…เอาแล้วไหมล่ะแม่ผม หาเรื่องซวยมาให้แล้วไง

    "อย่านะแม่ !"

    ผมตะโกนเสียงดัง และค่อนข้างมั่นใจว่าตาผมคงเหลือกจนแทบจะถลน เพราะคุณน้ำรินเธอทำท่าตกอกตกใจในตอนแรก (กับเสียงตะโกนของผม) ก่อนจะส่งค้อนวงใหญ่มาให้

    "ทำไมยะ…จะมาห้ามฉันทำไม ฉันหาให้น่ะดีแล้ว เพราะรอแกหาเองมานานเต็มทีแล้ว…เอ๊ะ…หรือว่าแกชอบป่าเดียวกัน" ท่านพูดพร้อมกับทำท่าตกใจอีกรอบ ผมรีบปฏิเสธเสียงหลง

    "ไม่ช้าย…ผมลูกผู้ชายทั้งแท่งนะแม่..แต่..อย่าครับคุณแม่ที่เคารพ …ผมขอร้อง…ถ้าผมจะหาเหาใส่หัว ขอให้ผมเลือกเหาตัวนั้นด้วยตัวเองเถอะครับ" ผมโอดครวญเมื่อเห็นท่าไม้ตายของคุณน้ำริน

    "เหอะ…หาเอง…โธ่เอ้ยเจ้าหมอก แม่รอเหาแกจนจะแก่ตายอยู่แล้ว…ไม่รู้ล่ะ ยังไงแม่ก็อยากให้แกไปเจอเหาตัวที่แม่มองไว้เผื่อแกเสียก่อน หนูหงษ์น่ะ ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรหรอกนะ เอาไว้แกเจอก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ไม่แน่นา…แกอาจจะปิ๊งคนนี้ก็ได้…พรุ่งนี้ทุ่มครึ่งที่ร้าน 'กลางเดิ่น' นะห้ามผิดเวลาล่ะ นัดครั้งแรกอย่าไปสาย…อ้อ…แล้วก็ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษกับหนูหงษ์ด้วยล่ะ"

    คุณน้ำรินร่ายยาว ชนิดไม่เปิดโอกาสให้ผมได้โต้แย้ง พอพูดจบตามประสงค์ ท่านก็ลุกขึ้นสะบัดบั้นท้ายที่เริ่มจะมโหฬารตามอายุจากไป โดยไม่วายส่งสายตาถมึงทึงที่เริ่มคล้ายนางผีเสื้อสมุทร พร้อมกับชี้หน้าผมเป็นการส่งท้าย

    เอาละสิครับท่านผู้อ่าน…ไอ้ผมชักจะเริ่มคันศีรษะขึ้นมาตะหงิด ๆ ลางร้ายบางอย่างส่งสัญญาณเตือนผมว่า นับจากนี้ต่อไป คงมีเหาหลายตัวแวะเวียนมาสร้างความปวดเศียรให้ผมเป็นแน่แท้…กรรมของเวรแท้ ๆ ตอนนี้ผมขอเกาล่วงหน้าก่อนนะคะร้าบ

    -_-!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×