ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์ซ่อนรัก

    ลำดับตอนที่ #9 : คุณหมอคะ...หวายนอนไม่ค่อยจะหลับ 1

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 51


    เล่ห์ซ่อนรัก
    5.1
    คุณหมอคะ...หวายนอนไม่ค่อยจะหลับ(1)

    กาแฟควันกรุ่นกลิ่นหอมบรรจุอยู่ในถ้วยกาแฟดินเผา หญิงสาวเจ้าของถ้วยกาแฟกำลังตักน้ำตาลใส่ถ้วยด้วยกิริยาที่บอกคนมองได้ว่ากำลังมีความสุขสุด ๆ คุณตรีทิพละจากลูกค้าเดินตรงมาทรุดนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมองอาการของลูกสาวคนเล็กด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้...นอกจากจะไม่พูดอะไรแล้ว คนเป็นลูกยังกรีดนิ้วยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอย่างไม่ยินดียินร้ายต่อสายตาคาดคั้น สุดท้ายคนอยากรู้ก็อดรนทนไม่ไหว

    “เป็นอะไรไปหวาย?”

    “ศรรักปักอกจมลึกยิ่งกว่าเดิมจ้ะแม่...อะจึ๋ย” คำตอบมาทันทีเหมือนรอคำถามทำให้คุณตรีทิพอึ้งไปพักใหญ่

    “นี่...แกไปบุกโรงพยาบาลมาอีกแล้วเหรอ?”

    “แหม...พูดซะเสียเลยแม่ บุกเบิกอะไร หวายไปหาแนวร่วมชีวิต...เอ๊ย...แนวร่วมคอลัมน์ต่างหากเล่า” ตรีปวายว่าพลางค้อนปะหลับปะเหลือก คุณตรีทิพถอนหายใจพลางอมยิ้ม

    “หวายเอ๊ย บทจะบ้าก็ไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนะ” คนเป็นแม่พึมพำก่อนหันมาถามชนิดเอาเนื้อ “แล้วตกลงคุณหมอโมโหของแกยินยอมร่วมงานหรือยังล่ะ?”

    “เขาชื่อมโหระทึก ไม่ใช่โมโห” ตรีปวายแย้งพลางค้อนตาคว่ำ

    “ถ้าเขาเจอภาคพิสดารของแกบ่อย ๆ ช่วงนี้ต้องโมโหแหละถูกแล้ว” คุณตรีทิพว่ากลั้วหัวเราะ ลูกสาวได้แต่แกล้งทำสะบัดสะบิ้ง

    “เขายังไม่ตกลงหรอกแม่...แต่เร็ว ๆ นี้ต้องตกลงแน่ ๆ คุณหมอเขาก็เหมือนนางเอกนิยายแสนสวยนั่นแหละ ต้องเล่นตัวพองามเมื่อมีพระเอกอย่างหวายตามจีบ ถึงเขาจะสนใจหวายแค่ไหนเขาก็ต้องอดทนไว้ก่อน” ตรีปวายว่าอย่างมีหลักการ คุณตรีทิพได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอากับความคิดแสนประหลาดของลูกสาวคนเล็ก

    “ยัยหวายเอ๊ย...บทคิดอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นมาก็เอาซะบ้าหลุดโลกไปเลยนะ...เฮ้อ...พ่อนะพ่อไม่น่าถ่ายเชื้อบ้าให้ลูกเล้ย” คุณตรีทิพพึมพำเบา ๆ ตรีปวายมองค้อนอีกครั้ง

    “มันเป็นเชื้อที่ดีที่สุดที่พ่อเหลือไว้ให้หวายต่างหาก” หญิงสาวตอบอย่างร่าเริง “แต่พูดตรง ๆ เลยนะแม่ หวายล่ะช้อบ ชอบตัวเองตอนนี้ม้ากมากเลย หงิม ๆ ติ๋ม ๆ มาตั้งนาน ไม่เคยรู้สึกเบิกบานเท่านี้มาก่อนเลย” บอกพร้อมทำหน้าเคลิ้ม คุณตรีทิพหัวเราะเบา ๆ กับอาการของลูกสาว

    “หงิม ๆ ติ๋ม ๆ ? แกเนี่ยนะเคยเป็นแบบนั้น?!” ท้ายประโยคขึ้นเสียงสูงอย่างจงใจ

    “เคยสิแม่ก็...ไม่เห็นหรือไงว่าที่ผ่านมาหวายออกจะเรียบร้อยอ่อนหวานน่ารัก น่าทะนุถนอมจะตายไป...ดีนะว่าไม่ใช่คนสวยอะไรมากมาย ไม่อย่างนั้นแม่ต้องหารถแทรกเตอร์มากวาดผู้ชายให้พ้นหัวกระไดแน่ ๆ” ตรีปวายยืนยันอย่างมั่นอกมั่นใจ คุณตรีทิพได้แต่มองความมั่นใจของลูกสาวคนเล็กก่อนถอนหายใจหนัก ๆ อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น

    “เอาเถอะ ๆ จะทำอะไรก็อย่ามากเกินไปล่ะ...ว่าแต่พี่สาวเราน่ะติดต่อมาบ้างไหม แม่โทรหาหลายครั้งแล้วนะวันนี้ ไม่รับสายแม่สักที” คุณตรีทิพชวนเปลี่ยนเรื่องคุย

    “หวายโทรไปหาตอนสาย ๆ เห็นบอกว่าเย็นนี้จะแวะมาที่ร้าน...เสียงบูด ๆ ด้วยนะแม่” ตรีปวายบอก

    “หรือจะโดนถอนฟันจริง ๆ?” คุณตรีทิพตั้งข้อสังเกต

    “หวายว่าไม่ใช่หรอก ปกติคนเพิ่งถอนฟันมาใหม่ ๆ เขาจะไม่ค่อยอยากจะอ้าปากพูดเท่าไหร่ พี่ตรีเป็นโรคกลัวหมอฟันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าโดนถอนฟันจริงคงไม่พูดโทรศัพท์กับหวายแน่ ๆ” ตรีปวายบอกผู้เป็นแม่ คุณตรีทิพมีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนพยักหน้าน้อย ๆ อย่างเห็นด้วย ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ร่างสูงโปร่งของตรีประดับก็ก้าวฉับ ๆ ตรงมา ใบหน้าของหญิงสาวตอนนี้บูดบึ้งจนไม่ต้องเดาว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใด เมื่อวางกระเป๋าถือกระแทกลงบนโต๊ะได้แล้ว หล่อนก็หันไปตะโกนสั่งพนักงานในร้าน

    “เอากาแฟอะไรก็ได้ที่มันขม ๆ มาถ้วยหนึ่ง ด่วนด้วย!” ไม่ต้องสงสัยว่าตอนนี้ทุกคนในร้านไม่เว้นแม่แต่แม่กับน้องสาว กำลังมองหล่อนเป็นตาเดียว แต่ตรีประดับก็เลือกที่จะแว้ดชายหนุ่มหญิงสาวโต๊ะข้าง ๆ ซึ่งมองพร้อมสีหน้าไม่พอใจ

    “มองทำไม ! กินไปสิ !” คำแว้ดของหล่อนเล่นเอาคนที่ได้ยินสะดุ้งกันเป็นแถบ

    “นี่ ๆ ยัยตรี มากไป ๆ นั่นลูกค้าแม่นะยะ” คุณตรีทิพปรามทั้งน้ำเสียงและสีหน้าก่อนผุดลุกไปขอโทษลูกค้า

    “เป็นอะไรไปน่ะพี่ตรี? เด็กกวนโมโหแล้วหาที่ลงไม่ได้หรือไง?” ตรีปวายกระซิบถามเมื่อเห็นพี่สาวยังไม่ยอมลดอาการขุ่นขึ้ง คำถามของตรีปวายเกิดขึ้นเพราะรู้ดีว่า คนเป็นพี่สาวยามอ่อนระอาหรือโกรธเกรี้ยวจากโรงเรียนไม่ว่าจะกับเด็กหรือกับผู้ใหญ่ มักจะพกความขุ่นเคืองเหล่านั้นกลับมาระบายที่บ้านเสมอ...ความเป็นครูค้ำคอให้อารมณ์อยากอาละวาดต้องสะกดไว้ แล้วหาทางปลดปล่อยทีหลัง...และน้องสาวร่วมบ้านอย่างหล่อนก็เป็นที่ระบายชั้นยอดเสียด้วย

    “ไม่ใช่เด็ก แต่เป็นผู้ใหญ่สมองเด็ก ! งี่เง่าที่สุดเลย !” หญิงสาวกราดเกรี้ยวทั้งน้ำเสียงและสีหน้า สายตาจ้องเขม็งไปยังอากาศธาตุทำให้คนเป็นน้องสาวเบาใจขึ้นมาหน่อยว่า ผู้ใหญ่สมองเด็กคนนั้นคงไม่ใช่หล่อนอย่างแน่แท้...ความอยากรู้ผุดพรายในความรู้สึก แต่ตรีปวายก็ทนรอด้วยรู้นิสัยผู้เป็นพี่สาวดีว่า ลองได้แสดงผลงานอาละวาดแล้ว ไม่นานสาเหตุจะพร่างพรูให้คนใกล้ชิดได้รู้

    “แกคิดดูนะ มีหมอฟันที่ไหนมาเที่ยวกล่าวหาคนไข้ว่ามีสมองสักแต่สั่งสองคนอื่น แต่ไม่ยอมบอกเตือนตัวเองให้ลดอาหารชวนฟันผุ...ดู๊ ดู ! ดูหมอคนดีศรีสังคมแกพูด ฉันว่าอีตาหมอคนนี้ไม่น่าจะมาเรียนเป็นหมอฟันหรอก ปากอย่างนี้ต้องไปเรียนเป็นหมอหมา !” คำลงท้ายแสนหนักแน่นเล่นเอาคนฟังถึงกับสะดุ้ง ตรีปวายยิ้มแหยรับฟังพลางนึกถึงคนถูกกล่าวหา ซึ่งหล่อนเดาได้ว่าเป็นใคร หมอฟันที่หล่อนแนะนำให้คนเป็นพี่ไปพบเมื่อได้ยินเสียงครวญครางเพราะฟันผุทำพิษ มีอยู่คนเดียว...หมอมหุดิฤกษ์

    “พี่ตรี...ไปว่าอะไรเขาก่อนหรือเปล่า?” ตรีปวายถามอย่างรู้ทัน คนถูกถามสะดุด แต่พยายามปรับสีหน้าไม่ให้ผิดสังเกต ตรีประดับเชิดหน้าตอบน้องสาวฉาดฉาน

    “ฉันจะไปกล้าว่าอะไรเขาล่ะ เขาไม่ใช่นักเรียนฉันสักหน่อย อีกอย่างคนเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก แกจะให้ฉันกระโดดงับหัวเขาเพราะพูดจาไม่เข้าหูก็ดูกระไรอยู่”

    “พี่ตรีไม่กล้าโดดงับหัวเขาหรอก...หวายว่าคุณครูผู้เรียบร้อยอย่างพี่ตรีน่ะนะ...พอคุณหมอเขากระทบกระเทียบอย่างที่พี่เล่ามา พี่ตรีก็แค่ตอบเขาไปอย่างเหนียม ๆ ว่า ‘แล้วคุณล่ะคะคุณหมอ เป็นหมอคนหรือหมอหมาคะ เวลาพูดกับคนไข้ถึงได้ออกแนวเห่าอย่างนี้’ พอพูดจบพี่ตรีก็จะยิ้มหวานหยดย้อยเสียจนคนถูกพาดพิงเอาแต่นิ่งอึ้งมองรอยยิ้มตาค้างจนลืมไปว่าควรเห่า...เอ๊ย...ควรตอบกลับ...หวายเดาถูกมั้ยพี่ตรี?”

    ตรีประดับอ้าปากค้าง กะพริบตาปริบ ๆ กับการสาธยายของน้องสาวซึ่งเหมือนนั่งอยู่กลางเหตุการณ์ก่อนหล่อนจากคลินิกหมอฟันเมื่อวาน

     

    “ซี่ชวนปวดของคุณผมคิดว่าเพียงรักษารากฟันก็พอครับ...แต่ว่าไอ้เจ้ารากฟันของซี่นี้ดันมีฟันคุดมาขัดขวางทางรักษาอยู่ ผมคงต้องถอนฟันคุดออกก่อน” คุณหมอหนุ่มอธิบายพร้อมชี้จุดในฟิล์มเอ็กเรย์ประกอบ ตรีประดับมองตามสีหน้าเริ่มจืดเจื่อนตามลำดับ และซีดสนิทเมื่อได้ยินคำว่า...ถอนฟัน

    “อ้อ...นอกหเหนือจากฟันซี่ที่ต้องรักษารากฟัน ยังมีอีกหลายซี่นะครับที่ผุ คงต้องดูแลกันต่อไป...คุณครูชอบทานของหวานมั้ยครับ? อย่างลูกกวาด?” ท้ายประโยคชายหนุ่มเอ่ยถาม

    “ก็มีบ้างค่ะ เด็ก ๆ ชอบเอาลูกกวาด ท๊อฟฟี่มาแจกครูที่ตัวเองชอบบ่อย ๆ”

    “ผมเดาว่าคุณคงเป็นครูที่เด็กชอบมากเป็นพิเศษ สังเกตจากฟันผุ ๆ ของคุณน่ะครับ” มหุดิฤกษ์เอ่ยต่อยิ้ม ๆ

    “ก็คงใช่มั้งคะ” ตรีประดับตอบรับ น้ำเสียงมีแววภูมิใจ

    “ผมขอเดาอีกว่าหลังจากคุณกินลูกกวาดหวาน ๆ แล้ว คงไม่ค่อยแปรงฟันใช่มั้ยครับ?” ชายหนุ่มถามต่อ

    “ใครจะไปแปรงได้ทุกบ่อยล่ะคะคุณหมอ ลูกกวาดวันหนึ่ง ๆ มีไม่ต่ำกว่าสิบเม็ด ฉันแค่อม ๆ พอให้คนให้ไม่เสียใจแล้วก็คายทิ้ง ไม่เคยอมจนหมดเม็ดสักที แล้วหลังอมเสร็จฉันก็บ้วนปากเสมอ อย่างนี้ไม่ถือเป็นการทำความสะอาดฟันทางหนึ่งหรือคะ” ตรีประดับแย้งเสียงขุ่น

    “มันก็ใช่ครับ แต่มันไม่พอ...อ๊ะ...คุณครูอย่าเพิ่งเถียงผมเลย ผมเห็นผลจากการผุหลายซี่ของคุณครูนั่นแหละผมถึงคาดเดาเหตุได้...คุณครูอย่าดีแต่สอนเด็กสิครับ รู้จักสอนตัวเองบ้าง” ท้ายประโยคมหุดิฤกษ์เอ่ยกลั้วยิ้ม แต่คนฟัง...ยิ้มไม่ออก

    “ฉันต้องถอนฟันเมื่อไหร่?!” ตรีประดับถามเสียงลอดไรฟัน คุณหมอหนุ่มซึ่งยังจับอารมณ์แปรเปลี่ยนของครูครูสาวไม่ได้ ก้มลงดูปฏิทินครู่หนึ่ง ก่อนหันมาบอก

    “ผมว่าวันศุกร์นี้เหมาะที่สุด เพราะวันจันทร์เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ คุณครูถอนฟันวันศุกร์อาจจะเจ็บหรือบวมสักสองสามวัน...วันศุกร์บ่ายสามโมงสะดวกมั้ยครับ?”

    “ค่ะ...ตกลงวันศุกร์นะคะ” ตรีประดับตอบรับแย้มยิ้มพลางหยิบสมุดจดเล่มเล็กมาบันทึกวันนัด เสร็จแล้วหญิงสาวก็เก็บสมุดกลับกระเป๋า ผุดลุกยืนขึ้นส่งยิ้มให้หมอหนุ่ม “งั้นวันนี้ฉันลาล่ะค่ะ” พูดจบก็หมุนตัวคล้ายจะเดินจากไป แต่ก็ชะงักเท้าหันกลับมาหา

    “คุณหมอคะ...ฉันสงสัยจังเลยค่ะ ขอถามคุณหมอหน่อยนะคะ” ตรีประดับยิงคำถามด้วยเสียงหวานหยด รอยยิ้มประกอบคำถามหวานเยิ้ม คุณหมอหนุ่มได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ พร้อมพยักหน้าเหม่อ ๆ

    “ครับ?”

    “คุณหมอเป็นหมอฟันแน่เหรอคะ?” หญิงสาวถามเสียงฉงน เอียงหน้าน้อย ๆ ประกอบ

    “เอ้า ทำไมถามอย่างนั้นละครับ...ผมเป็นหมอฟันยืนยันได้ครับ มีใบประกอบโรคศิลปะด้วยนะติดอยู่ผนังนั่นไงครับตรวจสอบได้ ถ้าคุณครูอ่านไม่ออกผมยินดีอ่านให้ฟัง” มหุดิฤกษ์เอ่ยกลั้วหัวเราะ ตรีประดับยิ้มหวานกว่าเดิม...

    “ก็ฉันไม่แน่ใจนี่คะ...ตอนคุณหมออธิบายเรื่องการทำฟันตอนแรกน่ะ ฉันก็มั่นใจนะคะว่าคุณเป็นหมอฟัน แต่พอคุณเริ่ม ‘เห่า’ มาสองสามบ๊อกนี่...ฉันชักไม่แน่ใจค่ะว่าคุณเป็นหมอฟันหรือหมอปากหมา...เอ๊ย...หรือหมอหมากันแน่ รู้ว่าเป็นหมอฟันอย่างนี้ค่อยโล่งใจหน่อย...เจอกันวันศุกร์นะคะ...สวัสดี”

    ตรีประดับจำได้ว่าหลังพูดจบหล่อนก็เดินจากมาโดยไม่สนใจสักนิดว่า ‘คุณหมอปากหมา’ จะมีสีหน้าอย่างไร...และแม้กระทั่งถึงตอนนี้ ตรีประดับก็บอกตัวเองได้เพียงว่าสิ่งที่หลงเหลือในความรู้สึกหลังจากพูดไปแล้วนั้น...ยังคงมีแต่ความสะใจ!

     

    “เงียบอย่างนี้หวายทายถูกชัวร์ ๆ เลยใช่มั้ยล่ะ” เสียงของตรีปวายเป็นตัวฉุดตรีประดับให้กระโดดขึ้นมาจากภวังค์คิดทันที

    “จ...จะบ้าเหรอยะ...ค...คนเพิ่งรู้จักกัน ฉันจะไปพูดอย่างนั้นได้ยังไงเล่า !” ตรีประดับเอ่ยตะกุกตะกัก ตรีปวายหัวเราะร่าอย่างพอใจ

    “ว่าแล้ว” เอ่ยอย่างรู้ทัน ก่อนชวนเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าทำผิดของพี่สาว “แล้วตกลงว่าฟันพี่ต้องถอนมั้ย?”

    “ถอนซี่หนึ่ง นัดวันศุกร์” ตรีประดับตอบปนการพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่โดนคาดคั้นต่อ

    “ถามจริง ๆ นะพี่ตรี...ไม่กลัวเหรอ...ถอนฟันเชียวนะ?” ตรีปวายกระซิบถาม พี่สาวตวัดตามองค้อนก่อนตอบ

    “กลัวสิยะ แต่จะทำไงได้ล่ะ ฉันหลวมตัวเล่นเกมกับแกไปแล้วนี่”

    “ไม่ใช่เพราะอยากได้ของฟรีจนลืมกลัวเหรอ” ตรีปวายถามหน้าเหลอ ก่อนหลบมือของพี่สาวที่เอื้อมมาหมายหยิก

    “เพราะฉันอยากเอาชนะตัวเองต่างหากล่ะ” ตรีประดับตอบเสียงสะบัด หญิงสาวมองน้องสาวที่กำลังหัวเราะอย่างพออกพอใจหนักหนาด้วยความขุ่นเคือง แต่ก่อนที่ทั้งสองพี่น้องจะทันได้ต่อความกันอีก คุณตรีทิพก็เดินยิ้มหน้าระรื่นตรงมา

    “หวาย...แขกของแม่บอกว่ารู้จักหวาย แล้วก็อยากคุยกับหวายด้วยแหละ” น้ำเสียงและสีหน้าของผู้เป็นแม่ทำให้ตรีปวายได้แต่หรี่ตามอง

    “แขกแม่เป็นผู้ชาย แถมหล่อ แถมหน้าที่การงานดี ที่สำคัญโสดแน่ ๆ เลยใช่มั้ยแม่?” ตรีปวายถามดักคอ คุณตรีทิพมองค้อนแต่สีหน้ายังเกลื่อนยิ้ม ตีแขนลูกสาวเบา ๆ เชิงเอ็นดูก่อนจะบอกว่า

    “รู้แล้วก็ลุกมาเร็วเข้า...เขาบอกแม่ว่าถ้าหวายเจอต้องดีใจแน่ ๆ แม่ก็อยากพิสูจน์คำพูดเค้าว่าจริงหรือโม้” คุณตรีทิพจีบปากจีบคอพูดพลางคว้าแขนลูกสาวคนเล็กหมายฉุดลาก ตรีปวายรั้งแขนตัวเองไว้

    “หวายไปก็ได้...แต่บอกไว้ก่อนนะแม่ ตอนนี้การ์ดความจำในสมองของหวายมีแต่หมอโหเท่านั้น” หญิงสาวบอกขึงขัง คุณตรีทิพถอนหายใจเบื่อ ๆ พยักหน้ารับแกน ๆ

    “เออ ๆ ไปเจอเขาก่อนเร็ว” รีบตัดบทพร้อมกับฉุดแขนลูกสาวคนเล็กซึ่งผุดลุกตามอย่างไม่เต็มใจนัก

    “เดี๋ยวมานะพี่ตรี อย่าหนีกลับก่อนนะ” ตรีปวายหันมาบอกพี่สาวซึ่งพยักหน้ารับยิ้ม ๆ มองส่งแม่กับน้องสาวก่อนหันมาสนใจกาแฟที่พนักงานนำมาเสิร์ฟ

     


    ชายหนุ่มที่คุณตรีทิพเต็มใจนำเสนอ ทำให้ตรีปวายรู้สึกแปลกใจมากกว่าจะรู้สึกดีใจอย่างที่คนเป็นแม่บอก และหญิงสาวค่อนข้างมั่นใจว่า ฝ่ายที่ดีใจคือชายหนุ่มคนนั้นเสียมากกว่า

    “สวัสดีครับคุณหวาย” ชายหนุ่มเอ่ยทักทายพร้อมผุดลุกขึ้น ตรีปวายยกมือไหว้

    “สวัสดีค่ะคุณหมอ”

    “คุยกันตามสบายนะคะ แม่ไปดูแลแขกก่อนนะ” ท้ายประโยคคุณตรีทิพหันมาบอกลูกสาวพลางตบไหล่อย่างให้กำลังใจ แถมก่อนเดินจากไปไม่วายขยิบตาให้อีกต่างหาก ตรีปวายได้แต่ย่นจมูกให้แผ่นหลังผู้เป็นแม่อย่างหมั่นไส้

    “เชิญนั่งครับ” ทำบุญเอ่ยชวนพร้อมผายมือเชื้อเชิญ ตรีปวายยิ้มรับพร้อมทรุดนั่ง

    “คุณหมอรู้จักแม่หวายด้วยเหรอคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามเชิงชวนคุยมากกว่าอยากรู้จริงจัง

    “ผมเป็นลูกค้าประจำของที่นี่เลยล่ะครับ แปลกนะครับผมมาร้านนี้บ่อยมาก แต่ไม่เคยเจอคุณหวายเลยสักครั้ง” ทำบุญเอ่ยพร้อมยิ้มชวนตาพร่า ตรีปวายอดยิ้มตอบไม่ได้...มุมปากมันกระตุกโดยอัตโนมัติเมื่อมองเห็นรอยยิ้มของหมอหนุ่ม

    “ดวงคงยังไม่สมพงษ์กันมั้งคะ” หญิงสาวตอบกลั้วหัวเราะ

    “งั้นแสดงว่าตอนนี้คงสมพงษ์กันแล้วนะครับ...เพราะเราได้เจอกันแล้ว” คำพูดของชายหนุ่มทำให้คนฟังถึงกับเหวอค้าง หนึ่งเพราะใจความประโยคพร้อมน้ำเสียงทุ้มนุ่มหูช่างชวนเคลิ้มหลง...กับสายตาแปลก ๆ พร้อมรอยยิ้มชวนหวามใจนั่นอีก...โอ๊ย ! แผ่นดินพลิก ! ตรีปวายตะโกนก้องในใจ

    “แหะ แหะ คงไม่ขนาดนั้นมั้งคะ แหะ แหะ” หญิงสาวตอบกลั้วหัวเราะแห้ง ๆ มือไม้พาลเกะกะขึ้นมาดื้อ ๆ อาการเหล่านั้นทำให้ชายหนุ่มยิ้มด้วยความรู้สึกพึงใจยิ่งนัก

    “ความจริงผมอยากเรียกว่าพรมลิขิตด้วยซ้ำที่ทำให้ผมกับคุณหวายได้มารู้จักกัน...คิดดูสิครับว่าพอผมคิดอยากจะเขียนเรื่องราวความสวยงามลงนิตยสาร ฟ้าก็ส่งคุณหวายให้มาพบกับผม...ช่างเป็นพรมลิขิตจริง ๆ” ชายหนุ่มพูดพลางส่งสายตาหวานซึ้งมาให้...การพูดและสายตาคราวนี้ของเขากลับทำให้ตรีปวายสะดุดจนความรู้สึกคะมำ

    ...มันแปลก ๆ...ทั้งคำพูดคล้ายจีบ สายตาหวานเกินเหตุนั่นอีก ตรีปวายคิด...หล่อนรู้ตัวดีว่ารูปลักษณ์ภายนอกของหล่อนไม่ชวนให้เพศตรงข้ามประทับใจสักเท่าไหร่นัก แม้จะรู้จักกันแล้วก็ใช่ว่านิสัยส่วนตัวของหล่อนจะตรงกับความต้องการของเพศตรงข้ามมากนัก...จู่ ๆ เกิดจะมีชายหนุ่มหน้าตาดี หน้าที่การงานเลิศเลอเฟอร์เฟคมาขายขนมจีบชนิดไม่ปิดบังทั้ง ๆ ที่เพิ่งเคยพบเจอพูดคุยกันเพียงครั้งเดียว...ให้คิดยังไงตรีปวายก็ว่ามันแปลกอยู่ดี

    ...รักแรกพบที่เคยรู้ มีอยู่เพียงในนิยาย...ตรีปวายตอกย้ำความเข้าใจให้กับตัวเอง

    “หวายว่าถ้าเป็นพรมลิขิตจริง ๆ พระพรหมองค์นี้คงเป็นองค์ที่แปลกที่สุดเลยล่ะค่ะ” ตรีปวายบอกกลั้วหัวเราะแหย ๆ

    “งั้นผมก็คงต้องขอบคุณความแปลกของพระพรหมองค์นี้แล้วล่ะครับ” ทำบุญตอบยิ้ม ๆ คำตอบนี้เล่นเอาตรีปวายยิ้มค้างไปครู่ใหญ่ก่อนจะสะบัดหน้าเรียกสติให้กลับมาพร้อมชวนเปลี่ยนเรื่องคุย

    “เอ่อ...เรื่องบทความของคุณหมอ หวายจะลงให้ปักษ์หน้านะคะ ปักษ์นี้คงไม่ทัน ไว้นิตยสารวางแผงแล้วหวายจะส่งไปให้นะคะ” การชวนเปลี่ยนเรื่องคุยของตรีปวายได้ผลดียิ่งนัก เพราะท่าทางรุกจีบของชายหนุ่มหายไปทันที ที่เข้ามาแทนที่คือความอยากรู้ซึ่งกระจายเต็มสีหน้าแววตา

    “ที่ไม่ทันเพราะหมออีกคนไม่ยอมเขียนคอลัมน์ให้ใช่มั้ยครับ? ผมขอเดาว่าพอรู้ว่าต้องทำงานร่วมกับผม เขาก็รีบชิงปฏิเสธโดยไม่ฟังเหตุผลแน่ ๆ นึกอยู่แล้วเชียวว่าต้องออกมาแบบนี้...หมอนั่นเป็นอย่างนี้แหละครับ...ชอบหนี”

    ตรีปวายได้แต่นั่งนิ่งทำตาปริบ ๆ การพูดเองเออเอง สรุปเอาเองของชายหนุ่ม ไม่ทำให้หล่อนอึ้งเท่ากับน้ำเสียงและสีหน้าท่าทางยามเอ่ยถึง ‘หมอนั่น’ ถ้าตรีปวายดูไม่ผิด หล่อนค่อนข้างมั่นใจว่ามันเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ขุ่นเคือง...และผิดหวัง...หญิงสาวได้แต่แปลกใจกับอาการหลังสุดที่หล่อนจับสังเกตได้

    “ผมบอกคุณหวายแล้วว่าให้หาคนใหม่ ถ้าคุณหวายเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะครับ” น้ำเสียงกระตือรือร้นของทำบุญ ฉุดตรีปวายให้ขึ้นจากภวังค์คิด หญิงสาวยิ้มแห้ง ๆ ก่อนบอกว่า

    “จริง ๆ แล้วคุณหมออีกคนก็ไม่ได้ปฏิเสธจริงจังหรอกนะคะ”...ใช่...ไม่จริงจังหรอกแค่หนักแน่น หญิงสาวต่อในใจ “ไม่นานก็คงตกลงกันได้ค่ะ”...ใช่...ตอนนี้หล่อนตกลงแล้วเหลือแค่รอให้อีกฝ่ายตกลงก็สำเร็จ... “หวายคงต้องรอฟังคำตอบที่แน่ชัดก่อน เพราะในที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าต้องเป็นคุณหมอมโหระทึกเท่านั้น”...ใช่...ที่ประชุมซึ่งมีหล่อน สายฝน และกรรดึกเข้าร่วมประชุม

    ระหว่างอธิบายให้ชายหนุ่มเข้าใจ ตรีปวายลอบสังเกตสีหน้าของชายหนุ่มอย่างระมัดระวัง และหล่อนก็ได้เห็นอีกความรู้สึกซึ่งวูบไหวอยู่บนสีหน้านั้น...ความริษยา

    “แปลกดีนะครับ...คนขวานผ่าซากอย่างหมอนั่นทำไมมีแต่คนต้องการก็ไม่รู้” ตรีปวายกล้าสาบานกับจานเค้กตรงหน้าว่า น้ำเสียงของชายหนุ่มยามเอ่ยประโยคนั้น เต็มไปด้วยความชิงชัง !

    “เอ่อ...คุณหมอธรรมลองทานพายแอปเปิ้ลหรือยังคะ? แม่บอกว่าเป็นเมนูใหม่แนะนำค่ะ” ตรีปวายชวนเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง ทำบุญเหมือนรู้สึกตัว เขาปรับสีหน้ากลับมาเป็นหมอยิ้มสวยอีกครั้ง

    “คุณตรีทิพแนะนำเหมือนกันครับ”

    “งั้นมื้อนี้หวายขออนุญาตเลี้ยงนะคะ” เมื่อได้รับรอยยิ้มแทนคำตอบ ตรีปวายก็เรียกพนักงานให้มารับรายการ ระหว่างรอ หญิงสาวก็ชวนชายหนุ่มคุยเรื่อยเปื่อย...และต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการหักห้ามตัวเองไม่ให้เลี่ยนมุกจีบจากชายหนุ่ม...การจีบที่รับรู้ได้ว่าไม่มีความจริงใจเจือแทรกอยู่เลย...

     


    “หล่อ ฐานะดี มีหน้ามีตา” คุณตรีทิพเอ่ยเหมือนรำพึง ปรายตาไปยังประตูร้านคล้ายดั่งมีคนที่ตัวเองชื่นชมยืนอยู่ตรงนั้น แม้ความจริงแล้วคนในความหมายจะออกจากร้านไปพักใหญ่

    “เกิดเป็นคนก็ต้องมีหน้ามีตากันทั้งนั้นแหละแม่ ถ้าไม่มีเขาก็เรียกว่าพิการแล้ว เนอะพี่ตรี” ตรีปวายแขวะพลางหันมาพยักพเยิดกับพี่สาวหาแนวร่วม

    “แม่ตื่นเต้นมากเลยนะ ตอนที่หมอธรรมเค้าบอกว่ารู้จักหวายน่ะ” คุณตรีทิพยังเพ้อต่อโดยไม่แยแสการแขวะของลูกสาวคนเล็ก “ยิ่งเห็นตอนคุยกัน หมอธรรมส่งตาหวานเยิ้มให้หวายอย่างนั้น...โอ๊ย...เห็นอนาคตลูกเขยรำไรเชียวล่ะ”

    “โอ้โห...เป็นเอามากนะแม่” ตรีปวายว่ากลั้วหัวเราะ “อาการหนักแล้วพี่ตรี พาไปหาหมอเหอะ” หญิงสาวหันไปเอ่ยกับพี่สาวซึ่งพยักหน้ารับกลั้วหัวเราะ

    “ได้เลยยัยหวาย...แต่ต้องหาหมอธรรมเท่านั้นนะ” คุณตรีทิพรับมุกแถมย้อนกลับอีกต่างหาก

    “เขาจะได้จับแม่ขึ้นเตียง ชวนเย็บตา ดึงหน้า ผ่าพุง กระทุ้งไขมันน่ะสิแม่” ตรีปวายแขวะอย่างอดไม่อยู่

    “ไม่เป็นไร แม่ยอม” คุณตรีทิพว่ายิ้ม ๆ

    “โฮ้ย...หวายไม่ยอมหรอกแม่ หล่อจริง นิ้งจริง แต่หวายไม่ปิ๊งด้วยหรอกนะ...หวายว่ามันดูหลอน ๆ ยังไงไม่รู้” หญิงสาวว่าพลางโบกไม้โบกมือ

    “แหม...พูดอย่างกับตัวเองสวยเลือกได้เหลือเกินนะแกน่ะ” คุณตรีทิพแขวะกลับบ้างหวังให้ลูกสาวลดดีกรีลงหน่อย แต่ตรีปวายกลับยืดอกรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    “ถึงไม่สวยก็เลือกได้เหมือนกันแหละแม่ หวายไม่ปิ๊งหมอธรรมของแม่หรอก...แต่หมอโหน่ะนะ...โดนใจใช่เล้ย !” ท้ายประโยคหญิงสาวขึ้นเสียงสูงพร้อมทำท่าเคลิ้มฝันประกอบอาการเพ้อ คนเป็นแม่เห็นแล้วได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา ในขณะที่พี่สาวหัวเราะกับท่าประหลาดของน้องสาว

    “พูดถึงหมอโหของแกนะหวาย ชื่อเต็มชื่ออะไรนะ?” ตรีประดับชวนคุยต่อ

    “มโหระทึกค่ะคุณพี่ ถามทำไมหรือคะ?” ตรีปวายตอบอย่างกระตือรือร้น

    “ก็ไม่มีอะไรหรอก...พี่แค่รู้สึกว่าบ้านนี้ชื่อแปลกทั้งบ้านเลยนะ อย่างอีตาหมอฟันปากหมานั่นก็ชื่อมหุดิฤกษ์ น้องชายชื่อมโหระทึก แล้วแกรู้หรือเปล่าว่าพี่ชายอีกคนเขาชื่ออะไร” คำถามลงท้ายตรีปวายมีท่าทีครุ่นคิด

    “เหมือนเคยอ่านข่าวสังคมเจอ แต่จำไม่ได้แฮะ รู้แต่ว่ามี มะ มะ เหมือนกันนี่แหละ”

    “ชื่อมหาราชลีลา” ตรีประดับเฉลย คราวนี้แม้แต่คุณตรีทิพก็อ้าปากค้าง

    “ชื่อคนหรือนั่น?” คุณตรีทิพถามอย่างไม่อยากเชื่อ

    “ชื่อคนค่ะแม่ คนหล่อเสียด้วย” ตรีประดับยืนยัน

    “หวายเปลี่ยนชื่อดีมั้ยแม่ ดีมั้ยพี่ตรี? จะได้เข้ากับชื่อคนบ้านนี้ พ่อชื่อมหาศาล ลูกชายสามมหา...ว่าที่ลูกสะใภ้ต้องใหญ่โตไม่แพ้กัน” ตรีปวายบอกเสียงจริงจัง

    “บ๊องแล้วยัยหวาย ชื่อที่พ่อกับแม่ตั้งให้ไม่เพราะไม่ดีตรงไหนยะ” พี่สาวค่อนแคะ

    “ก็ไม่ได้ว่าไม่ดีนี่นา...หวายแค่อยากให้ชื่อเข้ากั๊น เข้ากันกับครอบครัวในอนาคต...อืม...มหาปวายดีมั้ยแม่...ดีมั้ยพี่ตรี?” ตรีปวายหัยนมาขอความเห็น นัยน์ตาทอประกายเจิดจ้าเอาจริงเอาจังเสียจนแม่กับพี่สาวหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่คุณตรีทิพยจะเป็นคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดว่า

    “อย่างแกเป็นได้มหาเดียวแหละยัยหวาย...มหาประลัย !”

    โปรดติดตามตอนต่อไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×