ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์ซ่อนรัก

    ลำดับตอนที่ #8 : คุณหมอขา...แบบว่าปิ๊ง 2

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ย. 51


    เล่ห์ซ่อนรัก

    4.2

    คุณหมอขา...แบบว่าปิ๊ง(2)


    ตรีปวายหยิบชิ้นหมูทอดเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ตามติดด้วยข้าวเหนียวขนาดพอดีคำ หญิงสาวพริ้มตาอย่างเป็นสุขเมื่อรสชาติของข้าวเหนียวคลุกเคล้ากับรสชาติของหมูทอดในปาก เสียงร้องอืมลากยาวอย่างจงใจพร้อมกับการพ่นลมหายใจอย่างเป็นสุขก่อนลืมตาขึ้นมองไปยังร่างสันทัด ซึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังจับจ้องมองหล่อนพร้อมกลืนน้ำลายอึกใหญ่

    “เอาสักชิ้นมั้ยคะพี่...ข้าวเหนียวเจ้านี้ นุ้ม นุ่ม หมูทอดก็รสดี๊ ดีด้วย” ตรีปวายบอกพร้อมยื่นถุงหมูทอดไปตรงหน้า รปภ.หนุ่ม พาแลงมองอย่างชั่งใจก่อนสะบัดหน้าเร็ว ๆ

    “แม่ไม่ให้กินของคนแปลกหน้า” เขาบอกเสียงแข็ง ขัดกับสายตาซึ่งจับจ้องถุงหมูทอดแวววาว

    “แปลกหน้าที่ไหนกันพี่...วันนี้เราเจอกันทั้งวันเลยนะ ...เริ่มตอนเช้าพี่ก็เข้ามาทักทายเล่าเรื่องคุณมหาศาลให้ฟัง...ต่อจากนั้นก็เจอตอนคุณหมอเรียกรอบแรก..นี่เป็นการเรียกรอบสองพี่ยังจะบอกว่าเราเป็นคนแปลกหน้ากันอยู่อีกเหรอ?” ตรีปวายถามสีหน้าสงสัยสุดฤทธิ์ พาแลงทำหน้าเหมือนคิดตาม แต่คิ้วขมวดยุ่งคล้ายไม่เข้าใจ สุดท้ายเขาเลือกที่จะส่ายหน้า

    “ผมว่าคุณกลับไปก่อนดีกว่าครับ...ถ้าคุณไม่เห็นใจคุณหมอ ก็ช่วยเห็นแก่ผมหน่อยเถอะครับ ผมยังไม่อยากถูกไล่ออก” พาแลงบอกด้วยน้ำเสียงชวนสงสาร

    “คุณพี่คะ” ตรีปวายเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน “ถ้าคุณน้องกลับไปโดยไม่ได้คุณหมอ...เอ๊ย...โดยไม่ได้อะไรกลับไปด้วยนี่...คุณน้องก็จะถูกไล่ออกเหมือนกันค่ะ” รปภ.หนุ่มนิ่งไปทันทีเมื่อฟังจบ สีหน้าเริ่มส่อแววเห็นอกเห็นใจ นั่นทำให้ตรีปวายรุกต่อ หญิงสาววางถุงหมูทอดกับถุงข้าวเหนียวไว้บนที่นั่งข้างตัว มือสองข้างยกขึ้นกุมประสานไว้หว่างอก ค่อย ๆ ผุดลุกขึ้น...และเริ่มต้นสะอื้นแห้ง

    “พี่คะ...ตอนนี้น้องกำลังตกอยู่ในวาระที่เดือดร้อนแสนสาหัส” ตรีปวายเริ่มเรื่อง

    “คุณพ่อก็มาตายจากไป ทิ้งภาระหนี้สินไว้มากมาย” ...หล่อนไม่ได้โกหกนะ ตอนพ่อตายลุงมาโนชยังมาทวงเงินสองร้อยที่พ่อยืมไว้ก่อนตายเลย...

    “คุณแม่ก็ป่วยด้วยโรคประหลาดที่ตอนนี้ยังหาข้อสรุปยังไม่ได้ หาหมอมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร เขาว่าหมอที่นี่เก่งน้องก็เลยมา น้องต้องการหมอเพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคให้คุณแม่เพื่อที่จะได้หาทางรักษาต่อไป” ...นี่หล่อนก็ไม่ได้โกหก...คุณตรีทิพป่วยโรคประหลาดที่หล่อนกับพี่สาวเคยตั้งชื่อเล่น ๆ ว่า ‘ต้องการลูกเขยขึ้นสมอง’ เรื้อรังมาหลายปีแล้ว...(ความจริงรู้วิธีรักษาแต่ยังหายาไม่ได้เท่านั้นเอง)

    “คุณพี่คิดดูสิคะว่า คุณหมอของคุณพี่ที่ว่าใจดีหนักหนา แต่กลับปฏิเสธคำขอร้องของน้องได้นี่...ใยร้ายมากเลย”  พูดจบตรีปวายก็ใช้แขนเสื้อซับหัวตาแผ่วเบา หางตายังเหลือบมอง รปภ.หนุ่มอย่างจับอาการ เมื่อเห็นสีหน้ายุ่ง ๆ พร้อมการยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรก ๆ แม้อยากรุกต่อ แต่ตรีปวายก็ต้องยั้งไว้ก่อน...เดี๋ยวรู้ทันต้องคอยปล่อยเหยื่อทีละนิดให้ปลาค่อย ๆ ตอด...หญิงสาวคิด

    “เอาเถอะค่ะคุณพี่...วันนี้น้องจะยอมกลับไปก่อนก็ได้” หญิงสาวบอกเสียงเศร้าก่อนคว้าหยิบข้าวของอย่างคนไร้เรี่ยวแรง หล่อนหยิบถุงข้าวเหนียวหมูทอดมายื่นให้ รปภ.หนุ่ม “พี่ช่วยรับไว้ด้วยค่ะ น้องกินไม่ลงแล้ว...มันอิ่ม เอ๊ย ! มันตื้อตันลำคอเสียแล้ว...ขอน้องกลับไปทำใจรอรับอาการป่วยของแม่ก่อน แล้วน้องจะมาใหม่ วันนี้ขอบคุณคุณพี่มากค่ะ...น้องลา” พูดจบหญิงสาวก็ยัดถุงข้าวเหนียวหมูทอดใส่มือ รปภ.หนุ่มที่รับไปอย่างงง ๆ

    พาแลงมองถุงข้าวเหนียวหมูทอดในมือ สลับกับมองแผ่นหลังหญิงสาวก่อนที่เขาจะส่ายหน้ากับตัวเอง...เอาวะ...ไหน ๆ วันนี้คุณเธอก็ไปแล้ว ถ้าพรุ่งนี้มาอีกก็ค่อยว่ากันใหม่ ตอนนี้ขอฉลองศรัทธาข้าวเหนียวหมูทอดก่อนแล้วกัน...พาแลงคิดก่อนลงมือจัดการกับข้าวเหนียวหมูทอดตรงหน้าโดยลืมไปว่า

    ‘แม่ไม่ให้กินของคนแปลกหน้า’

     

     

    ตรีปวายผลักประตูร้าน ‘คอฟฟี่ตรีทิพ’ ด้วยความร่าเริง เท้ากำลังก้าวเข้าร้ายชะงักเมื่อสายตาพบว่าโต๊ะตัวแรกที่หล่อนมองเห็น มีผู้ชายหลายคนนั่งอยู่ และเมื่อเห็นหล่อน ทุกคนต่างลุกกันพึ่บพั่บราวกับนัดกันไว้ สีหน้าร่าเริงของตรีปวายมลายไปทันที คุณตรีทิพซึ่งยืนอยู่เคาน์เตอร์มองสบตาลูกสาวคนเล็ก พยักหน้าให้น้อย ๆ อย่างให้กำลังใจ

    “น้องหวาย” เสียงเรียกนั้นมาพร้อมร่างสูงของปกรณ์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า...แปลกที่สีหน้าว้าวุ่นของชายหนุ่มไม่ได้ทำให้ตรีปวายรู้สึกเดือดร้อนไปด้วยเหมือนเมื่อก่อน “พี่โทรเข้ามือถือหวายก็ไม่รับ...ทำไมหวายทำอะไรปุบปับอย่างนี้ เราน่าจะได้คุยกันก่อน” ตรีปวายแค่นยิ้มเมื่อฟังจบ

    “คุยไม่คุยหวายก็ออกอยู่แล้วล่ะพี่...ก็อย่างที่หวายบอกในจดหมายลาออกนั่นแหละ งานดี ๆ ไม่ได้มีเข้ามาบ่อย ๆ นี่นา พี่น่าจะรู้ดี อีกอย่างเขาก็ต้องการคนชนิดด่วนมาก ๆ หวายก็ไม่อยากเสียเวลาคุย แล้วที่ไม่รับโทรศัพท์ก็เพราะหวายเปลี่ยนเบอร์ใหม่แล้วค่ะพี่...เบอร์เก่าหวายทิ้งไปแล้ว ฟาดเคราะห์!” ท้ายประโยคหญิงสาวแถมการกราดสายตาเผื่อแผ่ทุกใบหน้าคนเคยคุ้นให้ได้สะดุ้งกันเล่น ๆ

    “หวายโกรธอะไรพวกพี่หรือไง?” ปกรณ์ยังถามใจดีสู้เสือ ตรีปวายทำหน้าเหลอหลา

    “โกรธอะไรกันพี่...ไม่ได้โกรธ...น้ำหนาอย่างหวายจะมีสิทธิอะไรไปโกรธพวกพี่ได้ยังไง พวกพี่เป้ฯถึงหัวหน้างาน เป็นถึงบรรณาธิการ หวายก็แค่ลูกน้องกระจอก ๆ คนหนึ่งซึ่งพวกพี่มีไว้สำหรับบริจาคทาน สร้างความเมตตาเท่านั้นเอง” ตรีปวายบอกกลั้วหัวเราะ เพียงฟังประโยคจบหลายคนในโต๊ะสบถเบา ๆ หลายเสียงพอฟังได้ว่า ‘ว่าแล้วเชียวต้องได้ยิน’

    “เอาเถอะ...ถึงหวายจะโกรธพวกพี่ยังไงก็ไม่ควรผลุนผลันออกมาอย่างนี้นะ หวายควรทำตามขั้นตอน” ปกรณ์เอ่ยอย่างใจเย็นหลังจากอึ้งไปครู่ใหญ่ “ต้องยื่นจดหมายลาออกล่วงหน้า ให้พวกพี่หาคนมาแทนได้ก่อนแล้วค่อยไป...หวายทำอย่างนี้งานพี่เสียหายนะ”

    “พี่กรณ์...ลองคิดดูดี ๆ นะว่างานของหวายสำคัญตรงไหน อย่างชงกาแฟพวกพี่ก็ชงกินเองได้กันทุกคนอยู่แล้ว ส่งเอกสารพี่ก็จ้างแมสเซนเจอร์ซะก็สิ้นเรื่อง งานต้นฉบับพวกพี่ก็แค่ปัดฝุ่นสมองสักหน่อยก็กลับมาทำได้แล้ว...อ้อจะสำคัญหน่อยก็ตรงที่พอไม่มีหวายอยู่ใกล้แล้วพวกพี่ดูขี้เหร่ขึ้นจมเลยเท่านั้นเอง” ตรีปวายบอกยิ้ม ๆ

    “เฮ้ย...มากไปแล้วหวาย ให้เกียรติกันหน่อยสิ ยังไงก็แก่กว่านะโว้ย” หนึ่งในกลุ่มร้องบอกคนที่เหลือพยักหน้าเออออรับอย่างเห็นด้วย

    “แล้วพวกพีทำตัวสมควรให้เกียรติไหมล่ะ หรือเพราะหวายเด็กกว่า หรือเพราะหวายเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสับปะรังเคอย่างนี้ หวายก็คนนะคะ ความอดทนมีขีดจำกัดเหมือนกันค่ะ !” ตรีปวายบอกเสียงหนัก สีหน้าหญิงสาวตอนนี้พร้อมจะราวีได้ทันที ปกรณ์เองก็ดูเหมือนจะรับรู้ถึงอารมณ์ของหญิงสาว เขาถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า

    “ถึงขั้นนี้แล้ว แม้ว่าพวกพี่จะขอร้องให้หวายกลับไปทำงาน คงไม่สำเร็จแล้วสินะ”

    “ค่ะ...หวายบอกแล้วว่าได้งานใหม่” ตรีปวายตอบ มองหน้าผู้ชายที่หล่อนเคยหลงรักด้วยอาการสงบ “คราวนี้หวายเป็นเจ้าของคอลัมน์เองด้วยนะคะ ไม่ใช่เงาใครเหมือนเดิม” คำตอบของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มหลายคนในโต๊ะสะดุ้งพร้อมหลบตาจ้าละหวั่น ตรีปวายยิ้มอย่างสมใจ “ยังไงซะเราก็อยู่ในวงการเดียวกัน เจอกันก็ทักทายกันได้นะคะ อ้อ...หวายลืมบอกไป...อย่าติดตามผลงานของหวายนะคะ อีฟในเครือเอเดนน่ะ คิดว่าพวกพี่คงรู้จัก” ท้ายประโยคหญิงสาวบอกพร้อมยิ้มเยาะเมื่อเห็นหลายคนอ้าปากค้างทำตาปริบ ๆ

    “หวาย...กับ...อีฟในเครือเอเดนเหรอ...” ปกรณ์ครางสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ ตรีปวายพยักหน้ารับ

    “ใช่ค่ะพี่กรณ์ เขาติดต่อหวายโดยตรงเลยนะเขาว่าเขาชอบงานของหวาย แปล๊ก แปลก เขารู้ด้วยว่างานชิ้นไหนหวายทำด้วยแหละ” สิ้นประโยคของตรีปวาย ปกรณ์ถึงกับหน้าซีด...ในวงการใครจะไม่รู้ว่าทะนนเจ้าของเอเดนเจนจัดเรื่องข้อมูลทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังแค่ไหน หากเรื่องที่ตรีปวายพูดเป็นเรื่องจริง...หากทะนนรู้ถึงขั้นว่างานชิ้นไหนตรีปวายเป็นคนเขียนจริง...แล้วเบื้องลึกเบื้องหลังของสำนักพิมพ์ของเขา...ทำไมจะไม่รู้ ! ความคิดของปกรณ์แสดงออกชัดทางสีหน้าที่เริ่มซีดเจื่อน

    “เอาล่ะคะ หวายว่าเราคงคุยกันรู้เรื่องแล้ว ขอบคุณนะคะที่แวะมาเยี่ยมเยียนวันนี้ หวายเลี้ยงกาแฟเองค่ะ...แม่คะลงบัญชีหวายนะ” ท้ายประโยคตรีปวายหันไปบอกผู้เป็นแม่พร้อมกับชี่ที่โต๊ะเป้าหมาย เมื่อคุณตรีทิพพยักหน้ารับแล้วหญิงสาวจึงหันกลับมาที่คู่สนทนา

    “หวายขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบก็ไม่รอฟังคำใด ตรีปวายก้าวฉับ ๆ ตรงเข้าไปห้องทำงานของคุณตรีทิพทันที ยืนฟึดฟัดอยู่ในห้องไม่นานผู้เป็นแม่ก็ตามเข้ามา

    “ไปหรือยังแม่?” ถามอย่างหงุดหงิด คุณตรีทิพหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบ

    “จะอยู่ได้ยังไงล่ะ แกเล่นด่าซะลั่นร้านแบบนั้นน่ะ”

    “ด่า เด่อ ที่ไหนกันแม่ก็ คำไหนที่ว่าหวายด่า หวายแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง” ตรีปวายบอกพร้อมทรุดนั่งบนเก้าอี้สีดสดตัวโปรด อารมณืดีขชึ้นทันตาเห็นเมื่อได้ยินข่าวดีจากคุณตรีทิพ

    “เออ...ไม่ได้ด่า แค่ขึ้นเสียงนิดเดียว อย่างแกจะเคยด่าใครที่ไหน ออกจะอ่อนหวานเรียบร้อยเหมือนผ้าขยุ้มไว้ใช่มั้ยล่ะ” คุณตรีทิพประชด มองลูกสาวคนเล็กซึ่งกำลังหัวเราะตบมือตบไม้อย่างถูกอกถูกใจคำพูดด้วยความหมั่นไส้ “แล้วทำงานวันนี้เป็นไงมั่งล่ะ ได้เรื่องมั้ย?” คุณตรีทิพชวนเปลี่ยนเรื่อง เพียงคำถามนั้นตรีปวายก็ขยับตัวอย่างกระตือรือร้น

    “ได้สิแม่...ได้เยอะเต็มหัวใจด้วย” คำพูดเพ้อ ๆ สีหน้าเคลิ้ม ๆ ของลูกสาวทำให้คุณตรีทิพได้แต่ส่ายหน้า

    “บอกมาดีกว่าว่าวันนี้แกไปสร้างวีรกรรมอะไรไว้” คุณตรีทิพถามอย่างรู้ทัน

    “โธ่แม่ หวายไม่ได้ทำอะไรเป้าหมายเลยนะ...จริง ๆ” ตรีปวายยืนยัน คุณตรีทิพหรี่ตามองยกมือกอดอกก่อนเอ่ยเสียงเข้ม

    “เล่ามา...ก่อนราคากาแฟที่แกเลี้ยงชาวบ้านเขาจะพุ่งปรี๊ด ๆ !”

     


    เสียงดนตรีแผ่วคลอลอยปะปนมาพร้อมเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย ทำให้มโหระทึกหันไปมองตึกหลังเล็กทันทีที่ก้าวลงจากรถ แสงไฟสว่างไสวพร้อมกับเงาร่างคนวูบวาบขวักไขว่ทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนก้าวเท้ามุ่งหน้าเข้าบ้านหลังใหญ่ ทันทีที่ผลักประตูเปิดรูปวาดขนาดเท่าคนจริงของคุณหญิงเทพมาลา มารดาผู้ล่วงลับโดดเด่นต้อนรับ เขามองสบตารูปวาดเท้าก้าวพาร่างเคลื่อนเข้าไปใกล้ มือยื่นไปสัมผัสพื้นผิวของรูปวาดแผ่วเบา...เหมือนแม่ยังอยู่รอให้เขากลับบ้านเช่นที่เคยเป็นมา

    “ว่าไงเจ้าเล็ก ถ้าไม่บอกให้มาใจคอจะปล่อยให้ป๋าเฉาตายเพราะคิดถึงอยู่นี่ใช่มั้ย” เสียงทักทายเรียกความสนใจให้หันกลับไปมอง ร่างสูงสมาร์ทดูอ่อนกว่าวัยของคุณมหาศาลยืนเด่นอยู่กลางห้อง

    “อย่างป๋าเนี่ยนะจะยอมเฉาตาย น่าเชื่อถือมาก” ชายหนุ่มบอกประชด คุณมหาศาลหัวเราะลงลูกคออย่างพอใจ เดินเข้ามาตบไหล่หนาพร้อมกับเอ่ยปากชวน

    “พ่อจัดงานเลี้ยงประจำเดือน เล็กไปร่วมงานหน่อยสิ ป๋าจะได้อวดว่าลูกชายคนสุดท้องของป๋าน่ะ ตั้งใจทำไม่แพ้พี่ชายทั้งสอง” คุณมหาศาลเอ่ยชวน

    “ป๋าให้ผมไปชุดนี้ได้มั้ยล่ะ” มโหระทึกถามเสียงรวน คุณมหาศาลหรี่ตามอง ‘ชุดนี้’ ของลูกชายคนเล็กซึ่งก็เป็นชุดเดิม ๆ ที่เขาชอบใส่...เสื้อยืดคอกลมสีสะอาด กางเกงยีนสีซีดเก่าขาด...ยิ่งมองย้อนกลับมายังใบหน้ารกเรื้อด้วยหนวดเคราของลูกชายคนเล็กก่อนยิ้มกลับมามองชุดสูทสุดหรูของตัวเองแล้ว คุณมหาศาลก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา

    “เล็กเอ๊ย รู้จักเข้าสังคมบ้างเถอะลูก อย่าเก็บเนื้อเก็บตัวมากนัก...ไม่ต้องสังคมจัดเหมือนพี่ใหญ่ แล้วก็ไม่ต้องปากไวเหมือนพี่รองแกก็ได้...ป๋าไม่อยากให้แกจมปลักอยู่อย่างนี้” คุณมหาศาลบอกกล่าว

    “ผมก็ไมได้จมปลักอะไรนี่ป๋า ผมว่าป๋าอย่ามากล่อมเลย ถ้าสำเร็จจริงป๋าคงไม่ต้องพูดบ่อยอย่างนี้หรอก ป๋าก็มีพี่ใหญ่กับพี่รองเชิดหน้าชูตาได้แล้วนี่ ปล่อยผมไปเหอะ” มโหระทึกบอกง่าย ๆ คุณมหาศาลได้แต่ถอนหายใจหนัก ๆ “ว่าแต่ป๋าอยากพบผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มตัดบท คุณมหาศาลมองอย่างรู้ทันแต่ก็ยอมเปลี่ยนเรื่องตามโดยดี

    “จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก ป๋าแค่อยากเห็นหน้าเล็กเฉย ๆ แต่ว่า...เมื่อบ่าย พี่ใหญ่โทรมาเล่าให้พ่อฟังเรื่องที่เล็กโดนคนจากอีฟตามตื้อ จริงหรือเปล่าลูก?” ลงท้ายด้วยคำถาม มโหระทึกจึงได้แต่พยักหน้ารับ สีหน้าเบื่อ ๆ เมื่อนึกถึงผู้หญิงช่างตื้อคนนั้น

    “ใช่ครับป๋า...ป๋าพูดขึ้นมาก็ดีเลย ผมอยากให้ป๋าบอกพี่ศิว่า ช่วยกันคนจากอีฟให้ผมด้วย ผมไม่อยากร่วมงานกับเขา” คุณมหาศาลฟังแล้วได้แต่โคลงศีรษะยิ้ม ๆ

    “แต่ป๋ากำลังจะบอกเล็กว่า...ป๋าอยากให้เล็กร่วมงานกับอีฟ” คำพูดกลั้วยิ้มของคุณมหาศาล ทำให้มโหระทึกทำหน้าเหมือนเห็นผี

    “อ...อะไรนะครับป๋า?!” เขาถามอย่างตระหนก...เพราะโดยปกติแล้วเป็นที่รู้กันดีทั้งบ้านว่าผู้เป็นพ่อมักจะตามใจเขาในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาต้องการความเป็นส่วนตัวเวลาทำงาน คุณมหาศาลก็จัดการให้ด้วยการบริจาคตึก ‘กึกก้องโอฬาร’ พร้อมด้วยห้องทำงานส่วนตัว แถมด้วยบอดี้การ์ดศิรา เพื่อกันสาว ๆ ที่ไม่รู้จะมากรี๊ดกร๊าดอะไรเขาหนักหนา รวมไปถึงการจ้างยามประจำตึกเพื่อสอดส่องดูแลอีกทาง แม้มโหระทึกจะเคยแย้งว่าเป็นการตามใจที่มากเกินเหตุ แต่ชายหนุ่มก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาชอบ...เมื่อเกิดเหตุผู้เป็นพ่อชัดแย้งคราวนี้จึงสร้างความแปลกใจให้เขาเป็นอย่างยิ่ง

    “เอาแล้วไงเจ้าเล็ก ไม่เจอกันไม่เท่าไหร่กลายเป็นคนหูหนวกแล้วเรอะ” คุณมหาศาลเย้ายิ้ม ๆ

    “ป๋าอย่าเปลี่ยนเรื่องสิ อธิบายก่อน” มโหระทึกแย้งน้ำเสียงเริ่มหงุดหงิด “ผมคิดว่าระดับป๋าจะทำอะไรต้องมีเหตุผล เขาตะล่อม คุณมหาศาลหัวเราะลั่นอย่างพอใจหนักหนา

    “เหตุผลน่ะมีแน่ ๆ แต่ว่ามันต้องคุยกันยาว คืนนี้ป๋าต้องดูแลแขกด้วย นี่ก็ทิ้งมานานแล้ว...พรุ่งนี้เป็นไงล่ะ เล็กว่างคุยกับป๋าหรือเปล่า” คุณมหาศาลเอ่ยถาม

    “ไม่ได้หรอกป๋า พรุ่งนี้ผมมีผ่าตัดเช้า” ชายหนุ่มตอบ คนเป็นพ่อพยักหน้ารับหงึกหงัก

    “ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็นว่า เล็กว่าฟังป๋าอธิบายเมื่อไหร่ก็มาหาได้เลย ป๋าว่างตลอด...แต่ว่าช่วงที่ยังวไม่ได้เหตุผลเนี่ยเล็กช่วยประนีประนอมคนจากอีฟหน่อย อย่าตัดเยื่อเถือใยเขามากนัก...เกิดฟังเหตุผลแล้วเข้าท่าไปประสานทีหลังจะเสียหน้านะ” พูดจบคุณมหาศาลก็ตบไหล่หนาของลูกชายเบา ๆ ก่อนเดินหัวเราะจากไป

    มโหระทึกได้แต่มองตามแผ่นหลังของผู้เป็นพ่ออย่างไม่เข้าใจ เขาส่ายหน้ากับตัวเองเมื่อนึกถึงคำพูดก่อนจากไปของผู้เป็นพ่อ...ประนีประนอม...อย่าตัดเยื่อเถือใยอย่างนั้นหรือ ? ทั้ง ๆ ที่ไร้ไมตรีพูดด้วยชนิดห้วนไร้ที่ติดอย่างนั้น ผู้หญิงช่างตื้อยังรุกได้ไม่ลดละ...ขืนไปพูดดีด้วยหน่อยมีหวัง แม่เจ้าประคุณผูกติดชนิดไม่ยอมก้าวเป็นแน่แท้...มโหระทึกได้แต่ทรุดนั่งกระแทกกระทั้นกับเก้าอี้รับแขกตัวนุ่ม ยกมือขึ้นลูบผมสั้นเกรียนแรง ๆ อย่างไม่รู่จะทำอะไรดีไปกว่านั้น...เขาเบือนหน้าไปมองรูปวาดของคุณหญิงเทพมาลา พึมพำกับรูปแผ่วเบา

    “หรือว่า...เล็กหนีเรื่องนั้นไม่พ้นแล้วครับ...แม่”

     


    คุณตรีทิพได้แต่ส่ายหน้าน้อย ๆ หลังจากฟังเรื่องราวการทำงานในวันนี้ของลูกสาวจบลง ยิ่งมองสีหน้าปลื้มเปรมนัยน์ตาเคลิ้มฝันยามเอ่ยถึง ‘หมอโห’ ของลูกสาวแล้ว คุณตรีทิพก็บอกกับตัวเองได้ว่า...อาการหนัก

    “แพ้คนหล่ออีกแล้วลูกฉัน” เสียงของผู้เป็นแม่ปลุกตรีปวายจากห้วงฝัน

    “รายนี้ไม่ได้แพ้ธรรมดาด้วยนะแม่...หัวใจมันบอกว่ายอมศิโรราบเลยล่ะ” ตรีปวายบอกอย่างกระตือรือร้น

    “หวายเอ๊ย...ถ้าแกจะตามติดชีวิตหมอเขาขนาดนั้นน่ะ แม่ว่าเขาจะหยิบมีดผ่าตัดมาลาบแกมากกว่า...ขนาดแม่แค่ฟังยังอดรู้สึกไม่ได้เลย” คุณตรีทิพค่อนแคะ ตรีปวายมองค้อนตากลับ

    “แหม ๆ แม่ก็...ยังไม่เคยเห็นหน้ากันยังเข้าข้างลูกเขยคนเล็กขนาดนี้เลยเรอะ” หล่อนว่ากระเง้ากระงอด แต่คุณตรีทิพถึงกับหัวเราะลั่น

    “หวายเอ๊ย...เป็นเอามากนะแกน่ะ”

    “ทำหัวเราะดีนะแม่ ไหนอยากได้นักอยากได้หนาลูกเขยน่ะ พอหวายจะหาให้จริง ๆ ทำเป็นขำนะ” ตรีปวายว่างอน ๆ

    “ของอย่างนี้มันต้องร่วมด้วยช่วยกัน ไม่ใช่แกทึกทักเอาเองอย่างนี้” คุณตรีทิพว่ากลั้วหัวเราะ

    “ขอเวลาหน่อยสิแม่...อีกไม่นานหรอกหวายรับรอง” บอกอย่างมั่นอกมั่นใจ คนเป้นแม่ได้แต่โคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ

    “เอาเถอะ ๆ จะทำอะไรก็ให้มันพอดีพองาม คิดก่อนทำ เราเป็นผู้หญิงนะเกิดอะไรขึ้นมามีแต่เสีย” คุณตรีทิพบอกในที่สุด

    “หวายจะเป็นผู้หญิงที่แม้จะเกิดอะไรขึ้นก็จะมีแต่ได้กับได้...แม่คอยดู !” ตรีปวายบอกพร้อมตบพนักเก้าอี้แรง ๆ ประกอบ


    “เออ...แม่จะรอดู...ว่าแต่พี่สาวเราน่ะไปไหนล่ะ ทำไมไม่มาด้วยกัน” คุณตรีทิพเปลี่ยนเรื่อง

    “อ๋อ วันนี้พี่ตรีไปหาหมอฟันวันแรกน่ะแม่ คืนนี้หวายนอนกับแม่นะ พี่ตรีบอกตั้งแต่เช้าแล้วว่าหาหมอเสร็จแล้วเผื่อได้ถอนฟันไม่อยากให้ใครกวน” หญิงสาวตอบคำถามผู้เป็นแม่

    “อ้าว ไหงเป็นอย่างนั้นล่ะ” คุณตรีทิพโวยวาย

    “ทำไม ? แม่ไม่อยากให้หวายนอนด้วยเพราะแม่นัดหนุ่มไว้ใช่มั้ย?!” ลูกสาวคาดคั้น

    “เปล่า...แม่แค่สงสัยว่าทำไมตรีต้องอยากอยู่คนเดียวด้วย”

    “แม่ก็น่าจะรู้ดีว่า พี่ตรีน่ะนะ เวลาหงุดหงิดอะไรสักอย่างแล้วหาทางระบายไม่ได้น่ากลัวแค่ไหน หวายเคยตกลงกันไว้ว่าถ้าพี่ตรีมีอาการหรือคาดการณ์ได้ว่าจะมีเรื่องชวนให้หงุดหงิดล่ะก็ ให้บอกล่วงหน้าหวายจะได้หาที่หลบ...แล้วพี่ตรีไปหาหมอฟันทีไรกลับมาบ้านเกิดบรรยากาศอึมครึมทุกครั้ง หวายไม่เสี่ยงกลับไปเจอหรอก” ตรีปวายเล่าพลางทำท่าขนลุก

    “รู้ว่าพี่กลัวก็ยังจะเอาความกลัวของพี่มาล้อเล่นอีกนะเราะน่ะ” คุณตรีทิพพูดอย่างตำหนิ

    “งั้นหวายตัดแม่ออกจากทริปนี้ก็ได้นะ” หญิงสาวบอกอย่างไม่ยี่หระ

    “ก็ลองดูสิ !” คนเป็นแม่บอกสีหน้าขึงขัง เท่านั้นตรีปวายก็หัวเราะอย่างร่าเริงพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง

    “นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง”

     

     

    การผ่าตัดคนไข้ช่วงเช้าผ่านไปด้วยความเรียบร้อย แม้จะใช้เวลาร่วมสามชั่วโมงก็ตาม นั่นทำให้มโหระทึกเพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ เมื่อเห็นหญิงสาวจอมตื้อยืนอ่านข้อความตามบอร์ดโดยมีพาแลงเดินตามแทบจะทุกฝีก้าว สายตาของพาแลงจ้องเขม็งอย่างจับผิดไปยังหญิงสาวซึ่งดูเหมือนไม่รู้สึกรู้สมกับสายตานั้นทำให้ชายหนุ่มอดนึกขำไม่ได้ ยิ่งอาการตื่นตระหนกของพาแลงเมื่อมองเห็นเขาเข้า มโหระทึกเกือบกลั้นยิ้มไม่อยู่เลยทีเดียว

    “ผมเปล่าให้เข้ามานะครับหมอ คุณน้องเขาบอกว่าขอเดินเล่นแถว ๆ นี้ก็พอผมยังไม่อนุญาตเลยนะครับ” พาแลงละล่ำละลัก มโหระทึกพยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนหันมามอง ‘คุณน้อง’ ของพาแลงซึ่งตอนนี้หันมาจ้องเขาด้วยสีหน้าระรื่น

    “ต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมออกไปจากชีวิตผมเสียที” ชายหนุ่มถามโต้ง ๆ ตรีปวายยิ้มรับหน้าชื่น

    “ไม่ยากเลยค่ะ คุณหมอก็แค่แต่งงาน...เอ๊ย...ร่วมงานกับฉันเท่านั้นเอง” คำตอบของหญิงสาวทำให้หมอหนุ่มได้แต่กลอกตา

    “คุณบอกเมื่อวานว่าแค่ผมคุยกับคุณเรื่องก็จบใช่มั้ย?” มโหระทึกถามกลับคล้ายไม่ใส่ใจคำตอบเมื่อครู่

    “เปล่านะคะ ฉันไม่ได้บอกว่าแค่คุยแล้วจะจบ ฉันแค่บอกว่าให้คุณหมอมาคุยทำความเข้าใจกันก่อน บางทีถ้าคุณหมอลองรับฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรอง คุณหมออาจจะเปลี่ยนใจก็ได้” น้ำเสียงของตรีประดับเป็นการเป็นงานพร้อมสีหน้าที่ปรับจากระรื่นเป็นจริงจังของหญิงสาว มาพร้อมกับคำพูดของผู้เป็นพ่อเมื่อคืนนี้ทำให้มโหระทึกถอนหายใจอีกรอบ

    “ก็ได้...ผมจะคุยกับคุณ ครึ่งชั่วโมงผมมีเวลาให้คุณเท่านั้น เชิญที่ห้อง พาแลงเดี๋ยวตามขึ้นไปด้วยนะ” ท้ายประโยคหันมาสั่งพาแลง พูดจบมโหระทึกก็ไม่รอช้า เขาหมุนตัวเดินตรงไปที่ลิฟต์ทันที นั่นทำให้เขาไม่เห็นอาการตาเหลือก อ้าปากค้างของพาแลง และการอ้าปากค้างดวงตาแวววาวพร้อมกับการถองศกอย่างยินดีของหญิงสาวซึ่งก่อนเดินตามหมอหนุ่มเข้าลิฟต์ไม่วายหันมายักคิ้วหลิ่วตาโบกไม้โบกมือกับ รปภ. หนุ่มอย่างร่าเริง

    มโหระทึกพยายามใช้สายตามองเพียงตัวเลขไฟกะพริบบอกชั้นที่เลื่อนผ่าน แม้หางตาเขาจะยังรู้สึกว่าหญิงสาวผู้โดยสารร่วมลิฟต์ยังจ้องเขาเขม็ง ชายหนุ่มขยับตัวอย่างอึดอัดเมื่อรู้สึกว่าหญิงสาวคนนั้นเขยิบเข้ามาใกล้ ในใจเขาตอนนี้กำลังเร่งให้ลิฟต์หยุดเสียที...เพราะบรรยากาศที่อบอวลทั่วลิฟต์ที่มีผู้โดยสารเพียงเขาและหญิงสาวจอมตื้อ...น่ากลัวเป็นที่สุด ! มโหระทึกถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อลิฟต์หยุดและประตูลิฟต์เปิดกว้าง เขารีบก้าวออกจากลิฟต์โดยพยายามไม่สนใจคนเดินตามที่ร้องอย่างเสียดาย

    ‘ว้า...จะถึงตัวอยู่แล้วเชียว’

    กระทั่งมาถึงห้องพักของเขา ดีว่าเมื่อเชื้อเชิญให้นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วเจ้าหล่อนไม่ลากเก้าอี้มานั่งข้างเขาอย่างที่นึกกลัว และเมื่อมองผ่านหน้าต่างกรุกระจกติดฟิล์มแล้วเห็นพาแลง มโหระทึกจึงค่อยหายใจโล่งได้บ้าง

    “คุณมีอะไรจะคุยก็ว่ามาสิ ครึ่งชั่วโมงของคุณเริ่มนับถอยหลังแล้วนะ” เขาเอ่ยเรียบ ๆ พร้อมกับถอดเสื้อกาวน์ออกวางพาดกับพนักเก้าอี้ ชุดเสื้อยืดคอกลมสีสะอาดตาทำให้คนมองถึงกับทำตาปรอย แต่เมื่อเห็นหมอหนุ่มถลึงตามอง ตรีปวายก็ไม่รอให้เอ่ยซ้ำ หญิงสาวหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาเปิดหยิบเอกสารชุดหนึ่งยื่นให้คุณหมอหนุ่มซึ่งรับไปอ่านอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

    “คุณหมอลองอ่านดูก่อนดีกว่าค่ะ ฉันคิดว่าระดับคุณหมอมโหระทึกเนี่ยน่าจะใช้เวลาไม่เกินสิบนาทีในการอ่าน เมื่อคุณหมออ่านจบแล้วเรามาคุยกันอีกยี่สิบนาทีก็เหลือจะพอค่ะ” น้ำเสียงเป็นการเป็นงานนั้นทำให้มโหระทึกพอเบาใจได้ว่าระดับความประหลาดของหญิงสาวคงจะลดลงบ้างแล้ว เขาก้มลงไล่สายตาอ่านข้อความ เพียงไม่ถึงห้านาทีสมาธิของเขาก็ถูกทำลาย เริ่มจากอาการขยุกขยิกของหญิงสาวตรงหน้า พาสายตาให้เหลือบมองเพื่อจะพบว่าเจ้าหล่อนกำลังจ้องเข้าด้วยดวงตาพราวระยับอยู่แล้ว แม้ละความสนใจแต่มโหระทึกก็ปัดแววตาของหญิงสาวออกไปไม่ได้ ความรู้สึกถูกจ้องมองทำให้เขาเริ่มอึดอัด

    “ทำไมต้องเป็นผม?” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย หลังจากพยายามอ่านข้อความในกระดาษจนปะติดปะต่อเนื้อหาได้แล้วพบว่า...มีเหตุผลพอรับได้ ตรีปวายยิ้มอย่างไม่สนใจสายตาของชายหนุ่ม

    “เพราะพรหมลิขิตไงคะ ถึงทำให้ฉันปักอกปักใจในคุณหมอ อยากร่วมงานกับคุณหมอ อยากให้คุณเป็นเจ้าของหวาย...เอ๊ย...เป็นเจ้าของคอลัมน์ร่วมกันกับฉัน...ตกลงนะคะ” หญิงสาวอ้อนเสียงหวานเชื่อม คำตอบไม่ตรงคำถามแถมดูเหมือนเนื้อหาของคำตอบจะเลื่อนเปื้อนคล้ายคนถามใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้มโหระทึกต้องเอ่ยคำตรงใจในตอนนี้ออกไป

    “ไม่ !” มโหระทึกกระแทกเสียงแถมด้วยการถลึงตาดุ อีกฝ่ายเพียงสะดุ้งซึ่งดูรู้ว่าแกล้งทำ แต่ไม่ยอมแพ้

    “นะคะ...ร่วมมือกันเถอะนะคะ”

    “ผมบอกว่าไม่ก็ไม่สิ ! คุณฟังภาษาคนไม่เข้าใจเรอะ !” คุณหมอหนุ่มเริ่มขึ้นเสียงเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาวเริ่มแปรเปลี่ยนไปในทางน่ากลัว ตรีปวายแสร้งถอนหายใจหนัก ๆ

    “เข้าใจค่ะ...แต่ว่า...มาร่วมงานกันเถอะค่ะคุณหมอ...นะคะ...นะคะ...นะค้า” คราวนี้ไม่พูดเปล่าหญิงสาวยังปราดเข้าไปจับแขนชายหนุ่มเขย่าเบา ๆ ก่อนตาเหลือกค้างพร้อมกับอุทานอย่างตื่นเต้น “ต๊าย...กล้ามคุณหมอแข็งแรงม้าก มากเลยนะคะเนี่ย เข้าฟิตเนสออกกำลังกายเป็นประจำเลยใช่มั้ยคะ...แหม...ชอบอีกแล้วค่ะ” ว่าพลางปรอยตาให้ คุณหมอหนุ่มแม้จะอยู่ในภาวะอึ้งแต่ก็พอหลงเหลือสติอยู่บ้าง เขาผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนที่จะโดนขยำกล้ามมากไปกว่านี้ มือใหญ่ตวัดจับข้อมือเล็กของหญิงสาวไว้มั่น นั่นทำให้คนถูกจับมือถึงกับตาเหลือกด้วยความดีใจ

    “ระดับ A จับมือ !” ตรีปวายพึมพำตาลุกวาว มองเพียงข้อมือที่โดนจับ กว่าหญิงสาวจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อมีมืออีกข้างหนึ่งมาแทนที่มือขาวจัดซึ่งถอนออกทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวก็พบว่าเจ้าของมือคนใหม่คือพาแลง รปภ.หนุ่มประจำตึกนั่นเอง

    “ขอสั่งอีกครั้งนะพาแลง...ต่อไปนี้ห้ามผู้หญิงคนนี้เข้าออกตึกนี้อีกเด็ดขาด ถ้าเจอมาป้วนเปี้ยนอีก นายโดนเล่นงานแน่คุณพาแลง !” สิ้นคำสั่งแสนเฉียบขาด ทำให้ รปภ.หนุ่มได้แต่หัวเราะเจื่อน ๆ ก่อนรับคำแผ่วเบา เขากำลังจะลากหญิงสาวออกจากจุดเกิดเหตุ สายตาเว้าวอนของหญิงสาวกลับทำให้เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่งกว่าเดิม

    “แม่น้องกำลังป่วยนะพี่...ขออีกนิดนะพี่นะ” ตรีปวายบอกเสียงแผ่ว ขณะรอให้พาแลงชั่งใจ หญิงสาวก็หันไปหาคุณหมอหนุ่มซึ่งทำตาดุรออยู่แล้ว ยังไม่ทันที่ตรีปวายจะทันได้อ้าปากชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นก่อน

    “ก็บอกว่าไม่ !” พูดจบเขาก็หันหลังหมายเดินเลี่ยง

    “แหม...ฉันกำลังจะบอกว่าให้คุณหมอเลิกสนใจฉันเสียที...แต่เมื่อคุณหมอยืนยันว่า ‘ไม่’ เสียงแข็งขนาดนี้ ฉันก็จนใจค่ะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ประโยคไล่หลังของหล่อนทำเอาหมอหนุ่มได้แต่ฉุนจัด และต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะไม่หันกลับตรงเข้าขย้ำคอคนพูด มโหระทึกขบฟันแน่นอย่างข่มใจก่อนพาร่างตัวเองหนีให้พ้นบ่อจุดอารมณ์อย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะสดใสอย่างชอบอกชอบใจที่ดังไล่หลังมาเหมือนค้อนขนาดใหญ่ไล่ทุบเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

    “เฮ้อ...ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้...ทำอะไรก็ถูกใจไปโหม้ด” ตรีปวายพึมพำยิ้ม ๆ ก่อนหันมาทาง รปภ.หนุ่ม “ปล่อยได้แล้วคุณพี่ จับนานเกินไปแล้วนะ...เดี๋ยวก็ปรับซะหรอก” พูดพลางถลึงตาดุ พาแลงรีบปล่อยทันที

    “เอ่อ...ผมว่า...คุณก็ได้คุยกับคุณหมอไปบ้างแล้ว ผมว่า คุณไม่ควรมาที่นี่อีกแล้วนะครับ” พาแลงบอกอ่อย ๆ

    “ทำไมพี่ พี่กลัวหมอโหไล่ออกหรือไง?” ตรีปวายถามกลับยิ้ม ๆ รปภ.หนุ่มทำหน้าสงสัย

    “ใครครับหมอโห?” ตรีปวายหัวเราะเบา ๆ ก่อนบอกว่า

    “ก็หมอมโหระทึกนั่นแหละ”

    “คุณหมอไม่ได้ชื่อโหสักหน่อย คุณหมอชื่อเล่นเล็กต่างหาก” พาแลงแย้งซื่อ ๆ ตรีปวายพยักหน้ารับเนือย ๆ ก่อนความคิดบางอย่างจะสว่างวาบเข้ามาในสมอง

    “ช่างชื่อเล่นหมอเถอะ คุณน้องจะเรียกหมอโหซะอย่างใครจะทำไม” หญิงสาวว่าอย่างดื้อดึง “ว่าแต่เรื่องที่คุณพี่จะห้ามคุณน้องไม่ให้มาที่นี่อีกน่ะ...คุณน้องรับปากไม่ได้หรอกนะคะ...คุณพี่คิดดูสิถ้าคุณน้องไม่สบายก็ต้องมาหาหมอใช่มั้ย? แล้วคุณแม่ของคุณน้องก็ยิ่งไม่สบายอยู่ในขั้นสุดท้ายของโรคประหลาดด้วย เกิดคุณน้องไม่พามาหาหมอ ไม่ได้รับการรักษา ปุบปับเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ?” ฟังจบพาแลงมีท่าทีครุ่นคิด ก่อนเอ่ยตะกุกตะกักว่า

    “แต่ว่า...คุณก็ได้ยิน...เมื่อกี้หมอบอกว่าถ้าเจอคุณอีกผมจะโดนเล่นงาน...อาจถึงขั้นไล่ออกเชียวนะครับ”
    “แหม...คุณพี่ก็...ทำงานที่นี่มานานน่าจะรู้นิสัยใจคอของหมอดีนะ” หญิงสาวหยั่งเชิง เมื่อเห็นการเงียบของ รปภ.หนุ่มเป็นคำตอบจึงพูดต่อว่า “คนอย่างหมอเล็กของคุณพี่น่ะ ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำสักหน่อย ออกจะเป็นคนมีเหตุผล ถึงหน้าจะดุ โหด ปากจะร้ายไปหน่อย แต่ความจริงแล้วเป็นคนมีน้ำใจมาก ๆ ไม่ใช่เหรอ?” พาแลงครุ่นคิดก่อนพยักหน้ารับ นั่นทำให้ตรีปวายได้แต่ร้องไชโยในใจ...ต่อไปนี้ก็รู้แล้วว่าจะสืบความลับคุณหมอได้...จากใคร

    “ก็จริงของคุณนะ...แต่ว่า...”

    “เอาน่า...ฉันรับรองด้วยเกียรติของเนตรนารีว่าจะไม่ทำให้คุณพี่เดือดร้อน ถ้าหากคุณพี่ต้องโดนไล่ออกเพราะคุณน้องเป็นเหตุ คุณน้องรับรองว่าคุณพี่จะมีที่ทำงานใหม่ทันที...ตกลงมั้ย?” คำรับรองพร้อมข้อเสนอ แม้ไม่เพียงพอให้ยึดเป็นหลักได้แต่ก็ทำให้พาแลงมีอาการครุ่นคิด นั่นทำให้ตรีปวายรุกต่อ

    “ตกลงตามนี้แหละ สำหรับวันนี้ขอบคุณมาก ๆ เลยนะจ๊ะคุณพี่ ไว้เจอกันใหม่นะบ๊าย บาย” ตรีปวายตีขลุมก่อนโบกไม้โบกมือล่ำลาพร้อมเดินจากไปอย่างร่าเริง รปภ.หนุ่มได้แต่ถอนหายใจหนัก ๆ ส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนหันไปตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ต่อ

    ร่างเปรียวกึ่งเดินกึ่งวิ่งอย่างร่าเริงหยุดชะงักก่อนหันกลับไปมองยังตึกที่เดินจากมา สายตางุนงงมองกวาดไปทั่วทุกชั้นของตึกคล้ายมองหาอะไรบางอย่าง เมื่อเห็นเพียงความสงบเงียบจึงได้แต่ส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนหันกลับเดินจากไป...เหตุที่หญิงสาวหันกลับมาเพราะมีความรู้สึกว่าถูกมองแต่เมื่อไม่เห็นต้นตอก็ได้แต่ขำความรู้สึกของตัวเอง

    ...แต่หากเจ้าหล่อนจะสังเกตสักนิดก็จะพบว่าความรู้สึกนั้นเป็นความจริง...

    หน้าต่างห้องพักแพทย์ชั้นบนสุดของตึกกึกก้องโอฬารปิดกระจกแน่นหนาก็จริง แต่ผ้าม่านกลับมีความเคลื่อนไหว ใบหน้าของใครคนหนึ่งโผล่วับแวมอยู่ตรงรอยแยกของผ้าม่าน หนวดเครารกครึ้มตัดกับใบหน้าค่อนข้างขาว สายตาที่เคยเย็นชาอยู่เป็นนิตย์มองตามร่างเปรียวที่เดินกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริงไปจนลับตา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×