ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์ซ่อนรัก

    ลำดับตอนที่ #7 : คุณหมอขา...แบบว่าปิ๊ง 1

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ย. 51


    เล่ห์ซ่อนรัก

    4.1

    คุณหมอขา...แบบว่าปิ๊ง(1)


    มหุดิฤกษ์รวบช้อนหลังกวาดข้าวคำสุดท้ายเข้าปากเคี้ยว มือข้างหนึ่งยกแก้วน้ำขึ้นจ่อริมฝีปาก ขณะที่หางตายังสังเกตการณ์คนร่วมโต๊ะ หลังจากที่เขาเผลอหลุดปากพูดในสิ่งคิดแถมเป็นคำพูดที่ไม่สมควร แม้เขามั่นใจว่าเสียงที่หลุดลอดออกลำคอจะเป็นเพียงเสียงกระซิบ แต่เขาก็มั่นใจว่าหญิงสาวคนนั้นได้ยิน และแม้พี่ชายซึ่งแวะมาชวนเขากินข้าวเที่ยงจะไม่เอ่ยปราม เขาก็รู้ตัวว่าไม่ควรเอ่ยอะไรอีก...และยังรู้สึกด้วยว่าผู้หญิงแปลกหน้ายังมีความขุ่นเคืองเหลืออยู่มิใช่น้อย

    “คุณป๋าบ่นถึงนายเล็กน่ะ นายเจอมันก็บอกให้มันแวะหาคุณป๋าด้วยนะ” เสียงพี่ชายเรียกความสนใจจากชายหนุ่มอีกครั้ง

    “ทำไมนายไม่โทรไปหานายเล็กเองล่ะ” เขาถามพร้อมกับเรียกพนักงานเพื่อเก็บเงินเมื่อเห็นพี่ชายรวบช้อนแล้ว

    “นายก็รู้จักนายเล็กดีนี่ มันชอบรับโทรศัพท์ที่ไหนกัน ไอ้เครื่องที่มันพกอยู่นั่นถ้าคุณป๋าไม่บังคับจ้างให้มันก็ไม่ยอมพก” น้ำเสียงคนพูดเจือแววหมั่นไส้

    “ช่วงนี้คงเจอตัวนายเล็กยากหน่อย มันกำลังหนีคนจากอีฟอยู่น่ะ” มหุดิฤกษ์บอกกลั้วยิ้ม

    “อีฟ ? ใช่นิตยสารที่มีผู้หญิงสวย ๆ ขึ้นปกให้ฮือฮาบ่อย ๆ น่ะเหรอ?” ชายหนุ่มถามนัยน์ตาแพรวพราว

    “แหม ๆ ถ้าปกเขาไม่มีสาว ๆ สวย ๆ เนี่ย นายคงไม่ให้ความสนใจขนาดนี้แน่ ๆ เลยใช่มั้ยคุณพี่ใหญ่” น้องชายเย้า

    “แน่นอน แกก็น่าจะรู้ดีนี่ว่าฉันรับเชื้อชื่นชอบเพศตรงข้ามมาจากคุณป๋ามากที่สุด” พูดอย่างอวด ๆ มหุดิฤกษ์หัวเราะเบา ๆ กับการอวดของพี่ชาย “ว่าแต่คนจากอีฟนี่ สวยเหมือนางแบบปกมั้ย?” พี่ชายถามต่อ

    “ถ้ามองอย่างยุติธรรมเขาก็น่ารักดี แต่ฉันว่าถ้านายเห็นอาจจะบอกว่าไม่สวยก็ได้” มหุดิฤกษ์บอกหลังจากครุ่นคิด...เขามองเพียงใบหน้าคู่สนทนาจึงไม่เห็นว่า หญิงสาวร่วมโต๊ะเริ่มเหลือบมองเมื่อเขาเอ่ยถึง ‘คนจากอีฟ’

    “เอาเหอะน่า จะไม่สวยหรือจะน่ารัก ถ้ามาอีกนายก็จีบ ๆ ให้ฉันหน่อยละกัน...ไม่งั้นก็บอกเขาไปว่าโรงแรมของเราสนใจลงโฆษณา” คำพูดของพี่ชายทำให้มหุดิฤกษ์ตาค้าง

    “เอางั้นเลยเรอะ?”

    “เออสิ...บอกตรง ๆ นะฉันชอบปกเขาว่ะ โดนใจทุกฉบับเลยให้ตายสิ...นายคิดดูนะรองว่าถ้าฉันเป็นลูกค้า จ่ายหนัก ๆ สักหน่อยฉันอาจจะได้ไปยลนางแบบตอนเขาถ่ายแฟชึ่นก็ได้ ช่วงนี้ฉันเบื่อประเภทที่เห็นปุ๊บถอดปั๊บแล้วว่ะ เจอแบบวับ ๆ แวม ๆ บ้างท่าทางจะน่าตื่นเต้นดี” เขาบอกด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเจ้าเล่ห์

    “โอย...คุณพี่ใหญ่ครับ กระผมว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า คุณพี่ใหญ่เอานามบัตรไปเลยครับแล้วก็ติดต่อเอาเองเลย อย่ามายุ่งกับกระผม...แค่เจอตอนนั้นกระผมก็ดูคุณเธอออกแล้วว่าไม่ธรรมดา ดูท่าค่อนไปทางบ้าต๊องด้วย!” มหุดิฤกษ์บอกเสียงหนักก่อนที่ทั้งเขาและพี่ชายจะสะดุ้งโหยง เมื่อคนนั่งร่วมโต๊ะด้วยกระแทกช้อนลงบนถ้วยข้าวต้มรุนแรงจนน้ำข้ามต้นกระเด็นรอบทิศ มหุดิฤกษ์หันไปมองทันที เขาหวังจะพบสีหน้าสำนึกผิด หรือคำขอโทษในการเสียมารยาท...แต่เขากลับพบเพียงใบหน้าเรียบนิ่ง และแววตาวาวโรจน์

    “มันหลุดมือน่ะค่ะ” เสียงบอกเล่าติดจะห้วน ๆ ไม่ได้บ่งบอกว่าคนพูดรู้สึกเสียใจในการกระทำเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำพอพูดจบหญิงสาวก็ก้มหน้าก้มตาซดน้ำข้าวต้มต่อคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น...สองพี่น้องได้แต่มองตากันปริบ ๆ ก่อนใช้สายตาชักชวนกันลุก

    “ผู้หญิงอะไร ไร้มารยาทเป็นที่สุด” มหุดิฤกษ์เอ่ยเมื่อออกเดิน เขาไม่ได้หรี่เสียงเพราะตั้งใจให้ใครคนนั้นได้ยิน

    “เอาน่า...ไปเหอะ” คนเป็นพี่ชายบอกพร้อมยื่นมือหมายลากแขนน้องชาย แต่เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดึงความสนใจไปเสียก่อน เขากดรับโทรศัพท์ อีกมือหนึ่งก็กวักเรียกน้องชาย

    “สวัสดีครับ มหาราชลีลา พูดครับ”

    เสียงตอบรับปลายสายของชายหนุ่มทำให้ทั้งร้านที่พูดคุยจอแจเมื่อครู่เกิดความนิ่งสงบชั่วขณะ สายตาของคนในร้านหันไปมองเจ้าของชื่อโดยเร็ว ไม่เว้นแม้แต่หญิงสาวที่นั่งยกช้อนข้าวต้มค้าง ปากอ้า ตาเบิกกว้าง เสียงช้อนหล่นกระทบชามอีกครั้งมีเพียงมหุดิฤกษ์ที่หันขวับกลับไปมองอย่างตำหนิ แต่ดูเหมือนว่าคนถูกมองจะไม่รู้สึกตัวเอาเสียเลย เจ้าหล่อนยังคงตาค้างจ้องมายังจุดที่เขายืนอยู่ แม้เมื่อคนเป็นพี่ชายสะกิดให้เขาเดินตามกระทั่งถึงรถ เปิดประตูขึ้นนั่งประจำที่แล้ว มหุดิฤกษ์หันกลับไปมองหญิงสาวอีกครั้ง...เขาก็ยังเห็นว่าหญิงสาวคนนั้นยังคงอ้าปากค้างมองตาม

    ...หน้าตาก็ออกจะ...พอดูได้ แต่งตัวก็...พอดูดี...ไม่น่าบ๊องเลยให้ตายสิ...ชายหนุ่มคิดก่อนสตาร์ทรถเคลื่อนออกจากร้าน

    แม้รถเก๋งยี่ห้อหรูราคาหลายล้านคันนั้นจะเคลื่อนพ้นร้านไปแล้ว ตรีประดับก็ยังคงนิ่งงันเหม่อมองกลุ่มควันเบาบางซึ่งรถคันงามเหลือทิ้งไว้ให้ชมอย่างอึ้งงัน ในสมองของหญิงสาวตอนนี้ คามคิดกำลังตีกันวุ่นวาย

    ตรีประดับจำได้ว่าหมอคนที่น้องสาวอยากร่วมงานด้วยมีชื่ออันแปลกประหลาดที่ฟังครั้งเดียวก็จำแม่น ‘มโหระทึก’ นั่นหล่อนก็ว่าแปลกแล้ว ตอนเห็นนามบัตรหมอฟันที่น้องสาวจำเพาะเจาะจงให้เล่นเกม ‘มหุดิฤกษ์  กึกก้องโอฬาร’ หล่อนก็รู้สึกแปลกเป็นคำรบสอง...นี่คืออีกคนที่หล่อนเพิ่งเคยได้ยินชื่อ ‘มหาราชลีลา’

    ...บ้านนี้จะชื่อประหลาดไปไหนกันนี่ !

    ความประหลาดใจทำให้ตรีประดับรามือจากการซดน้ำข้าวต้ม และเมื่อความนึกคิดกลับมาเข้าร่องเข้ารอยอีกครั้ง หญิงสาวก็เริ่มหนักใจ ผู้ชายคนที่พูดจาไม่เข้าหูคนนั้นเป็นว่าที่หมอฟันซึ่งหล่อนจำเป็นต้องพบเจออีกหลายครั้ง กว่าเกมที่น้องสาวหล่อนยื่นข้อเสนอให้จะจบลง อนาคตเกาะช้างที่อยากไปจะจบลงตรงที่หล่อนเป็นคนจ่ายหรือเปล่าหนอ...หญิงสาวคิดเหนื่อย ๆ

     

     


    มหุดิฤกษ์วางโทรศัพท์ลงบนแป้น ใบหน้าเขายังเกลื่อนไปด้วยร่องรอยขบขัน หลังจากแยกกับพี่ชายและกลับมาถึงคลินิกแล้ว เขาก็เริ่มต้นทำงานทันที กระทั่งเกือบสี่โมงเย็นคนเริ่มเบาบาง นั่นทำให้เขาพอมีเวลาหายใจได้บ้าง ชายหนุ่มใช้ช่วงเวลานี้โทรศัพท์หาน้องชายเพื่อส่งสารจากพี่ชายคนโตให้รู้ สิ่งที่เขาได้ยินจากปลายสายทำให้มหุดิฤกษ์ได้แต่หัวเราะ

    ‘โอย...ไม่เคยเจอใครอย่างนี้ คิดดูนะพี่รองคุณเธอเล่นนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องเลย ผมอุตส่าห์ให้พาแลงมาอัญเชิญให้ไปที่ชอบ คุณเธอกลับตอบว่าที่นี่คือที่ชอบของเธอ...นี่ถ้าไม่ติดว่ามีผ่าตัดเล็กนะ ผมได้ไปฉะแล้ว!’ เสียงหงุดหงิดของน้องชายทำให้มหุดิฤกษ์อดนึกภาพใบหน้ายามโกรธเกรี้ยวไม่ได้

    ‘นายก็บอกพี่ศิสิหมอเล็ก คุณป๋าให้พี่ศิดูแลนายเป็นพิเศษไม่ใช่หรือไง’ เขาบอก

    ‘นี่แหละสำคัญแหละ พี่ศิตัวดีเลย ไม่รู้ไปตกหลุมล่ออีท่าไหนถึงได้อนุญาตให้ผู้หญิงติงต๊องคนนั้นตามผมได้...พี่รองก็น่าจะรู้ว่า ขนาดคุณป๋ายังไม่กล้าหือกับพี่ศิเลย แล้วผมจะพูดอะไรได้เล่า...ไม่เท่านั้นนะพี่รอง แค่ผมเปรยเรื่องนี้หน่อยเดียว พี่ศิก็ทำเสียงเย็นบอกว่า ไม่เห็นเป็นเรื่องเสียหายตรงไน จบเห่เอวัง!’ น้ำเสียงนั้นประชดประชันเสียจนมหุดิฤกษ์ต้องกลั้นหัวเราะ...น้องชายผู้เย็นชาสงบนิ่งโดนกวนจนขุ่นอย่างนี้...หาได้ง่ายที่ไหนกัน

    ‘งั้นก็อย่าเล่นตัวนักสิว้า...คุย ๆ กับเค้าสักหน่อยไม่เสียหายเหมือนที่พี่ศิว่านั่นแหละ หรือหนุ่มหล่ออย่างแกต้องคุยกับคนสวย ๆ เท่านั้น ? แต่จะว่าไปถึงเค้าจะไม่สวยก็น่ารักพอดูได้อยู่ไม่ใช่เหรอ’ เขาบอกกลั้วหัวเราะ

    ‘มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกพี่รอง พี่รองก็น่าจะรู้ว่าเพราะอะไร และตราบใดที่เขายังทู่ซี้ให้ผมร่วมงานอยู่อย่างนี้ ต่อให้ส่งนางฟ้ามา ผมก็ไม่คุย !’

    ‘เอาเถอะ ๆ เรื่องของนายก็จัดการไปแล้วกัน ฉันเชื่อว่านายสลัดหลุดได้เหมือนทุกรายที่นายเคยทำมา ที่โทรมาหานี่ก็เพราะพี่ใหญ่แวะมาบอกว่าให้นายไปหาคุณป๋าบ้างเท่านั้นแหละ’ หลังฟังน้องชายรับคำเสียงอ่อย ๆ มหุดิฤกษ์ก็วางสาย

    ชายหนุ่มถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนกดปุ่มสัญญาณบอกกับลินลาให้รู้ว่าเขาพร้อมจะรับคนไข้รายต่อไปแล้ว ไม่นานประตูก็ถูกเคาะ เขาบอกอนุญาตพร้อมกับหยิบแฟ้มคนไข้ซึ่งลินลาวางเรียงตามลำดับไว้ให้ขึ้นมาอ่านรอ

    “เชิญนั่งครับคุณตรีประดับ” ชายหนุ่มเอ่ยหลังอ่านชื่อจากแฟ้ม เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมผายมือเชื้อเชิญ...ร่างที่ยืนอยู่นั้นทำให้เขาได้แต่ยกมือค้าง...ผู้หญิงมารยาทแย่คนนั้น !

    “สวัสดีค่ะ” ตรีประดับเอ่ยพร้อมทรุดนั่ง ไม่สนใจอาการตกตะลึงของอีกฝ่าย เพราะเป็นกิริยาที่คาดเดาได้อยู่แล้ว

    “คุณ...” มหุดิฤกษ์เอ่ยคำค้าง มือซึ่งผายเชื้อเชิญอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นชี้ไปที่หญิงสาวตรงหน้า

    “ค่ะ” หญิงสาวรับคำเรียบ ๆ สายตาสงบนิ่งจับจ้องไปยังสีหน้าของชายหนุ่ม แอบพอใจเล็ก ๆ เมื่อเห็นแววตกใจหล่นเรี่ยราดบนสีหน้านั้น

    “เอ่อ...มาพบเพราะ...เพราะ...ปวดฟัน...เหรอ...ครับ” มหุดิฤกษ์เอ่ยถามพลางลดมือลงพลิกเปิดแฟ้มประวัติวุ่นวาย พยายามไม่มองสบตาของคนไข้ตรงหน้า

    “ค่ะ ปวด ๆ หาย ๆ มาร่วมสองเดือนแล้วค่ะ” ตรีประดับตอบ “ล่าสุดเมื่อสามวันก่อนค่ะ ตอนนี้ทุเลาแล้วก็เลยมาหาหมอค่ะ”

    “ซี่ไหนครับ?” มหุดิฤกษ์เอ่ยถามหลังปิดแฟ้ม กำลังใจเริ่มมาเมื่อสมองสั่งการให้จดจ่ออยู่กับงาน

    “แถว ๆ ฟันกรามด้านซ้ายน่ะค่ะ” หญิงสาวตอบ สายตาเลิกจับจ้องหมอหนุ่มแล้ว ตอนนี้หล่อนกำลังมองมือของชายหนุ่มที่กำลังหยิบเครื่องไม้เครื่องมืออย่างระแวง

    “งั้นเชิญที่เก้าอี้เลยครับ ขอผมดูหน่อย”

    “ฉันไม่ถอนนะคะ ขอแค่ยากินก็พอ” ตรีประดับพูดรัวเร็ว...นั่นทำให้มหุดิฤกษ์ชะงักเท้าที่กำลังก้าวออกจากจุดเดิมเขาหันกลับไปมองคนไข้สาว...สีหน้าค่อนข้างซีด แววตาหวาดหวั่นยามมองเก้าอี้ที่เขาชี้ให้นั่ง ผิดกับคนที่นั่งจ้องเขาเมื่อครู่ราวกับคนละคน มหุดิฤกษ์ถอยกลับมานั่งเก้าอี้ มือหยิบแฟ้มประวัติขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

    “คุณเป็นครู...สอนเด็กอนุบาลด้วย” เขายิงคำถาม

    “ค่ะใช่” หญิงสาวตอบแม้งุนงง

    “เวลาคุณสอนเด็กไม่ให้กลัวหมอฟัน...คุณบอกพวกเขาว่ายังไงครับ” มหุดิฤกษถามยิ้ม ๆ ร่องรอยตกตื่นบนสีหน้าหญิงสาวทำให้เขาอยากเอาคืนขึ้นมาทันที...เอาคืนที่เจ้าหล่อนนั่งจ้องเขาราวกับเขามีความผิดเมื่อครู่นั่นแหละ

    “ฉันสอนให้เด็กรู้จักหลีกเลี่ยงและป้องกันฟันผุ มากกว่าที่จะสอนให้เขาไม่กลัวหมอฟันค่ะ” ตรีประดับตอบ เสียงหล่อนเริ่มแข็งขึ้นมานิด ๆ เมื่อเห็นแววตาปนขำของชายหนุ่มตรงหน้า

    “เป็นเพราะคุณกลัวหมอฟันหรือเปล่าครับ ถึงทำให้คุณไม่สามารถสอนเด็กได้ว่าการไม่กลัวหมอฟันต้องทำยังไง” ชายหนุ่มเย้ายิ้ม ๆ

    “นี่คุณหมอ...ฉันมารับการรักษานะคะ ไม่ได้มารับการอบรม ช่วยกรุณาปฏิบัติหน้าที่ตามขอบเขตด้วย !” หญิงสาวบอกฉุน ๆ

    “ผมก็กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่นี่ไงครับคุณครู...คุณบอกว่าปวดฟันมานานแล้ว ปวด ๆ หาย ๆ แต่กลับปฏิเสธการรักษาทางอื่นนอกเหนือการกินยา คุณครูไม่คิดหรือครับว่า บางทีอาการปวด ๆ หาย ๆ บริเวณฟันกรามของคุณนั่นอาจจะเป็นฟันคุดที่มีการรักษาขั้นสุดท้ายที่การผ่าเอาฟันคุดออก” ชายหนุ่มอธิบายยิ้ม ๆ สีหน้าที่ค่อย ๆ ซีดจนเกือบขาวของหญิงสาวบวกกับดวงตาค่อย ๆ เบิกกว้าง ปากบางอ้าค้างน้อย ๆ ทำให้เขาเกิดความรู้สึก...อยากแกล้งขึ้นมาติดหมัด

    “ผ่า...งั้น...เหรอ...” ตรีประดับพึมพำตาเหลือก

    “ใช่ครับ...ถ้าขั้นเบา ๆ ก็อาจจะแค่ถอน แต่ถ้าถึงที่สุดก็คงต้องผ่า” มหุดิฤกษ์บอกด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน ขัดกับแววตาระรื่น “เพราะฟันคุดมันยังงอกขึ้นมาเองไม่ได้ บางทีการถอนออกมาตรง ๆ ก็ยาก เราต้องทำการแยกชิ้นส่วนของฟันก่อน อาจจะสองหรือสามส่วน แล้วค่อย ๆ ดึงออกมาทีละส่วน” ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังวาดรูปลงบนกระดาษให้เห็นขั้นตอนต่าง ๆ อีกต่างหาก...และเพียงเท่านั้น หญิงสาวก็ผุดลุกพรวดพราด สีหน้าเหมือนอยากร้องไห้เต็มแก่

    “ไม่ต่ง ไม่ตรวจมันแล้ว! ไม่เอาแล้ว!” ตรีประดับร้องก่อนหมุนตัวกลับ

    “คุณครูครับ...มีสติหน่อย” เสียงร้องบอกติดจะยานคางหยุดหญิงสาวที่ก้าวถึงประตูพร้อมมือแตะลูกบิดประตู หล่อนค่อย ๆ หันกลับมา

    “สติงั้นเหรอ ! คุณบอกให้ฉันมีสติทั้ง ๆ ที่รู้ว่าฉันกลัว แต่ก็ยังพูดตอกย้ำซ้ำวาดรูปให้ดูเนี่ยนะ !” ตรีประดับขึ้นเสียงชนิดลืมกลัว

    “ก็ถ้าคุณมีสติสักหน่อย ลองคิดดูสักนิดที่ผมพูดมามันคือผลของเหตุนะครับคุณครู ไหนคุณว่าเคยสอนเด็กให้รู้จักป้องกันมากกว่ารักษา แต่คุณไม่ทำเหมือนคำที่คุณสอนเด็กเนี่ย...ชักยังไง ๆ อยู่นะครับคุณครู” ตรีประดับฟังแล้วอยากจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนัก...ถ้าไม่ติดว่าปวดฟันอยู่นะ...หญิงสาวเลือกที่จะสูดลมหายใจลึกและผ่อนออกยาว ๆ ก่อนเดินกลับมาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม คราวนี้คุณหมอหนุ่มเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด...เพราะสายตาของคนไข้สาวที่กำลังส่งตรงมานั้น ดูมุ่งมั่น จริงจัง...แต่ที่มีมากกว่าคือ...ความน่ากลัว

    “ก็ได้...คุณหมอ...ก็ได้...จะถอน จะผ่า จะอะไรก็เริ่มเลย...ฉันรับรองว่าฉันจะเป็นคนไข้ที่มีสติ....เชิญ !”

    มหุดิฤกษ์กลืนน้ำลายลงคอฝืด ๆ อารมณ์อยากแกล้งเมื่อครู่กระเจิดกระเจิงตั้งแต่หญิงสาวก้าวกลับมานั่งจ้องเขาอยู่ และเมื่อเจ้าหล่อนเริ่มพูดจนพูดจบ...ชายหนุ่มถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่า...คุณครูสาวคนนี้...ไม่ควรตอแยเป็นอย่างยิ่ง !

     

     

    เท้าที่กำลังก้าวของมโหระทึกแทบชะงัก เมื่อสายตาของเขาพานพบเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่บนม้านั่งริมระเบียงหน้าห้องทำงานเขา ความเหนื่อยล้าจากการผ่าตัดแทบมลายหายไป ชายหนุ่มได้แต่สบถกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับหมุนตัวหมายเดินกลับทางเดิม..แต่...ไม่ทัน

    “อุ้ย...คุณหมอ เจอกันอีกแล้วนะคะ” เสียงทักทายนั้นมาพร้อมการผุดลุกและถลาร่อนมาดักหน้าของหมอหนุ่มซึ่งถอนหายใจหนัก ๆ อย่างข่มอารมณ์ ตวัดตามองใบหน้าระรื่นอย่างขุ่นเคือง

    “ทำไมคุณยังอยู่อีกเนี่ย” เสียงถามห้วนห้าวไม่สบอารมณ์ ตรีปวายฉีกยิ้มกว้างรับก่อนตอบ

    “ก็ฉันยังไม่ได้คุยกับคุณหมอเลยนี่คะ...ก่อนพระพุทธเจ้าจะทรงเสด็จปรินิพพาน พระองค์ก็ทรงผ่านการบรรลุโสดาบันมาก่อน ฉันใดก็ฉันนั้นแหละค่ะ...เหมือนกันเป๊ะ ๆ กับที่ฉันยังไม่ถอดใจตราบใดที่ยังไม่ได้คุยกับคุณหมอ” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ คนฟังได้แต่ยืนนิ่ง...ด้วยยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่า...มันไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด

    “คุณนี่มัน...”

    “เปล่านะคะคุณหมอ...ฉันเป็นคนไม่ใช่มันค่ะ” ตรีปวายยังแย้งต่อ กะพริบตาถี่ประกอบ

    “โว๊ย ! ผู้หญิงอะไรหน้าด้านอย่างนี้นะ !” คุณหมอหนุ่มโพล่งอย่างเหลืออด ตรีปวายอ้าปากค้างกับกริยาเกินคาด หญิงสาวยกมือสั่น ๆ ขึ้นปิดปาก ส่ายหน้าน้อย ๆ ดวงตาเบิกกว้างจับจ้องหมอหนุ่มอย่างไม่อยากจะเชื่อ มโหระทึกลอบพ่นหายใจอย่างโล่งอก...ถ้ารู้ว่าขึ้นเสียงแล้วทำให้เจ้าหล่อนตะลึงค้างได้อย่างนี้ ทำไปนานแล้ว...ชายหนุ่มคิด

    “ไม่...จริง...” หญิงสาวพึมพำเสียงแผ่ว “เป็นไป...ไม่ได้...” หล่อนพูดพลางส่ายหน้า กริยานั้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว

    “ฟังนะคุณ ผมจะบอกคุณเป็นครั้งสุดท้าย...ผมไม่เขียนบทความให้นิตยสารของคุณแน่ ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉะนั้นเลิกติดตามผมได้แล้ว” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม

    “ไม่จริง...คุณหมอจะรู้ได้ยังไง...” ตรีปวายยังพึมพำ ส่ายหน้า มโหระทึกชักเอะใจกับคำพูดและอาการนั้น

    “คุณฟังผมหรือเปล่าเนี่ย?” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย ก่อนสะดุ้งโหยงเมื่อหญิงสาวสะบัดหน้าแรง ๆ ก่อนปราดเข้ามาใกล้พร้อมละล่ำละลักถาม

    “คุณหมอรู้ได้ยังไงคะ ทำไมคุณหมอเก่งอย่างนี้...แม้แต่ความลับของฉันที่ไม่เคยมีใครรู้ เราเจอกันแค่ครั้งสองครั้งคุณหมอยังรู้...คุณหมอขา...เก่งมากเลย...ชอบ” ท้ายประโยคหญิงสาวลากเสียงยาว สีหน้าปลื้มเปรม นัยน์ตาแพรวพราว คราวนี้หมอหนุ่มเป็นฝ่ายตะลึง

    “ความลับอะไรของคุณ ผมไม่รู้เรื่อง ?!” ตรีปวายมองค้อนก่อนบอกว่า

    “ก็ความลับที่ว่าฉันหน้าด้านไงคะ...ฉันน่ะไม่เค้ย ไม่เคยเปิดเผยแล้วก็แสดงออกที่ไหนมาก่อนเลยนะคะ...คุณหมอน่ะเจอฉันแค่ไม่กี่ครั้งก็รู้ซะแล้ว อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าเก่งแล้วจะเรียกอะไรล่ะคะ...เอาล่ะค่ะ ในเมื่อคุณหมอรู้แล้วว่าฉันหน้าด้าน...งั้นเราก็มาคุยกันเถอะนะคะ”

    ถ้าหากว่าตอนนี้มโหระทึกกลายร่างเป็นกลองเหมือนความหมายชื่อของเขา ชายหนุ่มคิดว่ากลองใบนั้นกำลังถูกตีกระหน่ำด้วยค้อนที่มองไม่เห็น เสียงของกลองคงก้องสะท้อนเลื่อนลั่น คล้ายกับอารมณ์ของเขาตอนนี้ที่มันค่อย ๆ เดือด  จนแทบจะทำให้เขาระเบิดได้ มโหระทึกต้องสูดลมหายใจลึกเพื่อดับความกรุ่นร้อนในสมอง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์โทรด่วนก่อนกรอกเสียงแผดห้าวเมื่อปลายสายตอบรับ

    “ขึ้นมาที่นี่เดี๋ยวนี้ พาแลง !” พูดจบเขาก็กดปิด เก็บโทรศัพท์เข้าที่ก่อนจะหันมายังคู่กรณีที่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่เช่นเคย “อย่าให้ผมต้องเรียกตำรวจเลยนะคุณ” ชายหนุ่มบอกเสียงลอดไรฟัง คนฟังมีสีหน้าตกใจ

    “อะไรกันคะ...แค่ไม่สบายมาหาหมอเพื่อต้องการรักษานี่ ถึงกับต้องเรียกตำรวจเลยเหรอคะ” ตรีปวายถามหน้าตาตื่น

    “อย่างคุณนี่ถ้าจะไม่สบายผมว่าป่วยอยู่โรคเดียว คือโรคจิต คุณมาผิดโรงพยาบาลและเลือกหมอผิดคนแล้ว” มโหระทึกยังกัดฟันพูด

    “ยอมรับค่ะว่าฉันป่วยเป็นโรคจิตอย่างที่คุณหมอกล่าวมา...แต่โรคจิตของฉันต้องรักษาโดยคุณหมอเท่านั้นถึงจะหาย” ตรีปวายบอกด้วยน้ำเสียงชวนสงสาร และเมื่อเห็นหมอหนุ่มยังทำสีหน้าสงสัยระคนบูดบึ้ง หญิงสาวก็เริ่มสืบเท้าเข้าไปหา สีหน้าออดอ้อนสุดฤทธิ์เมื่อพูดต่อว่า

    “เป็นโรคจิตใต้สำนึก...หลงชอบคุณหมอมโหระทึกเข้าเต็มเปา” มโหระทึกผู้ถูกจู่โจมอึ้งงันไปชั่วครู่ เขารีบผวาเข้าไปหาตัวช่วยทันทีที่มองเห็น ชายหนุ่มตะโกนลั่น

    “พาแลง ! เอาผู้หญิงคนนี้ออกไป !!”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×