คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ขาสั่นด้วยหวั่นไหว 2
เล่ห์ซ่อนรัก
3.2
ขาสั่นด้วยหวั่นไหว(2)
พาแลงกำลังสายตามองคนเดินเข้าออกตึก ‘กึกก้องโอฬาร’ อย่างระแวดระวัง คำขู่ของพยาบาลหัวหน้าตึกหลังจากพบว่าเขาพูดคุยกับคนอื่นมากเกินไปยังสร้างอาการขนลุกวูบไหวอยู่ทุกคราวที่คิดถึง สายตาของพาแลงสะดุดลงที่ร่างสูงโปร่ง เขาจำได้ทันทีที่เห็นเพราะลักษณะเด่นบนใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นคือจุดที่เรียกให้เขาตรงเข้าไปคุยด้วยเมื่อเช้าเพราะนึกว่าเป็นคนมาจากภาคอีสานเหมือนกัน พาแลงเดินตรงไปยังหญิงสาวเป้าหมายทันที
“คุณครับ...”
“สวัสดีอีกครั้งค่ะคุณ รปภ. เรื่องเมื่อเช้าต้องขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้โดนดุนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจชวนคุณ รปภ.คุยจนละเลยหน้าที่จริง ๆ เพียงแต่ว่าอดถามตามประสาคนอยากรู้ไม่ได้ หวังว่าคุณ รปภ. คงไม่ถือโทษโกรธกันนะคะ...อ้อ...ฉันขออนุญาตคุณพี่ศิราเรียบร้อยแล้ว คุณพี่ศิราให้ฉันรบกวนคุณหมอมโหระทึกได้ระดับหนึ่ง เพราะฉันนั้นตอนนี้ ฉันก็เลยอยากขออนุญาตคุณ รปภ.ขึ้นตึกนะคะ...ขอบคุณมากค่ะแล้วพบกันใหม่นะคะ” พูดจบหญิงสาวก็ส่งยิ้มให้ก่อนก้าวฉับ ๆ ตรงไปยังลิฟต์
พาแลงได้แต่ยกมือค้าง อ้าปากค้าง ก่อนจะชักมือกลับมาเกาท้ายทอยแกรก ๆ อย่างอับจนคำพูด...รปภ.หนุ่มคิดทบทวนกี่ครั้งเขาก็จำได้เพียงว่า...เขาพูดได้แค่... ‘คุณครับ’
ลิฟต์หยุดส่งผู้โดยสารตามชั้นต่าง ๆ จนหมด สุดท้ายก็เหลือผู้โดยสารเพียงคนเดียว ตรีปวายมองปุ่มบอกชั้นซึ่งกะพริบไฟเมื่อลิฟต์เคลื่อนผ่านด้วยหัวใจเต้นระทึก เมื่อลิฟต์หยุดที่ชั้นบนสุดของตึก ตรีปวายก็พบว่าชั่วขณะที่กำลังก้าวออกจากลิฟต์ หล่อนเข่าอ่อนจนต้องหาหลักยึดเลยทีเดียว...สาเหตุแห่งอาการเหล่านั้นหล่อนรู้ดี...เพราะในห้วงคิดตอนนี้ของตรีปวายมีเพียงภาพใบหน้าของหมอนหนุ่มชื่อแปลกลอยวนเต็มไปหมด...หญิงสาวชักไม่แน่ใจตัวเองว่าเมื่อพบหน้าคุณหมอจริง ๆ แล้ว...หล่อนจะห้ามตัวเองไม่ให้เป็นลมได้หรือเปล่า คิดไปคิดมาตรีปวายก็ได้แต่ขำความคิดและปฏิกิรยาของร่างกายตัวเอง...สงสัยจะเป็นโรคแพ้คนหล่ออย่างที่คนเป็นแม่ค่อนแคะ
ตรีปวายสบัดศีรษะไล่ความฟุ้งซ่านให้กระจัดกระจาย หญิงสาวหันมาสนใจสภาพแวดล้อมของสถานที่ซึ่งหล่อนกำลังยืนอยู่ จะว่าไปแล้วมันก็ดูเหมือนกับบริเวณโดยรอบของชั้นที่ผ่านมาแตกต่างเพียงแต่ว่า...ชั้นนี้ดูเงียบและดูร้างผู้คน...หญิงสาวนึกไปถึงคำพูดของ รปภ.พาแลงที่ว่า คุณหมอหนุ่มนามแปลกรักสันโดษแล้วก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักกับตัวเอง...รักสันโดษ...ก็ดี เวลาขอสัมภาษณ์จะได้ไม่มีใครมาขัดขวาง...เอ๊ย...ขัดคอ หญิงสาวคิดกระหยิ่ม
สายตาพาความคิดของตรีปวายสะดุดกึกเมื่อร่างสูงซึ่งเดินโผล่พ้นมุมบันไตอีกฟากตรงมายังจุดที่หล่อนยืนอยู่ หญิงสาวรีบหามุมหลบเร้น หล่อนยังไม่อยากพบคุณหมอหนุ่มตอนนี้...ตอนที่เขากำลังอยู่กลางวงล้อมของพยาบาลกลุ่มใหญ่
“ขอบคุณครับสำหรับช่วงแรก ไว้พบกันตอนบ่ายห้าครับ” เสียงห้าวทุ้มเอ่ยขึ้น และคล้ายเป็นสัญญาณบอกเหล่าพยาบาลที่รุมล้อมเขาอยู่ให้กระจายกันออกไปปฏิบัติงานต่อ...แม้จะอยู่ในมุมซึ่งสามารถมองเห็นร่างของชายหนุ่มได้ถนัดตา แต่ตรีปวายก็อดชะโงกหน้าออกจากมุมไม่ได้...หล่อนอยากเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขายามอยู่ในภาวะหมกมุ่นครุ่นคิดจะดูดีแค่ไหน...
...คิ้วเข้มขมวดมุ่น สายตาหลุบมองกระดาษในมือไม่วอกแวก ท่วงท่าการก้าวเดินหนักแน่นมั่งคงสะกิดประกายพร่างพราวในดวงตาของตรีปวายยิ่งนัก....
...หล่อ...เท่...ถูกใจเป็นบ้า !
มโหระทึกค่อย ๆ ราเท้าลงจนเกือบเข้าข่ายหยุดชะงัก เขารู้สึกเหมือนกับว่าถูกตาม ทันทีที่รู้สึกชายหนุ่มเงยหน้าไปมองยังทิศซึ่งเขามั่นใจว่ามีเป้าหมายยืนอยู่...แต่แม้เจอกับความว่างเปล่า เขาก็ยังคงมั่นใจว่ามุมบันไดข้างหน้าจะต้องมีใครอยู่แน่ ๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเงาวอบแว่บตรงมุมบันไดเล็ดลอดเข้ามุมสายตาและเมื่อมองซ้ายขวาหน้าหลังแล้วไม่พบสิ่งมีชีวิต มโหระทึกก็เลือกที่จะเดินเข้าหามุมแห่งความสงสัยทันที
เสียงรองเท้ากระทบพื้นยามก้าวเดินคล้ายดังก้องท่ามกลางความเงียบ แต่มันก็ไม่ได้ดังเกินกว่าเสียงหัวใจเต้นกระหน่ำของตรีปวาย ยิ่งเสียงเดินใกล้เข้ามามากไหร่ หล่อนก็แทบตะปบหัวใจตัวเองไว้ไม่ทัน...กระนั้นตรีปวายก็ไม่ยอมหลบ
...แม้จะหวั่นไหวกับความกลัว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจเพราะจะได้พบ...
“นึกแล้วเชียว ซื้อหวยคงรวยเละ” เสียงห้วนห้าวพร้อมกับร่างสูงยืนเด่นค้ำศีรษะ สีหน้าบูดบึ้งสายตาเคืองขุ่นจับจ้องยังร่างที่นั่งคุดคู้อยู่ ใบหน้าซึ่งค่อย ๆ เงยขึ้นฉีกยิ้มส่งให้
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” ตรีปวายส่งเสียงสั่น ๆ พร้อมกับผุดลุกขึ้น หญิงสาวยังคงฉีกยิ้มกว้างส่งไปให้แม้จะรู้ว่าไม่สำเร็จก็ตาม
“สวัสดี...ลาก่อน” มโหระทึกบอกพร้อมกับหมุนตัวกลับ กริยานั้นทำให้ตรีปวายสะดุ้งตาเหลือกก่อนรีบวิ่งถลันไปดักหน้าชายหนุ่มซึ่งชะงักเท้าเพราะตกใจกับปฏิกิริยาตอบโต้ของหญิงสาว
“เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งลาสิคะยังไม่ได้คุยกันเลย !” ตรีปวายละล่ำละลัก
“ผมไม่อยากคุย” ชายหนุ่มบอกห้วน ๆ พร้อมสืบเท้าหมายก้าวเลี่ยง แต่หญิงสาวก็ก้าวดักทุกทาง
“คุณหมอไม่อยากคุยไม่เป็นไรค่ะ ฉันคุยเองก็ได้” ตรีปวายบอกต่อ มือไม้กางว่อนเพื่อดักทางชายหนุ่ม มโหระทึกชะงักอีกครั้งเมื่อฟังคำหญิงสาวจบ เขานิ่วหน้าครุ่นคิดก่อนส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างไม่เข้าใจ
“ผมบอกแล้วไม่อยากคุย” ชายหนุ่มเพิ่มน้ำหนักเสียง ย้ำด้วยสายตา
“ฉันก็บอกแล้วไงคะว่าไม่เป็นไร ฉันคุยเองก็ได้...ฉันอยากคุยค่ะ” หญิงสาวบอกเสียงซื่อตาใส มโหระทึกได้แต่พ่นลมหายใจแรง ๆ
“คุณฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือไงมิทราบ ผมบอกว่าไม่อยากคุยก็หมายความว่าไม่อยากคุย !” ชายหนุ่มลั่นเสียงอย่างมีอารมณ์ ตรีปวายส่ายหน้าจนผมหางม้าสะบัด
“ไม่นะคะคุณหมอ ฉันฟังภาษาคนของคุณหมอเข้าใจค่ะ แต่ฉันยืนยันภาษาคนของฉันเหมือนกันค่ะว่า...ฉันอยากคุยค่ะ”
“โว้ย ! คุณนี่มันบ้าชัด ๆ !” มโหระทึกตะโกนอย่างเหลืออด
“ไม่นะคะคุณหมอ ถึงฉันจะบ้าจริงมันก็ไม่ได้เห็นชัดเจนอย่างนั้นหรอกค่ะ” ตรีปวายตอบเสียงซื่อ มโหระทึกได้แต่อ้าปากค้างเมื่อฟังจบ สีหน้าแสร้งซื่อ แววตาแสร้งใสของหญิงสาวตรงหน้า กำลังทำให้เขาเป็นบ้า !
“ผม ไม่ ว่าง คุย !” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงลอดไรฟัน สายตากินเลือดจับจ้องบ่งบอกไม่ต่างจากเสียงพูด...แต่มันไม่ได้ทำให้หญิงสาวตรงหน้าหวาดหวั่น หรือถดถอย เจ้าหล่อนยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา
“แหม ๆ คุณหมอขา กว่าจะถึงบ่ายอ่อน ๆ สำหรับนัดคุณปาล์มกับคุณมีนน่ะ คุณหมอมีเวลาตั้งหลายชั่วโมง” ตรีปวายบอกเย้า ๆ
“นี่คุณแอบฟังเหรอ !” คุณหมอหนุ่มถามอย่างเดือดดาล ตรีปวายทำตาเหลือกโบกมือว่อน
“วุ้ย เปล่าแอบฟังนะคะ ตอนคุณหมอคุยกับพี่ศิราน่ะ ไม่ได้อยู่ในที่รโหฐานสักหน่อย คนมีหูที่อยู่ใกล้ก็ได้ยินทั้งนั้นแหละค่า” หญิงสาวว่าพลางตวัดตามองค้อนอย่างมีจริต
มโหระทึกไม่เคยเป็นลม เขาเคยแต่ช่วยคนให้ฟื้นจากการเป็นลม...แต่ตอนนี้...เขาอยากเป็นลมให้รู้แล้วรู้รอด ! ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหมายเลขรัวเร็วโทรออก สายตายังจ้องเขม็งที่หญิงสาวเมื่อปลายสายกดรับเขาก็รัวคำพูด
“พาแลง ! นายปล่อยคนขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง ขึ้นมาจัดการเดี๋ยวนี้ !” แผดเสียงใส่โทรศัพท์และกดปิดแล้ว ชายหนุ่มก็หันหลังกลับเดินดุ่มจากจุดนั้นทันที มิไยที่หญิงสาวจะร้องเรียก
“คุณหมอค้า จะไปไหนน่ะ...ห้องคุณหมออยู่ทางนู้นไม่ใช่เหรอค้า ?” หญิงสาวร้องถามพลางปาดนิ้วโป้งไปยังด้านหลังตัวเอง คุณหมอหนุ่มตอบกลับโดยไม่หันมามอง
“ทางที่มีคุณอยู่ ผมไม่ไป !” ตรีปวายได้แต่ยิ้ม มองส่งหมอหนุ่มเดินกระแทกส้นไปจนลับตา หลังจากชั่งใจว่าจะเดินตามหรือปักหลักรอ หล่อนก็เลือกอย่างหลัง เพราะคิดว่าอย่างไรเสีย ไม่ช้าก็เร็วคุณหมอสุดเท่แสนประทับใจคนนั้นก็ต้องกลับมาที่ห้องแน่นอน
...และไม่ช้าก็เร็ว...คุณหมอคนนั้นจะต้องเจอหล่อนอีก...แน่นอน !
ตรีประดับเงยหน้าขึ้นมองป้ายสลับกับอ่านนามบัตรในมือ ก่อนยิ้มอย่างพอใจเมื่อพบว่าตรงกันทั้งคู่ หญิงสาวผลักประตูเข้าไปยังด้านในคลีนิค สายตากวาดมองทุกอย่างพร้อมกับประเมินสถานการณ์ไปในตัว หมอฟันที่หล่อนไปหาแต่ละรายนั้นแม้ไม่มีคนแนะนำตรีประดับก็รู้สึกว่าทุกรายล้วนน่ากลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว...ยิ่งเป็นหมอฟันคนที่น้องสาวมากเล่ห์ของหล่อนจำเพาะเจาะจงเล่นเกมด้วย...ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ
เด็กชายเด็กหญิงวัยกำลังซนหลายคน เล่นม้าโยกสีสดอย่างสนุกสนาน เสียงเอะอะนั้นจุดรอยยิ้มขึ้นบนริมฝีปากของตรีประดับ หญิงสาวอุ่นใจว่าอย่างน้อย เพื่อนร่วมชะตากรรมกับหล่อนวันนี้ก็น่ารัก หญิงสาวดินตรงไปที่เคาน์เตอร์หลังจากสูดลมหายใจเรียกพลังให้ตัวเองเฮือกใหญ่
“สวัสดีค่ะ” ตรีประดับเอ่ยทักทาย เจ้าหน้าที่สาวเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ส่งยิ้มนำ
“สวัสดีค่ะ ติดต่ออะไรคะ”
“คือ...ปวดฟันน่ะค่ะ” หญิงสาวตอบคำถาม อีกฝ่ายร้องอ๋อพร้อมพยักหน้ารับก่อนก้มลงดูตารางคิว
“คิวประมาณสี่โมงเย็นนะคะ ตอนนี้เพิ่งจะเที่ยง ดิฉันจะล็อคคิวไว้ให้ ถ้าคุณมีธุระก็ไปก่อนได้นะคะ แต่รบกวนช่วยกรอกประวัติให้ก่อนค่ะ” พูดพลางยื่นเอกสารให้ ตรีประดับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู รับเอกสารพร้อมเอ่ยว่า
“ฉันลางานครึ่งวันค่ะรอได้ แต่คงต้องไปทานข้าวก่อน” ตรีประดับตอบรับยิ้ม ๆ ก่อนก้มหน้าก้มตากรอกประวัติ ครู่ใหญ่หญิงสาวก็ส่งเอกสารคืนพนักงานสาว กำลังเอ่ยถามต่อ กลิ่นน้ำหอมฉุนกึกก็โชยเข้าปากเข้าจมูกเสียจนต้องรีบหุบปาก หญิงสาวขมวดคิ้วพร้อมเหลือบหาที่มาของกลิ่น
หญิงสาวสามคนซึ่งเพิ่งผลักประตูกคลีนิคเข้ามายืนเฉิดฉายอยู่นั้น หากบอกตรีประดับว่าทุกคนคือนางแบบอยู่บนแคทวอล์คกำลังนำเสนอสินค้า หล่อนก็จะเชื่อ เพราะรูปร่างสูงโปร่งได้สัดส่วนนั่นหนึ่งล่ะ เสื้อผ้าหน้าผมเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นแถมเหมือนกันทุกประการแตกต่างเพียงสีสันนั่นก็อีกหนึ่ง...ที่ทำให้หล่อนเชื่อความคิดตัวเองคือท่ายืนเก็บเท้าเหมือนนางงาม แขนเรียวข้างหนึ่งห้อยกระเป๋าถือ แขนอีกข้างยกเท้าสะเอว ทั้งสามคนก้าวมายืนเรียงกัน ก่อนออกก้าวเดินตรงมายังเคาน์เตอร์อย่างพร้อมเพรียงกัน
“มาอีกแล้ว...นางแบ็บ” เสียงพึมพำของเจ้าหน้าที่สาวเป็นตัวสะกิดให้ตรีประดับหันกลับมามอง ลินลาส่งยิ้มแหย ๆ ให้คล้ายรู้ตัวว่าพูดในสิ่งที่ไม่สมควร “เอ่อ...พวกเธอเป็นนางแบบน่ะค่ะ แล้วก็ดูเหมือนจะเป็นแฟนคลับคุณหมอด้วย” หญิงสาวอธิบายต่อ
“แฟนคลับ?” ตรีประดับทวนคำอย่างงุนงง เมื่อพนักงานสาวพยักหน้ารับหล่อนจึงหันกลับไปมองหญิงสาวทั้งสามด้วยความแปลกใจ...ตรีประดับเพิ่งรู้ว่า นอกจากดารานักร้องที่มีกลุ่มแฟนคลับเป็นของตัวเองแล้ว...หมอฟันก็มีเหมือนกัน
“หมอรองอยู่มั้ย?” หญงสาวในชุดเดรสสีแดงเอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงเคาน์เตอร์
“หมอเล็กจะเข้ามาหรือเปล่าวันนี้?” หญิงสาวในชุดเดรสสีบานเย็นถามบ้าง
“คุณใหญ่ด้วยจะเข้ามาหรือเปล่า?” คราวนี้หญิงสาวในชุดเดรสสีเขียวสดเป็นฝ่ายถาม ลินลาส่งยิ้มเรี่ย ๆ ให้ก่อนตอบรวบยอด
“หมอรองไปทานข้าวค่ะ หมอเล็กไม่แน่ใจว่าจะเข้ามามั้ย ส่วนคุณใหญ่ไม่ทราบค่ะ” หลังฟังคำตอบจบหญิงสาวทั้งสามคนหันไปปรึกษากันงึมงำ ก่อนที่หญิงสาวในชุดสีแดงจะเอ่ยขึ้น
“หมอรองไปทานข้าวร้านไหน?”
“คุณหมอไม่ได้บอกไว้ค่ะ” ลินลาตอบแย้มยิ้มขัดกับสายตาเบื่อหน่าย
“เอาไงดีล่ะ หวานหวาน” สาวชุดเขียวเอ่ยปรึกษาน้ำเสียงเป็นกังวล “เราต้องเดินแบบบ่ายสี่โมงเย็นนะ ไปสายคราวนี้พี่เกี๊ยวไม่เลี้ยงเราไว้แน่” บอกด้วยสีหน้าสยดสยอง หญิงสาวชุดสีบานเย็นพยักหน้าเร็ว ๆ คล้ายเห็นด้วยกับคนพูด คนถูกเรียกว่า ‘หวานหวาน’ ทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนหันมาบอกลินลา
“เธอบอกหมอรองด้วยนะว่าฉันมาหา ถ้าคุณหมอกลับมาให้โทรหาฉันด้วย...คราวนี้ต้องบอกนะยะ คราวก่อน ๆ น่ะฉันย้ำให้บอก ๆ หล่อนก็ไม่เคยบอกล่ะสิท่าเพราะคุณหมอไม่โทรกลับฉันสักครั้ง” สั่งจบทั้งสามสาวก็หมุนตัวกลับ รอจนยืนเรียงกันเป็นระเบียบแล้วถึงได้ออกเยื้องย่างจากไป...ทิ้งคนในคลีนิคยกเว้นลินลาให้มองตามตาค้าง ไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็กที่กำลังเล่นม้าโยกอยู่
“คุณหมอคงเนื้อหอมน่าดูเลยนะคะ” ตรีประดับเอ่ยขึ้นแก้เกี้ยวหลังจากยกมือขึ้นจัดการปากซึ่งอ้าค้างให้กลับเข้าที่ ลินลาหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบ
“ไม่รู้ว่าหอมหรือไม่หอมหรอกค่ะ แต่คุณนางแบบแกงค์นี้ก็ตามติดชนิดกาวตราช้างเลยทีเดียว คนชุดแดงนั่นพยายามมาเป็นปีแล้วค่ะ ตามหมอรองจนคุณหมอแทบจะย้ายคลีนิคหนีหลายรอบแล้ว” ตรีประดับพยักหน้ารับแกน ๆ
“ตกลงว่านัดฉันสี่โมงเย็นนะคะ” หญิงสาวชวนเปลี่ยนเรื่องเมื่อได้รับคำตอบรับ พร้อมบัตรคิสจากเจ้าหน้าที่สาวแล้ว ตรีประดับจึงออกจากคลีนิคโดยตั้งใจว่าจะหาร้านอาหารแถวนั้นเป็นที่สำหรับฝากท้อง
ร้านเล็ก ๆ ซึ่งป้ายหน้าร้านระบุว่ามีไก่ย่างส้มตำ พร้อมด้วยอาหารตามสั่งขายเป็นจุดหมายของตรีประดับ รถหลายชนิดจอดเรียงต่อจากตัวร้านพร้อมคนนั่งโต๊ะหนาตาทำให้ตรีประดับค่อนข้างมั่นใจว่า กับข้าวร้านนี้คงรสชาติดี หญิงสาวก้าวเท้าไปในร้าน สายตามองกวาดหาที่ว่าง แต่ตรีประดับก็พบว่าทุกโต๊ะมีคนจับจองแล้ว ถอนหายใจกำลังจะหันกลับพนักงานในร้านก็ร้องเรียก
“พี่ครับนั่งข้างในได้ครับ ว่างครับพี่” พูดพลางชี้ให้ตรีประดับเห็นที่ว่าง ซึ่งหญิงสาวเห็นว่าโต๊ะนั้นมีคนนั่งจับจองอยู่ถึงสองคน
“แต่ว่า...” หญิงสาวอิดออด พนักงานมองตามสายตาของลูกค้าสาวก่อนร้องอ๋ออย่างเข้าใจ เขาเดินตรงไปยังโต๊ะที่เหลือที่นั่งอีกหนึ่งที่ก่อนเอ่ยว่า
“คุณพี่สุดหล่อครับ ว่างเหลืออีกหนึ่งที่ไม่ทราบว่าจะเอื้อเฟื้อให้คุณพี่สุดสวยผู้หิวโหยได้นั่งร่วมโต๊ะด้วยได้หรือเปล่าครับ?” ประโยคของพนักงานหนุ่มเรียกรอยยิ้มจากคนในร้าน ตรงข้ามกับตรีประดับที่ฟังแล้วรู้สึกเขิน ๆ ‘คุณพี่สุดหล่อ’ ที่โต๊ะตัวนั้นยิ้มก่อนพร้อมใจกันหันมามองคุณพี่สุดสวย คนหนึ่งพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม อีกคนเพียงนิ่งมอง
“เชิญครับพี่คนสวย” พนักงานหนุ่มเรียพกลางผายมือเชิญ ตรีประดับเดินไปทรุดนั่ง เอ่ยขอบคุณเบาๆ พร้อมสั่งอาหาร หญิงสาวเลือกสั่งข้าวต้มเพราะเป็นอาหารที่อาการปวดฟันจะอำนวยให้เคี้ยวกลืนได้ พ้นร่างพนักงาน ตรีประดับกำลังยกมุมปากหมายส่งยิ้มให้คนร่วมโต๊ะซึ่งหล่อนเห็นว่าหนึ่งหนุ่มกำลังมองพร้อมส่งยิ้มรออยู่แล้ว แต่เสียงพึมพำของอีกหนึ่งหนุ่มซึ่งก้มหน้าก้มตากับจานอาหารก็เล็ดลอดหูเสียก่อน
“เนี่ยนะ...สุดสวย”
ตรีประดับชะงักยิ้ม ตวัดตามองคนพูดซึ่งกำลังตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยอย่างเคือง ๆ กิริยาเหมือนไม่ใส่ใจรับรู้ความเคืองของหล่อนยิ่งยั่วให้ตรีประดับกรุ่น
“ไอ้หมอรอง...” เสียงเรียกยานคางคล้ายปรามจากชายหนุ่มอีกคน กระตุกความเคืองของตรีประดับทันที
หมอรองงั้นหรือ?
คนถูกเรียกเลิกคิ้วคล้ายถาม มืออีกข้างยกขึ้นขยับแว่นตากรอบทองให้เข้าที่ ตรีประดับหันมองชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าหมอรองอย่างสนใจอีกครั้ง
แต่ให้ย้อนกลับไปมองกี่รอบต่อกี่รอบ ตรีประดับก็บอกตัวเองด้วยความมั่นอกมั่นใจว่า นางแบบสาวแฟนคลับของหมอคนนี้น่าจะไปหาหมอตาเพื่อตัดแว่นเสียจริง ๆ
ความคิดเห็น