ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์ซ่อนรัก

    ลำดับตอนที่ #5 : ขาสั่นด้วยหวั่นไหว 1

    • อัปเดตล่าสุด 31 ส.ค. 51


    ล่ห์ซ่อนรัก

    3.1

    ขาสั่นด้วยหวั่นไหว

    ตรีปวายถอดหมวกกันน็อกออกวางไว้บนชั้นซึ่งตั้งอยู่ในโรงรถใต้ถุนบ้านเรือนไทย หญิงสาวยกมือขึ้นลูบผมรุ่ยร่ายให้กลับเข้ารูปทรง คว้าเอกสารพร้อมกระเป๋าตรงขึ้นเรือนเพื่อพบว่า ห้องรับแขกของเรือนวันนี้มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาสีสด  หญิงสาวคนนั้นดีดตัวขึ้นนั่งทันทีเมื่อพบว่าสถานที่ซึ่งหล่อนครอบคองถูกบุกรุกโดยหญิงสาวแปลกหน้า

    “สวัสดีค่ะ มาติดต่ออะไรคะ?” คำถามนั้นทำให้ตรีปวายทำหน้าเลิ่กลั่ก

    “เอ่อ...คือ...ฉัน ฉันทำงานที่นี่ค่ะ” คำตอบของหล่อนทำให้อีกฝ่ายทำหน้าประหลาดใจ แววตาครุ่นคิดก่อนร้องอ๋อยืดยาว

    “อ๋อ...คอลัมน์นิสต์คนใหม่ของอีฟใช่มั้ยคะ? พี่หอมโทรบอกเมื่อหลายวันก่อน ยินดีที่ได้รู้จักค่ะฉันสายฝนค่ะ เรียกฝนก็ได้นะคะ” คำแนะตำตัวมาพร้อมรอยยิ้ที่ทำให้ตรีปวายอดยิ้มตอบไม่ได้

    “สวัสดีค่ะ ฉันตรีปวายเรียกหวายสนิทปากกว่านะคะ” หล่อนตอบพร้อมค้อมศีรษะให้เพราคะเนแล้วดูเหมือนว่าอีกฝ่ายน่าจะมีอายุไล่เลี่ยกัน

    “นั่งก่อนค่ะนั่งก่อน เช้าอย่างนี้ยังไม่มีใครมาหรอก ส่วนนี้เป็นอย่างนีแหละ” สายฝนบอกพลางผายมือเชื้อเชิญ ตรีปวายทำตามคำแนะนำอย่างว่าง่าย “ได้ยินพี่หอมบอกว่าคอลัมน์ใหม่เกี่ยวกับการทำศัลยกรรมเหรอคะ?”  สายฝนชวนคุยเมื่อเห็นอีกฝ่ายทรุดลงนั่งเรียบร้อย

    “ค่ะ พี่หอมให้หวายตามจิก...เอ๊ย...ติดต่อหมอที่จะให้คำปรึกษาก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ วันนี้หวายเข้ามารายงานความคืบหน้าค่ะ” ตรีปวายบอกยิ้ม ๆ

    “ฝนจะรออ่านนะ เผื่อว่าเกิดอยากสวยขึ้นมาบ้างจะได้ใช้เป็นข้อมูลช่วยในการตัดสินใจ” สายฝนบอกกลั้วหัวเราะพร้อมกับผายมือให้คู่สนทนามองทั่วร่างอวบของตัวเอง ตรีปวายหัวเราะก่อนตอบ

    “หวายก็อยากมีข้อมูลนำเสนอเร็ว ๆ เหมือนกันนะ...แต่ติดที่ว่าแหล่งข้อมูลอีกที่ยังไม่ยอมให้ความร่วมมือเลยน่ะสิ” หญิงสาวบอกพร้อมถอนหายใจหนัก ๆ

    “อือ...ได้ยินพี่หอมบ่น ๆ เหมือนกันว่า หมออะไรโห ๆ นั่นน่ะตอนแรกก็คุยด้วยดี ๆ พอรู้ว่าต้องเขียนกับหมอทำบุญเท่านั้นแหละ...เลิกคุยเอาเสียดื้อ ๆ แถมติดต่อไปก็ไม่เคยรับสาย พี่หอมร่ำ ๆ จะไปตามด้วยตัวเองแต่ก็ติดที่ท้องป่องแล้วก็พี่หม้อไม่ยอมให้ออกไปตะลอน หวายก็เลยได้รับงานนี้แทนไง” สายฝนร่ายยาวโดยมีตรีปวายพยักหน้าหงึกหงักรับเป็นระยะ

    “เอ...หมอโห ๆ ของฝนนั่นเค้ามีความหลังฝังใจอะไรกับหมอทำบุญนะ?” หญิงสาวพึมพำ

    “ฝนเคยได้ยินมาว่า จริง ๆ แล้วทั้งสองหมอเคยเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก แต่ก่อนที่หมอโห ๆ แกจะไปเรียนต่อเมืองนอกก็มีบางเรื่องเกิดขึ้น ว่ากันว่าเป็นเรื่องแรงถึงขั้นมีคนตายเชียวล่ะ คงจะตั้งแต่ตอนนั้นที่สองหมอไม่ถูกกัน...แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครรู้จริงสักทีว่า เรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้ทั้งคู่ตัดขาดกันขนาดนั้น” การบอกเล่าของสายฝนทำให้ตรีปวายหวนนึกถึงสีหน้าของหมอทำบุญยามเมื่อเอ่ยถึงหมออีกคน...รอยยิ้มเหยียด ๆ และสายตาวาววาม...สะดุดใจยิ่งนัก

    “แหม...ฟังแล้วทำให้หวายคันยุบยิบเลยนะเนี่ย ชักอยากรู้ซะแล้วสิว่าสองหมอนั่นเค้ามีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรกันแน่” ตรีปวายว่าพลางแสร้งเกาแขนประกอบ คนฟังหัวเราะคิกคักก่อนสนับสนุน

    “เห็นด้วย ๆ ฝนก็อยากรู้เหมือนกัน กำลังสงสัยอยู่ว่าเค้าเคยเป็นกิ๊กกันหรือเปล่า”

    “โอ๊ย !ไม่นะ !” ตรีปวายร้องเสียงหลงพลอยทำให้สายฝนสะดุ้ง “น่าเสียดายออก หล่อทั้งคู่ซะด้วย” หญิงสาวต่อคำอุทานของตัวเองเสียงละห้อย อาการของหล่อนทำให้คนมองหัวเราะใส

    “หล่อ ๆ นี่แหละตัวดี น่าระแวงที่สุดขอบอก...อย่างที่นี่ก็เข้าข่ายน่าสงสัยหลายคนนะ” ท้ายประโยคสายฝนกระซิบกระซาบสายตากวาดมองอย่างระแวง

    “งั้นฝนชวยชี้เตือนหวายด้วยนะว่าคนไหน...หวายจะได้ไม่หลงรักผิดคน” ตรีปวายกระซิบตอบน้ำเสียงจริงจัง ก่อนที่ทั้งคู่จะมองหน้ากันแล้วหัวเราะเบา ๆ

    “มีอะไรน่าสนุกจ๊ะ? ให้พี่ร่วมวงด้วยคนสิ” เสียงทักทายนั้นทำให้ทังตรีปวายและสายฝนหันไปมองยังที่มาแทบจะพร้อมกัน กรรดึกในชุดคลุมท้องสีตองอ่อนก้าวพ้นบันไดเดินตรงมายังจุดที่ทั้งคู่นั่งอยู่ ตามมาติด ๆ คือร่างสูงของทะนนซึ่งถือตะกร้าใบเขื่องข้างในมีผลไม้ ขนมบรรจุอยู่จนล้น หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ทะนนก็ขอตัวไปทำงานทิ้งให้หญิงสาวทั้งสามคนนั่งคุยกันอยู่ห้องรับแขก โดยไม่ลืมทิ้งตะกร้าของกินไว้บนโต๊ะให้ภรรยาท้องแก่หยิบกินได้สะดวก

    “คงรู้จักกันแล้วใช่มั้ยจ๊ะ?” คำถามของกรรดึกได้รับคำตอบพร้อมรอยยิ้มของทั้งคู่ “เอาล่ะ...งั้นเรามาคุยถึงการเปิดตัวคอลัมน์ใหม่ดีกว่า” กรรดึกบอกเป็นการเป็นงาน

    “แหม ๆ พี่หอม ไม่ต้องรีบก็ได้ฝนกับหวายยังไม่ละลายตอนนี้หรอก พักหายใจหายคอก่อนก็ได้” สายฝนเย้ายิ้ม ๆ และหล่อนได้รับการตวัดตามองค้อนจากคนท้องตอบแทน

    “ไม่ได้สิไฟมันกำลังลุกโหมต้องรีบก่อนที่มันจะมอด” กรรดึกบอกก่อนพูดต่อ “ทำเป็นแย้งดีนัก ภาพประกอบปักษ์หน้าฝนน่ะเป็นไง?”

    “มือชั้นนี้ เรียบร้อยอยู่แล้วค่าพี่หอม มีมาให้เลือกเป็นปึก” สายฝนบอกอวด ๆ ตบกระเป๋ากล้องข้างกายประกอบ กรรดึกพยักหน้ารับอย่างพอใจก่อนหันมาทางหญิงสาวอีกคน

    “แล้วหวายล่ะเป็นไง?”

    “ของหมอทำบุญหวายได้บทความมาแล้วค่ะ” ตรีปวายตอบพลางหยิบเอกสารปึกใหญ่ให้กับกรรดึกซึ่งรับไปดู “ส่วนหมออีกคน...เอ่อ...หวายกำลังตื้อ...เอ๊ย...พยายามอยู่ค่ะ” หล่อนบอกแถมยิ้มแหย กรรดึกพยักหน้ารับกลั้วหัวเราะ

    “พี่เข้าใจจ้ะ พี่เองก็เคยติดต่อแล้วแต่ไม่สำเร็จ ความจริงคุณหมอทำบุญก็แนะนำหมอคนอื่นที่สนใจอยากร่วมงานกับเรานะ แต่...ยังไงไม่รู้สิ...พี่ละเกิดหมั่นไส้ขึ้นมาตงิด ๆ ว่าหมอแกจะเล่นตัวอะไรหนักหนา กะอีแค่มาเป็นที่ปรึกษาแค่นี้น่ะ” น้ำเสียงของกรรดึกมีแววหงุดหงิด สายฝนจึงหยิบส้มยื่นให้ซึ่งอีกฝ่ายก็รับไปปอกกินแก้หงุดหงิดแต่โดยดี

    “เหมือนกันเลยพี่หอม ตอนแรกหวายก็อยากถอยไปหาหมอคนอื่นเหมือนกัน แต่มันก็หมั่นไส้อย่างที่ว่านั่นแหละ ถ้าไม่เห็นว่าหน้าตาดีนะ...หวายกะจะฉะสักชุดเหมือนกัน” ตรีปวายว่าอย่างฉุนเฉียว คำพูดของหล่อนทำให้หญิงสาวอีกสองคนหยุดชะงักทุกกริยาไปชั่วขณะ ก่อนที่กรรดึกจะเป็นฝ่ายเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น

    “หวายเคยเจอเขาแล้วเหรอ?!”

    “เจอสิคะ หวายตามไปที่คลินิกก็เลยเจอ” ตรีปวายตอบ

    “เคยได้ยินว่าหล่อ เมื่อกี้ที่หวายพูดถึงก็ว่าหล่อ...สรุปว่าหล่อ?” สายฝนถามอย่างสงสัย คนถูกถามอมยิ้มตาเคลิ้ม

    “หล่อสุด ๆ หล่อได้ใจเลยล่ะฝน...เท๊ เท่ด้วย” หญิงสาวตอบเสียงเพ้อ คนที่เหลือเมื่อเห็นท่าประกอบคำพูดของตรีปวายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เห็นดังนั้นหล่อนจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามบ้าง “ทำไมเหรอคะ?”

    “ก็หมอโห ๆ เนี่ย แกไม่ค่อยเผยโฉมให้ใครเห็นไง มีแต่ข่าวลือว่าหน้าตาดี ฝีมือเฉียบ ฝนน่ะเคยพยายามพิสูจน์แล้วนะ...แต่แกปรากฏตัวยากเหลือเกิน” สายฝนครวญ

    “หวายโชคดีนะเนี่ย ตามครั้งแรกก็เจอตัวเป็น ๆ เลย ไม่เหมือนพี่ เคยคุย เคยได้ยินเสียงแค่ครั้งเดียวเอง” กรรดึกว่าพลางหยิบขนมปังกรอบเข้าปากเคี้ยว “นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นลิงอุ้มแตงอยู่นี่ก็กะจะไล่ล่าเหมือนกัน”

    “แหม...ได้ยินแล้วทำให้หวายอยากรู้จักหมอคนนี้ให้มากกว่าเดิมซะแล้วสิ...ค่อยรู้สึกมีกำลังขึ้นมาหน่อย” ตรีปวายบอกกลั้วยิ้ม ยกมือขึ้นตบอกปุ ๆ

    “กำลังใจ? กำลังใจอะไรเหรอ?” สายฝนถามอย่างสงสัย

    “ก็ก่อนจากมา หวายดันไปลั่นวาจาไว้ว่า ยังไง๊ ยังไงหวายก็ต้องตื้อหมอมโหระทึกมาร่วมเขียนคอลัมน์ให้ได้น่ะสิ...เนี่ย ยังกลับมาคิดอยู่เลยว่าจะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า  แต่เห็นพี่หอมกับฝนพูดแบบนี้แล้วมันรู้สึกว่างานนั้นท้าทายดีพิลึก...หวายต้องตื้ออีตาหมอโหให้ได้เลย...คอยดูสิ !” คำลงท้ายแสนมุ่งมั่น สีหน้า และแววตามั่นอกมั่นใจทำให้ทั้งกรรดึกและสายฝนหันไปสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย แล้วทั้งคู่ก็อมยิ้ม พร้อมพยักหน้าให้แก่กันอย่างเข้าอกเข้าใจ

    ...ดูท่าเพื่อร่วมงานคนใหม่จะได้รับเชื้อบางอย่างจากสวนแห่งนี้เข้าเสียแล้ว...สายฝนคิดขำ ๆ ในใจ

     


    ตรีปวายยืนหน้านิ่วอย่างไม่สบอารมณ์ เบื้องหน้าของหล่อนตอนนี้คือบอร์ดแนะนำบุคลากรในแผนกอายุรกรรมของโรงพยาบาลรัฐชื่อดัง โดยปกติแล้วบนบอร์ดจะมีชื่อพร้อมตำแหน่งอยู่ใต้รูปภาพของแต่ละคน และที่ทำให้หล่อนหงุดหงิดอยู่ตอนนี้ก็เป็นเพราะว่า...ป้ายที่ระบุชื่อ นพ.มโหระทึก  กึกก้องโอฬารนั้น...ไม่มีรูป....

    จะหวงเนื้อหวงตัวเป็นสาวพรมจรรย์ไปทำไมวะเนี่ย ! ตรีปวายสบถในใจ หญิงสาวสะบัดหน้าจากบอร์ด ไม่วายมองค้อนป้ายชื่อ เหลียวซ้ายแลขวาไม่นานก็พบเคาน์เตอร์ซึ่งมีพยาบาลนั่งประจำอยู่ หล่อนตรงรี่ไปหาทันที

    “ขอโทษนะคะ...ไม่ทราบว่าจะพบคุณหมอมโหระทึกได้ที่ไหนคะ?” คนถูกถามซึ่งกำลังง่วนกับกองกระดาษตรงหน้าชะงักกึกทันทีที่ได้ยิน อาการนั้นทำให้ตรีปวายย่นหัวคิ้วด้วยความแปลกใจ ยิ่งเมื่อละสายตาจากพยาบาลคนตรงหน้าหันไปมองรอบ ๆ เคาน์เตอร์ด้วยรับรู้ถึงรังสีประหลาด...ภาพของพยาบาลหลายวัยยืนนิ่งหันมองหล่อนเป็นจุดเดียวด้วยสายตาจับจ้องสงสัยระคนความไม่พอใจก็ยิ่งทำให้ตรีปวายขมวดคิ้วมากกว่าเดิม

    “มีธุระอะไรกับคุณหมอคะ?” ตรีปวายแทบสะดุ้งเมื่อเสียงถามกลับนั้นคล้ายกับคนเคยโกรธกันมา สีหน้าก็คล้ายไม่พอใจอะไรสักอย่าง

    “อ...เอ่อ...ฉันอยากติดต่อคุณหมอเรื่องเขียนคอลัมน์ลงนิตยสารค่ะ...ฉันเป็นคอลัมน์นิสต์ของอีฟค่ะ” ตรีปวายตอบพลางยื่นนามบัตรให้ดู พยาบาลสาวรับไปดูพยักหน้าหงึกหงักเหมือนรับรู้ สีหน้าเหมือนเคียดขึ้งเมื่อครู่ดูผ่อนคลายมากขึ้น ตรีปวายเหลียวมองรอบตัวอีกครั้งอย่างหวาด ๆ และหล่อนก็พบว่าเหล่าพยาบาลหลายวัยซึ่งยืนทำท่ายืนนิ่งจ้องหล่อนอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้กระจายกันไปทำงานไร้ซึ่งความสนใจในตัวหล่อนอย่างสิ้นเชิง

    “วันนี้คุณหมอจะเข้าสายหน่อยนะคะ ประมาณสิบโมงเช้า ตอนนี้เพิ่งจะแปดโมงกว่า ถ้าคุณรีบก็นัดไว้ก่อนได้ค่ะ แล้วฉันจะเรียนให้คุณหมอทราบ ถ้าคุณหมอมีคำตอบอย่างไรดิฉันจะติดต่อกลับไปที่สำนักพิมพ์ให้ค่ะ” คำตอบยาวเหยียดพร้อมการรับรองของพยาบาลสาวไม่ได้ทำให้ตรีปวายสบายใจเลยสักนิด การติดต่อพูดคุย การได้พบตัวเป็น ๆ ของหมอหนุ่มเมื่อวันก่อนมันบอกหล่อนว่าหากหล่อนทำตามคำแนะนำนั้น คงไมแคล้วต้องได้รับคำปฏิเสธเป็นแน่

    “เอ่อ...แล้วถ้าฉันไม่รีบ สามารถรอได้ล่ะคะ” คนถูกถามมองหน้าตรีปวายอย่างใช้ความคิด ก่อนจะบอกว่า

    “ถ้าอย่างนั้นสิบโมงติดต่ออีกทีแล้วกันค่ะ” พูดจบเจ้าหล่อนก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่สนใจตรีปวายอีกแถมประกายตาสุดท้ายยังออกแววหมิ่นแคลนจนจับสังเกตได้ คำขอบคุณพร้อมรอยยิ้มซึ่งกำลังวิ่งไล่กันมาอออยู่เพียงโคนลิ้นเมื่อเห็นกิริยาของพยาบาลสาว ตรีปวายหรี่ตามองอย่างหมายมุ่งก่อนเดินจากไป...อย่าให้แม่มีโอกาสได้เอาคืนเชียวนะ ! หล่อนคิดคุมแค้น

    ตรีปวายฆ่าเวลาในการรอด้วยการ ‘ทัวร์’ โรงพยาบาล ผู้คนมากมายเดินสวนทางด้วยกิริยาแตกต่าง บ้างรีบเร่งตามรถเข็นซึ่งมีร่างของคนอันเป็นที่รักนอนไม่ได้สติอยู่บนนั้น บ้างมีสีหน้ายิ้มแย้มพลางมุ่งหน้าไปยังทางออก และมีไม่น้อยที่นั่งรอด้วยสีหน้ากระวนกระวาย แม้ตรีปวายจะชอบการอยู่ท่ามกลางฝูงคนสักแค่ไหน...แต่หล่อนกลับไม่ชอบการอยู่ท่ามกลางผู้คนในสถานที่นี้เลยแม้แต่น้อย

    เท้าพาเคลื่อนผ่านกลุ่มคนเรื่อยมากระทั่งทางเดินพาตรีปวายทะลุออกนอกอาคาร...น่าแปลกที่หล่อนรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก ภายในสายตาของตรีปวายตอนนี้คืออาคารขนาดสี่ชั้นซึ่งแวดล้อมด้วยสวนหย่อมสวยงาม ความเป็นระเบียบของพุ่มไม้บอกหล่อนว่าสวนนี้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ด้านข้างของอาคารซึ่งเป็นส่วนแรกที่สามารถมองเห็นถัดจากสวนหย่อมแสนสวย ตัวหนังสือสีทองข้างอาคารทำให้ตรีปวายห่อปากร้องอู

    “แหม ๆ ครบสูตรเลยนะคุณหมอขา...หล่อ...เก่ง...รวย อะไรจะตรงตามความต้องการของตลาดขนาดนั้นเนี่ย !” พูดพลางหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ ก่อนเดินตรงไปยังอาคารซึ่งระบุชื่อ ‘กึกก้องโอฬาร’ ด้วยความมุ่งมั่น

    ตรีปวายยืนอมยิ้มอยู่หน้าบอร์ดใหญ่ข้างลิฟต์ จริงอยู่ว่าข้อมูลในบอร์ดนั่นไม่ใช่สิ่งที่หล่อนต้องการโดยตรง แต่มันก็ช่วยให้หล่อนรู้จักเป้าหมายมากขึ้นอีกนิด ชื่อตึกบอกให้รู้ว่าคนบริจาคเงินสร้างตึกนี้น่าจะเป็นใคร และหากมีประวัติของผู้บริจาคอยู่ภายในอาคารด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใด

    ‘มหาศาล  กึกก้องโอฬาร’ เป็นชายวัยกลางคนซึ่งหากไม่บอกอายุที่แท้จริงตรีปวายก็คงคาดเดาผิดเป็นแน่แท้ รูปร่างสูงสมาร์ทดูแข็งแรงกว่าชายวัยเดียวกันที่หล่อนเคยเห็น ใบหน้าแม้มีริ้วรอยของวัยบ่งบอก แต่รอยยิ้มอย่างคนอารมณ์ดีก็ทำให้คนมองเลิกสนใจกับรอยย่นนั้น ตรีปวายเพ่งพิศโครงหน้า

    ...นี่ถ้าคุณหมอโหแกถางหนวดออกซะบ้าง ถอดหมวกวางเสียหน่อย แล้วมายืนเต๊ะจุ้ยอย่างนี้...อืม...แต่ว่าคิดหน้าคุณหมอตอนยิ้มไม่ออกเลยแฮะ...ตรีปวายคิดในใจ

    “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?” เสียงถามด้วยภาษาไทยแข็ง ๆ ดังมาจากเบื้องหลัง ตรีปวายหันไปมอง ชายหนุ่มร่างสันทัดในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร

    “อ๋อ...ไม่มีหรอกค่ะ แค่อ่านอะไรไปเรื่อยฆ่าเวลาน่ะ” ตรีปวายตอบยิ้ม ๆ ก่อนชี้ที่บอร์ดเมื่อเห็นว่า หนุ่ม รปภ. มีท่าทีอยากคุย “นี่คือคนบริจาคสร้างตึกนี้หรือเปล่าคะ?” และก็เป็นจริงอย่างที่คาดการณ์ไว้ รปภ.หนุ่มพยักหน้ารับเร็ว ๆ พร้อมกับอธิบายอย่างกระตือรือร้น

    “ใช่ครับ ๆ ท่านมหาศาล เป็นคนดีมากเลยนะครับ ว่ากันว่าอาคารอื่น ๆ ท่านก็สมทบทุนกว่าครึ่งเชียวนะครับ ผมว่าคงเป็นเพราะบุญกุศลนี้ทำให้ท่านสุขภาพดีไม่เคยได้ยินข่าวว่าเจ็บป่วยเลย แถมลูกชายท่านแต่ละคนก็เป็นหน้าเป็นตาน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก อย่างลูกชายคนโตก็สานต่อกิจการโรงแรม คนรองกับคนเล็กก็เป็นหมอที่มีฝีมือ...โดยเฉพาะหมอเล็กน่ะเค้าว่ากันว่าเป็นหมอฝีมือดีที่สุดในเมืองไทยเชียวนะครับ...เฮ้อ...เกิดเป็นลูกชายท่านมหาศาลนี่ ก็เรียกได้ว่าสุดยอดแล้วนะครับ ยังมาแถมเก่ง แถมหล่อ ที่สำคัญ โสดซะด้วย...ถ้าผมเป็นผู้หญิงล่ะก็ไม่มีทางที่จะไม่มองสามหนุ่มนี่แน่ ๆ เชียวล่ะครับ...โดยเฉพาะคุณหมอเล็กด้วยแล้ว ตอนนี้เรียกได้ว่าเนื้อหอมที่สุดในโรงพยาบาลนี้เชียวล่ะครับ ทั้งหมอสาว ๆ เอย พยาบาลเอย คนไข้เอย...โฮ้ย...นับไม่หวาดไม่ไหวหัวกระไดโรงพยาบาลไม่เคยแห้ง โดยเฉพาะตึกนี้เป็นที่ทำงานของคุณหมอเล็ก ยิ่งวุ่นวายเป็นพิเศษจนต้องมี รปภ.ทั้งหน้าตึกหลังตึกเชียวนะครับ คิดดูสิว่าแกเนื้อหอมขนาดไหน”

    ตรีปวายได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กับการสาธยายเป็นขบวนรถของ รปภ.หนุ่ม ซึ่งดูเหมือนตายอดตายอยากการพูดเสียเหลือเกิน แต่การยืนฟังบรรยายนั้นก็ไม่ได้ทำให้เปล่าประโยชน์มากนัก ตรีปวายคิดพลางหรี่ตามอง รปภ.หนุ่มช่างจ้ออย่างเจ้าเล่ห์

    “อย่างนั้นหรอกเหรอคะ...เอ...เมื่อกี้ได้ยินพูดถึงหมอเล็ก ไม่ทราบว่าใช่คุณหมอมโหระทึกหรือเปล่าคะ?”

    “ใช่แล้วครับ ๆ ทั้งตึกเรียกติดปากกันว่าหมอเล็ก...คือ ชื่อแกพิลึกกึกกือเรียกแล้วคันปากพิกลน่ะครับ พวกพยาบาลก็เลยเรียกชื่อเล่นแกแทน” รปภ.หนุ่มบอกยิ้ม ๆ ตรีปวายพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

    “แล้ว...คุณหมออยู่ตึกนี้ประจำเหรอคะ?” หญิงสาวรุกต่อ

    “ครับ ๆ ก็ท่านมหาศาลขอมา บอกว่าหมอเล็กแกชอบสันโดษ ทางโรงพยาบาลก็เลยยกห้องใหญ่ให้ห้องหนึ่งอยู่ชั้นบนสุดครับ จริง ๆ หมอเล็กแกก็ไม่อยากได้หรอกนะครับ แต่แกขัดท่านมหาศาลกับผู้อำนวยการไม่ได้ก็เลยต้องอยู่ จริง ๆ หมอเล็กแกสมถะจะตาย กินอยู่ง่าย ๆ แต่งตัวง่าย ๆ เป็นกันเองกับทุกคน เสียอยู่อย่างเดียวแกไม่ค่อยยิ้มครับ แถมชอบไว้หนวดไว้เคราก็เลยดูเหมือนหน้าแกดุ ๆ หน่อย...แต่ยังไงพวกสาว ๆ เขาก็กรี๊ดกันแหละครับ” รปภ.หนุ่มบอกกลั้วหัวเราะ

    “เหรอคะ...แล้ว...”

    “พาแลง !” เสียงขัดบทสนทนา แม้ไม่ดังนักแต่ก็ลงน้ำหนักจน รปภ.หนุ่มสะดุ้งเฮือก เขาหันกลับไปมองก่อนลนลานไปยืนตัวลีบอยู่หน้าพยาบาลสาวใหญ่ร่างท้วมซึ่งยังไม่ยอมละสายตาจากร่างของตรีปวาย “หน้าที่เธอคือรักษาความปลอดภัย ไม่ใช่ประชาสัมพันธ์ จำไว้ !” เสียงดุนั่นทำให้ รปภ.หนุ่มทำตัวลีบยิ่งกว่าเดิม

    “ครับผม” พาแลงรับคำอ่อย ๆ พยาบาลสาวใหญ่ละสายตาจากตรีปวายกลับไปถลึงมอง รปภ.หนุ่มพร้อมกำชับก่อนเดินจากไป

    “ตอบคำถามเท่าที่จำเป็น อย่าพูดมาก ระวังน้ำลายจะฆ่าตัวเองล่ะ”

    เมื่อพ้นร่างท้วมของพยาบาลสาวใหญ่ ตรีปวายก็ก้าวเข้าไปหา รปภ.หนุ่ม ทันทีที่เห็นหน้าหล่อนเขาก็เม้มปากแน่นจนแทบเป็นเส้นตรง สายตาพยายามไม่มองสบกับหล่อน ตรีปวายกลั้นยิ้มอย่างยากเย็นก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

    “ขอโทษนะคะที่ทำให้โดนดุ แล้วก็ขอบคุณที่เล่าหลาย ๆ เรื่องให้ฟังค่ะ ไปนะคะ” ตรีปวายบอกอย่างจริงใจก่อนเดินกลับทางเดิมที่จากมา หญิงสาวอดคิดถึงหน้าตาของพยาบาลสาวใหญ่ร่างท้วมพร้อมกริยาการกวาดตามองหล่อนอย่างจ้องจับผิดไม่ได้ ยิ่งเมื่อบวกเข้ากับคำบอกเล่าของ รปภ.หนุ่มพาแลงที่บอกว่าหมอหนุ่มนามกึกก้องคนนั้น เปรียบเหมือนไข่แดงเนื้อเนียนท่ามกลางวงล้อมไข่ขาว ตรีปวายก็ยิ้มขำความคิดของตัวเอง...ความคิดของหญิงสาวหยุดชะงักเมื่อสายตามองกวาดไปสะดุดเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่ง

     


    แม้ผู้คนจะพลุกพล่านเพียงใดแต่ร่างสูงในชุดเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีเทา กางเกงยีนสีซีดดูสบาย ๆ หมวกแก้ปสีดำถูกถึงปีกหลุบต่ำปิดใบหน้าเกือบครึ่งเห็นเพียงแผงหนวดรกครึ้ม...ชายหนุ่มคนนั้นโดดเด่นในสายตาตรีปวายจนแทบจะเรียกได้ว่าถีบผู้คนออกจากละแวกสายตาหล่อนเลยทีเดียว อาการเดินมุ่งหน้าของเป้าหมายสายตาทำให้ตรีปวายตื่นจากอาการเคลิ้ม หญิงสาวตรงรี่เข้าไปหาเป้าหมายหนุ่ม รอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า วาจาเตรียมเอ่ยทักทาย...แต่ทุกอย่างกลับสะดุดค้างเมื่อเป้าหมายของหล่อน...โดนรุม !

    ตรีปวายผงะหงายแทบล้มเมื่อ ‘ฝูง’ เด็กหลายระดับวิ่งปุเลงตรงเข้าไปกลุ้มรุมหมอหนุ่ม พร้อมเสียงทักทายระเบ็งเซ็งแซ่หลายคนอยู่ในชุดคนไข้ของโรงพยาบาล เสียงทักทายของเด็กกลุ่มนั้นมาพร้อมกับการยื่นมือยื่นไม้ไขว่คว้าชายหนุ่มร่างสูงซึ่งแม้จะร้องโวยวายและปัดป้องพอเป็นพิธี เสี้ยวหน้าช่วงฉุกละหุกซึ่งโผล่มาให้ตรีปวายได้เห็นแม้ไม่ใช่รอยยิ้ม แต่ก็เต็มไปด้วยรอยละมุนแทรกแผงหนวดมาเป็นระยะ...แปลกที่หล่อนรู้สึกว่าร่องรอยบนริมฝีปากนั้นยวนตาน่าค้นหาเหลือเกิน...

    “ช้าก่อนครับคุณหนูทั้งหลาย...ผมมาตัวเปล่านะครับของที่พวกคุณหนูต้องการอยู่ห้องนู่น ของดีต้องรอครับผม...สัญญาด้วยเกียรติหมอว่าได้ครบทุกคนเอ้า !” คำตอบของหมอหนุ่มทำให้กลุ่มเด็กลดความอื้ออึง แต่การยื้อยุดพร้อมเสียงเซ็งแซ่ยังคงอยู่ สุดท้ายคุณหมอหนุ่มก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต้องยอมเดินตามแรงฉุดลากของเด็กทั้งกลุ่ม

    ตรีปวายอมยิ้มกับภาพชายหนุ่มตัวโตซึ่งกำลังถูกเด็กรุมล้อมพาเคลื่อนไป อารมณ์อยากได้งานถูกความอยากรู้เข้าทับจนแบนแต๊ดแต๋ติดผนังความคิด หญิงสาวตัดสินใจก้าวตามไปห่าง ๆ เพื่อสังเกตการณ์ อาศัยช่วงชุลมุนคนส่วนใหญ่พุ่งความสนใจไปยังร่างสูงกลางวงล้อมของเด็ก ๆ  ตรีปวายรีบจ้ำตามไปยืนปะปนกับกลุ่มญาติผู้ป่วยข้างเตียงหนึ่งโดยไม่มีใครผิดสังเกต

    เมื่อเข้ามาในตึกแล้ว กลุ่มเด็กที่กลุ้มรุมเริ่มกระจายกันออกไปเมื่อพยาบาลร่างท้วมยืนหน้าบึ้งรอรับพร้อมกับขวดโหลท๊อฟฟี่ยื่นให้คุณหมอหนุ่มได้หยิบแจก หลังจากเด็กคนสุดท้ายเดินจากไป ชายหนุ่มก็ถอดหมวกออกวางบนเคาน์เตอร์ ใบหน้ายังหลงเหลือรอยละมุน...และนั่นทำให้ตรีปวายถึงกับตาพร่า...

    วันก่อนหล่อนเพิ่งพบกับหมอหล่อชวนใจวิบไหวนามทำบุญ รอยยิ้มของหมอคนนั้นเล่นเอาหัวใจแกว่ง...แต่คุณหมอมโหระทึกคนนี้...กลับทำให้ขาหล่อนหมดแรงยืนเอาดื้อ ๆ !

    ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ยิ้มแต่ใบหน้าภายใต้หมวกก็ไม่สามารถทำให้หล่อนเลิกมองได้ ดวงตายาวรี คิ้วดกเข้ม จมูกโด่งคม ริมฝีปากได้รูปท่ามกลางวงล้อมของหนวดหนา ทรงผมน้อง ๆ สกินเฮด...โอ้...พระเอกนิยายชัด ๆ !

    “คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า?” หญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นญาติคนป่วยเตียงที่ตรีปวายยืนใกล้เอ่ยถาม หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยและพบว่าตอนนี้มือของหล่อนข้างหนึ่งคว้าจับของเตียงไว้มั่นเพื่อช่วยในการพยุงตัวไม่ให้ทรุดนั่งบนพื้น

    “อ...เอ่อ...เปล่าค่ะเปล่า...ไม่ได้เป็นอะไร ขอบคุณค่ะ” ท้ายประโยคหญิงสาวเอ่ยขอบคุณที่อีกฝ่ายยื่นมือมาช่วยฉุดดึงหล่อนให้ยืนได้มั่นคงอีกครั้ง ตรีปวายส่งยิ้มเรี่ย ๆ ไปให้ก่อนถอยห่างออกจากเตียง เมื่อก้าวพ้นแววตาสงสัย สายตาของตรีปวายก็หันกลับไปสนใจคุณหมอผู้ทำให้กลไกขาของหล่อนขัดข้องเมื่อครู่...จุดนั้นว่างเปล่า...นั่นทำให้หญิงสาวเกือบส่งเสียงร้องอย่างเสียดาย ดีว่าสายตาหล่อนปะทะเข้ากับร่างท้วมของพยาบาลหน้าตูมเสียก่อน หล่อนจึงได้หุบปากและเดินเลี่ยงหลบ

    ตรีปวายสอดส่ายสายตามองหาเป้าหมายอย่างตั้งอกตั้งใจ หญิงสาวเดินเลียบเคียงบริเวณชั้นหนึ่งซึ่งเป็นห้องคนไข้รวม หล่อนเกือบจะถอดใจอยู่แล้วเมื่อเดินมาถึงหน้าลิฟต์ ร่างสูงของเป้าหมายหล่อนก้าวออกจากลิฟต์พร้อมกับพยาบาลสาวอีกสองคนซึ่งมีสีหน้าระรื่นอย่างเห็นได้ชัด เสื้อกาวน์สีขาวสะอาดถูกสวมทับเสื้อยืดอย่างง่าย ๆ สเตปโตสโคปอยู่ในมือของเขาบอกให้ตรีปวายรู้ว่าหมอหนุ่มกำลังมุ่งหน้าไปกราวน์คนไข้

    ...ชั่วขณะชายหนุ่มเดินผ่าน แม้จะอยู่ในภาวะหลบซ่อน ตรีปวายก็ไม่สามารถบังคับสายตาตัวเองให้มองทางอื่นนอกจากใบหน้าของหมอหนุ่มได้เลย แม้เมื่อชายหนุ่มเดินผ่านหล่อนไปหยุดที่เตียงแรกและเริ่มการตรวจ ตรีปวายก็ยังไม่ละสายตา

    เวลาผ่านไปเนิ่นนาน กว่าตรีปวายจะรู้สึกตัวว่า หล่อนตามติดการตรวจคนไข้ของหมอมโหระทึกเรียกได้ว่าแทบจะทุกฝีก้าว หญิงสาวผละจากภาพเหล่านั้นด้วยความเสียดายเมื่อโทรศัพท์มือถือซึ่งปิดเสียงเปิดระบบสั่นไว้เตือนให้รู้ว่ามีสายเข้า

    “สวัสดีค่ะ หวายค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทักทายหลังจากหามุมสงบได้โดยไม่ยอมให้ภาพของคุณหมอหนุ่มหลุดรอดสายตา

    “นี่พี่หอมนะ หวายยุ่งอยู่หรือเปล่า?”

    “ไม่ยุ่งค่ะพี่หอม หวายแค่กำลังตามเป้าหมายอยู่ค่ะ” หล่อนตอบเจือเสียงตื่นเต้น

    “พอดีเลย พี่ก็อยากคุยเรื่องหมอโหนี่แหละ คือเมื่อกี้พี่คุยกับฝนแล้วก็ได้ความคิดดี ๆ น่ะ” ปลายสายเอ่ยอย่างกระตือรือร้น

    “ค่ะ มีอะไรคะ?”

    “คุณหมอโหของหวายน่ะ เขายังไม่ยอมเป็นที่ปรึกษาคอลัมน์ให้เรา พี่ว่าถ้าเราดันทุรังจะให้เขาทำแบบเดิม เขาก็อาจจะไม่เข้าท่า ถ้าเราเปลี่ยนเป็นขอสัมภาษณ์ล่ะ” ท้ายประโยคเชิงขอความเห็นแกมให้คำแนะนำนั่นทำให้ตรีปวายวาบความคิด

    “สัมภาษณ์เหรอคะ” หญิงสาวพึมพำตอบ...แต่ในสมองกลับนึกภาพ

    ...หล่อนกำลังนั่งชิดใกล้มีคุณหมอหนุ่มรูปงามโน้มหน้าเข้ามาหา เอ่ยถามสัพเพเหระ ก่อนที่หล่อนจะยกมือตีแขนแมนล่ำอย่างมีจริต...เข้าท่าแฮะ !

    “ใช่แล้วหวาย” เสียงตอบรับของกรรดึกดึงตรีปวายกลับมาสู่สภาวะปัจจุบัน “พี่หอมว่าแบบนี้น่าจะเข้าท่ามากกว่า...หวายว่าไงล่ะ?”

    “เห็นด้วยเต็มที่ค่ะพี่หอม...ขอสัมภาษณ์คุณหมอโหหวายอาจเข้าถึงตัว...เอ๊ย...แกอาจจะยอมมากกว่าให้แกเขียน” ตรีปวายรับคำอย่างยินดี คุยกับปลายสายอีกสองสามคำหล่อนก็ขอวางสายเนื่องจากสายตาของหล่อนพบว่าตอนนี้คุณหมอหนุ่มเสร็จสิ้นจากการกราวน์แล้ว หญิงสาวเก็บโทรศัพท์มือถือ สายตามุ่งมั่นยังจับจ้องร่างสูงท่ามกลางวงล้อมของพยาบาลและญาติคนไข้...ตรีปวายไม่แปลกใจเลยสักนิดที่สาว ๆ กลุ่มนั้นจะรุมล้อมหล้าล้อมหลังอย่างนั้น...เพราะถ้าเป็นหล่อน...หล่อนก็จะทำ...เผลอ ๆ อาจมากกว่านั้นด้วย

    กว่าคุณหมอหนุ่มจะสลัดตัวออกจากกลุ่มสาว ๆ ได้ก็เมื่อร่างท้วมของพยาบาลสาวใหญ่คนที่ตำหนิพาแลงต่อหน้าตรีปวายเมื่อเช้าปรากฏขึ้น หากสายตาของตรีปวายมองไม่ฝาดเฝื่อนไปล่ะก็ หล่อนรู้สึกว่าทั้งพยาบาลผู้ติดตามและญาติคนไข้ต่างก็พร้อมกันเดินผละจากคุณหมอหนุ่มทันที เมื่อร่างของพยาบาลสาวใหญ่ปรากฏขึ้นเลยทีเดียว

    “เมื่อกี้วุ่นวายเลยไม่ได้ทักทายกันเลยนะครับ หวังว่าทักตอนนี้คงทัน สวัสดีครับพี่ศิ” มโหระทึกพูดติดตลกพร้อมยกมือไหว้ ศิรารับไหว้ยิ้ม ๆ ก่อนยื่นมือไปรับบอร์ดในมือหมอหนุ่มมาอ่าน

    “เนื้อหอมตามเคยนะคะคุณหมอ” ศิราเอ่ยเหลือบมองหมอหนุ่มด้วยสายตาเย้า ๆ ก่อนก้มลงอ่านลายมือหวัดบนกระดาษ

    “ผมมีนัดสำคัญเป็นพิเศษหรือเปล่าครับวันนี้” คำถามของชายหนุ่มคล้ายไม่ใส่ใจคำหยอกเย้าของพยาบาลศิรา และคำถามนั้นทำให้คนแอบฟังรับรู้ได้ว่าพยาบาลที่เขาเรียกว่า พี่ศิ มีหน้าที่คล้ายเป็นเลขาและมีความสนิทสนมกับคุณหมอหนุ่มระดับหนึ่ง...นั่นทำให้คนแอบฟังเริ่มคิดเข้าหาเป้าหมายด้วยทางอ้อม

    “น้องปาล์มกับคุณมีนตอนบ่ายอ่อน ๆ ค่ะ ส่วนคุณตาอวยชัยเริ่มจากบ่ายห้าเป็นต้นไป” คำบอกเล่าของพยาบาลศิราหมอหนุ่มเพียงพยักหน้ารับ

    “แสดงว่าช่วงนี้ผมว่าง” น้ำเสียงนั้นแฝงแววอารมณ์ดี

    “ก็ไม่เชิงค่ะ เมื่อเช้าได้รับแจ้งว่ามีคนจากนิตยสารมาขอพบคุณหมอค่ะ” การรายงานนั้นทำให้มโหระทึกถึงกับหยุดเดิน เขาเบือนหน้าไปมองคนพูด

    “จากอีฟ?” คำถามของเขาได้รับการพยักหน้ารับจากพยาบาลศิรา “บอกปฏิเสธได้เลยครับ ผมไม่รับ” เขาตอบอย่างไม่ยี่หระ

    “คงหนีพ้นยากค่ะ...เมื่อเช้าเห็นมาป้วนเปี้ยนในตึก พาแลงเข้าไปคุยด้วย เห็นคุยฟุ้งเชียว แล้วก็รู้สึกว่าจะยังไม่ไปไหนเลยนะคะ”

    “ผมไม่สน พี่ศิทำยังไงก็ได้ กันคนจากอีฟไปได้เลย” มโหระทึกบอกเสียงเย็น ก่อนเดินลิ่วนำหน้าคุณพยาบาลสาวใหญ่ชนิดไม่เหลียวหลัง ศิรามองตามพลางถอนหายใจ อาการแบบนี้คนคุ้นเคยอย่างหล่อนรู้ดีว่าคุณหมอหนุ่มกำลังหงุดหงิด ถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนออกก้าวตามหลังร่างสูง ยังไม่ทันได้นับก้าว ร่างหนึ่งก็พรวดพราดมาอยู่ตรงหน้า ศิราชะงักเท้าดวงตาคมเข้มมองร่างทียืนหน้าตื่นอย่างตำหนิ

    “คุณไมควรวิ่งในโรงพยาบาลนะคะ” น้ำเสียงเย็น ๆ นั้นทำให้หญิงสาวหน้าเจื่อน แต่ก็เป็นเพียงแวบเดียว เจ้าหล่อนยกมือขึ้นไหว้จนศิราแทบรับไหว้ไม่ทัน

    “สวัสดีค่ะ...คือ...ต้องขอโทษมาก ๆ นะคะที่ทำผิดกฎ แต่ว่าฉันมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากคุณพยาบาลน่ะค่ะ” ตรีปวายเอ่ยเหนียม ๆ พลางหยิบนามบัตรจากกระเป๋ายื่นส่งให้พยาบาลศิราอย่างนอบน้อม เมื่ออีกฝ่ายรับไปอ่านดูหล่อนก็พูดต่อ

    “ฉันชื่อตรีปวายค่ะ จากนิตยสารอีฟ เรากำลังเปิดคอมลัมน์ใหม่เกี่ยวกับศัลยกรรมค่ะ...”

    “คุณหมอไม่รับค่ะ...คุณหมอบอกให้แจ้งว่าอย่างนั้น” ศิราเอ่ยขัดก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พูดต่อ ตรีปวายอ้าปากค้างกลืนน้ำลายกลับลงคออย่างฝืด ๆ หญิงสาวเม้มปากเหมือนสะกดกลั้นอารมณ์ก่อนฉีกยิ้มแล้วพูดต่อ

    “เอาล่ะค่ะ ข้อนี้ฉันทราบ ได้ฟังจากคุณหมอมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ฉันก็ยังอยากอธิบายอยู่ดี เผื่อว่าคำพูดของฉันจะเลียบซึมเข้าไปในต่อมรับรู้ได้บ้าง...และถ้าคุณพยาบาลจะกรุณาฟัง ดิฉันจะขอบคุณมากค่ะ” พยาบาลสาวใหญ่นิ่งฟัง สายตาสานสบกับความมุ่งมั่นของอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ก่อนจะพยักหน้ารับน้อย ๆ

    “ว่ามาสิ รีบด้วยนะฉันมีงาน” แม้เป็นคำตอบรับที่ติดจะเย็นชา ตรีปวายก็ยิ้มรับ

    “ฉันไม่ได้ต้องการให้คุณหมอมาเขียนบทความให้แล้วนะคะ...ฉันเพียงต้องการได้ความรู้เกี่ยวกับโลกของศัลยกรรมจากคุณหมอ มันคืออีกทางหนึ่งในการป้องกันไม่ให้เกิดความเจ็บป่วยนะคะ คุณพยาบาลคะ ถ้าคิดจำนวนคนในประเทศเราคุณคิดว่ามีกี่เปอร์เซ็นต์ที่รู้ว่า ศัลยกรรมคือการรักษาโรคด้วยการผ่าตัด ฉันลองสอบถามคนใกล้ตัวหลายคนนะคะ พอเอ่ยถึงศัลยกรรมเขาไพล่ไปคิดถึงการผ่าตัดเสริมความงามซึ่งเป็นเพียงแขนงหนึ่งของศัลยกรรมเท่านั้น...จะไม่ดีหรือคะถ้าจะมีคนรู้เรื่องเกี่ยวกับศัลยกรรมเพิ่ม บางทีหากรู้ว่าปลายทางของโรคอาจสิ้นสุดลงที่มีดผ่าตัด เขาอาจจะกลัวจนหันไปดูแลตัวเองมากขึ้น เพื่อที่จะไม่ให้เจ็บป่วย...บางทีนี่อาจจะเป็นทางช่วยให้คนป่วยลดน้อยลงก็ได้นะคะ” ตรีปวายอธิบาย หล่อนอยากจะเชื่อสายตาตัวเองนักว่า สีหน้าของคุณพยาบาลเริ่มเอนคล้อยมาทางหล่อนแล้ว

    “...ทำไมต้องเป็นคุณหมอมโหระทึก?” คำถามเกิดขึ้นหลังจตากคุณพยาบาลนิ่งไปครู่ใหญ่

    “ก็เพราะคุณหมอมโหระทึกเป็นศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดน่ะสิคะ” ตรีปวายตอบคำถามโดยไม่เสียเวลาคิด สีหน้าของคุณพยาบาลมีรอยพึงใจ

    “แต่...ถ้าคุณหมอบอกว่าไม่ ฉันก็คงช่วยอะไรคุณไม่ได้มากหรอกนะคะ” ตอบในที่สุด ตรีปวายแทบร้องไชโย

    “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่รบกวนคุณมากหรอก เพียงอยากให้คุณพยาบาลรับทราบว่าฉันเป็นใคร มาด้วยจุดประสงค์ใดเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องที่คุณหมอจะยอมหรือไม่...ขอให้ฉันได้ใช้ความพยายามสักหน่อยเถอะค่ะ” น้ำเสียงและแววตาอ้อนวอนเจือแทรกด้วยความมุ่งมั่นของตรีปวายทำให้พยาบาลสาวใหญ่ได้แต่ถอนหายใจหนัก ๆ

    “ก็เอาเป็นว่า ฉันเข้าใจและรับทราบในวัตถุประสงค์ของคุณ แต่ก็อยากจะบอกว่ายังไงก็ขอให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ไม่รบกวนคุณหมอแล้วก็คนอื่นมากไป” ศิราบอกในที่สุด ตรีปวายรับคำละล่ำละลัก

    “แน่นอนค่ะ ฉันจะทำตามที่คุณบอก...แหม...นึกแล้วเชียวว่าคุณพยาบาลเป็นคนมีเหตุผล คิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ที่เลือกเข้าหา...เอ๊ย...เลือกมาขอความช่วยเหลือคุณพยาบาล” หญิงสาวบอกอย่างลิงโลด ศิรายกยิ้มมุมปากกับท่าทางดีอกดีใจของหญิงสาวก่อนบอกว่า

    “พี่ชื่อศิรา เป็นหัวหน้าพยาบาลที่ตึกกึกก้องโอฬาร” พยาบาลสาวใหญ่แนะนำตัว น้ำเสียงและสีหน้า พร้อมคำแทนตัวว่า ‘พี่’ ดูเป็นมิตรมากกว่าตอนเช้ามากมายนัก

    “หวายค่ะ” ตรีปวายบอกกลั้วยิ้ม ศิราพยักหน้ารับก่อนขอตัว

    “อย่าลืมที่พี่บอกก็แล้วกันนะ ถ้าน้องทำเกินไป...พี่นี่แหละจัดการเอง” เสียงเด็ดขาดนั้นทำให้ตรีปวายอ้อมแอ้มตอบรับ

    เมื่อร่างของพยาบาลศิราเคลื่อนผ่านไป ตรีปวายได้แต่อ้าปากหัวเราะแบบไม่มีเสียง กำมือถองศอกอย่างดีใจหนักหนา ไม่สนใจสักนิดว่าสายตาของคนเดินผานไปผ่านมาจะมองหล่อนเช่นไร หญิงสาวเหลือบมองประตูลิฟต์อย่างหมายมาด

    “เตรียมตัวรับการบุกได้เลย...หมอโห !”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×