ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์ซ่อนรัก

    ลำดับตอนที่ #3 : แรกพบสบตา 1

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 51


    เล่ห์ซ่อนรัก

    2.1

    แรกพบสบตา

    บ่ายแก่ ณ ลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ตรีปวายก้าวลงจากรถพร้อมถอดหมวกกันน็อกวางไว้ที่ตะแกรงหน้ารถ หลายคนที่เดินผ่านไปเหลือบตามองรถของหล่อนด้วยความสนใจ คนเป็นเจ้าของได้แต่ยืดอกหน่อย ๆ อย่างพึงใจ รถของตรีปวายถูกจับพ่นสีใหม่หากมองฝั่งซ้ายจะเป็นสีขาว หากมองฝั่งขวาจะเป็นสีดำ ไม่แปลกเลยสักนิดที่คนเดินผ่านไปแล้วจะหันกลับมามองอีกคราเพื่อความแน่ใจ หญิงสาวขยับกระเป๋าสะพายบ่า หยิบสมุดบันจดเล่มหนาขนาดเหมาะมือกับปากกาออกมาถือเผื่อพบเจอสิ่งใดน่าสนใจพอที่จะจดรายละเอียด

    ประชาสัมพันธ์สาวสวยประจำเคาน์เตอร์บริการเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มนำก่อนทักทาย

    “สวัสดีค่ะ โรงพยาบาลบุญทียินดีต้อนรับค่ะ ไม่ทราบต้องการติดต่อแผนกไหนคะ” แม้รอยยิ้มและคำทักทายดูจะเป็นมิตร แต่สายตาที่แลปราดตรีปวายกลับมองเห็นเพียงแววดูแคลนวูบวาบกราดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า...แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันยังมองกันแบบนี้เลย...หญิงสาวคิด กระนั้นตรีปวายก็ยังยิ้มตอบก่อนบอกจุดมุ่งหมาย

    “ฉันต้องการติดต่อคุณหมอทำบุญค่ะ” เพียงได้ยิน ประชาสัมพันธ์สาวก็ลดระดับรอยยิ้ม

    “ไม่ทราบนัดไว้หรือเปล่าคะ?” อุปาทานหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ แต่ตรีปวายก็กล้ายืนยันว่าประโยคคำถามนั้นไม่เหลือความอ่อนหวานของน้ำเสียงสักนิด

    “ไม่ได้นัดค่ะ...พอดี...”

    “ถ้าอย่างนั้นก็คงให้เข้าพบไม่ได้หรอกค่ะ คุณหมอมีลูกค้าเยอะมาก ถ้าคุณไม่ได้นัดไว้ก่อนก็คงจะพบได้ยากหน่อย” คำตอบที่แทรกมาก่อนที่ตรีปวายจะทันได้พูดจบทำให้หญิงสาวชักจะเริ่มตงิด ๆ

    “ถ้าอย่างนั้นฉันขอนัดไว้ก่อนได้มั้ยคะ?” ตรีปวายพยายามใช้นำเสียงปกติถามหลังจากข่มความกรุ่น ๆ ที่พุ่งออกมาจากอารมณ์ไม่พอใจ

    “นัดได้ค่ะ...แต่อาจจะเป็นอาทิตย์หน้านะคะคุณหมอถึงจะมีคิวว่างให้พบได้”

    “เร็วกว่านั้นได้มั้ยคะ คือว่าฉันมีเรื่องด่วน…”

    “คุณเข้าใจการเข้าคิวมั้ยคะ?” คำถามของประชาสัมพันธ์สาวไม่หนักหนาเท่าสายตากวาดมองหล่อนอย่างหมิ่นแคลนนั้นเลย และนั่นทำให้ตรีปวายซึ่งพยายามใจเย็นอย่างที่สุดหมดความอดทน

    “ฉันเข้าใจว่าต้องรอคิว...แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมประชาสัมพันธ์อย่างคุณถึงได้ไม่มีหลักมนุษยสัมพันธ์บ้างเลย ฉันมาติดต่องานนะไม่ใช่ขอทาน จะหยุดรอฟังฉันพูดจนจบประโยคได้มั้ย?! นี่อะไรกันพูดยังไม่จบก็มาพูดแทรก ฉันรู้หรอกว่าหมอของคุณหล่ออาจจะมีผู้หญิงมากมายอยากสนิทชิดใกล้...แต่ขอบอกไว้ นั่นไม่ใช่ฉัน ฉันมาเรื่องงานเข้าใจไหม!” ตรีปวายเสียงลั่นด้วยแรงอารมณ์ ประชาสัมพันธ์สาวได้แต่อ้าปากค้าง เสียงค่อนข้างดังบวกกับจุดเกิดเหตุเป็นจุดค่อนข้างเดิ่นมองเห็นได้จากหลายมุมทำให้สายตาหลายคู่ต่างก็พุ่งตรงมายังเป้าหมายเดียว

    “มีอะไรที่ทำให้คุณไม่พอใจหรือครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังแทรกอารมณ์กรุ่นของตรีปวาย และอาการเหวอของประชาสัมพันธ์สาว เมื่อหญิงสาวทั้งคู่หันกลับไปมองยังที่มาของเสียง อาการอึ้งเหวอก็ย้ายข้างมาอยู่กับตรีปวาย ขณะที่อาการยินดีลิงโลดเกิดขึ้นกับคู่กรณีของหล่อน

    ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกาวน์ขาวสะอาดเดินมาหยุดอยู่กึ่งกลางของทั้งคู่ สายตาอบอุ่นอ่อนโยนเหลือบมองประชาสัมพันธ์สาวก่อนมาสะดุดอยู่ที่ตรีปวายซึ่งกำลังอ้าปากหวอ เขาหัวเราะน้อย ๆ กับอาการของหญิงสาว...ตรีปวายไม่สามารถปฏิเสธความหล่อของผู้ชายตรงหน้าได้...หล่อนเคยเห็นเขาในโปสเตอร์โฆษณา ก็เคยคิดว่าหล่อดูดี แต่หล่อนไม่เคยคิดว่าตัวจริงของเขาจะ...หล่อลากไส้ได้ขนาดนี้...โอ้...คุณหมอทำบุญ...หญิงสาวคิดเพ้อ

    “มีบริการไหนที่ทำให้คุณไม่พอใจหรือครับ?” ชายหนุ่มถามย้ำ ตรีปวายกะพริบตาปริบ ๆ ยกมือขึ้นตบแก้มตัวเองปุ ๆ หมายเรียกสติให้กลับคืน หญิงสาวหลับตาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนปรับสภาพอารมณ์ให้กลับเข้าสู่สภาวปกติ

    “สวัสดีค่ะคุณหมอทำบุญ ดิฉันมาจากนิตยสารอีฟค่ะ...เข้าใจว่าคุณหมอคงเคยได้คุยมาบ้างแล้ว” ตรีปวายอธิบายซึ่งดูเหมือนคำว่า ‘นิตยสารอีฟ’ จะเป็นคำช่วยทำให้สถานการณ์ เปลี่ยนไป เริ่มจากประชาสัมพันธ์สาวที่สะดุ้งพร้อมสีหน้าเจื่อนลงถนัดตา คุณหมอหนุ่มซึ่งเปลี่ยนยิ้มน้อย ๆ ให้เป็นยิ้มมหาเสน่ห์จนตรีปวายต้องหลับตาเพราะความเจิดจ้าจากรอยยิ้มนั้น

    “นิตยสารอีฟหรือครับ? จำได้ครับจำได้ ผมกำลังนึก ๆ อยู่เหมือนกันว่าทำไมยังไม่ติดต่อมาอีกหลังจากคุยกันแล้ว” ทำบุญบอกด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “งั้นเชิญทางนี้ดีกว่าครับ เราจะได้คุยรายละเอียดกัน...สำหรับนิตยสารอีฟผมว่างเสมอ” ท้ายประโยคหมอหนุ่มเน้นหนักเป็นพิเศษ แถมสายตายังจ้องเขม็งไปยังประชาสัมพันธ์สาวซึ่งมีสีหน้าสลดลงยิ่งกว่าเดิม ตรีปวายมองด้วยความรู้สึกตงิดในใจ แต่หล่อนก็ไม่มีเวลาคิดนานเพราะพอพูดจบคุณหมอหนุ่มก็ผายมือเชื้อเชิญพร้อมกับเดินนำพาหล่อนออกจากจุดเดิม


    ตรีปวายแหงนมองเพดานห้องซึ่งมีภาพวาดสีเย็นตาประดับ หล่อนพอมองออกว่านั่นเป็นเทพเจ้ากรีกหรือโรมันอะไรสักอย่าง พอก้มลงมามองรอบห้องก็พบปติมากรรมเกี่ยวกับเทพเจ้ากรีกอีกหลายชิ้นโดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นเดวิดและวีนัสจำลองขนาดเท่าคนจริง ซึ่งตั้งอยู่คนละฝั่งห้อง ตรีปวายสังเกตเห็นว่าบริเวณโครงหน้าของรูปปั้นเดวิดมีร่องรอยการสัมผัสเด่นชัดกว่าบริเวณอื่น

    “ผมชอบงานศิลปะพวกนี้ครับ...มันงดงามมาก” เสียงทุ้มนุ่มแทรกภวังค์ของตรีปวายจนหญิงสาวสะดุ้ง รีบละสายตาจากรูปปั้นหันกลับมาสนใจเจ้าของห้องซึ่งนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่

    “ค่ะ สวยดี” หญิงสาวเออออรับ

    “ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลยนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยยิ้ม ๆ ตรีปวายหัวเราะแหย ๆ เหมือนเพิ่งนึกได้ หญิงสาวหยิบนามบัตรยื่นให้ชายหนุ่มซึ่งรับไปอ่านด้วยความสนใจ

    “ฉันชื่อตรีปวายค่ะ เป็นคอลัมน์นิสต์ของอีฟ รับผิดชอบโดยตรงกับคอมลัมน์ ‘ก่อนสวยด้วยศัลย์’ ค่ะ” แนะนำตัวเสร็จหญิงสาวก็นั่งจ้องหมอหนุ่มที่กำลังอ่านามบัตรตาแป๋ว ใบหน้ายามเผลอของเขาทำให้ตรีปวายไม่อาจถอนสายตาได้ รูปหน้าของหมอหนุ่มจะว่าไปแล้วก็ดูคล้ายโครงหน้าของรูปปั้นเดวิดเสียเหลือเกิน แถมจมูกโด่งคม ริมฝีปากรูปกระจับอมสีชมพูระเรื่อนั่นอีก...เอ...หมอทำศัลยกรรมให้ตัวเองหรือเปล่าหว่า? หญิงสาวครุ่นคิด

    “ชื่อแปลกดีนะครับ ผมชักจะรู้สึกว่าที่อีฟน่ะมีแต่คนชื่อแปลกทั้งนั้น อย่างคุณกรรดึกอย่างนี้ แล้วยังมาคุณตรีปวายอีก...ว่าแต่...มันแปลว่าอะไรเหรอครับ?” คำถามของหมอหนุ่มดึงหญิงสาวให้กลับจากภวังค์อีกครั้ง

    “ชื่อฉันเหรอคะ? เอ่อ ตรีปวายแปลว่าพิธีพราหมณ์ค่ะ”

    “แล้วมีชื่อเล่นที่เรียกง่าย ๆ มั้ยครับ จะได้ดูเป็นกันเองหน่อย

    “เรียกฉันว่าหวายก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบ

    “งั้นคุณหวายเรียกผมว่าธรรมนะครับ” ชายหนุ่มว่ายิ้ม ๆ ก่อนเอ่ยต่อ “เอาล่ะ เรามาคุยกันเรื่องคอลัมน์สวย ๆ งาม ๆ ของเราดีกว่าครับ” เขาว่าพลางขยับเนื้อขยับตัว พลอยทำให้ตรีปวายต้องพยักหน้ารับ “ผมคุยกับคุณกรรดึกไว้ว่าเราจะเปิดคอลัมน์เกี่ยวกับการทำศัลยกรรม และให้ผมช่วยเป็นที่ปรึกษาด้านข้อมูลศัลยกรรมความงามใช่มั้ยครับ?”

    “ใช่ค่ะ หวายคิดว่าคุณหมอคงคุยรายละเอียดกับพี่หอมไปบ้างแล้วใช่มั้ยคะ?” คำถามของหญิงสาวได้รับคำตอบพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ตาพร่าอีกครั้ง “ถ้าหวายจะขอต้นฉบับจากคุณหมอเดือนละสองครั้ง ไม่ทราบว่าคุณหมอจะสะดวกหรือเปล่าคะ?”

    “ไม่มีปัญหาครับ...ว่าแต่เนื้อหาของบทความนี่...ตามใจผมใช่มั้ยครับ?”

    “ใช่ค่ะ...แต่ว่าบางทีหวายอาจจะตัดทอนบ้างตามความเหมาะสม ต้องขออนุญาตคุณหมอล่วงหน้าเลยนะคะ” หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ หมอหนุ่มยิ้มพลางพยักหน้ารับ

    “ได้เลยครับ งั้นเดี๋ยววันนี้ผมส่งต้นฉบับเลยก็แล้วกัน คือผมเขียนเสร็จตั้งแต่คุยกับคุณกรรดึกเมื่อคราวโน้นน่ะครับ” คำตอบของหมอทำบุญทำให้คนฟังได้แต่ยิ้มรับ ความรู้สึกตงิดในใจเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ แต่หญิงสาวก็เก็บความรู้สึกอย่างรวดเร็ว เมื่อหมอหนุ่มที่เสร็จสิ้นจากการค้นลิ้นชักยื่นเอกสารมาตรงหน้า ตรีปวายรับมาเปิดอ่านอย่างคร่าว ๆ

    “ความจริงเปิดคอลัมน์ครั้งแรกผมไม่อยากให้ตัดทอนอะไรเลยนะครับ เพราะที่ผมเขียนล้วนเป็นประเด็นสำคัญทั้งนั้น” หมอหนุ่มสำทับ ตรีปวายเงยหน้าจากเอกสารในมือส่งยิ้มนำก่อนเอ่ยว่า

    “คงต้องตัดแน่นอนค่ะ เพราะเราต้องเหลือพื้นที่สำหรับคุณหมออีกคนด้วย คิดว่าคุณหมอน่าจะทราบนะคะ” ทำบุญเหยียดยิ้มเมื่อฟังจบ เขาหรี่ตามองหญิงสาวตรงหน้าก่อนเอ่ยด้วยเสียงติดจะห้วนหน่อย ๆ

    “ทราบน่ะทราบครับ แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจนกระทั่งเดี๋ยวนี้คนของอีฟก็ยังติดต่อ ‘หมอนั่น’ ไม่ได้” อุปาทานหรือเปล่าตรีปวายก็ไม่แน่ใจ แต่น้ำเสียงนั้นติดจะขึ้นจมูกทีเดียว “ถ้าจะให้ผมเป็นที่ปรึกษาเพียงคนเดียวก็ไม่มีปัญหานะครับ” เขาหันมาบอกกล่าวต่อ ตรีปวายยิ้มรับแต่ไม่ตอบคำ หล่อนเสชวนคุยเรื่องใหม่

    “คุณหมอสามารถทำให้คนขี้เหร่สวยปิ๊งขึ้นมาได้นี่ รู้สึกภูมิใจมากมั้ยคะ?” หญิงสาวว่าพลางเหลือบตามองรูปปั้นวีนัส

    “แน่นอนครับ” ทำบุญรับคำพร้อมกับยืดอกรับ “ผมภูมิใจมากที่จะมีใครสักคนเดินตัวลีบเข้ามาแต่เดินกลับออกไปสู่โลกภายนอกด้วยความสง่าและมั่นใจมากกว่าเดิม แถมเขายังมีความสุขมากด้วย”

    ...สุขที่แลกด้วยเม็ดเงินก้อนเบ้อเริ่มน่ะสิ...ตรีปวายคิดต่อในใจ หญิงสาวไม่ได้รู้ตัวว่าความคิดของหล่อนโผล่สลอนออกมาทางสีหน้า หมอหนุ่มซึ่งมองอยู่ก่อนแล้วจับสังเกตได้ เขาผุดลุกขึ้นจนหญิงสาวต้องหันมอง ชายหนุ่มเดินอ้อมโต๊ะมาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ที่หญิงสาวนั่ง มือใหญ่ขาวจัดยื่นไปเชยคางมนขึ้นพิศ

    “คุณสนใจที่จะเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองมั้ยครับ? รับรองว่าผมจะเนรมิตให้คุณกลายเป็นผู้หญิงที่สวยกว่าเดิมหลายเท่าตัว รูปหน้าคุณสวยอยู่แล้วไม่ต้องแก้ไขอะไร เพียงแค่เสริมจมูกนิดหน่อย ตกแต่งขั้นตาสักนิดก็เรียบร้อย” ทำบุญบอกพร้อมกับชี้จุดที่ต้องการให้หญิงสาวปรับปรุง ตรีปวายยิ้มรับ เบี่ยงหน้าหลบปลายนิ้วของชายหนุ่ม

    “ขอบคุณที่แนะนำนะคะ แต่ฉันไม่มีเงินมากมายพอที่จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรอกค่ะ” ชายหนุ่มมีท่าทีครุ่นคิดก่อนบอกอย่างตัดใจว่า

    “งั้นผมทำให้ฟรีเลยเอ้า” เขายื่นข้อเสนอใหม่ ตรีปวายหัวเราะเบา ๆ

    “ขอบคุณอีกครั้งค่ะ แต่ฉันยังพอใจกับหน้าตาตัวเองอยู่ ตราบใดที่ตายังกะพริบและมองเห็น และตราบใดที่จมูกยังมีรูให้หายใจอยู่ฉันก็คงปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาตินั่นแหละค่ะ...ส่วนเรื่องความมั่นใจฉันมีเหลือเฟือค่ะ” คำตอบของหญิงสาวทำให้คนยื่นข้อเสนอได้แต่อึ้งก่อนยิ้มเจื่อน ๆ พยักหน้ารับน้อย ๆ อย่างยอมจำนน ทำบุญเดินกลับไปทรุดนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง

    “ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ถ้าคุณหวายเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ล่ะก็ ข้อเสนอของผมยังรออยู่ตลอดนะครับ”

    “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับคำเหมือนอยากให้เรื่องจบพร้อมกับผุดลุกขึ้นรวบเอกสารที่รับมาจากหมอหนุ่มข้าเก็บในซองก่อนเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นวันนี้หวายขอตัวก่อนนะคะ เอาไว้อีฟฉบับเริ่มคอลัมน์ใหม่พร้อมวางแผงเมื่อไหร่หวายจะแจ้งอีกทีนะคะ” หญิงสาวบอกพร้อมยิ้ม

    “แหม...ถ้าคุณหวายไม่รีบร้อนจะไปไหนผมก็อยากเชิญทานกาแฟสักถ้วยก่อนนะครับ” ทำบุญเชิญชวน สายตาวับวาวยังคงสำรวจใบหน้าของตรีปวายอย่างสนใจ

    “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ แต่ไว้โอกาสหน้าดีกว่านะคะ วันนี้หวายรีบจริง ๆ ค่ะ ต้องไปหลายที่ด้วย” ตรีปวายเอ่ยอย่างเกรงใจ หมอหนุ่มเม้มปากถอนหายใจก่อนพยักหน้าน้อย ๆ อย่างเสียดาย

    “ก็ได้ครับ...งั้นโอกาสหน้าที่คุณหวายว่าคงเป็นเร็ว ๆ นี้นะครับ” กระแสเสียงปนอ้อนบวกกับแววตาเว้าวอนของหมอทำบุญ แทบทำให้ตรีปวายละลาย...เพราะแบบนี้สินะประชาสัมพันธ์สาวคนนั้นถึงมีท่าทางคล้ายไม่พอใจยามถามถึงคุณหมอรูปงามอย่างนั้น หญิงสาวสะบัดศีรษะไล่ความมึนงงจากคำออดอ้อนก่อนเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า

    “ค่ะ งั้นหวายลานะคะ” พูดจบหญิงสาวก็ยกมือไหว้หันหลังกลับเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว หล่อนกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้อีกเพียงวินาทีเดียว หล่อนจะใจอ่อนยอมรับคำอ้อนของหมอหนุ่มพราวเสน่ห์คนนั้น และนั่นจะทำให้การทำงานวันนี้ต้องสะดุดเป็นแน่

    เมื่อมายืนอยู่ริมถนนซึ่งมีรถวิ่งกันขวักไขว่ ตรีปวายสูดลมหายใจเฮือกใหญ่โดยไม่เกรงใจมลพิษอบอวลบรรยากาศขณะนั้น หล่อนโล่งอกที่หลุดพ้นสายตาเชิญชวนทำศัลยกรรมจากหมอมหาเสน่ห์นามทำบุญได้อย่างหวุดหวิด หญิงสาวเหลือบมองป้ายโฆษณาขนาดใหญ่หน้าโรงพยาบาล รูปหมอทำบุญยืนส่งยิ้มชวนตาพร่าจนทำให้ตรีปวายเผลอยิ้มตอบ แต่หล่อนก็ต้องรีบเก็บกิริยาพร้อมกับออกเดินจากหน้าโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว เพราะหล่อนอุปาทานว่า หมอในป้ายโฆษณากำลังหลิ่วตาให้

    ตรีปวายล้วงนามบัตรของหมอมโหระทึกขึ้นมาดูเมื่อเดินมาได้สักพัก หล่อนพลิกอ่านด้านหลังซึ่งมีลายมือของตัวเองจดที่อยู่เจ้าของนามบัตรไว้หลังจากโทรศัพท์ติดต่อที่เบอร์ในนามบัตรแล้วไม่สำเร็จ...คิดมาถึงตรงนี้ตรีปวายก็ได้แต่ย่นจมูกกับนามบัตรในมือ

    เมื่อวานนี้หล่อนลองโทรศัพท์ไปที่เบอร์มือถือ หวังใจว่าการได้พูดคุยกับหมอโดยตรงจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น แต่ปรากฏว่าเพียงหล่อนเอ่ยแนะนำตัวหลังจากเอ่ยคำสวัสดีแล้ว อีกฝ่ายกลับวางสายอย่างไร้มารยาท และเมื่อตรีปวายโทรกลับอีกครั้งก็พบว่าเจ้าของเครื่องปิดเครื่องเพื่อตัดการติดต่อเรียบร้อย แม้เมื่อหล่อนลองใช้โทรศัพท์สาธารณะก็ไม่สำเร็จ...ความหมั่นไส้กับการเล่นตัวของหมอชื่อแปลกผนวกเข้ากับความอยากรู้และความท้าทาย ทำให้ตรีปวายตัดสินใจบุกให้ถึงที่...เอาชนิดรู้ดำรู้แดงกันไปเลย!


    อาคารพานิชย์สองชั้นสองคูหาที่ปรากฏเต็มคลองสายตาของตรีปวายตอนนี้ทำให้หล่อนต้องก้มลงมองนามบัตรใบเล็กในมือเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง...ก็ในนามบัตรระบุชื่อ มโหระทึก  กึกก้องโอฬาร แถมใต้ชื่อยังบอกอีกด้วยว่าเป็นศัลยแพทย์...แต่ป้ายชื่อที่หล่อนอ่านจับใจความได้บอกว่านี่คือคลินิกทันตกรรม ยิ่งเมื่อผลักประตูเข้าไปภายใน ชื่อของแพทย์ประจำคลินิกยังทำให้หล่อนต้องตรวจย้ำที่อยู่ในนามบัติเพื่อจะพบว่ามันถูกต้อง

    ตรีปวายยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรก ๆ ...แล้ว...ท.พ. มหุดิฤกษ์  กึกก้องโอฬาร นี่มันใครหว่า? หรือว่าอีตาหมอมโหระทึกนั่นเปลี่ยนชื่อ? ถ้าเปลี่ยนจริงทำไมไม่หาชื่อที่มันธรรมดา ๆ มั่งนะ? ตรีปวายครุ่นคิดพลางจ้องป้ายชื่อโดยไม่สนใจว่าคนไข้หลายคนในคลินิกนั้นกำลังมองหล่อนอย่างสนใจ

    “มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ?” เสียงเอ่ยทักทายดังมาจากเคาน์เตอร์ใกล้ ๆ ตรีปวายสะดุ้งส่งยิ้มนำก่อนเดินเข้าไปหา

    “คือ...มาขอพบหมอมโหระทึกค่ะ ไม่ทราบว่าอยู่มั้ย?” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงแผ่ว

    “วันนี้หมอเล็กไม่เข้าค่ะ เห็นบอกว่าติดเวรที่โรงพยาบาล อยู่แต่หมอรองค่ะ” คำตอบนั้นทำให้ตรีปวายใจชื้น อย่างน้อยก็แปลว่าหล่อนมาถูกที่

    “แล้วถ้าจะนัดไว้ไม่ทราบว่าจะได้มั้ยคะ?”

    “คือ...คุณหมอไม่มีเวลาอยู่คลินิกที่แน่นอนค่ะ เกรงว่าถึงนัดไว้อาจจะมาแล้วไม่ได้พบ” คำตอบพร้อมสีหน้าลำบากใจของเจ้าหน้าที่ทำให้ตรีปวายชักสีหน้าอย่างไม่พอใจนิด ๆ

    “อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ?!” หญิงสาวถามกลับเสียงแข็ง

    “คือ คุณหมอเล็กแกไม่ค่อยเข้ามาคลินิกหรอกค่ะ...ส่วนใหญ่จะอยู่โรงพยาบาลมากกว่า แต่ว่าถ้าคุณอยากพบจริง ๆ ล่ะก็ ลองคุยกับหมอรองดูก่อนมั้ยคะ? หมอรองกับหมอเล็กเป็นพี่น้องกันค่ะ” เข้าหน้าที่สาวอธิบายยิ้ม ๆ และคำอธิบายนั้นก็ทำให้ตรีปวายคลายอารมณ์กรุ่นร้อนเมื่อครู่ลงไปได้ อีกทั้งสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมตอบคำถามของเจ้าหน้าที่สาวก็ทำให้หล่อนอดนึกเปรียบเทียบกับประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลเอกชนคนนั้นไม่ได้

    “งั้นก็...ขอคุยกับหมอรองของคุณก่อนก็ได้ค่ะ” ตรีปวายบอกในที่สุด เจ้าหน้าที่สาวพยักหน้ารับก่อนก้มลงดูสมุดคิว

    “เอ่อ คิวยาวหน่อยนะคะ อาจจะถึงดึกเพราะมีแต่เคสหนัก ๆ ไม่ทราบว่าจะรอมั้ยคะ?”

    “รอค่ะ” ตรีปวายตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

    “ถ้าอย่างนั้น เชิญคุณที่มุมโน้นเลยนะคะ มีนิตยสาร มีเครื่องดื่มไว้บริการค่ะ ...แต่ว่ารบกวนช่วยเหลือตัวเองนะคะ” เจ้าหน้าที่สาวบอกพร้อมกับผายมือไปยังมุมเล็ก ๆ ซึ่งจัดไว้อย่างสวยงาม ตรีปวายบอกขอบคุณเบา ๆ ก่อนเลี่ยงไปนั่งตามคำเชิญ และหญิงสาวก็เพลินอยู่กับนิตยสารทั้งเก่าและใหม่จนลืมเวลา กระทั่งเจ้าหน้าที่สาวเดินมาสะกิด

    “คุณคะ คุณหมอว่างแล้วค่ะ” ตรีปวายผุดลุกทันทีที่ได้ยิน หญิงสาวส่งยิ้มให้ก่อนเดินตามเจ้าหน้าที่สาวไปยังห้องในสุดซึ่งกรุกระจกฝ้าไว้ หลังจากเคาะประตูและได้รับคำอนุญาตจากข้างในตรีปวายก็ผลักประตูก้าวเข้าไป

    ชายหนุ่มที่นั่งก้มหน้าอ่านเอกสารบนโต๊ะอยู่ก่อนหน้านั้น เงยขึ้นมองผู้มาเยือนทันทีเมื่อรู้สึกตัว เขาขยับแว่นตากรอบทองให้เข้าที่ ส่งยิ้มนำก่อนเอ่ยทักทาย

    “สวัสดีครับ เชิญนั่งก่อนครับ” พูดพลางผายมือเชื้อเชิญ ตรีปวายยิ้มรับพร้อมทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ทราบจากลินลาว่าคุณต้องการพบหมอเล็กเหรอครับ?”

    “ค่ะ...คือฉันมาจากนิตยสารอีฟค่ะ อยากคุยกับคุณหมอมโหระทึกเรื่องการเขียนบทความให้นิตยสารของเรา แต่ว่าโทรไปกี่ครั้งหมอก็ไม่รับโทรศัพท์เลยค่ะ ฉันก็เลยเสี่ยงมาที่นี่” ตรีปวายอธิบาย

    “แต่ก็ไม่พบอยู่ดี” ชายหนุ่มต่อยอดคำพูดของตรีปวายซึ่งพยักหน้ารับน้อย ๆ

    “ใช่ค่ะ”

    “เป็นเรื่องปกติของเจ้าหมอนี่แหละครับ คุณอย่าคิดมากเลย” เขาบอกกลั้วหัวเราะ ยกมือขยับแว่นตาอีกครั้งพร้อมกับเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการเป็นงาน “ว่าแต่ เรายังไม่แนะนำตัวกันเลยใช่มั้ยครับ?” คำถามเชิงสรรพยอกนั้นทำให้ตรีปวายสะดุ้งผุดลุกยิ้มเจื่อนก่อนยกมือไหว้

    “ตายแล้ว ! ขอโทษจริง ๆ ค่ะคุณหมอฉันตรีปวายค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก...แหม...เป็นการเสียมารยาทชนิดไม่น่าให้อภัยเลยนะคะเนี่ย” ท้ายประโยคหญิงสาวพึมพำเสียงเจื่อน ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่ไม่อยากให้คุณเกร็ง นั่งลงเถอะครับ” เขาบอกพลางกวักมือเรียก ตรีปวายยิ้มเขิน ๆ พลางทรุดลงนั่ง “ผม มหุดิฤกษ์นะครับ ชื่อยาวไปหน่อยเรียกยาก เพื่อเป็นการสะดวกปากเรียกผมรองก็ได้นะครับ” ชายหนุ่มบอกอย่างเป็นกันเอง...ซึ่งตรีปวายอดรู้สึกเห็นด้วยกับการเรียกชื่อ ‘หมอรอง’ เป็นอย่างยิ่ง

    “ความจริงผมก็พอจะรู้เรื่องบทความอะไรนั่นเหมือนกันนะครับ ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนนายเล็กนั่นแหละว่าทำไมจะต้องให้หมอสองคนมาเขียนบทความตีกันเองด้วย” คำถามหลังการแนะนำตัวของชายหนุ่มทำให้ตรีปวายยิ้มค้างครู่ใหญ่กว่าหญิงสาวจะเอ่ยคำ

    “คุณหมอคงเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะค่ะ มันไม่ใช่การเขียนบทความตีกันนะคะ” ตรีปวายอธิบายอย่างอึดอัดเพราะสายตาคาดคั้นของหมอหนุ่มซึ่งพุ่งตรงมา “คือ ทางเราต้องการนำเสนอให้คนอ่านได้เห็นแง่มุมต่าง ๆ ของการทำศัลยกรรมน่ะค่ะ”

    “อันนั้นผมพอเข้าใจ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีหมอถึงสองคนเข้ามาร่วมเขียนบทความชิ้นนี้ด้วย” มหุดิฤกษ์เอ่ยย้ำ “คุณอธิบายให้ผมฟังได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องอธิบายซ้ำ เพราะผมรู้จักน้องชายผมดีว่าเขาคงไม่ยอมฟังคุณแน่ ๆ แต่ผมรับรองว่าจะถ่ายทอดทุกคำพูดของคุณให้เขาฟัง ซึ่งเขาจะตกลงหรือไม่ตกลงนั่นก็เป็นอีกเรื่อง” ชายหนุ่มอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นสีหน้าอิหลักอิเหลื่อของหญิงสาว

    “ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องเท้าความหน่อยนะคะ ชื่อคอลัมน์ของเราคือ ‘ก่อนสวยด้วยศัลย์’ เราต้องการให้คนอ่านได้รู้ว่าความจริงแล้วศัลยกรรมไม่ได้มีเพียง ‘เสริมดั้ง ตั้งเต้า ผ่าเล่าเต๊ง’ เท่านั้น เราต้องการให้คนอ่านเข้าใจความหมายของคำว่าศัลยกรรม ซึ่งรวมถึงศัลยกรรมแขนงอื่น ๆ ด้วย...ตอนนี้เราได้หมอที่ขึ้นชื่อว่ามีฝีมือในการศัลยกรรมความงามได้เป็นธรรมชาติที่สุดมาร่วมงานแล้ว...ขาดก็แต่หมอซึ่งขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นศัลยแพทย์ที่วงการแพทย์ทั่วโลกให้การยอมรับในฝีมือการผ่าตัด...นี่ล่ะค่ะจุดมุ่งหมายของเรา ก่อนสวยด้วยศัลย์คุณต้องเข้าใจโลกของศัลย์ก่อน” ตรีปวายอธิบายอย่างมุ่งมั่น ชายหนุ่มนิ่งฟัง สายตาจับจ้องคนเล่า รอยยิ้มค่อย ๆ ผุดพรายก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะ

    “เข้าใจจำกัดความนี่คุณ ‘เสริมดั้ง ตั้งเต้า ผ่าเล่าเต๊ง’ นายเล็กได้ยินมีเฮแน่” เขาบอกกลั้วหัวเราะ

    “ฉันจำมาจากที่อื่นอีกทีน่ะค่ะ” หญิงสาวบอกยิ้ม ๆ

    “ว่าแต่ก่อนมาตามนายเล็กนี่ คุณไปหาหมออีกคนมาหรือยังครับ?”

    “อ๋อค่ะ...ฉันไปมาแล้ว...คุณหมอเขียนบทความเสร็จแล้วด้วยนะคะ แต่ว่า...จนป่านนี้ฉันก็ยังไม่ได้คำตอบอะไรจากคุณหมอมโหระทึกเลย...งานนี้เป็นงานชิ้นแรกที่โดดมาทำเบื้องหน้าซะด้วย” ท้ายประโยคหญิงสาวพึมพำเบา ๆ

    “ผมว่า ถ้าคุณจะหาหมอคนใหม่ ผมสามารถแนะนำได้นะครับ” มหุดิฤกษ์เสนอทางเลือก

    “แต่...เราต้องการหมอมโหระทึกจริง ๆ นะคะ” ตรีปวายบอกเสียงอ้อน...ค้านกับเสียงแข็ง ๆ ในหัวว่าความจริงแล้วหล่อนชักหงุดหงิดหมอชื่อแปลกซึ่งดูเหมือนจะหยิ่งแถมเล่นตัวเสียเหลือเกินจนหล่อนอดไม่ได้ที่จะคิดเอาชนะ

    “ผมว่าท่าทางจะยากนะครับ เพราะคนเขียนบทความคู่กับนายเล็กน่ะ เรียกได้ว่าเป็นเกาเหลากันเลยทีเดียว” มหุดิฤกษ์ว่าพลางทำสีหน้าชวนเชื่อ

    “แต่คุณหมอคะ...ถึงมันจะอยู่คอลัมน์เดียวกันแต่ก็แยกเป็นสองบทความนะคะ แล้วเราก็ไม่ได้ให้คุณหมอนั่งหันหน้าชนกันเขียนสักหน่อย ต่างคนต่างเขียนเราจะตามเก็บงานเองค่ะ” ชายหนุ่มรับฟังด้วยอาการสงบ ครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้น

    “เอาอย่างนี้ดีว่า...ผมมีเพื่อนเป็นหมอศัลย์หลายคน เดี๋ยวจะแนะนำให้ก็แล้วกัน” ไม่พูดเปล่าชายหนุ่มยังยกโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นกดเบอร์รัวเร็ว แต่กระบอกโทรศัพท์ยังไม่ทันแนบหูก็ถูกมือของหญิงสาวกระชากออกไปวางบนแป้นโทรศัพท์ดังเดิม ชายหนุ่มตกตะลึงกับปฏิกิริยาของหญิงสาวจนนิ่งค้างอยู่ท่าเดิม...สีหน้าขุ่นขึ้งแววตากราดเกรี้ยวสวนทางกับมุมปากยกยิ้ม เป็นสีหน้าซึ่งสร้างความตระหนกให้กับหมอหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง

    “นิตยสารของเราเป็นนิตยสารสำหรับผู้หญิงซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากผู้อ่านเป็นลำดับ จำนวนคนอ่านมากขึ้นทุกวันทำให้เราต้องใส่ใจพัฒนาคุณภาพ พัฒนาเนื้อหาข้างในของนิตยสาร ซึ่งมุ่งเน้นให้เป็นเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ คนอ่านสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้” ตรีปวายอธิบายหลังจากปฏิบัติการอุกอาจ

    “ผู้หญิงมักจะถูกผูกคู่กับความสวยงาม และโดยปัจจุบัน ความสวยตั้งแต่หัวจรดเท้าสามารถปรับเสริมเติมแต่งได้ ศัลยกรรมความงามกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว...ผู้หญิงจะไม่ดิ้นรนสวยเลยถ้ามนุษย์ส่วนใหญ่จะมีสายตายุติธรรมมองคนที่ข้างในไม่ใช่ข้างนอกอย่างที่เป็นอยู่...แต่ในขณะที่คนมองว่าศัลยกรรมความงามเป็นเรื่องธรรมดา อันตรายหรือผลข้างเคียงจากการทำศัลยกรรมที่ไม่ถูกต้องก็ตามติดเป็นเงา...คอลัมน์ของเราที่อยากให้คุณหมอมโหระทึกมาร่วมงานด้วยหนักหนาก็เพราะอยากให้คนมีความรู้ชนิดที่เรียกได้ว่าเชี่ยวชาญเป็นที่ยอมรับในวงการมาบอกให้คนอ่านรู้ว่า ก่อนที่เขาคิดจะนำพาคมมีดมากรีดหน้าตาเนื้อตัวนั้น ต้องคิดให้หนัก มนุษย์ผู้หญิงอย่างฉันคิดอยากช่วยมนุษย์คนอื่นด้วยวิธีนี้...แล้วมนุษย์ผู้ชายที่มีความรู้อย่างพวกคุณล่ะ...คิดยังไง?” คำถามท้ายประโยคนั้นทำให้หมอหนุ่มได้แต่นิ่งงัน ตรีปวายหรี่ตามองริมฝีปากยังยิ้มดุจเดิมสีหน้าของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวถอนหายใจเบา ๆ ก่อนพูดต่อ

    “ทำไมคุณหมอมหุดิฤกษ์ไม่ลองให้ฉันคุยแบบตัวต่อตัวกับคุณหมอมโหระทึกดูก่อนล่ะคะ” ตรีปวายเอ่ยขึ้น หญิงสาวผุดลุกช้า ๆ สีหน้าแตะแต้มรอยยิ้มแต่แววตาโชนแสงร้อนแรงคล้ายจะมองหมอหนุ่มให้ละลายอยู่ตรงนั้น “บางทีความมีเหตุผลของแต่ละคนอาจจะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน คุณหมอมหุดิฤกษ์ตัดสินใจเสนอหมอคนใหม่ให้เราเพราะคุณหมอรู้จักนิสัยคุณหมอมโหระทึกดีว่า ยังไงก็ต้องปฏิเสธแน่ ๆ ...แต่ฉันยังยืนยันว่า หากคุณหมอมโหระทึกจะปฏิเสธฉันก็ขอได้ยินด้วยตัวเองเถอะค่ะ” หญิงสาวบอกเสียงหนักแน่น รอยยิ้มบนริมฝีปากนั้นไม่ได้ทำให้คนมองรู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย

    “งั้นก็ฟังให้เต็มสองรูหูของคุณ...ผมขอปฏิเสธ!”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×