ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์ซ่อนรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : หัวใจดวงร้าว ของสาวขี้เหร่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 1 ส.ค. 51


    เล่ห์ซ่อนรัก

    1.1

    หัวใจดวงร้าวของสาวขี้เหร่(1)


    ร่างสูงโปร่งระหงราวกับนางแบบ กำลังเดินกรีดกรายอย่างมั่นอกมั่นใจอยู่บนฟุตบาท ทุกย่างก้าวล้วนสร้างความสนใจให้กับผู้พบเห็นโดยเฉพาะเพศตรงข้ามที่มองจนเหลียวหลัง เพราะนอกจากเรือนร่างเพรียวบางตามสมัยนิยมแล้ว ใบหน้ารูปไข่มีดวงตากลมโตสดใสรับกับริมฝีปากรูปกระจับซึ่งคล้ายแย้มยิ้มอยู่เป็นนิจก็เป็นอีกเหตุผลซึ่งทำให้ผู้คนสนใจจ้องมอง ยังชุดเดรทสีชมพูใสอวดความเรียวสวยของขาคู่เพรียวนั่นอีก ชายหนุ่มหลายคนมัวมองจนไม่ทันระวังตัว ต่างเดินชนโน่นนี่ล้มระเนระนาดกันเป็นแถว

    กระทั่งหญิงสาวก้าวมาหยุดลงหน้าร้านกาแฟเล็ก ๆ หัวมุมถนน ดวงตากลมโตเพ่งมองผ่านกระจกใสของร้านเข้าไปสำรวจ ครู่ใหญ่มุมปากก็ยกยิ้มอย่างพึงใจ มือเรียวยื่นไปผลักประตูเดินเข้าไปในร้าน สืบเท้าตรงไปยังโต๊ะตัวเล็กซึ่งมีชายหนุ่มหน้าตาดีนั่งจิบกาแฟควันกรุ่นอยู่ เมื่อรู้สึกว่ามีเงาดำทาบทับ ชายหนุ่มค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนตะลึงจนตาค้าง มือไม้อ่อนปวกเปียกจนไม่สามารถจับถ้วยกาแฟไว้ได้ กาแฟร้อนจึงย้ายมาราดรดเขาแทนที่จะไหลล่วงลงคำคอ ชายหนุ่มลุกขึ้นเต้นเร่าโดยมีหญิงสาวปราดเข้าช่วยเช็ดคราบกาแฟ...ตาสบตาเมื่อภารกิจลุล่วง ชายหนุ่มเชื้อเชิญหญิงสาวให้นั่งลงก่อนยื่นเมนูให้ดู

    ขณะหญิงสาวไล่สายตาดูเมนู ชายหนุ่มก็ใช้เวลานั้นพิจารณาใบหน้าแสนงามของหญิงสาว บ่อยครั้งที่หญิงสาวเหลือบตาขึ้นมองก็จะพบกับดวงตาคมปลาบของชายหนุ่มจับจ้องอยู่ก่อนจนทำให้หญิงสาวต้องเสหลบ...เสียงจอแจรอบกายเริ่มลดระดับลงทีละน้อย ผู้คนคล้ายหายหลบเร้นจนท้ายที่สุดเหลือเพียงชายหนุ่มหญิงสาวนั่งสบตากันเพียงสองคน หญิงสาวหน้าแดงด้วยความเขินอาย...แต่ชายหนุ่มกลับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย สายตาของเขาจ้องเป๋งมายังใบหน้าหญิงสาวซึ่งเริ่มผิดสังเกตอาการของชายหนุ่ม

    “มีอะไรติดหน้าฉันหรือคะ?” หญิงสาวอดรนทนไม่ได้เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้น

    “ไม่ใช่ติด...แต่ผมรู้สึกว่ามันหายไป” ชายหนุ่มตอบ คราวนี้หญิงสาวเป็นฝ่ายสงสัย

    “อะไรหายไปคะ?”

    “อืม...ผมกำลังสังเกตอยู่” ชายหนุ่มว่าพลางชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ “ตาคุณสวยมาก ชั้นตาทั้งสองข้างขนาดเท่ากันเป๊ะ...ผมทายว่าน่าจะกว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร ริมฝีปากคุณก็สวยงามชวนหลงใหล...ปากรูปกระจับออกสีแดงระเรื่ออย่างนี้ผมชอบ” ชายหนุ่มสาธยายโดยไม่สนใจเลยว่าหญิงสาวจะเขินอายเพียงใด

    “ใช่แล้ว! ผมรู้แล้วว่าอะไรที่หายไป!” ชายหนุ่มตะโกนอย่างลิงโลดพลอยทำให้หญิงสาวสะดุ้งเฮือก “จมูกคุณไงที่หายไป มันแบนติดผิวหน้าจนผมมองไม่เห็นเลย...โอ...คุณช่างน่าเกลียดนักเมื่อไม่มีจมูกโด่งงาม ผมคงทนมองหน้าคุณไม่ได้อีกแล้ว...ลาก่อน...แม่สาวอีที” คร่ำครวญเสร็จเขาก็ไม่รั้งรอ ผุดลุกขึ้นวิ่งออกจากร้านกาแฟราวกับพายุ ทิ้งหญิงสาวที่กำลังตกตะลึงอยู่ร้านดังเดิม...เนิ่นนานกว่าหญิงสาวจะได้สติ...ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองรอบกาย ผู้คนมากมายมองด้วยสายตาเห็นใจ หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหน้า...มันไม่ปะจมูกเหมือนดังสุภาษิตไทยแม้แต่น้อย...หญิงสาวร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ บริกรในร้านก้าวเข้ามาอยู่อยู่ตรงหน้า ยื่นมือมาจับไหล่ของหญิงสาวก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่นว่า

    “ตื่นได้แล้วยัยติ๊!”


    คนนั่งสะลึมสะลือซุกตัวอยู่ในโปงผ้าห่ม โผล่เพียงส่วนศีรษะออกมามองคนปลุก หลังจากเปิดปากหาวหวอดก็ค่อย ๆ เอนหลังพร้อมกับบอกว่า

    “ขออีกครึ่งชั่วโมง” พูดจบก็มุดกลับโปงผ้าห่ม คนปลุกถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนตรงเข้าไปกระชากผ้าห่มออกกองไว้ปลายเตียง ร่างที่นอนคุดคู้อยู่ก็หาได้สะเทือนไม่ กลับคว้าหมอนมาปิดหน้าซึ่งกันแสงได้ แต่ไม่อาจป้องกันเสียงแว้ดแหลม ๆ

    “ตอนสองโมงเช้าที่ฉันมาปลุกแกก็ขอสิบนาที...กระทั่งตอนนี้มันจะเที่ยงแล้วแกยังมาขอครึ่งชั่วโมงอีกเหรอหา!”

    “ครึ่งชั่วโมงจริง ๆ สัญญา ๆ ...ขอกลับไปด่าไอ้หมอนั่นก่อน...หน็อย มองยังไงว่าฉันไม่มีจมูก” คนเอาหมอนปิดหน้าตอบเสียงอู้อี้

    “ไม่ด๊าย! ยังไงแกก็ต้องตื่นตอนนี้! ถ้าไม่ตื่นก็เลือกเอาแล้วกันว่าระหว่างพี่สาวปลุกกับแม่ปลุก แกจะเอาอันไหน!” ข้อเสนอเฉียบขาดทำให้คนถูกขู่ต้องหยิบหมอนออกจากหน้า และดีดตัวขึ้นจากที่นอนทันที

    “แม่มาเหรอ?!” หญิงสาวตะโกนลั่น คนเป็นพี่ยกมือกอดอกยิ้มเยาะ

    “เออสิยะ อีกสิบนาทีน่าจะถึงบ้านแล้วด้วย รีบ ๆ เข้าถ้าไม่อยากโดนดี” พูดจบพี่สาวก็เดินลอยหน้าออกจากห้อง ทิ้งน้องสาวนั่งหน้าเมื่อยอยู่บนที่นอน ก่อนสะโหลสะเหลตรงไปห้องน้ำ

    เมื่อบีบยาสีฟันลงบนแปรงและจับยัดเข้าปากพร้อมกับถูไถปัดขึ้นปัดลงตามที่เคยได้ร่ำเรียนมาว่าเป็นวิธีแปรงฟันที่ถูกต้อง สายตาหรี่ปรือของหญิงสาวก็ค่อย ๆ ลืมขึ้นจนเต็มความสามารถของเปลือกตา กระจกในห้องน้ำสะท้อนเงาผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้ารูปไข่อันเป็นความใฝ่ฝันของหญิงสาวส่วนใหญ่...หล่อนมี...เพียงแต่ว่าภายในกรอบโครงหน้านั้น ไม่ได้มีคิ้วเรียวยาว ดวงตากลมโต จมูกโด่งคม ริมฝีปากอิ่มเต็มเหมือนดั่งลักษณะของนางเอกในนิยายที่เคยอ่านพบ

    ภายในกรอบหน้านั้นมีคิ้วดกด้วยปริมาณเส้น แต่มิได้ดำอย่างใจหวัง มันกระจายเกลื่อนไม่เป็นรูปเป็นทรงเพราะเจ้าของไม่กล้าถอนด้วยความกลัวว่าหากถอนแล้วสีคิ้วที่อ่อนเป็นทุนเดิมจะกลายเป็นซีดจางยิ่งกว่าเดิม ดวงตามีลูกแก้วสีน้ำตาลใสกลอกกลิ้ง เมื่อมองโดยไม่ลำเอียงแล้วจะคล้ายกับว่ามันมีขนาดไม่เท่ากัน นั่นเพราะชั้นตาทั้งสองข้างซึ่งแม้จะมีสองชั้นแต่ก็คนละขนาด ข้างหนึ่งชั้นบางอีกข้างชั้นหนาเป็นเหตุให้ตาข้างชั้นตาหลบในแลดูใหญ่กว่าอีกข้าง...มองเลยมาถึงจมูกแม้จะไม่ถึงกับแบนราบ แต่หากมองด้านข้างแล้วก็แทบจะมองเห็นขนตาอีกฝั่งชัดแจ๋ว ริมฝีปากนั้นเล่าก็แสนจะไม่สมดุล ริมฝีปากบนค่อนข้างบาง ทำให้รู้สึกว่าริมฝีปากล่างค่อนไปทางห้อยย้อย

    ตรีปวายบ้วนปากเรียบร้อยเก็บแปรงสีฟันเข้าที่เปิดน้ำล้างหน้าก่อนเงยขึ้นมองกระจกอีกครั้ง หญิงสาวหรี่ตามองเงาสะท้อน ปลายนิ้วยกขึ้นคลึงปลายจมูกเบา ๆ เมื่อนึกถึงความฝันเมื่อครู่ ริมฝีปากเหยียดยิ้มก่อนแลบลิ้นให้กับเงาในกระจก

    “มีรูหายใจได้ก็พอแล้วย่ะ” หล่อนว่าพลางสะบัดหน้าบิดขี้เกียจสองสามครั้งก่อนหันไปตั้งใจอาบน้ำแต่งตัวเพื่อรอพบคนซึ่งกำลังเดินทางมาหา

    กลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกมาจากครัวกระทบเข้ากับจมูกคนกำลังเดินลงจากบ้านซึ่งรีบสูดกลิ่นราวกับกลัวว่ากลิ่นเหล่านั้นจะกระจายไปในมวลอากาศอย่างเปล่าประโยชน์กลิ่นนำทางคนสูดดมจนถึงห้องครัวร่างสูงโปร่งของพี่สาวซึ่งกำลังสาละวนกับหม้อบนเตาทำให้ตรีปวายเปิดยิ้มกว้างกับแผ่นหลังนั้นหญิงสาวปราดเข้าไปยืนใกล้พลางชะโงกมองหม้อที่พี่สาวกำลังใช้ทัพพีคนอยู่

    “อะไรเหรอพี่ตรี ฮ้อม...หอม” พูดพร้อมกับทำท่าหอมประกอบ

    “แกงเลียงของโปรดแม่ไง” ตรีประดับตอบน้องสาว

    “หวายก็โปรดนะ...ยิ่งใส่กุ้งเยอะ ๆ ยิ่งโปรด” ตอบพร้อมกับยิ้มประจบ

    “มีอะไรบ้างที่แกไม่โปรดยัยหวาย” หญิงสาวเอ่ยเรียบ ๆ ตวัดตามองค้อน น้องสาวยิ้มแหย ๆ ก่อนบอกว่า

    “ก็ผู้ชายที่แม่หาให้ไง...หวายไม่โปรดเลยสักนิ้ดส์” ตรีปวายลงท้ายด้วยเสียงสูงแถมใช้ศัพท์วัยรุ่นอีกต่างหาก ตรีประดับยกหม้อลงจากเตาพลางโคลงศีรษะอย่างระอา

    “แกนี่แปลกจริง ๆ เลยนะ ทั้ง ๆ ที่ผู้ชายแต่ละคนที่แม่หากมาน่ะ หล่อ ๆ เลิศ ๆ ทั้งนั้น แต่แกกลับไม่ชายตามองสักนิด ทำหยิ่งอย่างกับตัวเองสวยเสียเต็มประดางั้นแหละ” หญิงสาวค่อนแคะ คนเป็นน้องไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ

    “ถึงหวายจะไม่สวย ไม่เลิศเลอเพอร์เฟค แต่หวายก็มีอุดมการณ์ในการเลือกผู้ชายเหมือนกันนะ” หญิงสาวว่าเสียงเข้ม “อีกอย่างถึงผู้ชายที่แม่หามาประเคนจะหล่อเลิศขนาดไหน มาเจอหวายจัง ๆ แค่ครั้งเดียวก็กระเจิงหมดทั้งนั้นแหละ พวกมองเห็นเปลือกสำคัญกว่าเนื้อในแบบนั้นหวายไม่สนหรอก”  

    ตรีประดับได้แต่ส่ายหน้าน้อย ๆ กับความคิดของน้องสาว หล่อนยอมรับว่าที่น้องสาวพูดมาก็มีส่วนถูก ผู้ชายหลายคนซึ่งผู้เป็นแม่ชักนำ ชักพา หรือล่อหลอกมาให้ลูกสาวคนเล็ก เมื่อมาพบหน้าค่าตาน้องสาวหล่อนแล้ว ล้วนแต่บอกศาลากันทั้งนั้น หญิงสาวเหลือบมองน้องสาวที่กำลังหั่นแครอทเป็นแท่งพร้อมหยิบเข้าปากเคี้ยวกรุบ ๆ อยู่อย่างพิจารณา

    จะว่าไปแล้วตรีปวายก็ไม่ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่อะไรหนักหนา คิ้วรกเรื้อแต่น้ำหนักความเข้มค่อนข้างน้อยนั้น หากถอนให้เข้ารูปสักหน่อยก็จะรับกับดวงตาที่เจ้าตัวบ่นว่าเล็กข้างโตข้าง จมูกซึ่งเฝ้าพร่ำบ่นว่าแบนราบหากมองอย่างยุติธรรมแล้วก็จะเห็นว่ามีรูปทรงรับกับใบหน้า ริมฝีปากที่เจ้าตัวบอกว่าห้อยย้อยคนเป็นพี่กลับมองว่ามันดูเย้ายวนจะตายไป...ยิ่งใบหน้ารูปไข่แสนสมบูรณ์แบบนั่นอีก ตรีประดับเอาตัวเองเป็นประกันได้เลยว่าหากมีชายหนุ่มคนใดได้ใกล้ชิดทำความรู้จักกับตรีปวายอย่างลึกซึ้งแล้ว...ยากจะถอนใจไม่ให้หลงรักเชียวล่ะ

    “มองอะไรคุณพี่ ? ความสวยของหวายมันหลบลึกค่ะ ต่อให้คุณพี่มีตาทิพย์ก็เห็นยากส์” ตรีปวายบอกพี่สาวเมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องนานเกินไป

    “ไม่เห็นต้องใช้ตาทิพย์ก็เห็นย่ะ...ความสวยแกจะหลบลึกแค่ไหนเชียว” พี่สาวเย้ายิ้ม ๆ แต่ตรีปวายเบ้ปากอย่างหมั่นไส้

    “เชอะ...ไม่ต้องมาแกล้งชมหรอกพี่ตรี ถ้าหวายสวยหลบตื้นจริงทำไมถึงยังโสดมาจนป่านนี้ล่ะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือส่วนงานที่เกี่ยวข้องก็มีผู้ชายมากมายแทบจะเดินชนกันน่ะ” หล่อนว่ากระเง้ากระงอด

    “พี่ว่าแกต้องถามตัวเองแล้วล่ะ...ที่แกว่าผู้ชายไม่สนใจแกน่ะเป็นเพราะเขามองไม่เห็นความสวยหลบตื้นในตัวแกหรือเพราะว่าแกยังลืมพี่กรณ์ของแกไม่ได้” คำพูดของพี่สาวทำให้ตรีปวายที่กำลังหยิบแครอทเข้าปากชะงักกึก

    ปกรณ์คือหนุ่มรุ่นพี่ในสำนักพิมพ์ เป็นบรรณาธิการหนุ่มไฟแรงแห่งนิตยสารโลกสวยด้วยสุขภาพที่ตรีปวายทำงานอยู่ เขาเป็นหัวหน้าที่หล่อนชื่นชมในความสามารถและความสุภาพอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ปกรณ์ถือได้ว่าเป็นชายคนแรกที่ตรีปวายรู้สึกชอบ หนึ่งเพราะเขาไม่ได้มีท่าทีหมิ่นแคลนหน้าตาแสนขี้ริ้วขี้เหร่ของหล่อน สองเพราะเขาดูแลเอาใจใส่หล่อนโดยไม่สนใจสักนิดว่าคนในสำนักพิมพ์จะมองอย่างไร และสุดท้ายเขาให้เกียรติหล่อนเสมอไม่ว่าจะเป็นส่วนตัวหรือเรื่องงาน จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยหากตรีปวายจะชอบปกรณ์จนเลยเถิดถึงขั้นรัก แถมยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาเองก็มีใจอีกต่างหาก

    แต่แล้วการ์ดสีชมพูจากมือของปกรณ์พร้อมกับคำเชื้อเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานก็เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ ตรีปวายจำได้ว่ามือหล่อนค่อนข้างสั่นเมื่อยื่นไปรับการ์ด การเอ่ยแสดงความยินดีเป็นไปโดยอัตโนมัติ การยิ้มรับของเขาสร้างความเจ็บปวดให้กับหล่อนมากยิ่งกว่าอาวุธใด ๆ ...เหตุการณ์นั้นผ่านมาสามเดือนแล้ว...แต่ตรีปวายยังเจ็บแปลบทุกครั้งที่คิดถึง

    “มันก็ยังลืมไม่ได้จริง ๆ นี่พี่ตรี” หญิงสาวเอ่ยเบา ๆ คนเป็นพี่ถอนใจยาวก่อนเอื้อมมือไปตบไหล่น้องสาวเบา ๆ

    “พี่เข้าใจ...แต่หวายอย่าลืมว่าชีวิตเราต้องดำเนินต่อไป พี่ว่าหวายลองเปิดใจรับใครสักคนเข้ามาพิจารณาบางเถอะ...บางทีใครคนนั้นอาจจะดีกว่านายพี่กรณ์อะไรนั่นก็ได้นะ” ตรีประดับบอกยิ้ม ๆ น้องสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกพี่ตรี...หวายไม่ได้สวยเหมือนพี่นะจะได้มีคนเห็นปุ๊บชอบปั๊บได้ง่าย ๆ น่ะ” ตรีปวายบอกอย่างกระบึงกระบอนตวัดตามองค้อนพี่สาวซึ่งหากไม่บอกใครต่อใครว่าเป็นพี่น้องกันก็ยากที่จะมีใครเชื่อ

    ตรีประดับมีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเพรียวได้รูปสวยรับกับดวงตายาวเรียว จมูกโด่งคม ริมฝีปากอิ่มเต็ม รูปหน้าของหญิงสาวสะดุดตาชายหนุ่มได้โดยง่าย ยิ่งเมื่อมารวมกับรูปร่างแล้วจึงไม่น่าแปลกใจนักที่ตรีประดับจะมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มารุมล้อมไม่ขาดสาย แต่หญิงสาวก็ยังไม่ตกลงปลงใจกับใครเสียที ข้ออ้างที่ว่า ‘ยังไม่ใช่’ เกิดขึ้นทุกครั้งที่ถูกมารดาเอ่ยถามถึงอนาคตของคู่ชีวิต กระทั่งถึงปัจจุบันตรีประดับก็ยังไม่มีทีท่าจะตกล่องปล่องชิ้นกับใครเสียที หล่อนยังคงมีความสุขอยู่กับการเป็นครูสาวแสนเฮี้ยบของเด็กชายเด็กหญิงแห่งโรงเรียนอนุบาลชลัมพุ อาการหวงความโสดของตรีประดับไม่ได้ทำให้คุณตรีทิพผู้เป็นแม่กังวลมากนัก เพราะเชื่อว่าหากตรีประดับยังมีผู้ชายแวะเวียนมาทำตัวสนิทสนมอย่างนี้เรื่อย ๆ คงมีสักคนที่จะฉุดหล่อนลงจากความโสด ความทุ่มเทจึงประดังประเดไปอยู่ที่ลูกสาวคนเล็กโดยปริยาย

    “แล้วใครบอกว่าแกไม่สวยล่ะ...แกสวยออกนะหวาย” ตรีประดับบอกอย่างจริงใจ แต่น้องสาวกลับหัวเราะลั่นเมื่อฟังจบ

    “ใช่ ๆ ถูกเผงเลยพี่ตรี...หวายน่ะ ‘สวยออก’ หมดเลย” ตรีประดับได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับน้องสาว แต่ก่อนที่หล่อนจะทันได้พูดอะไรต่อเสียงแตรรถยนต์ซึ่งดังมาจากหน้าบ้านก็เรียกความสนใจเสียก่อน ไม่ต้องเดาว่าใครตรีประดับถอดผ้ากันเปื้อนออกก่อนเดินไปเปิดประตูรั้วทันทีโดยไม่วายกำชับน้องสาวที่กำลังหัวเราะอยู่ให้ตั้งโต๊ะรอ


    ร่างที่ก้าวลงจากรถเก๋งสีบรอนซ์เงินคันหรู ดูไม่แตกต่างจากคนวิ่งมารับของจากมือนัก ทั้งรูปร่างหน้าตาก็แสนจะใกล้เคียงกัน ต่างเพียงว่าคนมาใหม่เปรี้ยวกว่า ล้ำสมัยกว่ายิ่งนัก ใบหน้าตกแต่งให้ดูเป็นธรรมชาติ เสื้อยืดสีสดขนาดพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีซีดเมื่อก้าวลงมายืนเคียงลูกสาวคนโตแล้วแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพี่สาวคนโตมากกว่าจะเป็นคุณแม่ลูกสอง อาจเป็นเพราะตกพุ่มม่ายสามีตายตั้งแต่ลูกสาวคนเล็กอายุได้ห้าขวบ การต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ให้ลูกสาวทั้งสองทำให้คุณตรีทิพต้องเข้มแข็งและกระฉับกระเฉงพอที่จะต่อกรกับลูกสาวแสนดื้อ และอาจเป็นเพราะร้านกาแฟซึ่งเป็นรายได้หลักของครอบครัวอยู่ใจกลางเมืองใกล้แหล่งแฟชั่น คุณตรีทิพจึงไม่ปล่อยให้ตัวเลขอายุที่เลยเลขห้ามาเป็นปัญหากับชีวิต

    “น้องล่ะ?” คือคำถามแรกเมื่อเปิดประตูรถพร้อมกับยื่นข้าวของในมือให้ตรีประดับ

    “ตั้งโต๊ะอยู่ค่ะ...เพิ่งตื่น” คำตอบนั้นทำให้ผู้เป็นแม่ได้แต่ถอนหายใจ

    “ให้มันได้อย่างนี้สิ ตื่นปุ๊บกินปั๊บ เดี๋ยวก็ได้อ้วนเป็นหมูหาคู่ไม่ได้กันพอดี” บ่นเสร็จก็ก้าวฉับ ๆ เข้าบ้าน ตรีประดับได้แต่มองตามยิ้ม ๆ ก่อนมองของที่ผู้เป็นแม่ซื้อมา...เป็ดย่างเจ้าประจำของโปรดตรีปวาย...กลัวลูกสาวอ้วนแต่ของที่ซื้อมาฝากกลับสวนทางคำพูดเสียนี่...หญิงสาวคิดขำ ๆ ก่อนก้าวตามเข้าบ้าน

    หลังจากเสร็จสิ้นอาหารกลางวันและเก็บล้างเรียบร้อยสามแม่ลูกก็มานั่งคุยกันใต้ร่มมะม่วงหลังบ้าน เสื่อผืนใหญ่ถูกปูจนเต็มความกว้าง น้ำหวานและผลไม้วางอยู่กลางเสื่อ ตรีประดับมีการบ้านกองโตมานั่งตรวจ ขณะที่ตรีปวายมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คเปิดตรวจทานงาน และคุณตรีทิพมีหนังสือนิยายเล่มโปรดอยู่ในมือ ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะถูกทำลายโดยคุณตรีทิพ

    “แหม...นิยายเรื่องนี้สนุกจริง ๆ เลยนะ...นางเอกน่ะทั้งอ้วน เตี้ย ล่ำ ดำก็ดำแถมยังเป็นชาวนา แต่พระเอกผู้หล่อ รวย เริ่ดก็มาหลงรักจนได้” พูดพลางสะกิดลูกสาวคนเล็กยิก ๆ ตรีปวายถอนหายใจเบื่อ ๆ ก่อนเอ่ยว่า

    “แม่...ใช้มุขใหม่เหอะ หรือถ้ารักจะใช้มุขนี้ก็ช่วยเปลี่ยนนิยายเรื่องใหม่ด้วย เบื่อเต็มทีแล้วไอ้เรื่อง ‘คุณชายติดหรู vs คุณหนูติดดิน’ เนี่ย” คำตอบของหล่อนได้รับค้อนวงโตตอบแทน

    “แล้วแกล่ะเมื่อไหร่จะใช้มุขใหม่สักที...พอฉันพูดแบบนี้แกก็ดักคอแบบนี้ทุกทีเหมือนกันแหละ” ผู้เป็นแม่กระบึงกระบอน ตรีประดับหัวเราะเบา ๆ กับการรู้ทางของทั้งคู่ก่อนเอ่ยว่า

    “เอาน่า ๆ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่แล้ว...ตรีว่าแม่บอกมาดีกว่าว่าคราวนี้เป็นใคร” การดักคอของลูกสาวคนโตแม้จะต้องส่งค้อนอีกวงแต่คุณตรีทิพก็ฉวยโอกาสพูดต่อ

    “หวายรู้จักนิตยสาร ‘อีฟ’ มั้ยลูก?” คำถามนั้นทำให้ตรีปวายเงยหน้ามองด้วยความสนใจ

    “รู้จักสิแม่...อีฟในเครือเอเดน คนในวงการรู้จักทั้งนั้นแหละ” หล่อนตอบก่อนทำหน้างง “อย่าบอกนะว่าคราวนี้เป็นหนุ่มในสำนักนั้นน่ะ?”

    “แหม...แกจะให้ฉันหาแต่ผู้ชายมาให้อย่างเดียวหรือไง ฉันก็รู้จักหาอย่างอื่นบ้างหรอกน่ะ” คนเป็นแม่บอกอย่างรำคาญ

    “จะไปรู้เรอะ...เห็นมาทีไรมีแต่เรื่องเดียวนี่” ตรีปวายแกล้งพึมพำ คุณตรีทิพแสร้งไม่สนใจพูดต่อว่า

    “พอดีแม่รู้จักเจ้าของน่ะ เขากำลังเปิดคอลัมน์ใหม่ แต่ยังไม่มีคนเขียนแม่เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่หวายจะได้เปลี่ยนงาน ลองโดดมาอยู่เบื้องหน้าบ้างก็ดีนะ แม่เลยเสนอชื่อหวายเข้าประกวดและเขาก็สนใจด้วยนะหวาย เริ่มงานได้ทันทีที่ต้องการด้วย” คนเป็นแม่บอกพลางอมยิ้มอิ่มใจ แต่คนถูกยัดเยียดงานตาค้างอ้าปากหวอ

    “เปลี่ยนงาน! แม่จะบ้าเหรออยู่ดี ๆ มาให้หวายเปลี่ยนงาน! หวายไม่ได้มีปัญหากับที่ทำงานสักหน่อย!” หญิงสาวโวยวายสีหน้าโกรธกรุ่น

    “ใช่...แกไม่มีปัญหากับงาน แต่แกมีปัญหากับคนที่ทำงาน” คุณตรีทิพเอ่ยเรียบ ๆ แต่คำนั้นคล้ายคมแฝกตีแสกหน้าลูกสาวคนเล็กจนอึ้งชา สีหน้าซีดเจื่อนของตรีปวายทำให้คุณตรีทิพวางหนังสือในมือขยับตัวเข้าไปใกล้ยกมือโอบไหล่คู้ค้อมโยกไหวเบา ๆ “แม่ไม่อยากให้หวายจมปลักอยู่กับความแปลบหัวใจ...บางทีการให้เวลาช่วยปกปิดบาดแผลอาจช่วยได้ แต่คงได้ผลดีกว่านี้ถ้าเราจะอยู่ห่างจากสิ่งที่สร้างแผลให้เรา...หลายเดือนที่ผ่านมาเนี่ยแม่เห็นว่าลูกสาวของแม่ไม่สดใสเอาเสียเลย เห็นแล้วแม่ก็ไม่สบายใจ แม่คิดว่าวิธีที่แม่ทำอยู่น่าจะช่วยให้ลูกสาวของแม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้” ตรีปวายถอนหายใจเบือนหน้าไปมองคนเป็นแม่

    “หวายขอบคุณแม่มากที่ห่วงหวาย...แต่...หวายขอคิดดูก่อนได้มั้ยแม่...หวายว่ามันดูแปลก ๆ อยู่ดี ๆ จะให้ลาออกน่ะ” หญิงสาวให้เหตุผล คุณตรีทิพยิ้มรับ

    “คิดนานเท่าไหร่ก็ได้...บอกแล้วไงว่าคอลัมน์นั้นรอหวายตลอดเวลา” คุณตรีทิพบอกอย่างร่าเริง ตรีปวายยิ้มรับก่อนถามกลับ

    “หวายแปลกใจอยู่อย่างนะแม่...ทำไมแม่อยากให้หวายไปทำงานที่อีฟล่ะ?” คนตอบคำถามคือตรีประดับที่หัวเราะพลางพูดว่า

    “อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้เลยยัยหวาย สำนักพิมพ์เอเดนมีพนักงาน 90% เป็นผู้ชายนะ รู้อย่างนี้แล้วถึงบางอ้อหรือยัง?” พูดจบหญิงสาวก็ต้องหลบฝ่ามือพิฆาตของผู้เป็นแม่ทันที ขณะที่ตรีปวายหน้ามุ่ยรอยยิ้มมลายหายวับ

    “แผนสูงนะแม่” หล่อนว่าห้วน ๆ คุณตรีทิพยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

    “ยิงนกสองตัวด้วยกระสุนนัดเดียว...คิดดูนะยัยหวาย แกได้งานใหม่เป็นเจ้าของคอลัมน์ไม่ใช่ผู้ช่วยอย่างที่เป็นอยู่ แถมที่นั่นก็มีผู้ชายเยอะแยะ เผื่อมีสักคนที่ถูกตาต้องใจแก...แม่ก็จะได้หมดห่วงเสียที” คุณตรีทิพลอยหน้าลอยตาตอบ

    “กระสุนของแม่มันทำให้นกตายตั้งสองตัวเลยตะหาก ยิงโป้ง...ตายแป้ก” หญิงสาวบอกห้วน ๆ ก่อนปิดโน้ตบุ้คผุดลุกขึ้น “อ้อ...แผนงานของแม่คงต้องเป็นแผนงานระยะยาวแหละ เพราะหวายจะยังดันทุรังอยู่สำนักเดิม...ยังอยากเป็นนกปีกหักดีกว่าบินไปโดนกระสุนของแม่!” พูดจบหญิงสาวก็กระแทกส้นเดินเข้าบ้านโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของแม่และเสียงหัวเราะของพี่สาว


    ตรีปวายจอดรถเข้าซองก่อนก้าวลงถอดหมวกกันน็อควางไว้ในตะแกรงหน้ารถมอเตอร์ไซค์คันเก่ง รถส่วนตัวที่ซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรง แม้ต้องฝ่าพายุน้ำลายคุณตรีทิพที่ไม่เห็นด้วยเมื่อหล่อนบอกจะซื้อมอเตอร์ไซค์ขับมาทำงาน เหตุผลเรื่องอันตรายต่าง ๆ นา ถูกกลบด้วยคำว่าสะดวกสบายในการขับซอกแซก ประหยัดน้ำมันกว่ารถยนต์ และสำคัญที่สุดคือหล่อนเป็นเจ้าของเงิน สงครามน้ำลายวนเวียนร่วมเดือน สุดท้ายตรีปวายก็ได้เป็นเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์สมใจ หญิงสาวอมยิ้มดึงซองเอกสารในกระเป๋าเป้สบายออกมาถือ

    ความจริงวันนี้ไม่ใช่วันกำหนดส่งงาน แต่ความที่ไม่อยากอยู่บ้านเปิดศึกน้ำลายกับผู้เป็นแม่ซึ่งมักจะมาค้างที่บ้านทุกวันอาทิตย์เลยเถิดถึงวันจันทร์โดยทิ้งร้านให้ลูกจ้างดูแล ก็ทำให้หล่อนหาเรื่องออกจากบ้าน กอปรกับงานในมอบหมายสำเร็จเสร็จสิ้น ตรีปวายจึงถือโอกาสใช้ข้ออ้างนี้ในการออกจากบ้าน

    สำนักพิมพ์ยามสายวันจันทร์ผู้คนยังไม่ค่อยพลุกพล่านนัก หญิงสาวก้าวล่วงมายังแผนกงานที่รับผิดชอบ กำลังชั่งใจว่าจะเอางานไปมอบให้เจ้าของคอลัมน์หรือส่งตรงให้ปกรณ์ซึ่งเป็นบรรณาธิการโดยตรงดีหรือไม่...ประการหลังกลับทำให้หล่อนแปลบใจ...แม้จะผ่านมาหลายเดือนแต่หล่อนก็ยังไม่อยากพบปะพูดคุยกับเขามากนัก คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงเลือกที่จะส่งงานให้เจ้าของคอลัมน์ ห้องกาแฟของสำนักพิมพ์เป็นส่วนที่ตรีปวายต้องเดินผ่าน เสี้ยวของแผ่นหลังคนอยู่ในห้องโผล่วับแวม...แต่หล่อนก็จำได้ว่านั่นคือเสื้อของเจ้าของคอลัมน์ หญิงสาวยิ้มอย่างยินดีกำลังจะก้าวไปหากลับต้องสะดุดด้วยบทสนทนา

    “พูดถึงยัยหวายแล้วยังรู้สึกสงสารไม่หายเลย...พี่กรณ์ก็ใจดำเหลือเกินทำกับน้องเค้าได้” เสียงพูดกลั้วหัวเราะนั้นไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกสักนิดว่าคนพูดรู้สึกสงสารอย่างที่บอก

    “แกแค่สงสารแต่ฉันสมเพชว่ะ” อีกคนหนึ่งแย้งเหยียด ๆ “ยัยหวายจะเคยส่องกระจกดูหน้าตัวเองบ้างมั้ยว่าหน้าของเจ้าหล่อนน่ะขนาดผู้ชายขี้เหร่ที่สุดก็ยังไม่อยากมอง” คำพูดของเขาได้รับเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเป็นแรงสนับสนุน

    “พวกแกก็พูดเกินไปที่ว่าพี่ใจดำ...ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นสักนิด” เสียงแก้ต่างจากคนที่ตรีปวายไม่เห็นตัวทำให้หญิงสาวอดใจเต้นระทึกไม่ได้ เสียงนั้นไม่เห็นหน้าแต่หล่อนก็จำได้...พี่กรณ์...

    “อ้าว...พี่เล่นทำดีกับคุณน้องจนเธอเคลิ้มเข้าขั้นหลงรัก แล้วก็หักอกน้องเธอดังเป๊าะ อย่างนี้ไม่เรียกใจดำหรือพี่?” เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นทักทีที่ฟังจบก่อนคนถูกถามจะตอบว่า

    “ความจริงพี่เทคแคร์น้องเขาแก้เบื่อเท่านั้นแหละ ไม่ได้ใจดำสักหน่อย จะว่าไปน้องเขาก็คงรู้สึกดีไม่ใช่น้อยที่ครั้งหนึ่งในชีวิตมีผู้ชายมาให้ความสนใจอย่างนี้บ้าง เผื่อตายไปยมบาลถามว่าเคยมีความรักมั้ย? น้องเค้าจะได้ตอบได้ว่าเคย...ฉันใจดำตรงไหนวะ...ทำบุญนะเนี่ยขอบอก!” น้ำเสียงเอาบุญเอาคุณเรียกเสียงหัวเราะให้เกิดขึ้นรอบวงอีกครั้ง เสียงพูดคุยปะปนกับเสียงหัวเราะยังคงดำเนินต่อไป แต่เสียงเหล่านั้นกลับไม่ได้ระคายหูตรีปวายแม้แต่น้อย

    หญิงสาวหันหลังเดินจากเสียงสนทนาชวนบาดหูทะลุหัวใจอย่างรีบเร่ง ความรู้สึกเหมือนกำลังตกเหวลึกดำมืด ในสมองดำดิ่งอยู่ในวังวนคำตอกย้ำความน่าสมเพชของตัวเอง...แก้เบื่อ...ทำบุญ...เพียงสองคำสั้น ๆ แต่เป็นเหมือนฟันเฟืองสำคัญช่วยให้หล่อนตัดสินใจอย่างปัจจุบันทันด่วนทำสิ่งที่ผุดวาบในความคิดทันที

    ตรีปวายเดินเลี่ยงห้องกาแฟตรงไปวางซองเอกสารลงบนโต๊ะของหัวหน้า ก่อนเดินกลับยังโต๊ะทำงานมาเปิดคอมพิวเตอร์และลงมือพิมพ์ข้อความรัวเร็ว สิบนาทีต่อมาหล่อนก็ดึงกระดาษออกจากเครื่องปริ๊นพับใส่ซองซึ่งจ่าหน้าถึงบรรณาธิการสายงานหลัก วางจดหมายลงบนโต๊ะลงมือเก็บข้าวของส่วนตัวลงกล่องเมื่อเสร็จเรียบร้อยตรีปวายก็หอบกล่องคว้าซองเดินดุ่มไปยังห้องบรรณาธิการ เปิดประตูเพื่อพบกับห้องว่างเปล่า แต่หล่อนก็ไม่ได้ลังเลที่จะวางซองให้เด่นหราอยู่กลางโต๊ะ หลังจากเหลือบตามองซองสีขาวด้วยความสะใจ ตรีปวายก็ก้าวอย่างมาดมั่นเดินออกจากสำนักพิมพ์ด้วยสีหน้าไม่ยี่หระต่อสิ่งใด

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×