ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์จันทรา มายาลวง

    ลำดับตอนที่ #16 : สองทางเลือก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.65K
      18
      23 มิ.ย. 50

    บทที่ 16

     

    สองทางเลือก

     

    กระจกบานใหญ่แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ  เศษกระจกเกลื่อนอยู่บนพื้น    ชายฉกรรจ์ร่างสูงในชุดคลุมยาวสีคล้ำยืนออกไปไม่ห่าง   ดวงตาโชนแสงด้วยความโกรธจัด   ใบหน้าขาวซีดมีเหงื่อเกาะพราว    อาการหอบเหนื่อยปรากฏให้เห็นเพียงเล็กน้อย    เบื้องหลังของเขามีร่างของอับราซัคและลูกสมุนคุกเข่าอยู่    ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบได้ยินเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิดปะทะกับกำแพงหินด้านนอก

     

    ขอบคุณที่ช่วยเหลือครับท่าน อับราซัคกล่าว  แขนเสื้อข้างหนึ่งฉีกขาดจากคมมีดที่พุ่งผ่านไปอย่างเฉียดฉิว  

    ขออภัยที่ข้าบกพร่อง   ไม่มีความสามารถ   ข้าขอยอมรับโทษ    คำกล่าวยอมรับผิด    ร่างสูงของค่อยๆ หันกลับมาช้า ๆ  ดวงตาสีเข้มนั้นนิ่งสนิทเกลื่อนกดความรู้สึกโกรธกรุ่นเมื่อครู่ไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย 

     

    ไม่ต้อง   ฝีมือเจ้าสู้เจ้านั่นไม่ได้หรอก   ระดับความสามารถมันต่างกัน

     

    มันเป็นใครครับ ?     อับราซัคเงยหน้าขึ้นถาม     ผู้นำแห่งเตห์ลาไม่ตอบ  หากมือข้างหนึ่งบีบอยู่บริเวณต้นแขน  ดวงตาฉายแสงวาววับ   เลือดที่ซึมออกมาตามแรงสัมผัสไหลเปื้อนเลอะฝ่ามือ   ความเจ็บแปลบที่ได้รับยังเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความเจ็บใจ    รอยแผลจากคมมีดที่ฝากมาดุจจะหยอกเย้าทักทายและแสดงพลังอำนาจของผู้เป็นเจ้าของที่สามารถสำแดงเดชข้ามผ่านกระจกมนต์ที่เขาใช้เป็นตัวเชื่อมในการตัดผ่านระยะทางดึงตัวสมุนฝีมือดีกลับมา   แค่คมมีดที่เกิดจากมนตรากลับทำร้ายเขาให้ได้รับบาดเจ็บได้! 

     

    ท่านได้รับบาดเจ็บ!...เอ่อ..     อับราซัคอุทานด้วยไม่คาดคิดว่าผู้นำแห่งตนก็ยังพลาดพลั้ง    หากสายตาคมวับที่มองมาทำให้ต้องรีบสงบคำ    

     

    มันเป็นใคร.....     ร่างสูงทวนคำถามแววตาคุกรุ่นเมื่อครู่สงบลงอีกครั้ง    ความสงบสุขุมเข้ามาแทนที่

    ข้ามองตัวตนที่แท้จริงของมันไม่ออก   ผู้ฟังไม่กล้าปริปากซักถามต่อในเมื่อท่านอัคบาร์ผู้มีศักดิ์เป็นถึงผู้นำแห่งเตห์ลา  ผู้ที่ได้รับการยอมรับในพลังอำนาจว่าสูงสุดเหนือเตห์ลาทั้งปวงยังเอ่ยปากออกมาอย่างนั้น

     

    เจ้านั่นนับว่าฝีมือจัดอยู่ในขั้นสูง    มันต้องเป็นคนในสภามาฮาร่าแน่นอน

     

    พวกในสภานั่นเก่งมากหรือครับ ?แม้จะเคยได้ยินได้ฟังมาแต่เพราะความทระนงในตนเองทำให้อับราซัคไม่ค่อยเชื่อ  หากคราวนี้เห็นทีต้องศึกษาให้แน่อีกครั้ง

     

    เก่ง.....แต่ก็เฉพาะบางคนเท่านั้น   ในสภามาฮาร่าเองก็มีหลายพวกหลายกลุ่ม   แต่ละกลุ่มทำหน้าที่แตกต่างกัน    กลุ่มที่เราต้องระวังที่สุดมีเพียงกลุ่มเดียวคือหน่วยที่ทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ราชา   พวกนี้ถูกคัดเลือกมาจากเด็กที่มีสายเลือดมาฮาร่า  ได้รับการอบรมปลูกฝังทั้งด้านวิชาอาคม  การต่อสู้ทุกรูปแบบ  ต้องถือว่าพวกมันเป็นกำลังสำคัญในมาฮาร่าเลยทีเดียว

     

    งั้นเจ้านั่นก็อาจจะเป็นคนในหน่วยพิทักษ์ราชาก็ได้    อับราซัคให้ความเห็น

     

    ก็อาจใช่หรือไม่ใช่ได้ทั้งนั้น    อัคบาร์ยังไม่ด่วนสรุป

     

    แต่ถ้ามันคือคนของหน่วยพิทักษ์ราชาก็เป็นไปได้ว่าราชาแห่งมาฮาร่าได้เดินทางเข้ามาในคาเธย์แล้ว

     

    ข้อสันนิษฐานจากอับราซัคนั้นน่าคิด    อัคบาร์เองก็คาดเดาได้เช่นกัน

     

    มันจะเป็นใครก็ช่าง  ถ้าราชาแห่งมาฮาร่าอยู่ในคาเธย์ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะดำเนินแผนการขั้นต่อไปโดยไม่มีราชาแห่งมาฮาร่าอยู่เป็นตัวขวาง   รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้นำแห่งเตห์ลา

     

     ยิ่งคืนจันทราอับแสงใกล้เข้ามาเท่าไหร่อำนาจของมาฮาร่าก็จะลดลงมากเท่านั้น  ข้าจะป่วนให้พวกมันต้องวิ่งพล่าน    แก้ทางนี้ทางโน้นก็มีเรื่อง  ปล่อยมือทางโน้นทางนี้ก็ย่ำแย่   ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่มีทางวิ่งแก้ปัญหาได้ทันหรอก   พลังของมันลดถอยลงทุกทีแล้ว  

     

    ท่านจะให้ข้าทำอย่างไรต่อไป ?

     

    งานที่เจ้าถนัดอับราซัค     ปลุกระดม!  อัลมาฮาร์ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากหม้อน้ำเดือดหรอก    สุมไฟเข้าไปอีกหน่อยก็ได้เรื่อง      แม้ไม่ต้องอธิบายมากอับราซัคก็เข้าใจความหมายเป็นอย่างดี

     

    ด้วยความยินดีครับ   ชายหนุ่มค้อมตัวลงน้อมรับคำสั่ง

     

     

     

    แสงอาทิตย์ยามสายสาดส่องไปทั่วบริเวณผืนทรายอันเรียบโล่ง   ความสว่างทำให้มองเห็นเต็นท์พักต่าง ๆ ของคณะสำรวจกระจัดกระจายล้มระเนระนาด    ท่ามกลางความยุ่งเหยิงเหล่านั้นมีร่างของเหล่าคนงานและคณะสำรวจนอนกระจัดกระจายเกลื่อน

     

    แสงแดดที่ส่องกระทบใบหน้าทำให้จัสมินเริ่มขยับตัว   ในชั้นแรกแสงที่จ้าจับดวงหน้าทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะลืมขึ้นใหม่     หญิงสาวมองรอบตัวอย่างงง ๆ ตัวเธอนอนอยู่บนผืนผ้าใบเต็นท์ที่พับพาบมากองรวมกันอยู่

     

     

    ตื่นแล้วเหรอ ?     เสียงถามคุ้นหูดังขึ้นข้างตัว   เมื่อหันไปมองก็พบกับคีลนั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ ถัดไปข้างกายยังมีเจ้าเด็กน้อยมูซานอนหลับอุดตุ    ไม่สนใจแสงแดดที่แผดส่องตรงกระทบหน้า

     

    คีล!   นี่มันเกิดอะไรขึ้น   ทำไมสภาพพวกเราถึงเป็นแบบนี้   แล้วซาเล็มล่ะ   คนอื่น ๆ ด้วย ?     เมื่อลำดับเหตุการณ์ได้แล้วหญิงสาวก็ถามถึงคนอื่น ๆ อย่างร้อนใจ

     

    เมื่อคืนเราโดนพายุน่ะก็เลยมีสภาพอย่างที่เห็น     คำอธิบายไม่น่าจะเป็นไปได้   จัสมินยังจ้องมองชายหนุ่มอย่างจะคาดคั้นเอาคำตอบ

     

    ที่ฉันเห็นมันไม่เป็นแบบนั้นนี่   แล้วเมื่อคืนนายหายไปไหน   ไปทำอะไร ?

     

    แค่ไม่เห็นไม่ได้แปลว่าผมไม่อยู่นี่นา

     

    นั่นไม่ใช่คำตอบ....    จัสมินพูดไม่ทันจบคีลก็ขัดขึ้นเสียก่อน

     

    แล้วคุณจะมาคาดคั้นคำตอบเอากับผมเนี่ยนะ   ผมก็บอกได้เท่าที่รู้    ผมเป็นแค่ไกด์นะครับ

     

    แต่ว่า.....     เธอพูดไม่ทันอีกตามเคย

     

    ผมว่าเราปลุกคนอื่น ๆ ขึ้นมาก่อนดีกว่า      และไม่รอคำตอบจากเธอ    คีลก็หันไปเขย่าตัวลูกสมุนของตนให้ตื่นขึ้นมาอีกคน     จัสมินตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงต้องคาดคั้นต้องการคำตอบจากคีลทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้เขาไม่น่าจะรู้เหมือนกับคนอื่น ๆ นั่นแหละ

     

    เมื่อคืนหลังจากพลัดหลงจากทุกคนเธอก็ได้พบกับผู้ชายชุดดำคนนั้นและอัมซาผู้เป็นวิญญาณอารักษ์   ผู้ชายคนนั้นฝากเธอไว้กับอัมซา    และอัมซาก็พาเธอไปเยี่ยมชมมหาวิหารแห่งมาฮาร่า    วิหารหินสลักอันยิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทราย   แสงจันทร์สาดส่องราวกลางวันก่อให้เกิดแสงสะท้อนวับวาม   ดูยิ่งใหญ่  แข็งแกร่งและงดงามสอดผสานกันได้อย่างลงตัว   

     

    ความคิดทั้งหมดหยุดชะงักเมื่อเสียงพูดคุยของผู้คนเริ่มดังมากขึ้นรอบ ๆ ตัว    เหล่าคนงานรวมถึงคณะของศาสตราจารย์มาร์คลิก   เคลตัน    ทุกคนต่างมีอาการงุนงงสับสนกับสภาพยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้น    ต่างพูดกันเซ็งแซ่    ความหวาดกลัวและเสียขวัญแผ่กระจายครอบคลุมไปทั่ว    

     

    ซาเล็มควบคุมคนงานให้จัดการกางเต็นท์ขึ้นใหม่  ตลอดเวลาเขาเงียบไปไม่เปิดปากคุยกับใคร  ไม่ต่างกับฮัดซันและเบซาร์ที่นั่งเงียบหน้านิ่วพอ ๆ กัน

     

    นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน    เมื่อวานก็มีคนตาย   ตกกลางคืนยังเกิดเรื่องประหลาดขึ้นอีก    พี่เบซาร์ฉันไม่อยากไปแล้วไอ้นครคาเธย์บ้าอะไรนั่นน่ะ    เรากลับกันเถอะ   กลับนะคะอัดซัน    ท้ายประโยคเบนดาฮาร่าหันไปร้องขอกับฮัดซัน

     

    ก็แค่พายุกับความฝันเธอจะโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไม    เบซาร์ดุผู้เป็นน้องแต่สีหน้านั้นซ่อนความวิตกกังวลไว้ไม่มิด

     

    ความฝันเหรอ   ความฝันมันจะทำแบบนี้ได้ยังไง   ข้าวของ  เต็นท์พักพังพินาศหมด   แล้วแต่ละคนต้องเจอกับอะไรก็รู้ ๆ กันอยู่   นั่นยังเรียกว่าแค่ความฝันอีกงั้นเหรอ

     

    เธอจะโวยวายให้มันได้อะไรขึ้นมา     แค่นี้พวกคนงานก็เสียขวัญกันมากพออยู่แล้ว

     

    ฉันก็เสียขวัญเหมือนกัน  ถึงได้บอกให้เรากลับกันไงล่ะ   ไม่ต้องไปสำหร่งสำรวจมันแล้วไอ้นครโบราณนั่นน่ะ

     

    เธอถามคนอื่นเขารึยัง   พูดเองเออเองอยู่คนเดียว    ผู้เป็นพี่ไม่ยินยอมคล้อยตาม  แม้เขาจะรู้ดีทีเดียวว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น    มายามนต์ที่แข็งแกร่งของใครคนหนึ่ง    บันดาลให้คนทั้งคณะสำรวจมองเห็นภาพความน่ากลัว   น่าสยดสยองต่าง ๆ นานา   และถึงจะรู้อย่างนั้นเขาก็ไม่อาจดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอำนาจเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นได้           นี่คือคำเตือนจากมาฮาร่า     แม้ครั้งนี้จะไม่มีใครเป็นอะไรแต่ครั้งต่อไปก็ไม่มีใครกล้ายืนยัน     แต่ถึงอย่างนั้นการเดินทางไปให้ถึงคาเธย์ก็ยังเป็นเป้าหมายสำคัญที่เขาต้องไปอยู่ดี

     

    ไม่ต้องถาม  คนอื่นก็คิดใช่ไหมคะ   ศาสตราจารย์เคลตัน   เกลด้า  ฟอเรียน  เธอด้วยจัสมินเธอก็คิดเหมือนฉันใช่ไหม   เบนดาฮาร่าหันมาทางจัสมินที่ยืนฟังเงียบมาตั้งแต่ต้น   เรื่องที่คนอื่น ๆ เล่าไม่มีใครที่เหมือนเรื่องที่เธอได้พบเลยซักคน 

     

    คือฉัน.....     ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรซาเล็มก็เดินเข้ามารายงานด้วยท่าทางเคร่งเครียด

     

    พวกคนงานไม่ยอมเดินทางต่อครับ   พวกเขากลัวอาถรรพ์   พวกนั้นไม่มีใครยอมไปกับเรา

     

    อะไรนะ! ฮัดซันพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรก

     

    เพราะอะไรถึงจะไม่ยอมไป ?    น้ำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจ  เรื่องแค่นี้เขาไม่ยอมให้มันขัดขวางการสำรวจนครคาเธย์แน่   คนอย่างเขาจะทำอะไรก็ต้องสำเร็จ    ไม่มีคำว่าไม่สำเร็จเด็ดขาด

     

    พวกนั้นส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น   เขาเชื่อเรื่องอาถรรพ์  เรื่องคำสาป   ยิ่งมาเกิดเรื่องแบบนี้ด้วยยิ่งกลัวไปกันใหญ่     ซาเล็มอธิบายด้วยเข้าใจวิถีชีวิตของชาวทะเลทรายด้วยกันดี

     

    ก็ดีแล้วนี่คะ    เราเองก็ควรกลับ   จะมาเสี่ยงทำไมก็ไม่รู้        เบนดาฮาร่าออกความเห็นแต่ถูกฮัดซันมองตาขุ่นไม่สบอารมณ์

     

    ถ้าไม่รู้อะไรก็ไม่ต้องพูด     หญิงสาวขยับจะเถียงแต่ผู้เป็นพี่ชายคว้าข้อมือดึงไว้เพื่อต้องการให้หยุด   สายตาแกมบังคับและแรงบีบที่ข้อมือแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้ายอมสงบปากสงบคำลงไปได้     จัสมินมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างเงียบ ๆ ดูเหมือนว่าเหตุการณ์เมื่อคืนจะส่งผลกับใครหลาย ๆ คน   เพราะมันทำให้พวกเขาแสดงกริยาที่ไม่เคยแสดงมาก่อนเมื่อในยามปกติ

     

    งั้นก็เพิ่มค่าจ้างให้พวกมัน     ฮัดซันหันไปสั่งซาเล็ม

     

    ผมจะลองเจรจากับพวกเขาก็แล้วกัน   ซาเล็มขยับจะถอยออกไปแต่เสียงเรียกทำให้หันกลับมา

     

    เดี๋ยว    เจ้าไกด์นั่นด้วยหรือเปล่าที่บอกว่าจะกลับ     เบซาร์เอ่ยถาม

     

    เปล่าครับ   คีลบอกว่าถ้ายังจะจ้างให้ไปต่อเขาก็ยินดีจะนำทาง   

     

    งั้นเรียกมันเข้ามาที่นี่    ฮัดซันสั่งอย่างวางอำนาจแต่ซาเล็มไม่ถือสาเดินกลับออกไปเงียบ ๆ    ชั่วครู่ชายหนุ่มที่ถูกเรียกหาก็โผล่หน้าเข้ามา    ดวงหน้าและรอยยิ้มยังคงมีอยู่เป็นนิจเสมือนไม่หวาดหวั่นกับเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย

     

    บอกฉันหน่อยซิว่าอีกกี่วันถึงจะถึงคาเธย์     ฮัดซันเอ่ยถามทันที    คีลทำท่าคิดอยู่ชั่วครู่ก็ตอบ

     

    เราเข้าเขตคาเธย์ตั้งแต่เมื่อวาน   อีกสามวันก็น่าจะถึงซากเมืองเก่า

     

    ตั้งแต่เมื่อวาน !   แล้วแกไม่คิดจะรายงานฉันเลยใช่ไหม     ฮัดซันไม่พอใจกับคำตอบและกริยาท่าทางของเจ้าไกด์นี่   มันดูหยิ่งยโสแม้แต่นายจ้างของตัวเองก็ไม่แสดงท่าทียำเกรง

     

    ผมบอกซาเล็มแล้ว

     

    อ้อ   ซาเล็มมันเป็นเจ้านายแกหรือไง 

     

    ไม่มีใครเป็นเจ้านายใครหรอกครับ    ทุกอย่างเป็นการแลกเปลี่ยนตามความพอใจมากกว่า   ผมพอใจในเงินค่าจ้างให้นำทาง   ผมมีหน้าที่นำไปให้ถึงจุดหมายไม่มีหน้าที่รายงานการปฏิบัติงานให้ใครฟัง   ถ้าเรื่องไหนผมเห็นว่าเกี่ยวข้องในส่วนงานของพวกคุณผมถึงจะบอกให้รู้   คุณมีหน้าที่สำรวจก็สำรวจกันไป   หน้าที่ใครหน้าที่มัน

     

    แก!”    

     

    ในสถานการณ์อย่างนี้อย่าเพิ่งมีเรื่องกับคนนำทางจะดีกว่าไหมครับ   คีลบอกอย่างเป็นต่อ     ฮัดซันมองอย่างเข่นเขี้ยว   อยากจะซัดหน้ายิ้ม ๆ นั้นนักแต่เบซาร์รั้งไว้อย่างให้สติ

     

    จัสมินซึ่งจับตามองตั้งแต่คีลก้าวเข้ามา   เธอรู้สึกเหมือนภาพเงาของใครคนหนึ่งทาบทับอยู่กับตัวชายหนุ่ม   คีลนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอสงสัย    ลักษณะที่แผกแตกต่างจากชาวทะเลทรายทั่วไป    ทั้งรูปร่างหน้าตากริยาท่าทาง   รวมถึงคำพูดคำจาที่บ่งบอกถึงภูมิความรู้   จะว่าเป็นเพราะอาชีพที่ทำอยู่ก็ไม่น่าจะใช่   เธอเคยสัมผัสกับคนที่มีอาชีพเหล่านี้พอสมควรแม้จะต่างถิ่นต่างภาษา   แต่ถ้าเป็นไกด์พื้นเมืองแล้วละก้อจะมีจุดหนึ่งที่เหมือนกันคือพวกเขาจะยึดมั่นขนบธรรมเนียม  ความเชื่อที่ปฏิบัติกันมาในแต่ละท้องถิ่น   หวาดกลัวในเรื่องภูตผีปีศาจตามความเชื่อของชนเผ่า    แต่คีลไม่   แม้ปากจะพูดอย่างโน้นอย่างนี้แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีความหวาดกลัวในดวงตาคู่คมที่บางครั้งก็แฝงรอยขำขันขี้เล่นไว้ด้วย

     

    ถ้ายังอยากจะไปกันต่อผมก็จะพาไป   ถ้าอยากจะกลับ  ก็กลับ  ง่าย ๆ  ผมไม่เดือดร้อน      คีลบอกพลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ    ท่าทางกวนโทสะผู้ที่มองอยู่แต่ก็จำต้องข่มใจเพราะขณะนี้ไกด์นำทางถือว่าสำคัญที่สุด

     

    ไม่ต้องให้ทดสอบความอดทนกันมากนักซาเล็มก็เดินกลับเข้ามาด้วยท่าทางหนักใจ    จัสมินจึงสบโอกาสหันไปถามเพื่อสถานการณ์ตึงเครียดอยู่ตอนนี้จะได้คลายลงบ้าง

     

    เป็นอย่างไรสำเร็จไหมซาเล็ม

     

    คนงานบางส่วนยังยอมอยู่ครับ   แต่ส่วนมากขอกลับ

     

    งั้นก็ให้พวกมันกลับไปเลย   ไอ้พวกขี้ขลาด    ฮัดซันเริ่มระงับอารมณ์ไม่อยู่

     

    พวกทหารที่มาดูแลความปลอดภัยของเราจะยังอยู่ต่อครับ    ซาเล็มรายงานเพิ่มเติม

     

    สรุปว่าเราจะไม่กลับกันใช่ไหมคะ ?     คราวนี้เบนดาฮาร่าทนเงียบไม่ได้อีกต่อไป

     

    ถ้าเธออยากจะกลับนักก็ไปกับพวกคนงานโน่นแต่ฉันไม่กลับแน่นอน   เรื่องเหลวไหลไร้สาระแค่นี้หยุดฉันไม่ได้หรอก      คีลเหยียดยิ้ม    แววตาทอแสงกล้าวูบหนึ่งแล้วจางไป    เร็วจนไม่มีใครทันสังเกตเห็น    

     

    ว่าไง  มีใครอยากจะไปอีกบ้าง     ฮัดซันเริ่มเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อย ๆ ภาพพจน์ชายหนุ่มผู้สุขุม  อารมณ์ดีเริ่มหดหายไปทุกที      ทุกคนเงียบงันกันไปหมดแม้แต่เบนดาฮาร่าเองก็ไม่กล้าโวยวายอะไรอีก    แม้จะอยากกลับแค่ไหนแต่ถ้าให้เลือก  เธอเลือกอยู่กับพี่ชายและฮัดซันจะดีกว่า

     

     

    กลุ่มคนงานที่ไม่ยอมร่วมทางสู่นครคาเธย์ต่างเดินทางกลับกันอย่างเร่งรีบ   ทุกคนมีท่าทางหวาดกลัว   ไม่มีใครยอมเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวที่จะอยู่ต่อ    จัสมินยืนมองฝุ่นฟุ้งตลบจากขบวนรถส่วนหนึ่งที่แยกตัวไปจนลับสายตา   พอม่านฝุ่นจางลงจึงได้เห็นคีลยืนอยู่    ที่นั่นหญิงสาวจึงก้าวเท้าเข้าไปหา    ชายหนุ่มหันกลับมาเห็นจึงหยุดยืนรอ

     

    มีอะไรหรือเปล่าครับ ?

     

    นายมาทำอะไรตรงนี้ ?     จัสมินไม่ตอบแต่ย้อนถาม

     

    ผมมาส่งพวกเขา    คีลบอกพลางเริ่มออกเดินทำให้เธอต้องก้าวเท้าตามไปด้วย

     

    นายบอกว่าอีกสามวันจะถึงซากนครคาเธย์ใช่ไหม   ชายหนุ่มพยักหน้ารับแต่สายตาเหม่อมองออกยังจุดเคลื่อนตัวที่เห็นอยู่ลิบ ๆ

     

    นายคิดว่าเรื่องที่พวกเราเจอเมื่อคืนเป็นแค่โดนพายุและฝันไปเท่านั้นเอง

     

    คุณว่ามันน่าเชื่อไหมล่ะ     คีลย้อนถามยิ้ม ๆ

     

    แล้วคุณเชื่อหรือเปล่า ?    คำถามยังตามติดมาอีก

     

    นายเป็นใครคีล ?    ทำไมถึงมานำทางให้พวกเรา   นายมีจุดประสงค์อะไรกันแน่

     

    นำพวกคุณไปให้ถึงนครคาเธย์ตามเงื่อนไขข้อตกลงในสัญญาก็แค่นั้นเอง 

      

    แค่นั้น!”    จัสมินทำหน้าไม่เชื่อถือแม้แต่น้อย

     

    คุณว่าไกด์นำทางจะได้อะไรประโยชน์จากนครคาเธย์มากกว่าเงินค้าจ้างอีกล่ะ    เจอคำย้อนถามนี้เข้าทำเอาจัสมินเถียงไม่ออก

     

    จะไปรู้เหรอ   รู้แต่ว่าท่าทางนายแปลก ๆ ไม่น่าไว้ใจยังไงบอกไม่ถูก

     

    คุณดูยังไงว่าผมไม่น่าไว้ใจ   ผมน่ะไว้ใจได้ที่สุดในบรรดาหนุ่ม ๆ ทั้งคณะนี่เลยนะ    คีลบอกแกมหัวเราะ

     

    หลงตัวเองเกินไปหน่อยละ     หญิงสาวว่าแล้วเดินจากไป   เสียงหัวเราะยังดังไล่หลังมาแต่เธอไม่อยากจะหันกลับไปมอง   เพราะสิ่งที่คีลพูดมันมีความจริงปนอยู่ด้วย   แม้จะสงสัย   คลางแคลงในตัวชายหนุ่มเพียงใด   แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการวางใจปรึกษาหารือด้วยแล้วนอกจากซาเล็มก็มีเพียงคีลเท่านั้นที่เธอวางใจจะเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง    ซึ่งความรู้สึกนี้เธอตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมจึงมีความคิดว่า  คีลจะสามารถให้ความกระจ่างกับเธอได้ทุกเรื่อง  หรือแม้ว่าจะให้ความกระจ่างไม่ได้  แต่อย่างน้อยเขาก็ทำให้เธอสบายใจได้   มันเพราะอะไรกันนะ!

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×