คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : สองทางเลือก
บทที่ 16
สองทางเลือก
กระจกบานใหญ่แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ เศษกระจกเกลื่อนอยู่บนพื้น ชายฉกรรจ์ร่างสูงในชุดคลุมยาวสีคล้ำยืนออกไปไม่ห่าง ดวงตาโชนแสงด้วยความโกรธจัด ใบหน้าขาวซีดมีเหงื่อเกาะพราว อาการหอบเหนื่อยปรากฏให้เห็นเพียงเล็กน้อย เบื้องหลังของเขามีร่างของอับราซัคและลูกสมุนคุกเข่าอยู่ ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบได้ยินเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิดปะทะกับกำแพงหินด้านนอก
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือครับท่าน” อับราซัคกล่าว แขนเสื้อข้างหนึ่งฉีกขาดจากคมมีดที่พุ่งผ่านไปอย่างเฉียดฉิว
“ขออภัยที่ข้าบกพร่อง ไม่มีความสามารถ ข้าขอยอมรับโทษ” คำกล่าวยอมรับผิด ร่างสูงของค่อยๆ หันกลับมาช้า ๆ ดวงตาสีเข้มนั้นนิ่งสนิทเกลื่อนกดความรู้สึกโกรธกรุ่นเมื่อครู่ไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย
“ไม่ต้อง ฝีมือเจ้าสู้เจ้านั่นไม่ได้หรอก ระดับความสามารถมันต่างกัน”
“มันเป็นใครครับ ?” อับราซัคเงยหน้าขึ้นถาม ผู้นำแห่งเตห์ลาไม่ตอบ หากมือข้างหนึ่งบีบอยู่บริเวณต้นแขน ดวงตาฉายแสงวาววับ เลือดที่ซึมออกมาตามแรงสัมผัสไหลเปื้อนเลอะฝ่ามือ ความเจ็บแปลบที่ได้รับยังเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความเจ็บใจ รอยแผลจากคมมีดที่ฝากมาดุจจะหยอกเย้าทักทายและแสดงพลังอำนาจของผู้เป็นเจ้าของที่สามารถสำแดงเดชข้ามผ่านกระจกมนต์ที่เขาใช้เป็นตัวเชื่อมในการตัดผ่านระยะทางดึงตัวสมุนฝีมือดีกลับมา แค่คมมีดที่เกิดจากมนตรากลับทำร้ายเขาให้ได้รับบาดเจ็บได้!
“ท่านได้รับบาดเจ็บ!...เอ่อ..” อับราซัคอุทานด้วยไม่คาดคิดว่าผู้นำแห่งตนก็ยังพลาดพลั้ง หากสายตาคมวับที่มองมาทำให้ต้องรีบสงบคำ
“มันเป็นใคร.....” ร่างสูงทวนคำถามแววตาคุกรุ่นเมื่อครู่สงบลงอีกครั้ง ความสงบสุขุมเข้ามาแทนที่
“ข้ามองตัวตนที่แท้จริงของมันไม่ออก” ผู้ฟังไม่กล้าปริปากซักถามต่อในเมื่อ ’ท่านอัคบาร์’ ผู้มีศักดิ์เป็นถึงผู้นำแห่งเตห์ลา ผู้ที่ได้รับการยอมรับในพลังอำนาจว่าสูงสุดเหนือเตห์ลาทั้งปวงยังเอ่ยปากออกมาอย่างนั้น
“เจ้านั่นนับว่าฝีมือจัดอยู่ในขั้นสูง มันต้องเป็นคนในสภามาฮาร่าแน่นอน”
“พวกในสภานั่นเก่งมากหรือครับ ?” แม้จะเคยได้ยินได้ฟังมาแต่เพราะความทระนงในตนเองทำให้อับราซัคไม่ค่อยเชื่อ หากคราวนี้เห็นทีต้องศึกษาให้แน่อีกครั้ง
“เก่ง.....แต่ก็เฉพาะบางคนเท่านั้น ในสภามาฮาร่าเองก็มีหลายพวกหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มทำหน้าที่แตกต่างกัน กลุ่มที่เราต้องระวังที่สุดมีเพียงกลุ่มเดียวคือหน่วยที่ทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ราชา พวกนี้ถูกคัดเลือกมาจากเด็กที่มีสายเลือดมาฮาร่า ได้รับการอบรมปลูกฝังทั้งด้านวิชาอาคม การต่อสู้ทุกรูปแบบ ต้องถือว่าพวกมันเป็นกำลังสำคัญในมาฮาร่าเลยทีเดียว”
“งั้นเจ้านั่นก็อาจจะเป็นคนในหน่วยพิทักษ์ราชาก็ได้” อับราซัคให้ความเห็น
“ก็อาจใช่หรือไม่ใช่ได้ทั้งนั้น” อัคบาร์ยังไม่ด่วนสรุป
“แต่ถ้ามันคือคนของหน่วยพิทักษ์ราชาก็เป็นไปได้ว่าราชาแห่งมาฮาร่าได้เดินทางเข้ามาในคาเธย์แล้ว”
ข้อสันนิษฐานจากอับราซัคนั้นน่าคิด อัคบาร์เองก็คาดเดาได้เช่นกัน
“มันจะเป็นใครก็ช่าง ถ้าราชาแห่งมาฮาร่าอยู่ในคาเธย์ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะดำเนินแผนการขั้นต่อไปโดยไม่มีราชาแห่งมาฮาร่าอยู่เป็นตัวขวาง” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้นำแห่งเตห์ลา
“ยิ่งคืนจันทราอับแสงใกล้เข้ามาเท่าไหร่อำนาจของมาฮาร่าก็จะลดลงมากเท่านั้น ข้าจะป่วนให้พวกมันต้องวิ่งพล่าน แก้ทางนี้ทางโน้นก็มีเรื่อง ปล่อยมือทางโน้นทางนี้ก็ย่ำแย่ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่มีทางวิ่งแก้ปัญหาได้ทันหรอก พลังของมันลดถอยลงทุกทีแล้ว”
“ท่านจะให้ข้าทำอย่างไรต่อไป ?”
“งานที่เจ้าถนัดอับราซัค ปลุกระดม! อัลมาฮาร์ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากหม้อน้ำเดือดหรอก สุมไฟเข้าไปอีกหน่อยก็ได้เรื่อง” แม้ไม่ต้องอธิบายมากอับราซัคก็เข้าใจความหมายเป็นอย่างดี
“ด้วยความยินดีครับ” ชายหนุ่มค้อมตัวลงน้อมรับคำสั่ง
แสงอาทิตย์ยามสายสาดส่องไปทั่วบริเวณผืนทรายอันเรียบโล่ง ความสว่างทำให้มองเห็นเต็นท์พักต่าง ๆ ของคณะสำรวจกระจัดกระจายล้มระเนระนาด ท่ามกลางความยุ่งเหยิงเหล่านั้นมีร่างของเหล่าคนงานและคณะสำรวจนอนกระจัดกระจายเกลื่อน
แสงแดดที่ส่องกระทบใบหน้าทำให้จัสมินเริ่มขยับตัว ในชั้นแรกแสงที่จ้าจับดวงหน้าทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะลืมขึ้นใหม่ หญิงสาวมองรอบตัวอย่างงง ๆ ตัวเธอนอนอยู่บนผืนผ้าใบเต็นท์ที่พับพาบมากองรวมกันอยู่
“ตื่นแล้วเหรอ ?” เสียงถามคุ้นหูดังขึ้นข้างตัว เมื่อหันไปมองก็พบกับคีลนั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ ถัดไปข้างกายยังมีเจ้าเด็กน้อยมูซานอนหลับอุดตุ ไม่สนใจแสงแดดที่แผดส่องตรงกระทบหน้า
“คีล! นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมสภาพพวกเราถึงเป็นแบบนี้ แล้วซาเล็มล่ะ คนอื่น ๆ ด้วย ?” เมื่อลำดับเหตุการณ์ได้แล้วหญิงสาวก็ถามถึงคนอื่น ๆ อย่างร้อนใจ
“เมื่อคืนเราโดนพายุน่ะก็เลยมีสภาพอย่างที่เห็น” คำอธิบายไม่น่าจะเป็นไปได้ จัสมินยังจ้องมองชายหนุ่มอย่างจะคาดคั้นเอาคำตอบ
“ที่ฉันเห็นมันไม่เป็นแบบนั้นนี่ แล้วเมื่อคืนนายหายไปไหน ไปทำอะไร ?”
“แค่ไม่เห็นไม่ได้แปลว่าผมไม่อยู่นี่นา”
“นั่นไม่ใช่คำตอบ....” จัสมินพูดไม่ทันจบคีลก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“แล้วคุณจะมาคาดคั้นคำตอบเอากับผมเนี่ยนะ ผมก็บอกได้เท่าที่รู้ ผมเป็นแค่ไกด์นะครับ”
“แต่ว่า.....” เธอพูดไม่ทันอีกตามเคย
“ผมว่าเราปลุกคนอื่น ๆ ขึ้นมาก่อนดีกว่า” และไม่รอคำตอบจากเธอ คีลก็หันไปเขย่าตัวลูกสมุนของตนให้ตื่นขึ้นมาอีกคน จัสมินตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงต้องคาดคั้นต้องการคำตอบจากคีลทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้เขาไม่น่าจะรู้เหมือนกับคนอื่น ๆ นั่นแหละ
เมื่อคืนหลังจากพลัดหลงจากทุกคนเธอก็ได้พบกับผู้ชายชุดดำคนนั้นและอัมซาผู้เป็นวิญญาณอารักษ์ ผู้ชายคนนั้นฝากเธอไว้กับอัมซา และอัมซาก็พาเธอไปเยี่ยมชมมหาวิหารแห่งมาฮาร่า วิหารหินสลักอันยิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทราย แสงจันทร์สาดส่องราวกลางวันก่อให้เกิดแสงสะท้อนวับวาม ดูยิ่งใหญ่ แข็งแกร่งและงดงามสอดผสานกันได้อย่างลงตัว
ความคิดทั้งหมดหยุดชะงักเมื่อเสียงพูดคุยของผู้คนเริ่มดังมากขึ้นรอบ ๆ ตัว เหล่าคนงานรวมถึงคณะของศาสตราจารย์มาร์คลิก เคลตัน ทุกคนต่างมีอาการงุนงงสับสนกับสภาพยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้น ต่างพูดกันเซ็งแซ่ ความหวาดกลัวและเสียขวัญแผ่กระจายครอบคลุมไปทั่ว
ซาเล็มควบคุมคนงานให้จัดการกางเต็นท์ขึ้นใหม่ ตลอดเวลาเขาเงียบไปไม่เปิดปากคุยกับใคร ไม่ต่างกับฮัดซันและเบซาร์ที่นั่งเงียบหน้านิ่วพอ ๆ กัน
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เมื่อวานก็มีคนตาย ตกกลางคืนยังเกิดเรื่องประหลาดขึ้นอีก พี่เบซาร์ฉันไม่อยากไปแล้วไอ้นครคาเธย์บ้าอะไรนั่นน่ะ เรากลับกันเถอะ กลับนะคะอัดซัน” ท้ายประโยคเบนดาฮาร่าหันไปร้องขอกับฮัดซัน
“ก็แค่พายุกับความฝันเธอจะโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไม” เบซาร์ดุผู้เป็นน้องแต่สีหน้านั้นซ่อนความวิตกกังวลไว้ไม่มิด
“ความฝันเหรอ ความฝันมันจะทำแบบนี้ได้ยังไง ข้าวของ เต็นท์พักพังพินาศหมด แล้วแต่ละคนต้องเจอกับอะไรก็รู้ ๆ กันอยู่ นั่นยังเรียกว่าแค่ความฝันอีกงั้นเหรอ”
“เธอจะโวยวายให้มันได้อะไรขึ้นมา แค่นี้พวกคนงานก็เสียขวัญกันมากพออยู่แล้ว”
“ฉันก็เสียขวัญเหมือนกัน ถึงได้บอกให้เรากลับกันไงล่ะ ไม่ต้องไปสำหร่งสำรวจมันแล้วไอ้นครโบราณนั่นน่ะ”
“เธอถามคนอื่นเขารึยัง พูดเองเออเองอยู่คนเดียว” ผู้เป็นพี่ไม่ยินยอมคล้อยตาม แม้เขาจะรู้ดีทีเดียวว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น มายามนต์ที่แข็งแกร่งของใครคนหนึ่ง บันดาลให้คนทั้งคณะสำรวจมองเห็นภาพความน่ากลัว น่าสยดสยองต่าง ๆ นานา และถึงจะรู้อย่างนั้นเขาก็ไม่อาจดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอำนาจเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นได้ นี่คือคำเตือนจากมาฮาร่า แม้ครั้งนี้จะไม่มีใครเป็นอะไรแต่ครั้งต่อไปก็ไม่มีใครกล้ายืนยัน แต่ถึงอย่างนั้นการเดินทางไปให้ถึงคาเธย์ก็ยังเป็นเป้าหมายสำคัญที่เขาต้องไปอยู่ดี
“ไม่ต้องถาม คนอื่นก็คิดใช่ไหมคะ ศาสตราจารย์เคลตัน เกลด้า ฟอเรียน เธอด้วยจัสมินเธอก็คิดเหมือนฉันใช่ไหม” เบนดาฮาร่าหันมาทางจัสมินที่ยืนฟังเงียบมาตั้งแต่ต้น เรื่องที่คนอื่น ๆ เล่าไม่มีใครที่เหมือนเรื่องที่เธอได้พบเลยซักคน
“คือฉัน.....” ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรซาเล็มก็เดินเข้ามารายงานด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“พวกคนงานไม่ยอมเดินทางต่อครับ พวกเขากลัวอาถรรพ์ พวกนั้นไม่มีใครยอมไปกับเรา”
“อะไรนะ! ฮัดซันพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรก
“เพราะอะไรถึงจะไม่ยอมไป ?” น้ำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจ เรื่องแค่นี้เขาไม่ยอมให้มันขัดขวางการสำรวจนครคาเธย์แน่ คนอย่างเขาจะทำอะไรก็ต้องสำเร็จ ไม่มีคำว่าไม่สำเร็จเด็ดขาด
“พวกนั้นส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น เขาเชื่อเรื่องอาถรรพ์ เรื่องคำสาป ยิ่งมาเกิดเรื่องแบบนี้ด้วยยิ่งกลัวไปกันใหญ่” ซาเล็มอธิบายด้วยเข้าใจวิถีชีวิตของชาวทะเลทรายด้วยกันดี
“ก็ดีแล้วนี่คะ เราเองก็ควรกลับ จะมาเสี่ยงทำไมก็ไม่รู้” เบนดาฮาร่าออกความเห็นแต่ถูกฮัดซันมองตาขุ่นไม่สบอารมณ์
“ถ้าไม่รู้อะไรก็ไม่ต้องพูด” หญิงสาวขยับจะเถียงแต่ผู้เป็นพี่ชายคว้าข้อมือดึงไว้เพื่อต้องการให้หยุด สายตาแกมบังคับและแรงบีบที่ข้อมือแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้ายอมสงบปากสงบคำลงไปได้ จัสมินมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างเงียบ ๆ ดูเหมือนว่าเหตุการณ์เมื่อคืนจะส่งผลกับใครหลาย ๆ คน เพราะมันทำให้พวกเขาแสดงกริยาที่ไม่เคยแสดงมาก่อนเมื่อในยามปกติ
“งั้นก็เพิ่มค่าจ้างให้พวกมัน” ฮัดซันหันไปสั่งซาเล็ม
“ผมจะลองเจรจากับพวกเขาก็แล้วกัน” ซาเล็มขยับจะถอยออกไปแต่เสียงเรียกทำให้หันกลับมา
“เดี๋ยว เจ้าไกด์นั่นด้วยหรือเปล่าที่บอกว่าจะกลับ” เบซาร์เอ่ยถาม
“เปล่าครับ คีลบอกว่าถ้ายังจะจ้างให้ไปต่อเขาก็ยินดีจะนำทาง”
“งั้นเรียกมันเข้ามาที่นี่” ฮัดซันสั่งอย่างวางอำนาจแต่ซาเล็มไม่ถือสาเดินกลับออกไปเงียบ ๆ ชั่วครู่ชายหนุ่มที่ถูกเรียกหาก็โผล่หน้าเข้ามา ดวงหน้าและรอยยิ้มยังคงมีอยู่เป็นนิจเสมือนไม่หวาดหวั่นกับเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
“บอกฉันหน่อยซิว่าอีกกี่วันถึงจะถึงคาเธย์” ฮัดซันเอ่ยถามทันที คีลทำท่าคิดอยู่ชั่วครู่ก็ตอบ
“เราเข้าเขตคาเธย์ตั้งแต่เมื่อวาน อีกสามวันก็น่าจะถึงซากเมืองเก่า”
“ตั้งแต่เมื่อวาน ! แล้วแกไม่คิดจะรายงานฉันเลยใช่ไหม” ฮัดซันไม่พอใจกับคำตอบและกริยาท่าทางของเจ้าไกด์นี่ มันดูหยิ่งยโสแม้แต่นายจ้างของตัวเองก็ไม่แสดงท่าทียำเกรง
“ผมบอกซาเล็มแล้ว”
“อ้อ ซาเล็มมันเป็นเจ้านายแกหรือไง”
“ไม่มีใครเป็นเจ้านายใครหรอกครับ ทุกอย่างเป็นการแลกเปลี่ยนตามความพอใจมากกว่า ผมพอใจในเงินค่าจ้างให้นำทาง ผมมีหน้าที่นำไปให้ถึงจุดหมายไม่มีหน้าที่รายงานการปฏิบัติงานให้ใครฟัง ถ้าเรื่องไหนผมเห็นว่าเกี่ยวข้องในส่วนงานของพวกคุณผมถึงจะบอกให้รู้ คุณมีหน้าที่สำรวจก็สำรวจกันไป หน้าที่ใครหน้าที่มัน”
“แก!”
“ในสถานการณ์อย่างนี้อย่าเพิ่งมีเรื่องกับคนนำทางจะดีกว่าไหมครับ” คีลบอกอย่างเป็นต่อ ฮัดซันมองอย่างเข่นเขี้ยว อยากจะซัดหน้ายิ้ม ๆ นั้นนักแต่เบซาร์รั้งไว้อย่างให้สติ
จัสมินซึ่งจับตามองตั้งแต่คีลก้าวเข้ามา เธอรู้สึกเหมือนภาพเงาของใครคนหนึ่งทาบทับอยู่กับตัวชายหนุ่ม คีลนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอสงสัย ลักษณะที่แผกแตกต่างจากชาวทะเลทรายทั่วไป ทั้งรูปร่างหน้าตากริยาท่าทาง รวมถึงคำพูดคำจาที่บ่งบอกถึงภูมิความรู้ จะว่าเป็นเพราะอาชีพที่ทำอยู่ก็ไม่น่าจะใช่ เธอเคยสัมผัสกับคนที่มีอาชีพเหล่านี้พอสมควรแม้จะต่างถิ่นต่างภาษา แต่ถ้าเป็นไกด์พื้นเมืองแล้วละก้อจะมีจุดหนึ่งที่เหมือนกันคือพวกเขาจะยึดมั่นขนบธรรมเนียม ความเชื่อที่ปฏิบัติกันมาในแต่ละท้องถิ่น หวาดกลัวในเรื่องภูตผีปีศาจตามความเชื่อของชนเผ่า แต่คีลไม่ แม้ปากจะพูดอย่างโน้นอย่างนี้แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีความหวาดกลัวในดวงตาคู่คมที่บางครั้งก็แฝงรอยขำขันขี้เล่นไว้ด้วย
“ถ้ายังอยากจะไปกันต่อผมก็จะพาไป ถ้าอยากจะกลับ ก็กลับ ง่าย ๆ ผมไม่เดือดร้อน” คีลบอกพลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ท่าทางกวนโทสะผู้ที่มองอยู่แต่ก็จำต้องข่มใจเพราะขณะนี้ไกด์นำทางถือว่าสำคัญที่สุด
ไม่ต้องให้ทดสอบความอดทนกันมากนักซาเล็มก็เดินกลับเข้ามาด้วยท่าทางหนักใจ จัสมินจึงสบโอกาสหันไปถามเพื่อสถานการณ์ตึงเครียดอยู่ตอนนี้จะได้คลายลงบ้าง
“เป็นอย่างไรสำเร็จไหมซาเล็ม”
“คนงานบางส่วนยังยอมอยู่ครับ แต่ส่วนมากขอกลับ”
“งั้นก็ให้พวกมันกลับไปเลย ไอ้พวกขี้ขลาด” ฮัดซันเริ่มระงับอารมณ์ไม่อยู่
“พวกทหารที่มาดูแลความปลอดภัยของเราจะยังอยู่ต่อครับ” ซาเล็มรายงานเพิ่มเติม
“สรุปว่าเราจะไม่กลับกันใช่ไหมคะ ?” คราวนี้เบนดาฮาร่าทนเงียบไม่ได้อีกต่อไป
“ถ้าเธออยากจะกลับนักก็ไปกับพวกคนงานโน่นแต่ฉันไม่กลับแน่นอน เรื่องเหลวไหลไร้สาระแค่นี้หยุดฉันไม่ได้หรอก” คีลเหยียดยิ้ม แววตาทอแสงกล้าวูบหนึ่งแล้วจางไป เร็วจนไม่มีใครทันสังเกตเห็น
“ว่าไง มีใครอยากจะไปอีกบ้าง” ฮัดซันเริ่มเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อย ๆ ภาพพจน์ชายหนุ่มผู้สุขุม อารมณ์ดีเริ่มหดหายไปทุกที ทุกคนเงียบงันกันไปหมดแม้แต่เบนดาฮาร่าเองก็ไม่กล้าโวยวายอะไรอีก แม้จะอยากกลับแค่ไหนแต่ถ้าให้เลือก เธอเลือกอยู่กับพี่ชายและฮัดซันจะดีกว่า
กลุ่มคนงานที่ไม่ยอมร่วมทางสู่นครคาเธย์ต่างเดินทางกลับกันอย่างเร่งรีบ ทุกคนมีท่าทางหวาดกลัว ไม่มีใครยอมเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวที่จะอยู่ต่อ จัสมินยืนมองฝุ่นฟุ้งตลบจากขบวนรถส่วนหนึ่งที่แยกตัวไปจนลับสายตา พอม่านฝุ่นจางลงจึงได้เห็นคีลยืนอยู่ ณ ที่นั่นหญิงสาวจึงก้าวเท้าเข้าไปหา ชายหนุ่มหันกลับมาเห็นจึงหยุดยืนรอ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ ?”
“นายมาทำอะไรตรงนี้ ?” จัสมินไม่ตอบแต่ย้อนถาม
“ผมมาส่งพวกเขา” คีลบอกพลางเริ่มออกเดินทำให้เธอต้องก้าวเท้าตามไปด้วย
“นายบอกว่าอีกสามวันจะถึงซากนครคาเธย์ใช่ไหม” ชายหนุ่มพยักหน้ารับแต่สายตาเหม่อมองออกยังจุดเคลื่อนตัวที่เห็นอยู่ลิบ ๆ
“นายคิดว่าเรื่องที่พวกเราเจอเมื่อคืนเป็นแค่โดนพายุและฝันไปเท่านั้นเอง”
“คุณว่ามันน่าเชื่อไหมล่ะ” คีลย้อนถามยิ้ม ๆ
“แล้วคุณเชื่อหรือเปล่า ?” คำถามยังตามติดมาอีก
“นายเป็นใครคีล ? ทำไมถึงมานำทางให้พวกเรา นายมีจุดประสงค์อะไรกันแน่”
“นำพวกคุณไปให้ถึงนครคาเธย์ตามเงื่อนไขข้อตกลงในสัญญาก็แค่นั้นเอง”
“แค่นั้น!” จัสมินทำหน้าไม่เชื่อถือแม้แต่น้อย
“คุณว่าไกด์นำทางจะได้อะไรประโยชน์จากนครคาเธย์มากกว่าเงินค้าจ้างอีกล่ะ” เจอคำย้อนถามนี้เข้าทำเอาจัสมินเถียงไม่ออก
“จะไปรู้เหรอ รู้แต่ว่าท่าทางนายแปลก ๆ ไม่น่าไว้ใจยังไงบอกไม่ถูก”
“คุณดูยังไงว่าผมไม่น่าไว้ใจ ผมน่ะไว้ใจได้ที่สุดในบรรดาหนุ่ม ๆ ทั้งคณะนี่เลยนะ” คีลบอกแกมหัวเราะ
“หลงตัวเองเกินไปหน่อยละ” หญิงสาวว่าแล้วเดินจากไป เสียงหัวเราะยังดังไล่หลังมาแต่เธอไม่อยากจะหันกลับไปมอง เพราะสิ่งที่คีลพูดมันมีความจริงปนอยู่ด้วย แม้จะสงสัย คลางแคลงในตัวชายหนุ่มเพียงใด แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการวางใจปรึกษาหารือด้วยแล้วนอกจากซาเล็มก็มีเพียงคีลเท่านั้นที่เธอวางใจจะเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง ซึ่งความรู้สึกนี้เธอตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมจึงมีความคิดว่า คีลจะสามารถให้ความกระจ่างกับเธอได้ทุกเรื่อง หรือแม้ว่าจะให้ความกระจ่างไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ทำให้เธอสบายใจได้ มันเพราะอะไรกันนะ!
ความคิดเห็น