คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทเพลงส่งวิญญาณ
บทที่ 9
บทเพลงส่งวิญญาณ
จัสมินรู้สึกกระสับกระส่ายมาตั้งแต่เย็น บรรยากาศในวันนี้อบอ้าว อึมครึมอย่างไรพิกล เธอรู้สึกเหมือนรอบตัวมีความเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างที่กดดันและบีบคั้นจนเกิดความรู้สึกกระวนกระวายใจ จนเมื่อล้มตัวลงนอนความรู้สึกนั้นก็ยังคงอยู่ หญิงสาวรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นจะว่ายังไม่หลับหรือหลับแล้วฝันไปก็ไม่แน่ แต่เธอพบว่าตนเองยืนอยู่บนเนินทรายเนินหนึ่ง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาราทอประกายบนผืนผ้ากำมะหยี่สีดำสนิท ลมทะเลทรายพัดพาความเย็นยะเยือกเข้ามากระทบจนหนาวเหน็บ รอบตัวเธอมีแต่ความมืด
หากแล้วสายตาก็พบเข้ากับแสงเล็ก ๆ คล้ายหิ่งห้อยนับสิบ ๆ ดวงที่ลอยตัวช้า ๆ ค่อยสูงขึ้นไป จัสมินเพ่งมองในความมืด เมื่อสายตาเริ่มชินเธอก็สามารถมองเห็นกลุ่มคนในชุดดำเกือบ 20 คนยืนโอบล้อมเป็นรูปวงกลมพึมพำสวดอะไรบางอย่างในภาษาที่เธอไม่เคยคุ้น แต่ท่วงทำนองและถ้อยคำที่จับได้ทำให้รู้ว่าภาษาที่บุคคลลึกลับกลุ่มนั้นใช้เป็นภาษาที่เก่าแก่มาก และมันเป็นภาษาที่ในปัจจุบันไม่มีใครใช้กันอีกแล้ว!
ท่วงทำนองและกระแสเสียงนั้นขับไล่ความอึดอัดบีบรัดที่มีมาตั้งแต่เย็นให้มลายหายไป ความอบอุ่นผ่อนคลายในทุกอณูอากาศแล่นเข้ามาแทนที่ จัสมินหลับตาลงซึมซับท่วงทำนองนั้นอย่างสุขใจ
“คุณก็สัมผัสคลื่นวิญญาณได้ซินะ” จู่ ๆ เสียงถามก็ดังขึ้นข้าง ๆ ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เมื่อหันไปมองก็พบร่างในชุดคลุมดำยืนอยู่ใกล้ ๆ เธอจำได้ ผู้ชายชุดดำคนนั้น คนที่จับเธอไว้ในความฝันครั้งก่อน เอ๋....แต่นี่เธอกำลังฝันอยู่ไม่ใช่หรือ!?
“คุณ....” จัสมินพูดไม่ออก ทำไมจู่ ๆ ผู้ชายคนนี้ถึงโผล่มาข้างตัวเธอได้โดยไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
“คุณเป็นใคร ?” หญิงสาวเอ่ยออกมาได้ในที่สุด
“เรา...คือผู้ท่องเที่ยวไปในราตรีกาลและถิ่นท้องทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล”
“คุณเป็นเบดูอินงั้นหรือ !?” จัสมินถามอย่างไม่มั่นใจนัก ลักษณะของผู้ชายตรงหน้าไม่เหมือนเบดูอินคนไหนที่เธอเคยพบ
“คิดว่าใช่ไหมล่ะ ?” คำย้อนถามกลับมาทำให้หญิงสาวต้องนิ่งคิด แล้วชื่อหนึ่งก็วาบเข้ามาในความทรงจำ
“มาฮาร่า!” ร่างในชุดดำไม่ตอบรับหรือปฏิเสธยังคงยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะพูดอะไร หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“พวกคุณทำอะไรกัน ?” นิ่งไปนานกว่าจะมีเสียงตอบกลับมา
“บทเพลงส่งวิญญาณ”
“หมายถึงอะไร บทเพลงส่งวิญญาณ ?” ตอนนี้แสงเล็ก ๆ คล้ายหิ่งห้อยที่มองเห็นอยู่เมื่อครู่ได้จางหายไปหมดแล้ว รอบตัวเธอขณะนี้จึงมีแต่ความมืดและดวงดาวที่พร่างพรายบนท้องฟ้าเท่านั้น
“คืนนี้คุณรู้สึกอึดอัดกระสับกระส่ายใช่ไหม ?” น้ำเสียงที่ถามยังเรียบเรื่อยไม่อาจจับความรู้สึกได้
“ใช่ คุณรู้ได้ยังไง ?”
“นั่นเป็นเพราะคุณสามารถสัมผัสกับคลื่นวิญญาณได้จึงทำให้รู้สึกแบบนั้น คืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งวิญญาณ ทุก ๆ ปีในคืนที่มืดมิดที่สุด เหล่าดวงวิญญาณที่เสียชีวิตในถิ่นทะเลทรายและยังวนเวียนล่องลอยอยู่จะปรากฏให้ผู้คนเห็น”
“วิญญาณ!” น้ำเสียงของหญิงสาวบ่งบอกความไม่เชื่อถือ
“นี่มันสมัยไหนกันแล้ว มีที่ไหนกันเรื่องผีสางดวงวิญญาณ” คล้ายเธอจะได้ยินเสียงหัวเราะขบขันเบา ๆ จากร่างในชุดคลุมดำนั้น
“การที่เหล่าดวงวิญญาณมารวมตัวกันมาก ๆ จะเกิดคลื่นความกดดันกับบุคคลที่สามารถสัมผัสคลื่นวิญญาณได้ทำให้รู้สึกกดดัน บีบคั้น อึดอัดกระสับกระส่าย” น้ำเสียงเรียบเรื่อยบอกเล่าต่อไปไม่สนใจที่ถูกขัดคอ
“และในทุก ๆ ปีของค่ำคืนแห่งวิญญาณ พวกเรามีหน้าที่ชำระล้างดวงวิญญาณเหล่านั้นให้ไปสู่ชะตากรรมของวิญญาณแต่ละดวงด้วยบทเพลงที่คุณได้ยินเมื่อครู่”
“บทเพลงส่งวิญญาณ ?” จัสมินเอ่ยทวนชื่อบทเพลงนั้น
“นั่นเป็นภาษาที่เก่าแก่มากไม่น่าจะมีใครใช้ได้อีกแล้ว”
“มนุษย์เชื่อในสิ่งที่ตนเห็นเสมอ”
“ถ้าไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น แล้วจะให้เชื่อในอะไร ?” หญิงสาวย้อนถาม
“เชื่อในสิ่งที่ใจสัมผัส รับรู้ ใจคุณรู้สึกรับรู้ได้ถึงสิ่งรอบ ๆ ตัว แต่เหตุผลทางวิทยาศาสตร์และวิชาที่คุณร่ำเรียนมาทำให้กระบวนการคิดของคุณไตร่ตรองหาเหตุหาผลและปฏิเสธสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้”
“แล้วที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้ล่ะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่มันคืออะไร ความฝันหรือความจริง”
“ถ้าคิดว่าฝัน มันก็คือฝัน”
“ถ้าคิดว่าจริงมันก็จริงงั้นซิ ?” จัสมินย้อนถามอย่างไม่พอใจ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะลื่นไหลไม่ยอมตอบคำถามเธอเลยซักนิด ร่างในชุดดำแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาวไม่ตอบอะไร
“ขอฉันถามอะไรได้ไหม ?” เธอเอ่ยถามหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่มีคำตอบรับแต่ก็ไม่มีการปฏิเสธ
“มาฮาร่ามีอยู่จริงใช่ไหม ?” ร่างที่แหงนเงยขึ้นมองดวงดาวยังนิ่งตรึงไม่ขยับ สายลมอันเยือกเย็นพัดเปลี่ยนทิศ พาเอากลิ่นหอมจาง ๆ ลอยมาตามลม ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมยี่ห้อใดที่เธอเคยรู้จักแน่นอน หญิงสาวนึกพลางขยับเข้าไปใกล้ร่างที่ยืนนิ่งอยู่นั่นอีกนิดเพื่อหาต้นตอของกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่พัดมาตามลม
นานช้ากว่าร่างที่ยืนสงบนิ่งนั้นจะขยับตัวและเสียงเอ่ยตอบก็ตามมา
“รู้แล้วได้อะไร ไม่รู้แล้วได้อะไร” เป็นคำตอบที่ไม่เข้าท่าที่สุดเท่าที่เคยฟังมา
“รู้เพื่อขจัดความไม่รู้ไงล่ะ” จัสมินโต้
“ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งอยากรู้ต่อไปไม่มีวันหยุด ความลำบากจะเพิ่มพูนขึ้นตามความรู้นั้น สู้ไม่รู้เสียเลยจะดีกว่า เป็นสุขกว่า”
“นั่นเป็นความคิดของคนขี้เกียจ คนที่ไม่ยอมพัฒนาตนเอง พวกถ่วงความเจริญของสังคม”
“ความคิดของคุณก้าวหน้ามากนัก แต่รู้ไหม การก้าวเร็วไปก็ทำให้สะดุดหกล้มได้”
“การที่เราก้าวแล้วหกล้มยังดีกว่าอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนไปทางไหน ล้มแล้วยังลุกเดินต่อไปได้ดีกว่ากลัวที่จะล้มแล้วย่ำอยู่กับที่”
“คุณฉลาด หวังว่าความฉลาดของคุณจะเป็นประโยชน์ต่ออัลมาฮาร์ในภายภาคหน้า” ร่างในชุดดำบอกพลางเริ่มออกเดิน หญิงสาวจึงก้าวตาม
“เดี๋ยวก่อน คุณยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย”
“คืนนี้เหล่าดวงวิญญาณได้รับการชำระล้างแล้ว และนี่ก็ดึกมาก คุณควรพักผ่อนสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ กลับไปได้แล้ว!” น้ำเสียงเรียบเรื่อยดังเข้ามาในโสตประสาทการรับรู้ เหมือนบทขับกล่อมที่ทำให้คนฟังรู้สึกง่วงงุนจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
“เดี๋ยว........ฉันมีเรื่องจะถามอีกนิด” เธอได้ยินเสียงตนเองพึมพำก่อนการรับรู้ทั้งหมดจะดับวูบไป
“ท่านก็ควรพักผ่อนเช่นกัน” เสียงที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ร่างสูงหันกลับมา เงาร่างลางเลือนค่อย ๆ ชัดขึ้นสว่างขึ้นในความมืด ชายฉกรรจ์ในชุดดำรัดกุมคุกเข่าอยู่บนเนินทราย
“ค่ำคืนแห่งวิญญาณ ท่านไม่ต้องการชำระล้างดวงวิญญาณบ้างหรืออัมซา ?” ชายหนุ่มในชุดดำเดินช้าๆ ตรงมาหยุดอยู่เบื้องหน้า
“ไม่ !” ผู้ถูกขานนามอัมซาตอบอย่างมั่นคง
“ข้าไม่ยอมรับการชำระล้างจนกว่างานในหน้าที่ของข้าจะสำเร็จ”
“ท่านทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แล้ว หน้าที่ของท่านเสร็จสิ้นเมื่อกว่าพันปีก่อน”
“มิได้ ผู้เป็นองครักษ์แต่ไม่สามารถปกป้องผู้ที่ตนเองพิทักษ์ไว้ได้ย่อมถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่”
“อัมซา กาลเวลาล่วงผ่านมาเนิ่นนานนักหนาแล้ว”
“และมันกำลังจะหมุนวนทับซ้อนกันอีกครั้ง” อัมซาต่อคำ
“ทำไมท่านไม่ปล่อยวาง ?” น้ำเสียงที่ถามออกจะอ่อนใจ ร่างที่คุกเข่าเงยหน้าขึ้นตอบด้วยรอยยิ้ม
“ข้ารอคอยมาเนิ่นนาน ผ่านความเวิ้งว้างว่างเปล่าแห่งกาลเวลาจนได้พบท่าน ข้าไม่รู้ว่าทำไม ข้ารู้แต่ว่าท่านคือคนที่ข้าต้องพิทักษ์ ต้องปกป้อง ท่านคือผู้ที่จะทำให้ข้าหลุดพ้นจากความว่างเปล่าที่ข้าเฝ้ารอ”
“เอาละ ฉันไม่อยากเถียงกับวิญญาณดื้ออย่างท่าน แล้วมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ?”
“ท่านมาฮานเป็นห่วงเรียกข้าไปพบเพื่อถามข่าวคราวท่าน”
“แล้วไง”
“ข้าบอกว่าท่านสบายดี อาจจะดีกว่าเมื่ออยู่ในวิหารเสียด้วยซ้ำ” วิญญาณอัมซาบอกแกมหัวเราะ
“ท่านมาฮานยังฝากเตือนมาเรื่องกองโจรชิราช รู้สึกว่าพวกมันจะเคลื่อนไหวเข้ามาตั้งกลุ่มในแถบนี้ มันมีการติดต่อกับพวกเตห์ลา มันร่วมมือกันเพื่อทำอะไรบางอย่าง”
“เฮ้อ! ให้พวกเขาคิดกันเองบ้างเถอะ ฉันขี้เกียจคิด” ร่างในชุดดำว่าอย่างหงุดหงิด อัมซาหัวเราะมากขึ้น
“ข้าไปหามุตตาฟามาด้วย” ผู้เป็นวิญญาณกล่าวรายงานต่อไป
“อ้อ! เดี๋ยวนี้ทำตัวเป็นวิญญาณสื่อสารตั้งแต่เมื่อไหร่” คนฟังประชด แต่ผู้เป็นวิญญาณอารักษ์ไม่ถือสา
“สถานการณ์ทางอัลมาฮาร์ไม่ค่อยน่าไว้ใจ”
“ช่างมันเถอะ ฉันเบื่อกษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์เต็มที ปล่อยให้คิดให้ทำอะไรกันเองเสียบ้าง เผื่อจะได้ตาสว่างขึ้นมาอีกหน่อย” อัมซายิ้ม ทอดตามองชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยดวงตาเอ็นดู ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาขณะนี้เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่ราชาแห่งมาฮาร่าผู้สงบเงียบน่าเกรงขาม ผู้แบกภาระหนักแห่งหน้าที่ไว้บนบ่าทั้งสอง
“ท่านไม่เหมือนราชาแห่งมาฮาร่าองค์อื่น ๆ เลยรู้ไหม ราชาแห่งมาฮาร่าที่ข้าเคยเห็นจะทรงภูมิ สง่างามและสำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างเต็มเปี่ยมทุกลมหายใจเข้าออก”
“ตำหนิว่าฉันไม่เหมาะจะเป็นราชาแห่งมาฮาร่าละซิ” ชายหนุ่มถามแกมหัวเราะไม่ได้โกรธเคืองที่ถูกเปรียบเทียบ
“ข้าไม่เคยคิดตำหนิท่าน และเพราะท่านไม่เหมือนราชาองค์ก่อน ๆ นี่แหล่ะช่องว่างในสภามาฮาร่าที่เคยมีมานานกลับสมานกันได้ ในขณะที่ราชาแห่งมาฮาร่ารุ่นก่อน ๆ ไม่เคยมีใครทำได้เลย”
“สรุปว่าชมใช่ไหม ?”
“แน่นอนราชาของข้า” อัมซาตอบ เขาข้ามผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนานรับรู้และเฝ้าจับตาดูความเป็นไปต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ เพราะดวงจิตที่ยังยึดเหนี่ยว หน้าที่ที่มิอาจปกปักษ์พิทักษ์นายเหนือหัวทำให้เขายังคงเวียนวนท่องเที่ยวอยู่บนผืนทรายอันเวิ้งว้าง จนกระทั่งเขาได้พบกับเด็กชายคนหนึ่งในวิหารร้างกลางทะเลทรายที่ปราศจากผู้คน นั่นยังไม่น่าประหลาดใจเท่า เด็กชายคนนั้นมองเห็นเขาและสัมผัสตัวตนของเขาได้อย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน และนั่นก็เป็นครั้งแรกในรอบพันปีที่เขาได้สนทนากับ ‘คน’
“ลุงมาทำอะไรอยู่ที่นี่น่ะ ?” เด็กชายในชุดขะมุกขะมอมเปรอะเปลื้อนไปด้วยฝุ่นทรายยืนอยู่ตรงหน้าอัมซา ดวงตาสีดำขลับแจ่มแจ๋ว แฝงความอยากรู้อยากเห็นไม่กลัวใคร
“เจ้าหนู! เจ้าเห็นข้าด้วยหรือ ?”
“ถามแปลกนะลุง ก็ลุงยืนอยู่นี่ไง ฉันเห็นลุงยืนทำหน้าเศร้า ๆ อยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้ว เลยสงสัยว่าลุงเป็นอะไร”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร ว่าแต่เจ้าเถอะ ทำไมมาอยู่ที่นี่ ?”
“มาเที่ยว แล้วลุงล่ะมาทำอะไร ?” เด็กชายย้อนถาม
“ข้าเคยอยู่ที่นี่” อัมซาตอบ มองไปรอบ ๆ ซากปรักหักพังของอดีตวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เคยรุ่งเรือง จะมีใครเคยเห็นความยิ่งใหญ่ของมันเหมือนที่เขาเคยเห็น
“เคยอยู่ แสดงว่าเดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่แล้วซิ ฉันมาที่นี่ตั้งหลายครั้งแล้วไม่เคยพบใครเลย” เด็กชายบอกพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
“ถ้าลุงเคยอยู่ที่นี่ งั้นลุงคงพอจะรู้อะไร ๆ เกี่ยวกับที่นี่บ้างใช่ไหม ?” เด็กชายถามมือเล็กนั้นลูบคลำซากหินสลักที่ยังเหลือร่องรอยลวดลายที่เคยวิจิตร สายตาเด็กชายออกจะเลื่อนลอยเสมือนครุ่นคิดอะไรที่เกินเด็ก
“เจ้าอยากรู้ไปทำไม ?”
“ไม่รู้ซิ ฉันรู้แค่อยากรู้ รู้สึกผูกพันกับที่นี่เหมือนกับ....” เด็กชายนิ่งเงียบไม่พูดต่อ
“ที่นี่คือมหาวิหารที่เคยรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีต ที่ประทับแห่งองค์ราชา.....” อัมซาหยุดหันมามองเด็กชาย
“บอกไปก็ไม่รู้จัก คนรุ่นเจ้า”
“คนรุ่นฉันเป็นยังไง แล้วลุงล่ะคนรุ่นไหน” กริยากอดอกขมวดคิ้วนิ่วหน้านั้นเกินเด็กไปมาก เจ้าเด็กนี่มันมีลักษณะเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ ท่าทางเก่งกล้าไม่เกรงใคร
“รู้ไหม ข้าอายุเป็นพันปีเชียวนะ และตอนนี้ข้าก็เป็นวิญญาณ” เขาบอกแกมหัวเราะ แต่กริยาที่ได้เห็นจากเด็กชายกลับทำให้ประหลาดใจเสียเอง ใช่เจ้าเด็กนี่มันยืนฟังเฉย ๆ แววตามันออกประหลาดใจเสียด้วยซ้ำ ถ้ามันไม่ความรู้สึกช้ามันก็อาจจะโง่เกินทน
“ฉันรู้แล้วว่าลุงเป็นวิญญาณ” คำตอบของเด็กชายทำเอาอัมซาเป็นฝ่ายงงเสียเอง มีใครบ้างที่ยืนคุยกับวิญญาณได้หน้าตาเฉยแบบนี้ หรือมันจะเดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจความหมาย
“ฉันเข้าใจแล้วก็รู้ด้วยว่าวิญญาณคืออะไร แต่มันมีอะไรที่ต้องกลัวล่ะ ในเมื่อลุงก็ไม่ได้ชั่วร้ายอะไรนี่”
“เจ้าหนู เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจ เจ้ามองเห็นข้า พูดคุยกับข้า ทั้ง ๆ ที่ตลอดมาไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนไม่ว่าคนคนนั้นจะมีพลังอำนาจแก่กล้าแค่ไหน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พูดคุยกับคนหลังจากที่ตายเมื่อพันปีก่อน
“งั้นเหรอ ลุงคงเหงาแย่ ฉันเป็นเพื่อนคุยให้เอาไหม ?” เด็กชายถาม รอยยิ้มใสแตะแต้มบนใบหน้าขะมุกขะมอม
“นี่เจ้าไม่กลัวข้าเลยหรือ !? เจ้าเป็นใครกันแน่ ?”
“ฉันชื่อราฟาเอล อัลซา อาซาริยัส ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กชายแนะนำตัว
“ข้า.....อัมซา....อัมซา อิลลาฟาหมัด” เขาบอกชื่อออกไปอย่างงง ๆ มือเล็กของเด็กชายยื่นมาแตะมือเขา สัมผัสนั้นเหมือนมีพลังแล่นวาบจากตัวเด็กชายไหลผ่านเข้าสู่ร่างของเขา กระแสวิญญาณอันสงบนิ่งพลันปั่นป่วน มันร้อนวาบ เย็นวูบ เสมือนวิญญาณจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ร่างของเขาพล่าเลือนสั่นไหวเหมือนภาพในเงาน้ำ
“อัมซา เป็นอะไร !?” เด็กชายร้องถามอย่างตกใจ
“ทรมาน! ทรมานเหลือเกิน ข้าจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว ปล่อยข้า! ปล่อย!” หากเด็กชายไม่ยอมปล่อยกลับคว้าร่างที่ค่อย ๆ พล่าเลือนนั้นไว้แล้วโอบกอดแน่น
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” อัมซาพยายามดิ้นรนเพื่อสะบัดให้หลุดจากวงแขนเล็ก ๆ นั้น
“ตั้งสติอัมซา ฉันไม่ทำร้ายท่าน ตั้งสติไว้” จากความทรมานจนแทบจะทนไม่ได้ดูเหมือนจะมีพลังอีกสายหนึ่งค่อย ๆ แผ่ซ่านหลั่งไหลจากร่างเด็กชายเข้าสู่กระแสวิญญาณของเขา เป็นความอบอุ่นปลอดภัย คุ้มครองและปกป้อง ชั่วครู่กว่าทุกอย่างจะสงบนิ่ง เด็กชายค่อยคลายอ้อมแขน
“ดีขึ้นแล้วใช่ไหม ?”
“ใช่ ดีขึ้น” เขาตอบพร้อมกับครุ่นคิดไปพร้อมกัน เมื่อครู่มันคืออะไร ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณจะแตกสลายเพียงแค่สัมผัสกับเจ้าเด็กนี่ แล้วเจ้าความอบอุ่นที่แผ่ซ่านปกปักษ์พลังวิญญาณเขาไม่ให้แตกสลายไปมันคืออะไร พลังนั่นมันมาจากเจ้าเด็กนี่งั้นเหรอ ‘เด็กคนนี้เป็นใครกัน’
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ?” เด็กชายถาม ขยับถอยห่างออกมา ยังไม่ทันที่อัมซาจะตอบเสียงเรียกขานก็ดังขึ้น
“ท่านราฟาเอล อยู่ที่นี่หรือเปล่าครับท่านราฟาเอล” เด็กชายถอนใจเฮือกกระโดดขึ้นไปนั่งบนซากปรักหักพังที่ทลายลงมา โดยไม่ตอบรับเจ้าของเสียงที่กำลังเรียกหาอยู่
“ท่านราฟา....อ้าว! อยู่นี่เอง นึกแล้วเชียว” ผู้ที่เข้ามาใหม่เป็นชายหนุ่ม เสื้อคลุมสีคล้ำเต็มไปด้วยฝุ่นทราย แม้ผู้มาใหม่จะแต่งกายมิดชิด แต่ผู้ที่เคยคุ้นกับการต่อสู้อย่างอัมซาก็ดูออก ผู้ชายคนนี้มีอาวุธซุกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมตัวยาว
“เอ๋ นี่มัน” ชายหนุ่มมองอัมซาอย่างประหลาดใจแล้วหันไปทางเด็กชาย
“อัมซา เพื่อนฉัน อัมซานั่นมุตตาฟา เขาเป็นผู้คุมฉัน”
“พูดอะไรอย่างนั้น! ผมเป็นคนดูแล เป็นองครักษ์ของท่านต่างหากครับ เป็นข้ารับใช้....”
“เป็นเพื่อนฉันด้วย” เด็กชายต่อให้ ทำเอาชายหนุ่มอ้าปากค้างนึกหาคำพูดไม่ออก หน้าตาออกจะเก้อเขิน
“เอ่อ....ท่านออกมาอย่างนี้ผมเป็นห่วงนะครับ เล่นออกมาเฉย ๆ ถ้าองค์ราชารู้เข้า.....”
“มุตตาฟา เธออายุเท่าไหร่แล้ว ?” เด็กชายทำสีหน้าหน่าย ๆ เอ่ยถามขัดขึ้น
“เอ่อ ปีนี้ก็ 27 ย่าง 28 แล้วครับ มีอะไรหรือ ?” มุตตาฟาตอบแม้จะยังงง ๆ อยู่
“ก็ยังไม่แก่นี่นะ ทำไมถึงขี้บ่นเป็นพวกผู้เฒ่าในสภาไปได้” มุตตาฟาอ้าปากแล้วหุบลงใหม่อย่างพูดอะไรไม่ออก อัมซาที่ยืนฟังมานานจึงเอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัยอยู่
“เจ้าก็เห็นข้าด้วยหรือมุตตาฟา ?”
“เห็นซิ ทำไมจะไม่เห็น ชัดแจ๋วเลย เป็นวิญญาณที่มีพลังแก่กล้ามากเลยนะ ขนาดกลางวันเจ้ายังสามารถปรากฏกายได้ชัดเจนขนาดนี้” เป็นอันว่าเจ้าหนุ่มนี่ก็รู้ว่าเขาคือวิญญาณไม่ใช่คน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไม่เคยมีใครเห็นข้ามาก่อนเลย แม้แต่พวกมาฮาร่า” อัมซามองทั้งสองคนตรงหน้าอย่างงงงวย
“ก็พวกเรานี่แหล่ะมาฮาร่า” มุตตาฟาบอก ไม่เข้าใจท่าทีตื่นตระหนกของอีกฝ่าย การมองเห็นวิญญาณเป็นเรื่องปกติของมาฮาร่าอยู่แล้ว
“พวกเจ้าคือมาฮาร่า!?” อัมซาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าน่ะ ท่านราฟาเอล อัลซา อาซาริยัส ราชาแห่งมาฮาร่าองค์ต่อไป”
“ราชาองค์ต่อไป!” อัมซามองเด็กชายตรงหน้า หรือว่านี่จะเป็นชะตาลิขิต ไม่เคยมีราชาแห่งมาฮาร่าองค์ใดมองเห็นเขามาก่อน แต่เด็กคนนี้.....หรือว่านี่จะเป็นโอกาสให้เขาได้แก้ตัวอีกครั้ง หน้าที่ที่ไม่อาจทำได้สำเร็จ หน้าที่แห่งองครักษ์ผู้ปกป้องราชาแห่งมาฮาร่า!
ความคิดเห็น