ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Song of Starlight : ลำนำแห่งแสงดาว

    ลำดับตอนที่ #9 : รอยทรายใต้แสงจันทร์ 2

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 50


     

     

    บทที่  9

    รอยทรายใต้แสงจันทร์ 2

     

                เพียงก้าวย่างเข้าสู่อาณาเขตแห่งทะเลทรายแสงจันทร์   ความหนาวเย็นก็พัดวูบทำเอาสั่นสะท้าน   แม้ภายในรถม้าจะมีผ้าห่มกันหนาวอยู่ครบครัน       คณะเดินทางรวมอยู่ในรถคันเดียวกัน   ส่วนรถม้าอีกคันนั้นบรรทุกสัมภาระและเสบียงอาหาร  โดยแบ่งผลัดกันขับ  ซึ่งในช่วงแรกนี้อาเลฟและซาร์ลูมานทำหน้าที่ขับตามกันไป

     

    เซเนตตราซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มโผล่แต่เพียงใบหน้าออกมาเยี่ยม ๆ มองช่องหน้าต่างที่รถวิ่งผ่านไป   แม้จะเป็นเวลากลางคืนค่อนรุ่ง  แต่ดวงจันทร์ดวงกลมโตส่องสว่างราวกับกลางวันก็ไม่ปาน

     

    ทีนี้รู้หรือยังว่าทำไมถึงเรียกทะเลทรายแสงจันทร์ ?    โซเนปเอ่ยถาม

     

    เพราะดวงจันทร์ส่องสว่างยังกับกลางวันอย่างนี้น่ะเหรอ ?

     

    นั่นก็ส่วนหนึ่ง     แต่อีกเหตุผลก็คือ   ที่นี่ช่วงเวลากลางคืนจะยาวนานกว่ากลางวัน   ดวงอาทิตย์จะขึ้นเพียงชั่วไม่นานแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแรงกล้าพอที่จะเผาเราให้สุกได้   แล้วหลังจากนั้นก็จะเป็นหน้าที่ของราชินีแห่งนภากาศ    ที่นี่ไม่มีราตรีใดที่มืดมิด     โซเนปอธิบาย

     

    ถ้าแค่อากาศร้อนจัดกับหนาวจัดไม่น่าจะเป็นอุปสรรคให้ผู้คนไม่กล้าเดินทางผ่านที่นี่นี่นา?    เซเนตตรายังไม่หมดปัญหา     เฮรอสจึงเฉลยข้อข้องใจ

     

    ก็เพราะว่าที่นี่เป็นที่อยู่ของ........

     

    อย่าเอ่ยนามของนาง !”       มาร์รานเอ่ยเสียงเครียดผิดวิสัย

     

    ไม่คิดว่าท่านจะเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วย ?      โซเนปถามยิ้ม ๆ  แต่รอยยิ้มนั้นดูจะเคร่งเครียดกว่าที่เคย

     

    ในสถานการณ์อย่างนี้   ข้าไม่อยากเสี่ยงโดยไม่จำเป็น     เราต้องรีบเดินทางให้เร็วที่สุด     ดูเหมือนทุกคนจะเข้าใจคำพูดของมาร์รานทำให้ไม่มีใครโต้แย้ง

     

     

    ลาเซีย  เป็นอะไรหรือเปล่า ?      เซเนตตราเอ่ยถามหญิงสาวคนเดียวที่นั่งเงียบมาตลอด   ใบหน้างามมีเหงื่อไหลซึมทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวเย็น

     

    ตั้งแต่พวกเราย่างเข้าเขตทะเลทราย   ข้าสัมผัสได้ถึงพลังกดดันบางอย่าง     โซเนป  ท่านมาร์ราน  และเจ้าชายคงสัมผัสได้เหมือนข้า ?      ตอนท้ายนางหันไปถามสามหนุ่มที่ถูกเอ่ยนาม   ซึ่งแต่ละคนก็พยักหน้ารับ

     

    แล้วทำไมข้าไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ ?

     

    ข้าก็ไม่แน่ใจ    อาจเป็นเพราะเจ้าความกดดันนั่นจะมีผลกับผู้มีพลังเวทเท่านั้น     ลาเซียคาดเดา

     

    ดังนั้นคนที่ไม่มีพลังเวทอย่างเฮรอส   หรือพวกมีพลังเวทอ่อนด้อยอย่างข้าก็เลยสัมผัสไม่ได้    ไม่รู้สึกอะไรใช่ไหม?    เซเนตตราสรุป    ไม่รู้จะดีใจหรือสมเพชในความไม่ได้เรื่องของตนเองดี

     

    ไม่มีใครให้คำตอบ  แต่ดูเหมือนจะเป็นการยอมรับข้อสรุปนั้นอยู่ในที   

     

    มาร์รานมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วคิ้วก็เริ่มขมวดด้วยความวิตก

     

    มีอะไร ?    เจ้าชายซาร์กอนเอ่ยถาม

     

    ดูนั่นสิ     เจ้าชายซาร์กอนมองตามสายตามาร์ราน    ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง  กลุ่มก้อนดำทะมึนม้วนตัวอย่างน่ากลัวกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมาจากทิศตะวันตก

     

    พายุทราย!”

     

    ใช่    มันเคลื่อนตัวเร็วมาก    คงจะมาถึงเราในไม่ช้า       ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันรับรู้ถึงอันตรายที่กำลังจะมาเยือน

     

    คงต้องหยุดรถก่อน       เจ้าชายซาร์กอนบอกก่อนจะตลบม่านออกไปคุยกับอาเลฟที่ทำหน้าที่ควบคุมรถม้าอยู่ในขณะนี้

     

    ถึงเราจะหยุดก็ใช่ว่าจะปลอดภัย    โซเนปเอ่ย  สบตากับมาร์รานพลางบอก

     

    ข้ารู้สึกว่าพายุนี้ไม่ชอบมาพากล    มาร์รานหลับตาลงชั่วครู่ก่อนจะลืมตาขึ้น

     

    ใช่    มันถูกใครบางคนทำให้เกิด  โดยอาศัยพายุทรายธรรมดา ๆ เพิ่มความรุนแรง   และเป้าหมายของมันก็มุ่งมาที่เรา!”

     

     

    รถม้าสองคันชะลอจอดลงข้าง ๆ กัน  ผู้ทำหน้าที่สารถีกระโดดลงมายืนบนพื้นทราย  สายตาจับจ้องไปยังทิศทางแห่งพายุที่กำลังตั้งเค้า   คนอื่น ๆ ทยอยลงจากรถเข้ามาสมทบ

     

    มาร์รานก้มลงหยิบเศษไม้ที่ตกอยู่บนพื้นทราย   พึมพำคาถาอยู่ชั่วครู่ก็ใช้กิ่งไม้นั้นขีดเส้นเป็นวงกลมล้อมรอบรถม้าทั้งสองคันไว้     

     

    เขาทำอะไรน่ะ ?     เซเนตตราเอ่ยถามอย่างสงสัย

     

    มาร์รานกางเขตอาคมคุ้มครอง   เท่านี้พายุทรายก็ทำอะไรเราไม่ได้     โซเนปทำหน้าที่ตอบคำถาม

     

    เมื่อเรียบร้อยแล้วพ่อมดขาวแห่งนาดีนก็เดินกลับมาสมทบกับทุกคนที่ยืนมองการกระทำของเขาอยู่

     

    ตอนนี้เราก็ได้แต่รอให้พายุสงบ      ยังไม่ทันจะขาดคำดีพายุทรายที่เห็นตั้งเค้าทะมึนมาแต่ไกลก็เคลื่อนตัวเข้ามา    ฝุ่นทรายที่อยู่โดยรอบหมุนวนม้วนขึ้นสูง  เม็ดทรายปลิวว่อนอย่างบ้าคลั่ง     ทำให้มองอะไรภายนอกไม่เห็น

     

    เขตอาคมของท่านอยู่ได้นานแค่ไหน ?       เซเนตตราถามอย่างหวั่นใจ   มาร์รานหันมามองด้วยสีหน้าออกจะกังวล    ถ้าพายุแรงขนาดนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน

     

    หา!  ว่าอะไรนะ !?     เซเนตตราร้องลั่น   พาให้มาร์รานเก๊กสีหน้าต่อไปไม่ไหวปล่อยหัวเราะพรืดออกมาประสานกับโซเนป     เซเนตตรายังงงไม่เข้าใจ

     

    ไม่ต้องตกใจ    พวกเขาแค่ล้อเล่นเท่านั้นแหละ    เจ้าชายซาร์กอนบอกยิ้ม 

     

    ถ้าลองเป็นเขตอาคมของมาร์รานละก้อ    พายุทรายรุนแรงกว่านี้อีกสิบเท่านั่นแหละถึงจะทำลายได้

     

    เซเนตตราถอนใจอย่างโล่งอก  พลางนึกสาปแช่งคนขี้เล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา

     

    ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเราต้านทานพายุได้นานแค่ไหน     คราวนี้น้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจังดังขึ้น     ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด  เจ้าชายซาร์ลูมานท่านเอาจริงเสมอ   เฮ้อ!  น่าจะแบ่งความขี้เล่นจากโซเนปและมาร์รานไปบ้าง

     

    ที่น่าห่วงก็คือพายุจะเกิดอีกนานแค่ไหน   ถ้านานออกไป  การเดินทางของเรามีปัญหาแน่   

    เจ้าชายซาร์กอนพยักหน้าเห็นด้วย       ส่วนคนอื่น ๆ ไม่มีใครแย้งเพราะต่างก็รู้ในปัญหานี้เช่นเดียวกัน

     

     

    เซเนตตรามองคนโน้นคนนี้แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจเงียบ   ไม่เอ่ยถามอะไรให้ถูกแกล้งได้   คิดซะว่าการเดินทางครั้งนี้มีทั้งเจ้าชายฝีมือดี   จอมเวทผู้ลือนาม    รวมถึงจอมปราชญ์ผู้ชาญฉลาด    อีกทั้งยอดองครักษ์   และลาเซียสุดสวยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงยอมให้มาเสี่ยงอันตรายกับเขาด้วย      แต่สรุปรวมความแล้ว  เรื่องความปลอดภัยเธอคงไม่ต้องห่วงอะไร

     

    เอ....รู้สึกว่าหายไปไหนคนรึเปล่านะ      เซเนตตรากวาดตามองหาแต่ก็ไม่พบ

     

    ใครเห็นเฮรอสบ้าง ?      เงียบ  ไม่มีคำตอบ   แต่ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันมองหา  แต่ก็ไม่พบอยู่ดี

     

    ข้าไม่เห็นตั้งแต่พวกเราลงจากรถแล้ว    โซเนปบอก     เซเนตตราจึงเปิดประตูรถม้าเพื่อกลับขึ้นไปดูอีกครั้ง     ภาพที่เห็นทำให้อยากหาอะไรทุ่มใส่เจ้าคนที่กำลังหลับอย่างเป็นสุขเสียเหลือเกิน   

     

    โซเนปตามขึ้นมาสมทบ  เมื่อเห็นเข้าก็หัวเราะ

     

    เป็นไงบ้าง ?     เจ้าชายซาร์กอนร้องถามขึ้นมา     

     

    หลับน่ะ   จะปลุกไหม      โซเนปตอบ   น้ำเสียงยังขบขันไม่หาย

     

    ช่างเถอะ   ตื่นมาก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก     เจ้าชายซาร์ลูมานบอกแล้วเดินไปทรุดลงนั่งอีกทาง

     

    เราหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า    รออีกซักพักถ้าพายุยังไม่สงบค่อยว่ากันอีกที       เจ้าชายซาร์กอนกล่าวพลางเดินไปที่รถม้าอีกคันที่ใช้บรรทุกสัมภาระและเสบียงต่าง ๆ โดยมีอาเลฟเข้าไปช่วยด้วยอีกคน

     

     

     

    เวลาผ่านไป    พายุทรายยังพัดกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง  ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง     เจ้าชายซาร์ลูมานเดินกลับไปกลับมาอย่างเริ่มหงุดหงิดที่ต้องรอคอย       คนอื่น ๆ ยกเว้นเฮรอสที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นนั่งล้อมวงกันอยู่เงียบๆ

     

    ตอนนี้น่าจะบ่ายแล้ว      เจ้าชายซาร์กอนเอ่ยทำลายความเงียบ

     

    แต่พายุยังไม่สงบ     โซเนปช่วยต่อให้อย่างใจเย็น

     

    แล้วจะทำยังไงกันล่ะ ?    เซเนตตราถามปิดท้าย

     

    โดยไม่พูดไม่จา   เจ้าชายซาร์ลูมานก้าวออกจากเขตอาคมอย่างไม่สะทกสะท้าน    มือหนึ่งยื่นออกไปข้างหน้า  หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่า     คฑาเวทเปล่งแสงสีเงินสว่างเจิดจ้าท่ามกลางความปั่นป่วนรอบด้าน

     

    ร่างสูงชูคฑาขึ้นเหนือศรีษะ   แสงสีเงินเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่คฑาเวทจะถูกปักลงบนพื้นทราย!

     

    พายุทรายพัดโหมกระหน่ำล้อมรอบร่างเจ้าของคฑาจนมองแทบไม่เห็น   ฝุ่นทรายปลิวว่อนหมุนวนอย่างรุนแรงอยู่ชั่วครู่แล้วก็ค่อย ๆ อ่อนกำลังลง   จนในที่สุดก็สลายไป    แสงอาทิตย์อันร้อนแรงแผดเข้ามาแทนที่

     

     

    เป็นอย่างไรบ้าง ?    เจ้าชายซาร์กอนเข้าไปถาม   ร่างสูงคล้ายจะเซเล็กน้อยเมื่อค่อย ๆ หันกลับมา    คฑาที่เคยปักอยู่บนพื้นทรายหายไปเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า

     

    ไม่เป็นไร     เจ้าชายซาร์ลูมานยังรักษามาดของตัวเองได้เป็นอย่างดี

     

    ถ้าทำแบบนี้ได้   ทำไมไม่ทำซะตั้งแต่ทีแรก       เซเนตตราถามคนข้าง ๆ อย่างไม่เข้าใจ

     

    การใช้เวทมนตร์ฝืนต้านธรรมชาติจะทำให้สูญเสียพลังมาก    ยังไงก็ต้องพักวัน  สองวัน  จึงจะเป็นปกติ     โซเนปอธิบาย

     

    แต่ไม่เห็นเจ้าชายซาร์ลูมานจะเป็นอะไรเลย     เซเนตตรามองผู้ถูกกล่าวถึงอย่างสังเกตมากขึ้นแต่ก็ยังไม่เห็นอะไรผิดปกติ    โซเนปยิ้ม   ไม่เอ่ยถึงอาการของเจ้าชายซาร์ลูมานแต่อธิบายต่อ

     

    ที่เราไม่ทำอะไรในตอนแรกก็เพราะถ้าพายุสงบมันก็จะตรงกับช่วงกลางวันที่อากาศร้อนจัดมาก    ยังไงเราก็เดินทางไม่ได้อยู่ดี

     

    ก็เลยหยุดพายุตอนนี้เพราะว่าบ่ายแล้ว   อากาศไม่ร้อนมากแล้ว     เซเนตตราสรุปเมื่อเข้าใจเรื่อง

    เริ่มฉลาดขึ้นแล้วนี่    โซเนปชื่นชมนี่ถ้าไม่เห็นว่าตัวใหญ่กว่าจะยันให้สักเปรี้ยง  

     

     

    ลาเซียเดินมาหยุดต่อหน้าเจ้าชายซาร์ลูมานพลางบอก

     

    ให้ข้าช่วยรักษาอาการท่านดีกว่า      เจ้าชายไม่ตอบว่ากระไรแต่ก็ไม่ปฏิเสธ      ลาเซียยื่นมือไปสัมผัสที่หน้าอกกว้างตรงตำแหน่งหัวใจ     ชั่วครู่รัศมีสีขาวสุกสกาวก็เปล่งประกายออกมาจากฝ่ามือที่สัมผัสอยู่   ก่อนจะขยายจากมือซึมหายเข้าสู่ตัวเจ้าชายซาร์ลูมาน

     

    โซเนปมองสีหน้าแสดงความสงสัยของเซเนตตราแล้วก็หัวเราะ

     

    เจ้านี่มันช่างสงสัยไปหมดเลยนะ    ที่เห็นนั่น  ลาเซียกำลังช่วยรักษาอาการบาดเจ็บภายในให้เจ้าชายน่ะ   มันจะช่วยให้สามารถฟื้นฟูพลังได้เร็วขึ้น      ในบรรดาพวกเราลาเซียมีพลังเป็นเลิศในเรื่องการใช้เวทรักษา      มาร์รานกับเจ้าชายซาร์ลูมานจะถนัดในการใช้เวทต่อสู้   และป้องกัน     ส่วนเจ้าชายซาร์กอนกับอาเลฟนั้นใช้เวทมนตร์ได้ในระดับดีแต่เป็นนักดาบที่ดียิ่งกว่า       เซเนตตราหันกลับมามองคนอธิบาย

     

    สำหรับข้า   ไม่ถนัดทั้งเวทมนตร์และไม่ใช่นักดาบ    ยิ่งไม่ถนัดเวทรักษา   แต่ข้ามีพลังหยั่งรู้อดีต ปัจจุบันและอนาคต

     

    หมายความว่าเจ้าก็รู้น่ะสิว่าต่อไปจะเป็นยังไง ?     เซเนตตราถามอย่างสนใจ

     

    ไม่   ข้ามองไม่เห็นอนาคตของพวกเราทุกคน  ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางแล้ว !”

     

    หมายความว่ายังไง ?

     

    ก็หมายความว่า    การกระทำทุกอย่างของพวกเราเป็นไปตามชะตากรรมล้วน ๆ โดยที่ข้าไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะเกิดอะไรต่อไปน่ะซิ    โซเนปบอกด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ทุกข์ร้อนแต่ประการใด

     

    เซเนตตราเงียบไปชั่วครู่ก็ตั้งคำถามขึ้นมาใหม่

     

    ข้ายังไม่เข้าใจอีกเรื่อง

     

    เรื่องอะไรอีกล่ะ  ?

     

    ก็มาร์รานบอกว่าพายุทรายนี่เกิดจากฝีมือใครบางคน   แล้วทำไม....

     

    ทำไมข้าถึงบอกว่าซาร์ลูมานใช้พลังฝืนธรรมชาติงั้นเหรอ ?

     

    ใช่   นั่นแหละ

     

    พายุทรายในทะเลทรายแสงจันทร์เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว   แต่มันไม่รุนแรงขนาดนี้เท่านั้น     แต่คราวนี้มีคนจงใจเพิ่มความรุนแรงของพายุเพื่อให้พายุพัดกระหน่ำใส่เรา    เวทมนตร์ที่ใช้ทำสิ่งที่มีอยู่แล้วให้เพิ่มขึ้น  รุนแรงขึ้นนั้นง่ายกว่าเวทมนตร์ที่ทำให้หยุดหรือทำให้หายไป     เซเนตตราพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ   แต่พอนึกขึ้นมาได้ก็ขยับจะอ้าปากถามแต่ถูกอีกฝ่ายชิงพูดซะก่อน

     

    และเหตุที่เจ้าชายซาร์ลูมานเป็นผู้ใช้เวทมนตร์หยุดพายุทรายซะเอง  แทนที่จะเป็นท่านมาร์ราน   หรือเจ้าชายซาร์กอนก็เพราะว่า   มาร์รานนั้นใช้พลังในการกางเขตอาคมและคอยปกป้องพวกเราทุกคน     ในขณะที่เจ้าชาย ซาร์กอนไม่ถนัดในการสลายเวทเท่าเจ้าชายซาร์ลูมาน     ดังนั้นการตัดสินใจแบบนั้นจึงถือว่าถูกต้องที่สุด

     

    โซเนปจบเลคเชอร์เรื่องการใช้เวท   ผู้ฟังถอนใจยาวพลางบ่น

     

    ข้ารู้สึกเหมือนเป็นภาระให้คนอื่น     ข้าไม่มีประโยชน์อะไรเลย

     

    ข้าเชื่อว่าจอมปราชญ์แห่งบาลันเทียร์ต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ส่งเจ้ามา   และการที่เราต้องมาร่วมเดินทางในครั้งนี้ก็เพราะมันเป็นชะตากรรมของพวกเรา!”

     

    ใช่   ชะตากรรมบนเส้นทางแห่งหายนะ!”     เสียงที่ดังแทรกเข้ามาทำให้คนที่คุยกันอยู่หันไปมอง

     

    เฮรอสยืนยิ้มอยู่ด้านหลังคนทั้งคู่   ยังดูแจ่มใสไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องใด ๆ เหมือนเช่นเคย

     

    ตื่นได้ซะที   พายุหนักขนาดนี้เจ้าหลับเข้าไปได้ยังไง     เซเนตตราบ่น

     

    ไม่เห็นจะมีอะไรน่าวิตก   ในเมื่อเรามากับผู้กล้าตั้งหลายคน    พายุทรายแค่นี้ไม่เกินจัดการหรอก    

    เฮรอสบอกหน้าตาเฉย   แถมบิดซ้ายบิดขวาไล่อาการเมื่อยขบ

     

    พายุสงบแล้วนี่

     

    ใช่   แล้วเราก็กำลังจะออกเดินทางกัน     มาร์รานที่เดินมาสมทบบอก

     

    งั้น   ข้าช่วยขับรถม้าให้ก็แล้วกัน    พวกท่าน จะได้พักผ่อนกันบ้าง     เฮรอสรับอาสา   และก็ไม่มีใครเอ่ยค้าน     เฮรอสจึงก้าวขึ้นไปประจำที่คนขับแทนอาเลฟ    ที่ตอนนี้ย้ายไปขับรถเสบียงแทน      คนอื่น ๆ  จึงทยอยกันขึ้นรถเหลือเพียงโซเนปที่ยังยืนเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

     

    เฮ้!  ท่านจอมปราชญ์   ไม่ขึ้นรถหรือไง    เราจะไปกันแล้วนะ     เฮรอสชะโงกหน้ามาบอก   พลางดึงผ้าคลุมขึ้นมาบิดบังใบหน้าเหลือเพียงดวงตาดำคม

     

    ขึ้นมาคิดต่อบนรถดีกว่ามั๊ง    ยังมีเวลาให้เจ้าคิดอีกหลายวัน   เฮรอสบอกแกมหัวเราะ   แล้วดึงสายบังเหียนบังคับม้าให้เริ่มขยับ

     

    โซเนปจึงต้องรีบเผ่นขึ้นรถ  เพราะยังไม่อยากแห้งตายอยู่กลางทะเลทรายแสงจันทร์นี่

     

     

     

     

    แม้จะผ่านไปหลายชั่วโมงแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของแหล่งน้ำหรือโอเอซีสที่พอจะหลบร่มเงาได้    ม้าลากรถเริ่มเหนื่อยหอบเพราะความร้อนระอุของผืนทรายและแสงแดดที่แผดแรงโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแม้เป็นเวลาเย็นก็ตาม    

     

    เฮรอสหยุดรถแล้วโผล่หน้าเข้ามาด้านใน

     

    เราต้องพักม้า     มันไปต่อไปไหวแล้ว

     

    มันบอกท่านหรือไง ?     โซเนปถามยิ้ม ๆ     เฮรอสยอมรับหน้าตาเฉย   ใช่   มันบอกข้าว่างั้น

    ไม่มีวี่แววที่ที่จะให้หยุดพักได้บ้างเลยหรือ ?     เจ้าชายซาร์กอนค่อนข้างจะวิตก   สายตาเหลือบแลไปทางร่างสูงของเจ้าชายซาร์ลูมานที่บัดนี้นอนเงียบ

     

    ขอเวลาข้าเดี๋ยว     โซเนปบอกด้วยเสียงที่จริงจังขึ้นกว่าเดิม   ก่อนจะหลับตานิ่ง      เมื่อลืมตาก็หันมาบอกกับเฮรอส

     

    มุ่งตรงไปทางทิศเหนือ    อีกไม่เท่าไหร่จะมีที่ให้เราหยุดพักได้       เฮรอสไม่ซักถามอะไรถอยกลับออกไปเงียบ ๆ   โซเนปเอนตัวพิงผนังรถ   ใบหน้ามีเหงื่อเกาะพราว

     

    ท่านรู้สึกไหมว่า  ที่นี่เราใช้พลังกันได้ลำบาก ?     โซเนปเอ่ยถามมาร์ราน

     

    มีพลังอำนาจบางอย่างกดดันเราอยู่     มาร์รานเองก็รู้สึกเช่นกัน

     

    อากาศที่ร้อนจัดจะทำให้เราอ่อนเพลีย    ถ้าเกิดการปะทะกันเราจะเสียเปรียบ    อาการซาร์ลูมานก็ไม่ค่อยดี    เจ้าชายซาร์กอนถอนใจยาว     ดูเหมือนว่าซาร์ลูมานจะอาการทรุดลงกว่าเมื่อแรกเสียอีก    ร่างที่นอนทอดยาวเหงื่อโซมกายดูกระสับกระส่าย  ใบหน้าเผือดซีดไร้สีเลือด

     

    น่าแปลก    ลาเซียก็ช่วยใช้พลังเวทรักษาไปแล้วส่วนหนึ่ง  แต่ทำไมอาการกลับไม่ดีขึ้น    ดูจะแย่ลงด้วยซ้ำ

     

    โซเนปตั้งข้อสังเกต    ซึ่งทุกคนก็เห็นตรงกัน

     

    อาการเจ้าชายซาร์ลูมานไม่เหมือนคนที่ใช้พลังเวทมากเกินไป    ลาเซียบอก   เธอเองก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะช่วยรักษา   แต่กลับไม่ได้ผล

     

    นั่นซิ    ข้าก็ว่าไม่เหมือน   มาร์รานเองก็คิดเช่นกัน

     

    แต่เขาเป็นอะไรนี่ซิ        เซเนตตราได้แต่ฟังเงียบเพราะไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลย

     

    รอดูอาการอีกสักพัก    ถ้าหากยังไม่ดีขึ้นข้าจะลองใช้พลังช่วยรักษาอีกครั้ง      ลาเซียบอก   ซึ่งทุกคนต่างก็ทราบดีว่าไม่มีทางเลือกอื่น

     

    ดูเหมือนจะถึงแล้วละ   เฮรอสหยุดรถแล้ว     เจ้าชายซาร์กอนบอกพร้อมกับที่ม่านหนาถูกตลบขึ้น

    ถึงแล้ว   ลงไปพักกันก่อนเถอะ

     

    เฮรอสโผล่เข้ามาบอก     คนอื่น ๆจึงทยอยกันลงจากรถ    เหลือเพียงลาเซียซึ่งอยู่ดูแลอาการเจ้าชายซาร์มาน

     

    ลาเซีย   เจ้าลงไป ยืดเส้นยืดสายเสียก่อนเถอะ   นั่งขดงอในรถมาตั้งนาน    ท่านพี่ก็ยังหลับคงไม่เป็นอะไรหรอก     เฮรอสบอก    แต่เมื่อเห็นท่าทางลังเลของลาเซียจึงรับอาสา

     

    ข้าอยู่เฝ้าแทนให้ก่อนก็ได้

     

    ขอบใจท่านมาก   แต่ว่าท่านก็ควรจะพัก   เหนื่อยกับการขับรถม้ามาแล้ว

     

    ข้าไม่เป็นไร  เจ้าไปเถอะ      เมื่อเฮรอสยืนยัน  ลาเซียจึงลงจากรถม้าไปอีกคน     เฮรอสขยับมานั่งข้าง ๆ ร่างที่นอนทอดยาว  พลางวางมือทาบลงบนหน้าผากของผู้เป็นพี่  

     

    เจ้าเล่ห์จริง ๆ    เฮรอสพึมพำยิ้ม ๆ

     

    ท่านทำอะไรน่ะ ?      เสียงถามดังจากด้านหลัง    เฮรอสหันกลับไปมอง  โดยมือที่วางทาบหน้าผากคนเจ็บมิได้ละจาก 

     

    ข้าตรวจดูว่าท่านพี่มีไข้หรือเปล่า   คำตอบราบเรียบเป็นปกติ

     

    โซเนปก้าวเข้ามาภายใน    ดวงตาสีน้ำทะเลจับอยู่ที่อีกฝ่ายแน่วนิ่ง  ดั่งต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง

     

    เจ้ามองข้าแปลก ๆ นะ   

     

    เพราะท่านแปลกไปไงล่ะ

     

    ข้า ?   แปลกยังไง     สีหน้างง ๆ นั้นทำให้คนจับตามองอดคิดไม่ได้ว่า  เขาอาจคิดมากไปเองก็ได้

     

    ท่านไม่เหมือนเมื่อตอนอยู่ในวินเดเนีย   เฮรอสได้ฟังยิ่งยิ้มมากขึ้น

     

    จะให้ข้าทำตัวเหมือนอยู่บ้านงั้นเหรอ     เจ้าก็รู้ว่าที่นี่กับที่วินเดเนียน่ะมันต่างกัน  ถ้าข้ายังทำตัวเหมือนเดิมก็เท่ากับข้าเป็นภาระให้คนอื่น ๆ   ข้าแค่ทำในสิ่งที่ข้าพอจะทำได้  ก็เท่านั้น"      คนถูกจับผิดอธิบายด้วยน้ำเสียงแกมหัวเราะ

     

    ข้าอาจกังวลมากไป

     

    เจ้าระแวงระวังก็ดีแล้ว    ดีกว่าความประมาทที่อาจจะพาพวกเราทั้งหมดไปสู่ความตาย

     

    โซเนปมองสบดวงตาดำคมที่มีรอยแย้มยิ้มขี้เล่นอยู่ในแววตา     บางทีเขาอาจต้องประเมินเฮรอสใหม่ซะแล้ว     ฉายาท่านชายเสเพลแห่งวินเดเนียอาจจะซ่อนคมอะไรไว้มากกว่าความเสเพลที่แสดงออกก็เป็นได้!

     

     

     

    คณะเดินทางเริ่มออกเดินทางอีกครั้งเมื่อดวงตะวันดวงกลมโตสีแดงฉานกำลังจะลาลับผืนทราย    ปลายขอบฟ้า    ดวงจันทร์สีซีดปรากฏ ณ ขอบฟ้าด้านตรงข้าม     สายลมพัดหวีดหวิว   พาเอาไออุ่นจากไปและพัดพาความหนาวเย็นเข้ามาแทนที่   

     

    การเดินทางช่วงนี้มาร์รานและเจ้าชายซาร์กอนเป็นผู้รับหน้าที่ขับรถม้าทั้งสองคัน       ซึ่งในส่วนของเจ้าชายซาร์กอนนั้นมีอาเลฟตามไปคอยทำหน้าที่อารักขาไม่ยอมให้คลาดสายตา

     

     

    ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง   ความหนาวเย็นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ

     

    อาการเจ้าชายเป็นยังไงบ้าง ?     เซเนตตราเอ่ยถามลาเซียที่คอยดูแลอยู่

     

    แปลกมาก    ตอนแรกดูเหมือนว่าอาการจะทรุดลง   แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นไรแล้ว

    น่าแปลกจริงซะด้วย    โซเนปว่า  สายตาแปรไปจับร่างที่นอนหลับอุตุไม่สนใจกับใครทั้งสิ้น   เซเนตตรามองตามสายตาโซเนปแล้วก็บ่น

     

    เจ้านี่ก็ขยันนอนจริง   หลับได้หลับดีไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับใครเขามั่งเลย

     

    เจ้าชายซาร์กอนท่านบอกว่าท่านเฮรอสเป็นคนที่พึ่งพาได้นะคะ    ลาเซียช่วยแก้ต่างให้คนหลับ

     

    พึ่งพาได้   ฮื่อ!   ข้าจะเชื่อดีไหมนี่      

     

    จริงนะ    เจ้าชายท่านเคยเล่าว่าบางครั้งมีเรื่องติดขัด  หาทางออกไม่ได้  แต่พอได้คุยกับท่านเฮรอสก็ทำให้ได้ความคิดดี ๆ แก้ปัญหาได้ทุกครั้ง

     

    แหม   ดูเหมือนลาเซียจะสนิทกับเจ้าชายซาร์กอนมากนะ     เซเนตตราแกล้งแหย่แต่ได้ผลเกินคาดเพราะดวงหน้างามแดงก่ำขึ้นมาทันตาเห็น  หญิงสาวแก้ตัวอุบอิบ

     

    ก็ไม่ได้สนิทอะไรมากมายหรอกค่ะ      ทำเอาคนฟังกลั้นยิ้มไปตาม ๆ กัน 

     

    เซเนตตราเกรงลาเซียจะอายมากกว่านี้จึงเปลี่ยนเรื่องคุย

     

    โซเนป   เจ้ามองไม่เห็นจริง ๆ เหรอว่าต่อไปจะเป็นยังไง     ทีเมื่อกลางวันเจ้ายังทำได้เลย

     

    ตอนนั้นข้าเพียงแต่ลองดู   แล้วมันก็วาบเข้ามาเฉย ๆ   หลังจากนั้นข้าลองพยายามอีก  แต่ก็ไม่สำเร็จ

     

    พลังของเจ้าไหงมันติด ๆ ดับ ๆ แบบเดียวกับลูกแก้วบาลันเทียร์เลยแฮะ     เซเนตตราบ่นพึมพำกับตัวเอง

     

    เมื่อไหร่เราจะข้ามพ้นทะเลทรายแสงจันทร์ ?     ลาเซียเอ่ยถาม

     

    ถ้าไม่มีอะไรก็คงราว ๆ 2 วัน

     

    เจ้าคิดว่าจะมีอะไรงั้นเหรอ ?      ลาเซียย้อนถาม

     

    เจ้าก็รู้สึกเหมือนข้าไม่ใช่หรือว่าเรากำลังถูกจับตามอง     ลาเซียพยักหน้ารับ   เธอรู้สึกได้ตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในอาณาเขตทะเลทรายแสงจันทร์   อำนาจลึกลับบางอย่างกำลังจับตามองความเคลื่อนไหวของคณะเดินทางอย่างเงียบ ๆ

     

    ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสิ่งที่เฝ้ามองเราอยู่  มันจะแค่มองเฉย ๆ หรืออยากจะทักทายกับเราก็เท่านั้น

    ข้าว่าให้มันมองเราเฉย ๆ ดีกว่า    เซเนตตราว่าไม่อยากได้รับการทักทาย

     

    งั้นก็ภาวนาเข้าเถอะ     โซเนปบอกแกมหัวเราะ       แต่แล้วก็ต้องหัวซุนกลิ้งขลุก ๆ ลงไปกระแทกกับพื้นรถ    ในขณะที่ลาเซียมือหนึ่งเกาะที่ยึดอีกมือคอยกันร่างเจ้าชายซาร์ลูมานที่ยังหลับไม่ให้กลิ้งไปกองกับพื้น   ส่วนเซเนตตรานั้นเซไปกระแทกเฮรอสที่ยังหลับ   ทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้งตื่น

     

    เสียงม้าร้องดังก้องในความเงียบ    ความสั่นไหวภายในรถดำเนินไปชั่วครู่ก็สงบนิ่ง

     

    เกิดอะไรขึ้นเนี่ย   แผ่นดินไหวหรือไง ?     เซเนตตราถาม  มือข้างหนึ่งถูขมับที่ปูดโนเพราะหัวโขกกับเฮรอสเข้าอย่างจัง

     

    แผ่นดินไหวรึเปล่าข้าไม่รู้     แต่หัวเจ้าน่ะแข็งชะมัด....อูย....แตกหรือเปล่าเนี่ย    เฮรอสบ่น  มือยังคลึงอยู่บริเวณขมับ

     

    โซเนปเพิ่งพยุงสังขารตังเองให้ลุกขึ้นจากพื้นรถได้    เขาเปิดประตูรถออกไปดูเหตุการณ์ด้านนอก    ในขณะที่ลาเซียช่วยประคองเจ้าชายซาร์ลูมานให้ลุกขึ้นนั่ง

     

    ท่านพี่เป็นยังไงบ้าง ?    เฮรอสเอ่ยถามพลางขยับมาช่วยลาเซียอีกแรง

     

    ข้าไม่เป็นไร      เกิดอะไรขึ้น ?

     

    ยังไม่รู้เหมือนกัน   โซเนปออกไปดูแล้ว   เดี๋ยวข้าออกไปดูอีกคนดีกว่า   ลาเซียเจ้าอยู่เป็นเพื่อนท่านพี่ก่อนนะ   เซเนตไปดูกัน    เฮรอสสั่งลาเซียแล้วหันไปลากเซเนตตราให้ออกไปด้วยกัน

     

     

    ที่ด้านนอกขณะนี้ทั้งมาร์ราน    เจ้าชายซาร์กอน    อาเลฟ  และโซเนปยืนจับกลุ่มกันสายตาเพ่งมองไปในทิศทางเดียวกัน    มีอะไรบางอย่างบนพื้นทราย

     

    มีอะไรเหรอ ?     เฮรอสถามพลางสาวเท้าเข้าไปหา

     

    ดูนั่นสิ      เจ้าชายซาร์กอนชี้ให้ดูรอยร่องลึกเป็นทางยาวคดเคี้ยว

     

    มันคืออะไรเหรอ ?    เซเนตตราถามอย่างสงสัย

     

    ข้าก็ไม่รู้    แต่รอยนี่เป็นสาเหตุที่ม้าตื่นตกใจเมื่อครู่    ทำยังไงมันก็ไม่ยอมเฉียดใกล้

     

    ร่องรอยที่เกิดจากแรงลมหรือเปล่า ?     

     

    ถ้าเป็นแรงลมคงไม่มีนี่อยู่ด้วยหรอก      โซเนปหยิบแผ่นหนาขนาดฝ่ามือ  สีสันมันวาวสะท้อนแสงจันทร์ขึ้นมาจากผืนทรายให้คนอื่น ๆ ดู

     

    อย่างน้อยก็ 4 5 อันที่มันหล่นกระจายอยู่ในหลุมยาวนั่น

     

    รู้ไหมว่ามันคืออะไร ?    ซาร์กอนถาม

     

    ไม่   ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน     โซเนปตอบ  ก่อนจะหลับตาลงในมือกุมทับแผ่นเงินประหลาด   หากพอลืมตาขึ้นก็ส่ายหน้า      

     

    ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย   รู้แต่ว่าเจ้าแผ่นเงินนี่มันมีกลิ่นไอของความตายแฝงอยู่ด้วย

     

    แล้วจะทำยังไง     ไปต่อไหม ?       เฮรอสถามอย่างอยากรู้

     

    กลับขึ้นรถกันได้แล้ว   เราจะเดินทางต่อ       เจ้าชายซาร์กอนบอกพลางเดินกลับไปที่รถม้าของตัวเอง     คนอื่น ๆ จึงปฏิบัติตาม โดยไม่มีใครเห็นแย้ง 

     

    รถม้าเริ่มเคลื่อนห่างจากรอยประหลาดที่ทอดเป็นทางยาวคดเคี้ยวดูน่ากลัวท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง

     

          

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×