คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ค่ำคืนแห่งวิญญาณ
บทที่ 8
ค่ำคืนแห่งวิญญาณ
“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ว่ากันว่าเพราะอาบรีซาสาปแช่งนครคาเธย์แล้วปลิดชีวิตตัวเอง แถมยังแสดงความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะกลับมาแก้แค้น ซาลามาฮานจึงทำพิธีกักดวงวิญญาณของอาบรีซาไว้ที่นครมรณะ ล่ำลือกันว่ามันตั้งอยู่ในหุบเขาอันสลับซับซ้อนกลางทะเลทราย วันเวลานับพันปีที่ผ่านทำให้มันถูกกลบฝังด้วยทราย วันดีคืนดีถึงจะปรากฏให้เห็นซักครั้ง เท่านั้นแหล่ะครับ คงเพราะไอ้การที่เดี๋ยวก็โผล่มา เดี๋ยวก็หายไปก็เลยทำให้ผู้คนหวาดกลัว”
“ทำไมซาลามาฮานต้องกักขังดวงวิญญาณของอาบรีซาไว้ด้วยล่ะ ?”
“แหม ทำไมช่างสงสัยนักละครับ” คีลบ่นเบา ๆ แต่ก็ยังให้คำตอบได้
“อันนี้เป็นความเชื่อในโลกแห่งวิญญาณของมาฮาร่าและอีกหลาย ๆ เผ่า หลาย ๆ ชาติก็เชื่อกันแบบนี้ อาบรีซาเป็นบุคคลที่มีอาคมเวทมนตร์ แต่มนต์ของนางเป็นมนต์ดำที่เกิดจากความชั่วร้าย ดวงจิตของนางจึงมีพลังอำนาจมาก แม้ร่างกายจะแตกดับสูญสลาย แต่ดวงจิตอันกล้าแข็งของนางก็ยังสามารถครอบงำ ชี้นำ หรืออาจอาศัยร่างของคนอื่น ได้ และนั่นก็จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก ซาลามาฮานจึงต้องกักนางไว้”
“แล้วโคลงโบราณที่ว่า ราชินีหลับใหล ณ แท่นบรรทม รอวันคืนคง เธอจะมาครอง สาวกแห่งเธอจะเป็นผู้เปิดประตูจากการหลับใหล ณ วันสุริยันแผดเผา และจันทราดับแสง จันทรามหามายาจะเสื่อมสูญ มันหมายความว่าอย่างไรกัน ?” จัสมินยังถามต่อไปเรื่อย ๆ ชักสงสัยนายไกด์ที่ปฏิเสธไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ แต่พอถูกถามกลับตอบได้ซะทุกอย่าง
“คุณก็เห็นผมเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องตำนานไปได้” คีลบ่นแต่ก็ยังอธิบาย
“ที่คุณพูดถึงนั่น เป็นโคลงที่เหล่าผู้ภักดีในอาบรีซาแต่งขึ้น เพราะมีคำทำนายว่า อาบรีซาจะกลับมามีอำนาจยิ่งใหญ่อีกครั้ง นางจะถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหลอันแสนนาน ในวันที่อาณาจักรทะเลทรายแห่งนี้ไม่มีซาลามาฮาน ไม่มีมาฮาร่า”
“แล้วมาฮาร่าหายสาบสูญไปได้ยังไง ?” จัสมินยังไม่หมดข้อสงสัย
“โธ่คุณ! ผมจะไปรู้ได้ยังไงละครับ เรื่องนี้มันก็แค่ตำนาน มาฮาร่าจะมีอยู่จริง ๆ หรือเปล่ายังไม่รู้เลย” คนคอยตอบคำถามชักจนปัญญา
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” จัสมินหัวเราะขันท่าทีของคีล หากแล้วเสียงหัวเราะก็ต้องเงียบลงเมื่อมีเสียงทักจากเบื้องหลัง
“คุณอยู่นี่เอง” หญิงสาวหันกลับไปตามเสียงเรียกก็พบกับชายหนุ่มร่างสูงที่เดินตรงมาทางคนทั้งคู่
“มีอะไรหรือเปล่าคะฮัดซัน ?” จัสมินส่งยิ้มสดใสให้ผู้มาใหม่ที่เดินยิ้มเข้ามา แต่รอยแย้มยิ้มที่ส่งให้หญิงสาวนั้นมิได้เผื่อแผ่ไปให้ชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้วย ดวงตาดำคมนั้นเหมือนมองอย่างไม่ชอบใจวูบหนึ่งเสียด้วยซ้ำ
“ผมไม่เห็นอยู่ที่เต็นท์พัก เป็นห่วงก็เลยเดินหาดู” ชายหนุ่มผู้มาใหม่ตอบ สามารถข่มความรู้สึกไม่ชอบหน้าเจ้าไกด์ทะเลทรายได้อย่างมิดชิด ‘มันไม่มีอะไรเทียบเขาได้ซักอย่าง ไม่มีความจำเป็นต้องลดตัวลงไปตอแยด้วย’
“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันไม่เป็นอะไรหรอก แค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้น พอดีเจอกับคีลเข้าเลยคุยกันนิดหน่อย”
“คุยอะไรกันหรือครับ ?” ฮัดซันขยับเข้ามาร่วมวงสนทนา
“เรื่องตำนานคาเธย์ค่ะ”
“แหมถ้าเรื่องนี้ถามผมก็ได้ อยากรู้เรื่องอะไรละครับ”
“คีลเล่าให้ฟังแล้วละค่ะ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปจากที่เคยได้ยินได้ฟังมา คุณมีข้อมูลอื่น ๆ ที่แปลกไปจากนี้บ้างหรือเปล่าคะ ?” หญิงสาวย้อนถามในขณะที่คีลค่อย ๆ เลี่ยงถอยออกไปสมทบกับมูซาโดยฮัดซันไม่ได้มีท่าทีสนใจจะทักทายแม้แต่น้อย คีลถอยไปคุยอะไรบางอย่างกับมูซาแล้วก็เลี่ยงหลบหายไปเหลือเพียงเด็กชายนั่งเล่นอยู่แถวนั้น
“ผมว่าพวกตำนานถิ่นพวกนี้ก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ส่วนหนึ่งเหมือนกันนะครับ ผมมีอีกหลายตำนานจะลองฟังดูไหมครับ” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่ตนหมายตามีท่าทีสนใจ ฮัดซันจึงเริ่มเล่าไปเรื่องโดยมีจัสมินซักถามในบางครั้ง คนทั้งคู่ก้าวเท้าไปเรื่อย ๆ
เพราะอย่างนี้หรือเปล่าคะ คุณถึงเสนอให้มีการสำรวจคาเธย์ ?” จัสมินเอ่ยถามในตอนหนึ่ง ดูเหมือนฮัดซันจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคาเธย์มากพอ ๆ กับคีล แต่ทำไมก็ไม่รู้ความรู้สึกเมื่อฟังจากคีลจึงแตกต่างไปจากการรับฟังจากชายหนุ่มที่คุยกับเธอในขณะนี้ กับฮัดซันเธอรู้สึกแค่เพียงเหมือนได้อ่านหนังสือนำเที่ยวเล่มหนึ่งเท่านั้น แต่เรื่องราวที่คีลเล่ากลับทำให้รู้สึกเหมือนเธอได้ก้าวเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั่นด้วยอย่างนั้นแหล่ะ
“ครับ นครคาเธย์เป็นนครที่เคยเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดก่อนจะล่มสลายเพราะการทิ้งร้างของผู้คน ซากอารยธรรม โบราณวัตถุต่าง ๆ ก็น่าจะคงความสมบูรณ์ มากกว่านครแห่งอื่น ๆ ที่ล่มสลายลงเพราะภัยสงคราม”
“ฉันอยากเห็นเร็ว ๆ จังเลยค่ะ”
“คงอีกไม่นานหรอกครับ ถ้าไกด์ของเราไม่พาหลงไปทางอื่นเสียก่อน” ชายหนุ่มกล่าวติดตลก
“เขาก็ดูใช้ได้นะคะ ซาเล็มเชื่อฝีมือ”
“ถ้าเก่งจริงผมก็วางใจครับ งานสำรวจของเราจะได้ไม่ล่าช้า” ทั้งสองคนเดินสนทนากันมาเรื่อย ๆ จนวนกลับมาถึงหน้าเต็นท์พัก ที่นั่นเบนดาฮาร่ายืนรออยู่แล้วอย่างกระวนกระวาย ดวงหน้าขาวนวลแดงระเรื่อเพราะแดดที่แผดร้อน พอเห็นทั้งคู่เดินมาด้วยกันหญิงสาวก็เดินลิ่วเข้ามาเกาะแขนฝ่ายชายทันที
“แหม! ออกไปเดินเล่นก็ไม่ชวนกันบ้าง”
ฮัดซันวางหน้าไม่ถูกกับความสนิทสนมที่ฝ่ายหญิงแสดงออก ในขณะที่หญิงสาวอีกคนหนึ่งไม่ได้สนใจกริยาสนิทสนมกันเกินงามของอีกฝ่าย จัสมินเพียงส่งยิ้มให้อย่างเป็นการขอตัวแล้วเดินเข้าไปสมทบกับคณะสำรวจที่จับกลุ่มสนทนากันอยู่ด้านใน
“เบนดาฮาร่า ผมไม่ชอบที่คุณทำแบบนี้นะ” ฮัดซันกระซิบเตือนพยายามแกะแขนออกจากมือฝ่ายหญิง
“ทำไมคะ กลัวแม่จัสมินนั่นจะรู้เรื่องของเราหรือไง คุณสนใจมันใช่ไหม !?” เบนดาฮาร่าตาลุกวาวด้วยความไม่พอใจ
“ใครว่า ผมห่วงคุณต่างหาก ถ้าใครรู้เรื่องระหว่างเรา คุณจะเป็นฝ่ายเสียหาย เรื่องของเรายังไม่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ” ฮัดซันพยายามใจเย็นอธิบาย สีหน้าผู้ฟังดูดีขึ้น
“ก็แล้วเมื่อไหร่คุณจะประกาศเรื่องของเราเสียทีละคะ ?”
“ผมบอกแล้วไงว่าหลังจากกลับจากสำรวจคาเธย์แล้วน่ะ”
“แต่คุณทำท่าสนิทสนมกับจัสมินเหลือเกิน ฉันไม่ชอบเลย!”
“อย่าคิดมากน่า ผมก็แค่ดูแลตามหน้าที่ คุณก็รู้นี่ว่าพ่อเขามีประโยชน์กับเราแค่ไหน”
“ก็ขอให้จริงอย่างที่บอกก็แล้วกัน!” เบนดาฮาร่ายอมเชื่อในที่สุด
“เออ ว่าแต่เบซาไปไหน ตั้งแต่ออกเดินทางมานี่ผมไม่ค่อยได้พบเขาเลย ?” ชายหนุ่มถามถึงพี่ชายของเบนดาฮาร่าเมื่อกวาดตามองผู้ที่อยู่ในเต็นท์พักแล้วไม่พบ
“เห็นออกไปกับพวกมาสำรวจน้ำมัน คงอยู่ไม่ไกลนี่แหล่ะค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างไม่สนใจนัก สายตายังจับจ้องมองจัสมินที่ดูจะเป็นขวัญใจของหนุ่ม ๆ ทุกชาติทุกภาษาด้วยความหมั่นไส้
ท่ามกลางดวงดาวที่ทอประกายระยิบระยับบนผืนผ้ากำมะหยี่สีดำยามรัตติกาล บรรยากาศอันเงียบสงบเพราะผู้คนสนิทนิททรากันเกือบหมด เหลือเพียงทหารที่ยืนยามรักษาการณ์และไฟสปอร์ตไลท์ที่ส่องสว่างรอบเต็นท์พัก ณ จุดสลัวห่างจากแสงไฟ มีร่างตะคุ่ม ๆ สองร่างนอนหงายมองท้องฟ้าอยู่บนหลังคารถที่ใช้บรรทุกสัมภาระ
“คีล!” เงียบไร้เสียงตอบจากคนที่นอนเคียง
“คีล หลับแล้วเหรอ ?” เด็กชายพยายามเรียกเซ้าซี้
“ยัง” เสียงตอบมาแกมรำคาญ
“หนาวมั๊ย ?” เจ้าเด็กเอ่ยถามต่อ
“หนาวแล้วละซิ ลงไปนอนในเต็นท์ไป” คีลไล่แต่เด็กชายไม่ยอมขยับ มันพึมพำตอบ
“ก็ไม่หนาวเท่าไหร่” มันบอกแต่เริ่มขยับเบียดใกล้เข้ามา
“เฮ้อ! ทำไมไม่เข้าไปนอนในเต็นท์ หรือไม่กล้านอนคนเดียว ?”
“เปล่า....แต่ คือว่า....” เด็กชายอ้ำอึ้ง
“มีอะไร ?”
“คืนนี้ข้ารู้สึกแปลก ๆ มันเย็น ๆ วังเวง ๆ ยังไงบอกไม่ถูก มันอึดอัดยังไงก็ไม่รู้”
“อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัวผี” ชายหนุ่มถามแกมหัวเราะ
“ผีเผออะไร ข้าไม่กลัวเสียหน่อย” มูซาปฏิเสธเป็นพัลวัลแล้วก็เงียบกันไปพักหนึ่ง เสียงทอดถอนใจยาวจากคนตัวใหญ่กว่า
“แม้แต่เจ้าก็จับความรู้สึกกดดันนี่ได้ แต่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะเจ้าสัมผัสคลื่นวิญญาณได้”
“ยังไงเหรอ อธิบายให้เข้าใจหน่อยสิ เจ้าชอบพูดอะไรก็ไม่รู้เข้าใจยาก” มูซาลุกขึ้นนั่งมองคนที่ยังนอนหงายดูดาวเฉย
“คืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งวิญญาณ ในทุก ๆ ปี เหล่าดวงวิญญาณที่เร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายจะมารวมตัวกัน”
“วิญญาณ! ผีน่ะเหรอ!” เจ้าคนยืนยันนั่งยันว่าไม่กลัวผีกระเถิบเข้ามากระแซะร่างคนตัวใหญ่จนจนชิด
“ก็แค่วิญญาณน่า” คีลบอกแกมหัวเราะพลางดันตัวลุกขึ้นนั่ง
“สมัยก่อนแถบนี้มีกองคาราวานเดินทางผ่านไปมามากมายถือเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญเส้นทางหนึ่ง แต่มีของมีค่าที่ไหนก็ต้องมีโจรทะเลทรายที่นั่นภายหลังผู้คนอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน ทะเลทรายด้านนี้กลายเป็นเส้นทางที่ปราศจากการสัญจรไปมา จะคงเหลือก็เพียงดวงวิญญาณที่ตายลงในทะเลทรายแห่งนี้เท่านั้นที่ยังเวียนวน เร่ร่อน เป็นวิญญาณที่อ้างว้างโดดเดี่ยว วิญญาณเหงาที่หาทางไปไม่พบ และในราตรีที่มืดมิด ในค่ำคืนแห่งวิญญาณ พวกเขาเหล่านั้นก็จะปรากฏวนเวียนไปแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด”
มูซาคว้าแขนคนเล่าไว้พลางขยับเข้ามาชิด คีลละสายตาจากความมืดมิดเบื้องหน้าหันมามองเด็กชาย
“มูซา วิญญาณพวกนี้น่าสงสาร”
“น่าสงสาร!? บ้าหรือเปล่า น่ากลัวละไม่ว่า” เด็กชายเถียง
“การส่งวิญญาณเร่ร่อน การชี้ทางให้กับวิญญาณก็เป็นงานหนึ่งของมาฮาร่านะ” คีลบอกเสียงเรียบ เล่นเอาเด็กชายอ้าปากค้าง
“มาสิ แล้วเจ้าจะได้เห็น” คีลขยับลุก กระโดดลงจากหลังคารถ มูซาจำใจปีนตามลงมา ใจหนึ่งก็กลัวแต่อีกใจก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้
ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี คีลก้าวนำห่างจากแค้มป์พักไปเรื่อย ๆ มูซาพยายามเร่งฝีเท้าตามร่างสูง ๆ ที่บัดนี้ตวัดเสื้อคลุมตัวยาวขึ้นมาสวมทับแถมดึงเอาชายผ้าโพกศีรษะลงมาพันรอบดวงหน้าปิดบังไว้เหลือเพียงดวงตา แต่ถึงแม้จะพยายามเร่งตามเท่าไรระยะทางระหว่างคีลกับมูซาก็ยังเท่าเดิม เด็กชายหันกลับไปมองด้านหลังที่เพิ่งเดินจากมาหากแล้วก็ต้องตกใจเพราะเต็นท์พักนับสิบบัดนี้อันตธานไปแล้ว สิ่งที่เขาเห็นอยู่ขณะนี้คือความมืดและความว่างเปล่าปราศจากแสงไฟแม้แต่ดวงเดียว
“คีล! นี่มันอะไรกัน.....” มูซาเอ่ยถามได้เพียงแค่นั้นก็ต้องหยุดชะงักเมื่อหันกลับมาแล้วพบว่าเขาไม่ได้อยู่ตามลำพังกับคีลอีกแล้ว แต่บัดนี้ปรากฏกลุ่มคนชุดดำยืนรายล้อมอยู่ใกล้ ๆ เป็นการปรากฏตัวที่เหมือนจู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมาบนผืนทรายอันว่างเปล่า ระหว่างที่มูซายืนงงอยู่นั้นร่างในชุดดำร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาพร้อมกับยื่นของสิ่งหนึ่งให้
“คลุมนี่ซะ” สิ่งที่ชายผู้นั้นยื่นให้คือเสื้อคลุมตัวยาวสีดำสนิทแบบเดียวกับกลุ่มที่รายล้อมอยู่คลุม เด็กชายเริ่มเข้าใจเรื่องราวรับเสื้อคลุมมาสวมโดยไม่ซักไซ้อะไร
เบื้องหน้าที่เด็กชายยืนอยู่ขณะนี้เป็นเนินทรายสูง กลุ่มคนในชุดดำอีกหลายคนยืนรวมกลุ่มกันเงียบ ๆ ไม่มีการเคลื่อนไหวหรือพูดจา ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ดูเหมือนทุกคนกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่อย่างใจจดใจจ่อ สายลมเย็นยะเยือกพัดวูบ บรรยากาศเงียบสงบเมื่อครู่เริ่มแปรไป ความเยือกเย็นวังเวงแผ่ซ่านเข้ามาทุกอณูของร่างกายจนขนลุกชัน เสียงกระพรวนกรุ๋งกริ๋งดังแว่วมาตามสายลม แล้วจุดหนึ่งลิบ ๆ ตรงสันทรายก็ปรากฏแสงวูบวาบคล้ายแสงตะเกียงของกองคาราวาน
มูซายืนมองดูอยู่ด้วยใจระทึก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นแต่เขาก็รู้ว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่นอน เสียง กรุ๋งกริ๋งนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แสงวูบวาบที่เห็นในระยะไกลนั้นขยับใกล้เข้ามา ภาพกองคาราวานที่คิดว่าจะได้เห็นกลับกลายเป็นภาพความสับสนวุ่นวาย เสียงอื้ออึง เสียงกรีดร้อง และเสียงอาวุธกระทบกันจากการต่อสู้ เด็กชายที่เฝ้าดูทำท่าจะถลาลงจากเนินทรายแต่ถูกรั้งไว้จากชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“ยืนเฉยกันทำไม ช่วยพวกเขาซิ! ทำอะไรเข้าซักอย่าง พวกนั้นแย่แล้ว!” เด็กชายระล่ำระลักบอกพลางดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ไม่เป็นผล
“เราช่วยแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้” เสียงตอบเรียบเฉยฟังดูปราศจากความรู้สึกใด ๆ ต่อภาพเบื้องหน้าที่เห็นดังมาจากชายชุดดำ
“ทำไมล่ะ ทำไม!” เด็กชายร้องถามอย่างไม่เข้าใจ บัดนี้ความสับสนวุ่นวายของภาพเบื้องล่างค่อย ๆ สงบลงแล้ว เสียงไชโยโห่ร้องของพวกโจรดังก้อง ก่อนจะค่อย ๆ เงียบหายไปทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังของกองเกวียนและซากศพที่กระจายเกลื่อน
“ทำไมไม่ช่วยพวกเขา !?” มูซาถามอย่างโกรธจัดปนตกใจแต่เหล่าร่างในชุดดำยังคงยืนสงบ
“ข้าถามว่าทำไม !”
“เพราะพวกนั้นที่เจ้าเห็นเป็นเพียงวิญญาณไงล่ะ” เสียงตอบจากร่างสูงที่ก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างเด็กชาย
ชายในชุดดำที่ตรึงมูซาไว้แต่แรกคลายมือออก และแสดงอาการคารวะผู้มาใหม่เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่แสดงอาการเดียวกัน การแต่งกายของผู้มาใหม่ไม่มีอะไรแตกต่างจากคนอื่น หากท่วงท่าทรงอำนาจนั้นบอกชัดถึงความเป็นนาย ชายผู้นั้นก้าวเข้ามาใกล้ มือที่สวมถุงมือมิดชิดนั้นวางทับลงบนไหล่เด็กชาย
“อย่างที่บอก ที่เจ้าเห็นนั่นคือเหล่าดวงวิญญาณที่ยังเกาะเกี่ยวผูกพันยึดติดกับเหตุการณ์ก่อนที่จะตาย มันจะเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่าวิญญาณเหล่านั้นจะได้รับการชำระล้าง”
“ชำระล้าง!?”
“ใช่ ชำระล้างดวงวิญญาณ และนั่นก็เป็นหน้าที่หนึ่งของพวกเราชาวมาฮาร่าด้วย”
“ทำได้ยังไงกัน ?”
“ดูนั่นสิ” ร่างสูงชี้มือไปเบื้องล่างที่มองเห็นซากหักพังของกองเกวียน ข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนและซากศพที่นอนตายระเกะระกะ เด็กชายเพิ่งสังเกตว่าเหล่าชายในชุดดำที่ยืนห้อมล้อมอยู่เมื่อครู่หายไปหมดแล้ว และขณะนี้พวกเขาไปปรากฏตัวอยู่ ณ ซากเหล่านั้น ชายที่ยืนเคียงก้าวเท้านำโดยไม่พูดอะไร มูซาตัดสินใจก้าวตาม
กลุ่มคนในชุดดำเริ่มโอบล้อมเป็นวงกลมล้อมรอบบริเวณที่เกิดเหตุนั้น มือทั้งสองข้างประสานกันไว้บนอกก่อนที่เสียงสวดประสานจะดังก้องกังวานไปทั่วท้องทะเลทรายอันว่างเปล่าเวิ้งว้างนั้น
“บทเพลงส่งวิญญาณ” ชายที่ยืนเคียงมูซาบอกเรียบ ๆ
เด็กชายสังเกตซากศพที่เรียงรายเมื่อครู่เริ่มสลายหายไปก่อนจะกลายเป็นดวงไฟดวงเล็กดวงน้อยค่อย ๆ ลอยสูงขึ้น สูงขึ้น จนในที่สุดก็หายไปท่ามกลางแสงกระพริบระยิบระยับของหมู่ดาว
ความคิดเห็น