คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : รอยทรายใต้แสงจันทร์ 1
บทที่ 8
รอยทรายใต้แสงจันทร์ 1
หลังจากออกเดินทางได้สามวัน คณะเดินทางมุ่งสู่บาลันเทียร์ก็หยุดพัก ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองอัลดินา ซึ่งเป็นเมืองชายแดนติดต่อกับทะเลทรายแสงจันทร์ คณะเดินทางหยุดพักเพื่อจัดหาเสบียงอาหารเพิ่มเติมและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางข้ามเขตทะเลทรายแสงจันทร์และป่าหลงลืม เพราะเมื่อออกจากเมืองนี้ไปก็จะไม่มีที่พักอาศัยและเสบียงอาหารต่าง ๆ นั้นหาได้ยาก
หลังจากอาหารเย็น เจ้าชายซาร์กอนก็กางแผนที่อีกครั้งเพื่อตรวจดูเส้นทางที่มุ่งจะไป
“คืนนี้เราจะพักเอาแรงที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ตอนเช้ามืดจึงจะออกเดินทาง จากนี้ไปเราจะหยุดพักในช่วงกลางวัน และเดินทางในช่วงเย็น”
“ทำไมเราถึงไม่เดินทางไปเรื่อย ๆ เหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้ล่ะครับ ?”
คนเดียวที่มักมีข้อสงสัยอยู่เสมอ เซเนตตรา
“อากาศในทะเลทรายแสงจันทร์นั้นร้อนจัดจนอันตรายเกินกว่าที่เราจะฝืนเดินทางในช่วงกลางวัน” เจ้าชายซาร์กอนให้คำอธิบาย
“แหม! อย่างนี้น่าจะชื่อทะเลทรายสุริยันมากกว่าทะเลทรายแสงจันทร์” คนช่างสงสัยยังมีปัญหาต่อไป
“ไว้คืนพรุ่งนี้เจ้าก็จะรู้ว่าทำไมถึงชื่อทะเลทรายแสงจันทร์” ซาร์กอนบอกอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่คนเดียวที่นั่งเงียบ บำเพ็ญตนเหมือนคนใบ้ลุกขึ้นยืน
“เจ้าจะไปไหนน่ะ ซาร์ลูมาน ?”
“ข้าจะไปพักผ่อน” ให้คำตอบแล้วก็เดินจากไปโดยไม่สนใจใคร ๆ อีก
เจ้าชายซาร์กอนยิ้ม ไม่ได้ถือสาหาความ แล้วหันไปบอกกับทุกคน
“พวกเจ้าก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เรายังต้องเดินทางกันอีก” จบคำเจ้าชายซาร์กอน คนอื่นๆ จึงแยกย้ายกันไปห้องของตน
หลังจากที่ต้องนอนหลับมาบนรถม้ามาเกือบตลอดการเดินทางจากวินเดเนียมาถึงทะเลทรายแสงจันทร์ คืนนี้เป็นคืนแรกที่เซเนตตราได้สัมผัสกับเตียงนอนอันนุ่มอุ่นสบาย หญิงสาวในร่างชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียงของตัวเอง โซเนปเพื่อนร่วมห้องนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ พลางหันมาถามคนที่ทำท่าจะหลับตั้งแต่หัวถึงหมอน
“เจ้าจะนอนแล้วเหรอ ?”
“ก็นอนสิ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่ดึก นอนเอาแรงดีกว่า”
“อย่าเพิ่งเลยน่า ไหน ๆ ก็มาถึงเมืองชายแดนทั้งที ออกไปเปิดหูเปิดตากันเหอะ”
คำชวนของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมปราชญ์แห่งอาณาจักรวินเดเนียทำเอาเซเนตตราอ้าปากค้างพูดไม่ออกไปชั่วครู่
“จะไปหาข่าวเหรอ ?” ยังพยายามคิดในแง่ดี คนฉลาด ๆ เขาต้องรอบรู้ ฉับไวกับข่าวสาร
“เปล่า จะออกไปเที่ยวต่างหาก” จอมปราชญ์ท่านว่าหน้าตาเฉย เซเนตตรางันเกินงงไปเรียบร้อยแล้ว มหาอาณาจักรวินเดเนียหาคนฉลาดกว่านี้ไม่ได้หรือไรถึงไปคว้าเอาคนแบบโซเนปมาเป็นจอมปราชญ์
“เมื่อครู่ข้าถามพนักงานแล้ว เขาว่าที่นี่มีที่เที่ยวอยู่แห่ง น่าสนใจ ไปกันเหอะ”
“เอ่อ.....” เซเนตตราพูดไม่ออก
“ไปน่า.....อย่าทำตัวเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายหน่อยเลย ขืนเชื่อเจ้าชายซาร์กอน ชีวิตก็อับเฉากันพอดี” นั่น ฟังท่านจอมปราชญ์ท่านว่า แล้วในที่สุดเธอก็ต้อง ‘ไป’ ตามที่ท่านจอมปราชญ์ตัวแสบคะยั้นคะยอ
ที่น่าเที่ยวของท่านจอมปราชญ์แห่งมหาอาณาจักรวิเดเนีย คือ ‘ร้านเหล้า’ หรือจะเรียกให้ถูก คือ หอนางโลมแบบเดียวกับที่เซเนตตราเคยเห็นมาแล้ว แต่ที่นี่ดูจะไม่ครึ้กครื้นเท่า แถมสถานที่ก็ไม่กว้างขวางเท่าด้วย ลูกค้าที่นั่งอยู่ตามโต๊ะต่าง ๆ แต่ละคนหน้าตาปะยี่ห้อนักเลง อันธพาลเสียส่วนใหญ่ แม้บางส่วนจะเป็นพวกพ่อค้าที่ควบคุมกองคาราวานผ่านตามเมืองต่าง ๆ เมื่อมีหนุ่มหน้าตาดีสองคนก้าวเข้ามาในร้านจึงเป็นจุดสนใจของผู้คนในร้านเป็นพิเศษ โดยเฉพาะโซเนป ที่นอกจากจะหน้าตาดีแล้ว เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่สวมใส่ยังบ่งบอกว่าเป็นพวกชนชั้นสูง
เจ้าหนุ่มผมทองตาสีฟ้าเดินนำไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างอยู่ ไม่สนใจสายตาของผู้ใด หญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยนางหนึ่ง เข้ามากุลีกุจอต้อนรับ พลางเอ่ยถามอย่างเอาใจ
“นายท่านจะดื่มอะไรดีคะ ?” ปากถาม สายตาก็โปรยเสน่ห์เชิญชวน ในขณะที่หญิงสาวอีกนางขยับเข้ามาทางเซเนตตราที่ตอนนี้แทบอยากจะเอาหัวโขกพื้นให้รู้แล้วรู้รอดไป
‘ไม่น่าหลวมตัวมาเลยด้วยจริง ๆ’
รอยยิ้มกรุ้มกริ่มถูกแจกจ่ายไปยังสาว ๆ พลางเอ่ยปากสั่งอาหารและเครื่องดื่ม มาดของท่านจอมปราชญ์ตอนนี้แทบจะไม่ผิดจากเฮรอสท่านชายเจ้าสำราญเท่าไหร่เลย
“เป็นอะไรเซเนต ไม่สนุกเหรอ ?” โซเนปเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนร่วมโต๊ะมีสีหน้าเซ็ง ๆ ข้างกายของคนถามมีสาวสวยสองนางคอยปรนนิบัติ เดิมทีหญิงสาวอีกคนก็ทำท่าจะเบียดกระแซะมาทางเซเนตอยู่เหมือนกัน แต่ถูกเด็กหนุ่มปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เจ้าหล่อนจึงหันไปสนใจกับอีกหนึ่งหนุ่มแทน
“เอาเหอะ เชิญเจ้าตามสบาย” เซเนตตราบอกพลางหันไปมองบรรยากาศรอบ ๆ ตัว บนเวทีขณะนี้การแสดงกำลังจะเริ่ม
เสียงพูดคุยฉอเลาะข้าง ๆ ยังดำเนินต่อไป
“ท่านมาจากไหนหรือคะ ?” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยถามพลางรินเหล้าส่งให้
“ข้ามาจากอาณาจักรวินเดเนีย” โซเนปตอบ รับจอกทรงสูงนั้นมาจิบ ใบหน้าแย้มยิ้มอารมณ์ดี ตั้งแต่เดินทางมาด้วยกันเธอยังไม่เคยเห็นท่านจอมปราชญ์หงุดหงิดอารมณ์เสียเลยซักครั้ง
“วินเดเนียกับอัลดินาไกลกันตั้งเยอะ ท่านมาทำอะไรที่เมืองชายแดนอย่างนี้คะ?”
“ข้าจะข้ามไปบาลันเทียร์”
“บาลันเทียร์!” เสียงอุทานอย่างตกใจก่อนที่สองสาวจะมองสบตากัน
“มีอะไรหรือ ?” โซเนปเอ่ยถาม ตีสีหน้าประหลาดใจได้อย่างแนบเนียนเสมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ ทั้งสิ้น
“ก็ตอนนี้ที่นั่นมีข่าวลือไม่ค่อยจะดีน่ะสิคะ” ตอนนี้เซเนตตราละความสนใจจากเวทีหันมาตั้งใจฟังด้วยอีกคน
“พวกกองคาราวานที่เคยเดินทางไปที่นั่นบอกว่า เดี๋ยวนี้มีปีศาจดุร้ายออกอาละวาดจับผู้คนไปกินตั้งมากมาย แถมพักนี้ข่าวลือเรื่องราชาปีศาจกำลังจะกลับมายิ่งหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ บาลันเทียร์ก็อยู่ใกล้กับป่าอาถรรพ์ก็เลยไม่มีใครกล้าเดินทางไปที่นั่นกัน” ฝ่ายเล่า บอกด้วยสีหน้าหวาดหวั่น แต่หนุ่มผมทองยกเหล้าขึ้นจิบเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับคำบอกเล่านั้น
“เอ.....ถ้าท่านจะไปบาลันเทียร์ ทำไมถึงใช้ทางเส้นนี้ละคะ ?”
“ทำไมล่ะ มันใกล้ไม่ใช่เหรอ ข้ามทะเลทรายแสงจันทร์ ตัดเข้าป่าหลงลืมแล้วก็ถึงบาลันเทียร์พอดี ไม่ต้องอ้อมให้เหนื่อย” โซเนปว่าไปเรื่อย เหมือนไม่เคยรู้เรื่องอะไรมาก่อน
“ข้าว่าท่านใช้เส้นทางอ้อมดีกว่านะ ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่าทะเลทรายแสงจันทร์น่ะไม่มีใครอยากข้ามไปหรอก ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้ว”
“ตอนนี้มีอะไรหรือ ?”
“หลายวันมานี่ ทะเลทรายแสงจันทร์ดูเหมือนจะเกิดพายุทรายหรืออย่างไรก็ไม่รู้ แต่จากเมืองนี่สามารถมองเห็นกลุ่มฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายจนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายแสงจันทร์มืดทะมึนดูน่ากลัว!”
“มีพายุทรายแบบนี้บ่อยไหม ?”
“ตั้งแต่ข้าจำความได้ ก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ เมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้หรอก”
“แต่ข้าว่าทะเลทรายแสงจันทร์ยังไม่น่ากลัวเท่าป่าหลงลืม” อีกนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“ทำไมล่ะ ?” คราวนี้เซเนตตราเอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่
“ก็เมื่อหลายวันก่อนมีคาราวานผ่านมาทางนี้ พวกนั้นเล่าให้ฟังว่าได้เดินทางผ่านป่าหลงลืมตามเส้นทางปกติที่เคยใช้กันนั่นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งเดินหมอกยิ่งปกคลุมหนาทึบจนแทบจะมองไม่เห็นทางทั้ง ๆ ที่ยังเป็นเวลากลางวัน แล้วทีนี้นะ” คนเล่าชักมีอารมณ์ร่วมในเหตุการณ์ สีหน้านั้นหวาดหวั่นเหมือนกับว่าเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ตอนนั้นซะเอง
“จู่ ๆ ดวงไฟมากมายก็ปรากฏขึ้น มันลอยวูบวาบอยู่ในป่า เท่านั้นยังไม่พอยังมีเสียงหวีดหวิวคล้ายเสียงคร่ำครวญ บางทีก็เป็นเสียงกู่ร้อง ดังก้องไปมา บางทีก็เงียบหายไป พวกกองคาราวานงี้สับสนหวาดกลัวกันหมด”
“แล้วพวกนั้นทำยังไงกันล่ะ ?”
“ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะ เพราะจู่ ๆ ก็มีเสียงขับลำนำประหลาดดังมาจากไหนก็ไม่รู้ คล้ายจะดังมาจากบนฟ้าจับทิศทางไม่ได้ ฟังแล้วสลดหดหู่ อ้างว้าง เหมือนกับว่าคนที่ขับลำนำนั้นจมอยู่กับความทุกข์ทน อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว และเงียบเหงา”
“แล้วไงต่อ” เซเนตตราเร่ง
“พอเสียงขับลำนำดังขึ้น ดวงไฟที่ลอยวูบวาบไปมาก็หายไป เสียงหวีดหวิววังเวงต่าง ๆ ก็หายไปด้วย พวกกองคาราวานจึงรีบเร่งเดินทางให้พ้นจากป่าหลงลืม พอใกล้จะพ้นเขตป่าหลงลืมเจ้าเสียงปริศนานั่นก็ค่อย ๆ จางหายไป!”
“อืม .......น่าสนุกนะ” โซเนปที่นิ่งฟังบอก ดวงตาพราวระยับเหมือนได้ของเล่นที่ถูกใจ
“สนุกบ้าอะไรล่ะ!” เซเนตตวาดแว๊ด สถานการณ์อย่างนี้ยังว่าน่าสนุก ขนาดพวกกองคาราวานใช้เส้นทางปกติที่เดินผ่านไปมายังเจอดี แล้วนี่คณะของเธอต้องตัดผ่านใจกลางป่าหลงลืมเลยทีเดียว
ยังไม่ทันจะว่าอย่างไรต่อไป เสียงหนึ่งก็หันเหความสนใจของคนทั้งร้านให้หันไปมอง ณ จุด ๆ เดียวกัน
“โครม! เพล้ง!” เสียงโครมครามดังมาจากมุมหนึ่งของร้าน ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของสาว ๆ ที่ตื่นตกใจ ข้าวของ โต๊ะเก้าอี้ล้มกระจัดกระจายจากการวิวาทกันของคนกลุ่มหนึ่ง
“อะไรกันน่ะ ?” เซเนตตราเอ่ยถามคนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่รอบนอกที่แน่ใจได้ว่าพ้นรัศมีอันตรายจากลูกหลง
“เจ้าราฟมันมีเรื่องกับคนต่างถิ่น” หนึ่งในกลุ่มคนมุงหันมาบอก
เซเนตตราชะเง้อดูเหตุการณ์ เห็นชายในชุดคลุมแบบนักเดินทางกำลังต่อสู้กับกลุ่มชายฉกรรจ์แบบห้ารุมหนึ่ง แต่ฝ่ายถูกรุมคงมีฝีมือพอตัวเพราะยังสามารถยืนหยัดต้านทานได้โดยไม่เพรี่ยงพล้ำ
ลักษณะบางอย่างของชายในชุดคลุมคุ้นความรู้สึกเซเนตตรายิ่งนัก ยังไม่ทันจะนึกอะไรต่อไป ปลายดาบคมวับก็ตวัดเข้าใส่ ร่างในชุดคลุมก็ว่องไวพอตัวเพราะเบี่ยงตัวหลบได้หวุดหวิด แต่ปลายดาบนั้นก็เฉี่ยวถูกผ้าคลุมหน้าที่ปิดไว้ขาด เผยให้เห็นใบหน้าภายใต้ผ้าคลุม
“เฮ้ย!” เซเนตตราร้องลั่นพร้อม ๆ กับหนึ่งในกลุ่มฝ่ายรุมตวัดดาบเข้าใส่เพื่อซ้ำ ชายหนุ่มที่เสียหลักล้มลงไปกระแทกโต๊ะข้าง ๆ
ไวเท่าความคิด เธอคว้าขวดเหล้าใกล้มือขว้างออกไปสกัดปัดทิศทางของดาบให้เฉไป คราวนี้เป้าหมายของกลุ่มกลุ้มรุมจึงหันมาทางเธออีกคน!
“เฮรอส! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!?” เซเนตตราสู้ไปถามไปพลาง
“อย่าเพิ่งถามได้ไหม ช่วยกันก่อนเหอะน่า” เฮรอสตอบแล้วก้มหลบดาบที่ตวัดเข้าใส่อย่างเฉียดฉิว
“เจ้าไม่พกดาบติดตัวบ้างเลยหรือ !?” เซเนตตราคว้าไม้หวดดาบในมือเจ้าคนหนึ่งหลุดกระเด็นไป
“หึ ข้าไม่เคยพกอาวุธ”
“เจ้าบ้าเอ๊ย!” เซเนตตราตะโกนด่าอย่างหัวเสีย สายตายังสอดส่ายคอยระวังศัตรูที่ดาหน้าเข้ามา ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะมีแค่ห้าคน แต่ตอนนี้ไหงเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ไม่รู้
เหตุการณ์ทำท่าจะคับขัน แต่แล้วจู่ ๆ เหล่าชายฉกรรจ์ที่กระเหี้ยนกระหือรือจะรุมสกรัมทั้งเธอและเฮรอสก็หันไปตะลุมบอนกันเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
เซเนตตรายืนถือไม้ค้าง มองเหตุการณ์กลับตาลปัตรเบื้องหน้าด้วยความงุนงง
“มัวตะลึงอยู่ได้ รีบเผ่นเร็วเข้า เวทลวงตาของข้าอยู่ได้ไม่นานนักหรอกนะ!” เสียงบอกดังขึ้นข้างตัว แล้วมือหนึ่งก็คว้ามือคนที่มัวแต่ยืนงงลากให้วิ่งตามไป
ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง ร่างสามร่างวิ่งตามกันมาในตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ไกลจากสถานที่เกิดเหตุพอสมควร เจ้าคนที่วิ่งรั้งท้ายสุดร้องเรียกอย่างเหนื่อยหอบ
“หยุด! .....หยุดก่อน....ข้า....ข้าไม่ไหวแล้ว
..” เซเนตตราบอกแล้วทรุดลงนั่งอย่างหมดแรงตรงข้างกำแพงที่ทอดยาวนั่นเอง
“เออ...ข้าก็ไม่ไหวเหมือนกัน” โซเนปทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ หอบจนตัวโยน
“คงไม่มีใครตามมาแล้วมั้ง” ตัวต้นเหตุของการวิ่งหนีครั้งนี้บอกพลางนั่งลงอีกคนแต่กลับไม่มีอาการเหนื่อยหอบให้เห็น ทั้งเซเนตตราและโซเนปที่นั่งหอบแข่งกันไม่ทันสังเกต
ผ่านไปชั่วครู่เมื่อความเหนื่อยเริ่มจางหาย ความสงสัยก็เข้ามาแทนที่
“เฮรอส เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ?” เซเนตตราตั้งคำถาม
“ก็.....น่าจะเดาได้นะ”
“ท่านตามพวกเรามาเหรอ ?” โซเนปถามได้ตรงจุด
“จะว่างั้นก็ได้”
“เท่าที่ข้ารู้ องค์ราชาไม่ให้ท่านไปบาลันเทียร์ ?” เฮรอสพยักหน้ารับ
“แต่เจ้าก็มา” เซเนตตราเอ่ยถามบ้าง “เจ้าขัดคำสั่งองค์ราชา”
“ท่านพ่อห้าม แต่ข้าไม่ได้รับปากว่าจะไม่ตามนี่นา”
“เจ้ารับปาก” เซเนตตราไม่ยอมแพ้เพราะได้ยินมากับหู
“ข้าบอกแค่ว่าครับ ไม่ได้บอกว่าไม่ตามซะหน่อย” เฮรอสบอกหน้าตาเฉยทำเอาเซเนตตราเถียงไม่ออก
“เจ้านี่มัน.....กะล่อนตลบตะแลงจริง ๆ” ในที่สุดก็หาคำสรรเสริญได้ โซเนปกลั้นหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
“ข้ายังไม่ได้ขอบใจเจ้าที่ช่วยเหลือ” เฮรอสหันมากล่าวกับจอมปราชญ์แห่งวินเดเนีย
“แค่นิดหน่อยน่า”
“เจ้าทำอะไรกับเจ้าพวกนั้นน่ะ ?” เซเนตตราหันไปถามท่านจอมปราชญ์อย่างเพิ่งนึกได้
“สร้างภาพลวงตาน่ะ ให้พวกมันเห็นพวกเดียวกันเองเป็นศัตรู แต่ใช้ได้ไม่นานหรอกเพราะข้าไม่ถนัดใช้เวทประเภทการต่อสู้” โซเนปอธิบาย “ถึงบอกให้รีบเผ่นไงล่ะ ว่าแต่ท่านเถอะทำไมไปมีเรื่องกับพวกนั้นได้ ?”
“ขวางหูขวางตากันนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรมาก”
“ข้าเพิ่งรู้นะว่าท่านก็มีฝีมือในการต่อสู้พอตัว” โซเนปเอ่ยถามอย่างสงสัยเพราะไม่เคยเห็นท่านชายที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นบุรุษเสเพลแห่งวินเดเนียทะเลาะวิวาทกับใครมาก่อน
“ถ้าข้าอยู่ในวินเดเนียก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้หรอก” เฮรอสบอกง่าย ๆ ซึ่งหมายความว่าที่วินเดเนียนั้นตำแหน่งท่านชายของเขาใคร ๆ ก็รู้กันดีจึงไม่มีนักเลงที่ไหนอยากจะหาเรื่องด้วย แต่ออกนอกอาณาจักรมามันก็อีกเรื่อง
“แล้วนี่ท่านพักที่ไหน?”
“ก็ที่เดียวกับพวกเจ้านั่นแหละ” เฮรอสตอบพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำเอาเซเนตตราชักสังหรณ์ใจว่ารอยยิ้มนั้นต้องมีเบื้องหลังอะไรบางอย่าง
แล้วก็เป็นอย่างที่สังหรณ์ใจไว้ เบื้องหลังรอยยิ้มนั้นคือเฮรอสยังไม่มีที่พัก และตอนนี้ก็ไม่มีห้องพักว่างทำให้โซเนปตัดสินใจให้ทั้งหมดพักอยู่รวมกัน แล้วตอนนี้ ‘ตัวปัญหา’ ก็มานั่งยิ้มระรื่นอยู่ที่เตียงของเธอ
“ไปนอนกับโซเนปโน่น” เธอขับไล่ ใครชวนก็ให้ไปนอนกับคนนั้น
“เตียงแคบ” เฮรอสให้เหตุผล
“นี่ก็แคบ”
“เจ้าตัวเล็กกว่าโซเนป”
“ข้า...” เซเนตตราขยับจะพูดแต่ถูกดักคอ
“เจ้านอนไม่ดิ้น ข้ารู้”
“ไปนอนพื้นโน่นไป”
“พื้นเย็นจะตาย ขืนนอนข้าก็แข็งตายกันพอดี” มันก็จริงอย่างที่เฮรอสบอกนั่นแหละ แล้วนี่ก็ดึกมากแล้วขืนเถียงกันต่อไปคงไม่ต้องนอนกันละ แล้วเจ้าจอมปราชญ์ตัวดีนั่นก็ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหลับไปเรียบร้อยไม่ยอมรับรู้อะไรด้วยเลย
“นอนเหอะ ข้าง่วงแล้ว !” เฮรอสบอกแล้วล้มตัวลงนอนไม่สนใจคนที่ยังยืนลังเลตัดสินใจไม่ถูกอยู่ข้างเตียง ในที่สุดเซเนตตราก็ตัดใจ ซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับเฮรอส พร้อมทั้งนึกปลอบใจตัวเองไปพร้อม ๆ กัน
‘ยังไงตอนนี้เธอก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายกับผู้ชายนอนด้วยกันไม่เป็นไรหรอกน่า
ท่ามกลางแสงคบไฟที่จุดให้แสงสว่าง เปลวไฟไหววูบตามแรงลมส่องกระทบกับผนังห้องก่อให้เกิดเงาสลัวดูน่ากลัว ชายร่างสูงในชุดขาวพึมพำสวดมนตร์ เบื้องหน้าคือกระจกบานใหญ่ที่บัดนี้ค่อย ๆ ปรากฏรอยฝ้าขุ่นมัวก่อนภาพจะค่อย ๆ ชัดขึ้น ๆ เป็นกลุ่มหมอกหนาทึบขาวโพลนจนมองอะไรไม่เห็น
“ทำไมเป็นแบบนี้! “ ร่างที่เพ่งสายตามองดูกระจกเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด อัลซัสเหลือบมองที่กระจกพลางเอ่ยอย่างถามใจเย็น
“ท่านมองเหตุการณ์ในกระจกเวทไม่เห็น ?”
“ก่อนหน้านี้ข้ายังมองเห็น แต่ทำไมตอนนี้ถึงไม่” ดวงตาสีม่วงเข้มฉายแววครุ่นคิด
“ต้องมีอะไรซักอย่างสกัดกั้นการรับรู้ของข้า”
“ท่านคิดว่ามาร์รานจะรู้ ?”
“ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะในจำนวนพวกที่มุ่งไปบาลันเทียร์ มาร์รานมีพลังเวทที่กล้าแข็งที่สุด มันอาจจะรู้ว่ากำลังถูกติดตาม”
“ท่านจะทำยังไง ?”
“ถ้ามองไม่เห็นพวกมัน ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรจากที่นี่ได้”
“หมายความว่าท่านจะเดินทางตามพวกนั้นไป ?”
“ใช่ แต่ข้าไม่ได้ตามพวกมัน แต่จะไปรอมันอยู่ต่างหาก !” เดมาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
“ท่านจะปะทะกับพวกนั้น ?” อัลซัสเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย
“ข้าไม่โง่ขนาดนั้นหรอกน่า ในสามคนนั่น คนที่น่ากลัวที่สุดก็คือมาร์ราน แต่คนที่เก่งที่สุดก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อน ข้ามีแผนเล่นสนุกกับพวกมันแล้ว ทะเลทรายแสงจันทร์ที่งดงามกำลังรอต้อนรับพวกมันอยู่อย่างใจจดใจจ่อทีเดียวละ!”
playSound(); showPoll();
ความคิดเห็น