คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตำนานแห่งคาเธย์
บทที่ 7
ตำนานแห่งคาเธย์
ขบวนรถหยุดพักที่โอเอซีสเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เปลวแดดที่เริงร้อนทำให้คณะเดินทางอ่อนเพลียจนต้องหลบพักอยู่แต่ภายในเต็นท์พักชั่วคราว ทหารยามผลัดเปลี่ยนยืนยามคอยระวังเหตุ ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามสะดวก
จัสมินเดินหมุนซ้ายหมุนขวาเหมือนหาอะไรซักอย่างโดยมีเจ้าเด็กมูซาเดินตามติด มันทำท่าเหมือนเป็นองครักษ์ประจำตัว
“เป็นอะไรมูซา ทำไมวันนี้ไม่ไปตามติดเพื่อนของเจ้าล่ะ ?”
“ตามคีลมันไม่สนุก สู้ตามคุณหนูไม่ได้” มันตอบแถมยิ้มทะเล้น จัสมินยิ้มอย่างเอ็นดูมัน
“มูซากับคีลรู้จักกันมานานแล้วหรือ ?”
“เพิ่งรู้จัก”
“อ้าว! แล้วทำไมถึงได้ดูสนิทกันนักล่ะ มากับเขาแบบนี้ไว้ใจเขาหรือ ?”
“คีลเป็นคนดีนะ ใจดีด้วย เขาเคยช่วยจ่ายค่ารักษาให้ยายมูซาด้วย” เจ้าเด็กน้อยช่วยสรรเสริญ
“งั้นเหรอ หน้าตาไม่เห็นบอกเลยว่าเป็นคนดี แล้วมูซาตามมาอย่างนี้ยายของมูซาอยู่กับใครล่ะ ?” หญิงสาวยังชวนคุยต่อไปเรื่อย ๆ
“คนที่โรงพยาบาลเขาฝากให้ทำงานครัวบ้านเศรษฐี มูซาก็เลยมากับคีล”
“พ่อแม่เธอล่ะ ?” มูซาหุบยิ้มในทันที แววตาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวชั่ววูบ
“ตายแล้ว” มันบอกเสียงเบา จัสมินขยับจะถามต่อแต่จู่ ๆ เด็กชายก็คว้ามือเธอกำแน่น สีหน้าหวาดหวั่น หลบซุกแอบหลังหญิงสาว
“เป็นอะไรมูซา ?” หญิงสาวก้มลงถามมัน เด็กชายสั่นศีรษะไม่ยอมตอบอะไร มือที่จับมือเธอไว้เกร็งแน่น
“คุณหนู มาเดินเล่นหรือครับ ?” เสียงถามดังขึ้นทำให้จัสมินเงยหน้าขึ้นมอง ร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำเกรียมแดดในชุดเครื่องแบบทหารทะเลทรายยืนยิ้มอยู่ใกล้ ๆ เธอไม่ชอบสายตาของเจ้าหัวหน้าหน่วยทหารนี่เลย แววตาที่มองออกจะกรุ้มกริ่มเกินเหตุ
“ใช่ บริเวณแถวนี้เรียบร้อยดีใช่ไหม ?” เธอยืดตัวตรงมองสบสายตาจ้วงจาบที่มองมาโดยไม่หลบ
“ครับ ผมสั่งให้คนของผมตรวจตราดูแลรักษาความปลอดภัยเต็มที่ คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วง” ยูซุปตอบ ไม่ได้แสดงท่าทียำเกรงเท่าที่ควร
“ขอบใจ มีธุระอะไรก็ไปเถอะ ฉันจะเดินเล่นอยู่แถวนี้แหล่ะ” จัสมินตัดบท แต่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่เข้าใจ
“ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูดีกว่าครับ ผมไม่มีธุระอะไร”
“ไม่เป็นไร มูซาอยู่เป็นเพื่อนฉันแล้ว เธอไปเถอะ” หญิงสาวเสียงแข็งขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยพอใจ และฝ่ายนั้นดูเหมือนจะรู้ตัวจึงน้อมคำนับลงแล้วผละจากไป แต่มูซาทันได้เห็นแววตามาดหมายของมัน
จัสมินถอนใจยาว กิริยาการมองของเจ้ายูซุปทำไมเธอจะไม่รู้ว่ามันคิดอย่างไร ท่าทางมันกร่างพิกลอยู่ กลับไปนี่เห็นทีต้องบอกให้ท่านพ่อจัดการบ้างแล้ว
“เป็นอะไรมูซา ?” เธอก้มลงถามเจ้าเด็กตัวแสบที่ตอนนี้มันทำตัวเงียบผิดปกติตั้งแต่ยูซุปเข้ามา
“เปล่า” เด็กชายตอบแค่นั้น และเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนมันก็ปล่อยมือจากเธอวิ่งไปหาชายหนุ่มอีกคนที่เดินใกล้เข้ามา จัสมินหยุดยืนมองผู้ใหญ่กับเด็กเจรจากัน ซักพักคนตัวใหญ่ก็เดินตรงมาทางเธอ
“ร้อนอย่างนี้ คุณหนูน่าจะพักผ่อนอยู่ในเต็นท์” คีลเอ่ยเมื่อเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้า
“ฉันไม่ชอบนอนกลางวัน”
“ไม่เหนื่อยบ้างหรือครับ แดดแรงแบบนี้จะทำให้เพลีย ถึงไม่นอนก็ไม่ควรออกมาเดินให้เสียเหงื่อมากนัก”
“ฉันรู้หรอกว่าตัวเองไหวแค่ไหน ว่าแต่นายเถอะแน่ใจนะว่านำพวกเรามาถูกทาง ?”
“แน่ซิครับ ไม่เกินพรุ่งนี้เราจะพบเส้นทางแม่น้ำสายเก่า คราวนี้อะไรก็ง่ายขึ้น” คีลให้คำรับรอง พลางก้าวเดินตามหญิงสาวที่เดินนำไปเรื่อย ๆ
“นายเป็นไกด์มานานหรือยัง ?”
“ก็....ราว ๆ 5 6 ปี ได้แล้วละครับ”
“เคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับนครคาเธย์บ้างไหม ?”
“โอ๊ย นั่นใครก็เคยได้ยินครับ” คีลบอกแกมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ผู้ถามยิ้มมากขึ้น
“แล้วตำนานมาฮาร่าล่ะ ?” คำถามนี้ทำเอาไกด์หนุ่มหุบยิ้มแทบไม่ทัน เสียงพึมพำถามไม่ค่อยจะเต็มปาก
“ตำนานพื้นเมืองหรือครับ ?”
“ใช่ตำนานพื้นเมือง ฉันอยากรู้ตำนานเกี่ยวกับคาเธย์ มาฮาร่า แล้วก็นครมรณะ!” จัสมินหันกลับมาทันควัน เป็นผลให้คนที่เดินตามมาชะงักยั้งตัวเองไว้ทันก่อนจะชนเข้ากับร่างบางเบื้องหน้า สีหน้าชายหนุ่มออกจะประหลาดใจนิด ๆ
“คุณหนูไปเอาเรื่องนครมรณะมาจากไหน ?”
“พวกคนงานเขาพูดกัน เขาว่าทะเลทรายแถบนี้ไม่มีกองคาราวานที่ไหนอยากผ่าน แม้แต่พวกเบดูอินก็เถอะ เขาบอกว่าพวกกองคาราวานกลัวนครมรณะ ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏให้เห็นแล้วก็หายไป”
“พวกนั้นอาจจะเห็นภาพหลอนในทะเลทรายก็ได้นี่ครับ เรื่องแบบนี้เกิดออกบ่อยไป บางคนเห็นเมืองทั้งเมืองผู้คนขวักไขว่ก็ยังมี” คีลบอกยิ้ม ๆ
“เรื่องนั้นน่ะฉันเดาได้ แต่ที่ถามนี่เพราะฉันต้องการรู้เกี่ยวกับตำนานที่เล่าขานของชาวถิ่นทะเลทรายต่างหาก และนายก็ควรตอบฉันได้ด้วยในฐานะที่เป็นไกด์” จัสมินมองอย่างคาดคั้น
คีลหันไปมองมูซาที่ขณะนี้นั่งเล่นอยู่ใต้ร่มเงาของต้นปาล์มห่างออกไป ไม่สนใจจะเดินตามมา ชายหนุ่มถอนใจอีกเฮือก
“มันเป็นตำนานจริง ๆ นะครับ ไม่มีหลักฐานอ้างอิงอะไรทั้งนั้น”
“นั่นแหล่ะที่ฉันจะฟัง เล่าเสียทีซิยึกยักอยู่ได้” หญิงสาวเร่ง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะเล่า คีลเหลียวมองไปทางอื่นหลบสายตาที่มองมา ในเมื่ออยากจะฟังตำนานนักเขาก็จะเล่า ’ตำนาน’ ให้ฟัง
“เมื่อหลายพันปีก่อน คาเธย์เป็นมหานครที่เจริญรุ่งเรืองมาก มีอำนาจแผ่ขยายไปถึงนครทะเลทรายอื่น ๆ ด้วย ในสมัยนั้นมีผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ในอาณาเขตปกครองของคาเธย์ด้วย ชนเผ่าที่เป็นประชากรส่วนใหญ่คือพวกคาเธย์เป็นกลุ่มที่กุมอำนาจปกครองคาเธย์ นอกนั้นก็มีเผ่าเล็กเผ่าน้อยอื่น ๆ กระจัดกระจายอยู่โดยทั่วไป แต่ที่อยากให้รู้จักก็คือพวกเตห์ลา ปัญหามันเกิดเพราะชนสองเผ่าคือคาเธย์และเตห์ลาเกิดความขัดแย้งกระทบกระทั่งกันเริ่มจากเล็กน้อยจนปัญหาเริ่มใหญ่ขึ้น ลุกลามมากขึ้น จนกระทั่งมาถึงสมัยขององค์สุลต่านกาลิยาด ว่ากันว่าเมื่อสมัยหนุ่ม ๆ ทรงเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ พระราชอำนาจแผ่ไพศาลไปทั่วทะเลทรายเขตนี้ทั้งหมด ทรงมีคำสั่งกวาดล้างพวกเตห์ลาจนเกือบหมดเผ่า”
“โหดร้าย!” จัสมินอุทานออกมาอย่างตกใจ และไม่พอใจ คีลยิ้มนิด ๆ เอ่ยต่อไปโดยไม่แสดงความเห็นใด ๆ
“ว่ากันว่าพวกเตห์ลาถูกไล่ล่าจนเกือบจะสาบสูญไป พวกเขาซุกซ่อน หลบหนี กลายเป็นชนชั้นต่ำสุดในคาเธย์ ถึงแม้จะถูกไล่ล้างแต่พวกเขาก็ไม่สาบสูญไป พวกเขายังคงอยู่พร้อมกับความอาฆาตพยาบาทที่ส่งทอดมา....” จัสมินฟังเพลินจนไม่ทันสังเกตคนพูดที่ลอบถอนใจเบา ๆ เพราะในสิ่งที่เล่าเจ้าตัวรู้ดีว่ามันไม่ใช่เพียงตำนานแต่ขณะนี้ทุกอย่างกำลังค่อย ๆ เคลื่อนหมุนวนกลับมาทับซ้อนกันอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันอาจจะร้ายแรงเกินกว่าจะหยุดยั้งได้
“จนเวลาล่วงผ่าน สุลต่านกาลิยาดในวัยฉกรรจ์ ทรงได้พบหญิงสาวคนหนึ่งงดงามราวกับมิใช่นางมนุษย์ ทรงหลงรักนางทันทีตั้งแต่แรกเห็น ยกย่องนางขึ้นเป็นราชินีแห่งคาเธย์ ความงามแห่งพระนางเป็นที่เลื่องลือโจษขานกันไปไกลในแว่นแคว้นทะเลทราย”
“แหม! คนโหดร้ายอย่างนั้นทำไมยังมีความสุขอยู่ได้อีก พระผู้เป็นเจ้าไม่เห็นลงโทษ” น้ำเสียงไม่พอใจของหญิงสาวผู้ฟังทำให้คีลอดหัวเราะไม่ได้
“องค์กาลิยาดลุ่มหลงพระนางมาก ไม่ว่านางจะทำอะไร จะพูดอะไรก็ทรงโอนเอียงตามนางเสียสิ้น อำนาจในคาเธย์เกือบทั้งหมดจึงอยู่ในมือของพระนาง นางจะชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้ทั้งนั้น....แต่....มีสิ่งหนึ่งที่องค์กาลิยาดไม่ทราบก็คือ นางมีเชื้อสายเตห์ลา!” คำบอกเล่าของคีลทำเอาจัสมินตั้งใจฟังมากขึ้น เริ่มมองเห็นเส้นทางของการล้างแค้นระหว่างเผ่าพันธุ์
“สุลต่านถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยยาพิษ พระนางขึ้นนั่งบัลลังก์คาเธย์ ศึกระหว่างเผ่าพันธุ์เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้คาเธย์คือผู้ถูกไล่ล่า” จัสมินนิ่งอึ้งถึงแม้จะเป็นเพียงตำนานแต่มันช่างโหดร้ายทารุณเหลือเกิน
“ไม่เฉพาะคาเธย์แต่รวมถึงเผ่าพันธุ์อื่นด้วย ใครขวางนางตายใครเข้าข้างนางอยู่” หญิงสาวหน้าซีดลงเรื่อย ๆ
“ราชินีแห่งคาเธย์ พระนางชื่ออะไร ?”
“อาบรีซา”
“แล้ว....แล้วเป็นยังไงต่อไป”
“อาบรีซาเป็นผู้หญิงสวย เก่ง ฉลาด และที่สำคัญนางมีเวทมนตร์ ก็อย่างที่เราเรียก ๆ กันว่าแม่มดนั่นแหล่ะ พวกเตห์ลาเป็นพวกใช้มนต์ดำ แต่อาบรีซาพิเศษกว่านั้น นางมีพลังที่น่ากลัว”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมนางไม่ใช้เวทมนตร์ของนางต่อสู้กับสุลต่านล่ะ ทำไมเตห์ลาถึงเป็นฝ่ายถูกไล่ล่าในตอนแรก” จัสมินอดสงสัยไม่ได้ เธอลืมไปสนิทว่าที่คีลเล่ามันคือตำนาน
“คุณคิดว่าองค์สุลต่านของนครที่รุ่งเรืองแถมยังเป็นผู้ยิ่งใหญ่แบบนั้นจะเป็นแค่คนที่เก่งกาจการรบเพียงอย่างเดียวงั้นหรือ กาลิยาดร่ำเรียนเวทมนตร์อาคมเช่นกันเพียงแต่ความสามารถด้านนั้นของเขาไปเท่าด้านการรบเท่านั้นเอง และเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้อาบรีซาไม่กล้าทำอะไรออกนอกหน้าก็เพราะข้างกายขององค์กาลิยาดนั้นยังมีคนคนหนึ่งอยู่ และคนคนนั้นก็เป็นคนที่อาบรีซากลัวที่สุดเสียด้วย”
“ใครกัน!?”
“ซาลามาฮาน” พอเห็นสีหน้าฉงนของหญิงสาว คีลก็เล่าต่อไป
“ซาลามาฮานเป็นมาฮาร่า ถ้าเปรียบมาฮาร่าในสมัยนั้นก็คงจะเหมือนพวกนักบวช พวกนี้ถือเป็นชนชั้นสูงที่ได้รับการนับถือประดุจเทพเจ้า อำนาจของซาลามาฮานนั้นเรียกได้ว่าเทียบเท่าหรือเหนือกว่าองค์สุลต่านด้วยซ้ำ คุณคงเคยได้ยินคนพูดถึงมาฮาร่ามาบ้างแล้ว มาฮาร่าเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ถ้าเตห์ลาคือผู้ใช้มนต์ดำ มาฮาร่าก็คือเวทมนตร์ขาว”
“ก็ถ้าผู้คนนับถือมาฮาร่าประดุจเทพเจ้า และซาลามาฮานเองก็มีอำนาจแต่ทำไมถึงปล่อยให้เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปทั้ง ๆ ที่เขาน่าจะยับยั้งได้”
“ถ้าหมายถึงการไล่ล่าพวกเตห์ลานั่นถือเป็นหน้าที่ของผู้ใช้เวทมนตร์ขาวอยู่แล้ว ถึงจะฟังดูโหดร้ายแต่ซาลามาฮานเองนั่นแหล่ะที่ช่วยยับยั้งไม่ให้องค์กาลิยาดล้างเผ่าพันธุ์เตห์ลา ซาลามาฮานทูลขอให้ละเว้นเตห์ลาที่อยู่อย่างสงบไม่ใช้ความสามารถที่มีก่อเรื่องวุ่นวายเข่นฆ่าผู้คน แต่ในส่วนของผู้ทำผิดนั้นมาฮาร่าละเว้นไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าหมายถึงทำไมปล่อยให้อาบรีซาขึ้นเป็นราชินีแห่งคาเธย์อันนี้ก็เป็นผลมาจากข้อแรก อาบรีซายังไม่ได้ทำร้ายใคร ที่สำคัญองค์กาลิยาดรักนางจริง ๆ มิได้เกิดจากเวทมนตร์ และสุดท้ายถ้าหมายถึงทำไมปล่อยให้เตห์ลากระทำการไล่ล้างเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ถ้าคุณฟังต่อไปก็จะรู้”
“รู้สึกว่านายจะรู้ละเอียดมากเลยนี่”
“คุณจะเอาแบบรวบรัดไหมล่ะ ?” คีลย้อนถาม
“ไม่ เล่าแบบที่นายรู้นั่นแหล่ะดีแล้ว” จัสมินบอกอย่างอดหมั่นไส้คนท่ามากไม่ได้
“ความจริงซาลามาฮานรู้ว่าอาบรีซาเป็นเตห์ลา แต่ก็อย่างที่ผมบอกไปเมื่อตอนต้น ซาลามาฮานคิดว่าน่าจะเป็นผลดีด้วยซ้ำถ้าคาเธย์และเตห์ลาจะรวมกันได้ ในภายภาคหน้าจะได้ไม่เกิดสงครามล้างเผ่าพันธุ์อีก เขาเชื่อว่าด้วยความรักที่องค์กาลิยาดมีต่ออาบรีซาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่เขาอยากให้เป็นเขามองโลกในแง่ดีเกินไป อาบรีซาค่อย ๆ แทรกแซงความสัมพันธ์ระหว่างองค์สุลต่านกับมาฮาร่าจนเกิดความระแวงซึ่งกันและกัน นอกจากนั้นนางยังสามารถขนาดทำให้เหล่ามาฮาร่าเองแตกความสามัคคีกันด้วย” คนฟังนึกทึ่งความสามารถในการแทรกแซงของอาบรีซาจริง ๆ ถ้าใช้มันในทางสร้างสรรค์ก็คงดี
“ในที่สุดทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนของอาบรีซา กาลิยาดสิ้นพระชนม์คาเธย์วุ่นวาย มาฮาร่าเองก็แตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือซาลามาฮานที่ต้องการยึดแนวทางเดิมคือรักษาความเป็นกลาง คอยปกป้องช่วยเหลือบัลลังก์แห่งคาเธย์โดยสรรหาผู้ที่เหมาะสมที่สุดขึ้นดำรงตำแหน่งสุลต่าน ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือฮารีด ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจมากพอควรในสภามาฮาร่า ฮารีดต้องการขึ้นไปอยู่เบื้องหน้าเป็นสุลต่านเสียเอง เลิกเป็นเงาหลังบัลลังก์กันเสียที คุณรู้ไหมว่าฝ่ายไหนชนะ ?”
“ถ้าให้ทายก็ต้องเป็นฮารีด” จัสมินตอบอย่างมั่นใจ
“ใช่ ฮารีดชนะมีมาฮาร่ามากมายเข้าข้างเขา คนพวกนี้คือมาฮาร่าที่ยังหนุ่มแน่นคึกคะนอง มองเห็นคนรุ่นซาลามาฮานเป็นพวกคร่ำครึล้าหลัง ก็ในเมื่อตนเองมีอำนาจทำไมจะปล่อยให้คนอื่นใช้อำนาจของตัว ฮารีดยึดอำนาจในสภามาฮาร่าและคาเธย์โดยได้รับการสนับสนุนจากอาบรีซา เขาสถาปนาตนเองขึ้นเป็นสุลต่าน ยกอาบรีซาขึ้นเป็นราชินีคู่บัลลังก์ และสุดท้ายก็ถูกเสน่ห์แห่งนางครอบงำ เขาลุ่มหลงในอำนาจ กามารมณ์ ผู้คนในคาเธย์ต่างได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนทั่ว”
“แล้วซาลามาฮานล่ะ เขาทำอะไรไม่ได้เลยหรือ ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาจนอาบรีซากลัว”
“อาบรีซากลัว แต่ฮารีดไม่ได้กลัวซาลามาฮานนี่ อีกอย่างซาลามาฮานน่ะสูงอายุแล้วไม่ใช่คนหนุ่มอย่างฮารีด ซาลามาฮานรวบรวมเหล่ามาฮาร่าที่ยังภักดีต่อเขาเดินทางออกจากคาเธย์ หายสาบสูญไปในทะเลทราย ในขณะที่คาเธย์เองก็ถึงกาลวิบัติ โจรขโมยชุกชุม อำนาจมนต์ดำทำให้ผู้คนหวาดกลัว ผู้มีอำนาจกดขี่ข่มเหงประชาชน ยิ่งนานวันยิ่งเพิ่มความรุนแรงขึ้น จนในที่สุดเหล่าชาวเมืองก็ทนไม่ไหว พวกเขาลุกฮือเข้าต่อต้านอาบรีซาและฮารีด แต่ชาวบ้านธรรมดาไม่มีอาวุธอะไรกับทหารและเวทมนต์อันแข็งแกร่งใครได้เปรียบคุณก็คงเดาได้”
“ชาวเมืองแพ้งั้นหรือ ?”
“คงเป็นอย่างนั้นถ้าซาลามาฮานไม่กลับมา เขากลับมาและทำให้การสู้รบอันนองเลือดยุติลงได้ คราวนี้ฮารีดเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ความลุ่มหลงมัวเมาของเขาทำให้พลังอำนาจในตัวเขาลดน้อยลง ฮารีดถูกลงโทษตามกฎของมาฮาร่า” จู่ ๆ คนเล่าก็เงียบไป
“แล้วอาบรีซ่าล่ะ เป็นอย่างไร ?”
“นางดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย ก่อนที่ซาลามาฮานจะยื่นมือไปถึง แต่ก่อนตายนางได้สาปแช่งนครคาเธย์ไว้ด้วย” คำบอกเล่าดูเหมือนจะค่อย ๆ ห่างหายไปเรื่อย ๆ จัสมินรู้สึกมึนงง สภาพรอบตัวเริ่มพล่าเลือนแต่เธอกลับได้ยินเสียงหนึ่งดังชัดเจน เสียงหวานกังวานทรงอำนาจ เสียงที่เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อน
“ข้า....อาบรีซาราชินีแห่งทะเลทราย ขอสาปแช่งนครคาเธย์ พวกมันชาวเมืองทั้งหลายที่กระทำหยาบหยามข้า ด้วยมนตราแห่งสุริยาแผดเผา นครคาเธย์จะล่มสลาย นับเนื่องกี่พันกี่หมื่นปีก็ไม่อาจฟื้นคืน พวกมันจงได้รับแต่ความวิบัติ ฉิบหาย นับจากวันนี้ตราบชั่วนิรันดร์!” เสียงเอะอะโวยวายอย่างตื่นกลัวดังก้องไปทั่ว ก่อนเสียงหนึ่งจะดังขึ้น เสียงนุ่มนวลหากทรงอำนาจปานกัน
“อาบรีซา จนป่านนี้เจ้ายังไม่รู้สำนึกอีกหรือ ?”
“เจ้าต่างหากซาลามาฮาน เจ้าทำให้ข้าต้องเป็นแบบนี้ ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้า นครคาเธย์มันล่มสลายก็เพราะเจ้า!” เสียงกังวานใสหัวเราะเยาะหยัน
“คนไม่รู้สำนึกถูกผิดอย่างเจ้า ต่อให้อธิบายอย่างไรเจ้าก็ไม่อาจเข้าใจได้” น้ำเสียงของผู้มากวัยกว่ายังนุ่มนวลเหมือนกับไร้ความรู้สึกใด ๆ
“ฮึ! ผู้ชนะจะพูดอะไรก็พูดได้ แต่จำไว้ซาลามาฮาน ข้าจะไม่แพ้ไปตลอด ซักวันจะต้องเป็นวันของข้า แล้ววันนั้นมาฮาร่าจะสาบสูญไปตลอดกาล พวกมันจะถูกเหยียบย่ำให้ตกต่ำยิ่งกว่าทาส!” เสียงหัวเราะกังวานก้อง
“คุณ! คุณ! เป็นอะไรหรือเปล่า ?” เสียงเรียกข้างตัวทำให้เธอสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เสียงที่ดังก้องเมื่อครู่หายไป หญิงสาวมองรอบตัวอย่างงง ๆ
“เปล่า ไม่เป็นไร แล้วยังไงต่อล่ะ ?” คีลมองหญิงสาวอยู่ชั่วครู่แล้วก็ตัดสินใจเล่าต่อ
“ผู้คนหวาดกลัวคำสาป หลังจากการตายของอาบรีซาคาเธย์ก็พบกับภัยพิบัติ ทะเลทรายแห้งแล้งฝนทะเลทรายที่เคยตกกลับไม่ปรากฏ ดวงตะวันก็แผดเผาร้อนแรงจนทุกอย่างแทบจะมอดไหม้ สายน้ำแห้งขอด แม่น้ำเปลี่ยนทิศทาง ผู้คนอดอยากหิวโหยหนำซ้ำยังเกิดโรคระบาด จนชาวเมืองต้องอพยพทิ้งเมืองไป คาเธย์กลายเป็นนครร้างกลางทะเลทรายมาจนถึงทุกวันนี้ จบ”
“อ้าว! เดี๋ยวซิ จบง่าย ๆ อย่างนี้ได้ยังไง แล้วซาลามาฮานล่ะไม่ทำอะไรเลยหรือ ?” หญิงสาวท้วง
“ไม่รู้ ตำนานไม่กล่าวไว้นี่ ก็รู้อยู่ว่ามันเป็นตำนานคุณจะเอาอะไรนักหนา”
“งั้นนครมรณะล่ะว่าไง เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า ?”
“ถ้าผมบอกไม่รู้คุณจะเชื่อไหม” คีลย้อนถามหน้าตาเฉย
“หักค่าจ้าง 30 % โทษฐานเป็นไกด์แต่ไม่รู้ข้ามูลที่ลูกทัวส์ถาม” ชายหนุ่มมองตาปริบ ๆ เหลียวซ้ายแลขวาเหมือนจะหาทางออก
“แต่ผมไม่.....”
“อีก 20% ถ้าจับได้ว่านายโกหก” จัสมินบอกเรียบ ๆ อย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
“เอา ถ้าอยากรู้มากนักผมแต่งเรื่องให้ฟังก็ได้” คีลพึมพำกับตัวเอง
“เอาตำนานไม่เอาเรื่องแต่ง เล่ามาซะดี ๆ” คีลถอนใจเฮือกใหญ่ หากแล้วก็เริ่มเล่า ‘ตำนาน’ ต่อไป
ความคิดเห็น