คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ใต้แสงจันทร์
บทที่ 6
ใต้แสงจันทร์
จัสมินนั่งอยู่บนสันทรายทอดสายตามองความเวิ้งว้างของทะเลทรายเบื้องหน้า แสงแดดที่เริงร้อนเมื่อตอนกลางวันบัดนี้อ่อนแรงลง ดวงอาทิตย์สีแดงกลมโตกำลังจะลาลับสันทรายบ่งบอกช่วงเวลาสุดท้ายก่อนราตรีอันมืดมิดจะมาเยือน ด้านหลังหญิงสาวห่างออกไป คนงานกำลังช่วยกันกางกระโจมเพื่อใช้เป็นที่พัก มีทหารยืนยามรักษาการณ์ตามจุดต่าง ๆ วันนี้คณะของเธอตกลงที่จะหยุดพักใกล้กับโอเอซีสเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
เสียงฝีเท้าที่ย่ำไปในรอยทรายดังจากเบื้องหลังทำให้หญิงสาวหันไปมอง
“คุณหนูเหนื่อยไหมครับ ?” ซาเล็มเดินเข้ามาพร้อมยื่นขวดน้ำให้ หญิงสาวรับไปเปิดดื่ม
“ขอบใจจ๊ะ ฉันไม่เหนื่อยอะไรหรอก แค่นั่งรถเฉย ๆ เท่านั้นเอง ตอนนี้เราถึงไหนแล้วซาเล็ม ?”
“ยังเหลือระยะทางอีกไกลครับ กว่าเราจะพบเส้นทางแม่น้ำสายเก่าคงต้องใช้เวลาราว ๆ สองวัน แต่หลังจากนั้นแล้วต้องขึ้นอยู่กับคนนำทางแล้วละครับ”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงจ๊ะว่าตรงไหนคือแม่น้ำสายเก่า ในเมื่อมองไปทางไหนก็เห็นแต่ทรายกับภูเขาทรายทั้งนั้น”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณหนู คีลนำทางเราไปได้แน่นอน” ซาเล็มบอกอย่างมั่นใจกับการนำทางของชายหนุ่มผู้เป็นไกด์
“ดูซาเล็มจะเชื่อใจนายนั่นมากเลยนะ”
“เรื่องอื่น ๆ ซาเล็มไม่ทราบครับ แต่เรื่องการนำทางของเขาซาเล็มมั่นใจและไว้ใจ เพราะถึงยังหนุ่มแต่เท่าที่ดูเขารู้จักทะเลทรายดี” ซาเล็มไม่ได้เอ่ยถึงสิ่งที่คำนึงอยู่ในใจ เขารู้สึกถึงบางอย่างในตัวชายหนุ่มผู้นั้น สัญชาตญาณในตัวเขาบอก บางอย่างที่มีเงื่อนงำแต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครภายใต้กริยายั่วยวนกวนโมโหที่มีเป็นฉากบังหน้า ซาเล็มไม่ได้พูดอะไรต่อเมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินมุ่งหน้าตรงมา
“มานั่งอยู่นี่เอง อาหารเรียบร้อยแล้วครับผม ไปทานกันก่อนเถอะครับ” ฮัดซันเดินยิ้มเข้ามา
“แล้วคนอื่น ๆ ละคะ ?” จัสมินเอ่ยถามพลางลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นทรายที่เกาะติดตามเสื้อผ้า
“ดอกเตอร์เคตันกับคนของเขากำลังสำรวจรอบ ๆ บริเวณนี้ครับผมให้คนไปตามแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ไปพร้อมกันที่เต๊นอาหารแล้ว” ฮัดซันบอกพลางก้าวเดินเคียงข้างหญิงสาวชักชวนพูดคุยในเรื่องอื่น ๆ โดยมีซาเล็มตามไปห่าง ๆ
จัสมินนอนพลิกกายกระสับกระส่าย เลยเที่ยงคืนไปแล้วเธอยังไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ เบนดาฮาร่าเพื่อนร่วมกระโจมนอนหลับสนิทอยู่อีกมุมหนึ่ง ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็นยะเยือก ภายนอกปราศจากเสียงเคลื่อนไหวใดๆ เปลือกตาหญิงสาวค่อย ๆ หรี่ปรือและปิดลงเริ่มเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด
ท่ามกลางลาดเนินสูงต่ำของทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องกระจ่างสว่างราวกลางวัน จัสมินเดินหมุนคว้างมองไปรอบกายอย่างงุนงง
“ที่ไหนเนี่ย!?” เธอถามตนเอง มองไปไม่เห็นกระโจมและรถที่จอดอยู่เรียงรายเหมือนเมื่อตอนเย็นเลย หญิงสาวมองไปรอบด้านแล้วก็สะดุดเข้ากับร่างร่างหนึ่งท่ามกลางแสงจันทร์ที่โอบล้อม
ร่างโปร่งบางขาวนวลในชุดขาวยาวปลิวสะบัดไปตามแรงลม ผมยาวหยักทิ้งตัวไปทางเบื้องหลังยาวจนเกือบถึงสะโพก ดวงหน้างามแหงนเงยขึ้นมองดวงจันทร์อย่างละห้อยโหย บรรยากาศรอบกายเศร้าสร้อย อบอวลไปด้วยความวังเวง กลิ่นหอมอวลตลบมาตามลม
“คุณ คุณคะ” จัสมินตัดสินใจเรียก พลางขยับเข้าไปใกล้ สตรีผู้นั้นหันกลับมาช้า ๆ แม้จะมีเพียงแสงนวลแห่งจันทราแต่เธอก็รู้สึกได้ว่าใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นช่างงดงามนัก แต่ในความงดงามมีร่องรอยแห่งความทุกข์ตรมเคลือบแฝงอยู่ด้วย
“ที่นี่ที่ไหนคะ ฉันไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เพื่อน ๆ ฉันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้” ร่างงามไม่ตอบแต่หันกลับไปทอดตามองดวงจันทร์อีกครั้งเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น จัสมินมองอย่างไม่ชอบใจนักกำลังจะเอ่ยถามอีกครั้ง จู่ ๆ ร่างงามเบื้องหน้าก็ทรุดตัวลงร่ำไห้สะอึกสะอื้นอย่างคนที่ได้รับความทรมานแสนสาหัส
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า มีอะไรให้ฉันช่วยไหม ?” จัสมินเปลี่ยนคำถาม ค่อย ๆ ทรุดลงนั่งข้าง ๆ อย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“ช่วยหรือ เจ้าช่วยข้าได้หรือ” เสียงสะอื้นขาดหายแปรเปลี่ยนเป็นความยินดี หญิงสาวผู้นั้นเงยหน้าที่ชุ่มน้ำตาขึ้นมองเธอ
“คุณมีปัญหาอะไรคะ หรือว่าหลงทาง?”
“ไม่ ข้าไม่ได้หลงทาง แต่ข้าถูกกักขัง”
“กักขัง !? ใครกักขังคุณหรือคะ ?” จัสมินถามอย่างงุนงง
“พวกมัน พวกมันกักขังข้า พันธนาการข้าไว้ไม่ให้ข้าไปไหน”
“ใครกักขังคุณกัน ?” เธอถามซ้ำยังไม่เข้าใจอยู่ดี ถ้าถูกกักขังแล้วหญิงสาวผู้นี้จะมาอยู่ในทะเลทรายแบบนี้ได้อย่างไร หรือเธอหนีออกมาแล้วกำลังถูกตามล่า
“ช่วยปลดปล่อยข้าที ข้าอยากเป็นอิสระ ข้าทรมานเหลือเกิน พวกมันใจร้าย กักขังข้าไว้ในความมืดมน” หญิงสาวแสนงามกล่าวพลางจับมือเธอไว้บอกด้วยสำเนียงเสนาะกังวานหวาน
“มากับข้าสิ มาปลดปล่อยข้า” ร่างนั้นดึงเธอให้เริ่มออกเดิน จัสมินก้าวเท้าตามไปอย่างเลื่อนลอย แต่แล้วแขนอีกข้างก็ถูกกระชากไว้ เธอเซถลาตามแรงกระชากนั้น สลัดหลุดจากความมึนงงเมื่อครู่ เธอไล่สายตาไปตามมือที่รั้งเธอไว้ ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมดำมิดชิดไม่เห็นแม้แต่ใบหน้าทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยผ้าสีดำดูหน้ากลัว เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงสะอื้นไห้คร่ำครวญของหญิงสาวแสนงามที่คุกเข่าลงกับพื้นทรายร่ำไห้เจียนจะขาดใจ
“ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าที เขาจะทำร้ายข้า เขาจะจับข้ากักขัง” จัสมินสะบัดแขนเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมขยับจะเข้าไปหาร่างที่คร่ำครวญอยู่นั้น แต่สะบัดอย่างไรก็ไม่หลุดจากแขนแข็งแกร่งนั้น
“ปล่อย! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้ปล่อย!” ให้เธอดิ้นรนออกแรงเท่าไหร่ร่างทมึนนั้นก็ไม่สะดุ้งสะเทือน แถมยังรวบแขนทั้งสองข้างจับเธอไขว้หลังไว้จนไม่อาจดิ้นรนทำร้ายคนที่จับไว้ได้อีก
“กลับไปที่ของเจ้าได้แล้ว!” กังวานเสียงทรงอำนาจดังขึ้น จัสมินรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงที่มีอยู่จะถูกดูดหายไปจนแม้แต่จะเปล่งเสียงก็ยังทำไม่ได้
“เจ้าคนชั่ว พวกเจ้าใจร้าย อยุติธรรมกับข้า ทำให้ข้าต้องทุกข์ทนทรมานเนิ่นนานนับพันปี” ร่างงามลุกขึ้นยืนประจันหน้า หยาดน้ำตารินหลั่งอาบสองแก้มนวล ช่างเป็นภาพที่น่าสงสารยิ่งนัก แต่คนที่จับกุมเธอไว้กลับเหมือนไม่รู้สึก
“จะร้องหาความยุติธรรมทำไม ในเมื่อเจ้าก็ไม่เคยมีความยุติธรรมให้ใคร!”
“เจ้า! ชั่วช้า ข่มเหงคนที่ไม่มีทางสู้ พวกเจ้าจะต้องพบกับความพินาศ เผ่าพันธุ์มาฮาร่าจะต้องสาบสูญ ต้องตกเป็นทาสรับใช้ไม่มีวันสิ้นสุด ให้สาสมกับที่ทำกับข้า ..” ร่างงามประกาศสาปแช่งยังไม่ทันจบ ร่างสูงใหญ่ก็สะบัดมือ เพียงชั่วพริบตาเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดก็ดังก้องผืนทรายอันเวิ้งว้าง ร่างงามอันตธานไปทันที!
“อย่า!” จัสมินกรีดร้อง สะดุ้งเฮือกลุกพรวดจากที่นอน ร่างที่นอนอยู่อีกมุมหนึ่งของกระโจมลุกเดินเข้ามาหา เอ่ยถามอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“เป็นอะไรของเธอ จัสมิน ฝันร้ายหรือไงร้องซะดังลั่นไปหมด” เบนดาฮาร่าถามน้ำเสียงติดจะตำหนิเสียด้วยซ้ำ
“ฝันนิดหน่อยน่ะ ขอโทษที่ทำให้ตกใจตื่น” จัสมินตอบ ใจยังสั่นระรัว เบนดาฮาร่าไม่ว่าอะไร ไม่สนใจซักถามเสียด้วยซ้ำ ก้าวกลับไปยังมุมของตนเองล้มตัวลงนอนต่อ จัสมินทิ้งตัวลงนอนตามเดิมแต่ไม่อาจข่มตาให้หลับได้ ความฝันเมื่อครู่ช่างเหมือนจริงเสียเหลือเกิน ข้อแขนที่ถูกบีบแน่นในความฝันยังรู้สึกร้อนเหมือนเจ้าของมือเพิ่งคลายไป
‘ผู้หญิงที่น่าสงสารนั่นเป็นใคร แล้วผู้ชายในชุดดำนั่นอีก ทำไมเธอถึงฝันเรื่องราวแบบนี้ได้!’
ร่างในชุดคลุมดำยืนสงบนิ่งอยู่บนสันทราย นิ่งจนเหมือนรูปปั้นมีเพียงชายผ้าสีดำที่ปลิวสะบัดตามแรงลม เงาร่างสีดำหลายร่างปรากฏขึ้นรายล้อมก่อนจะน้อมตัวลงทำความเคารพและคุกเข่าอยู่บนพื้นทรายอย่างนั้นนิ่ง ๆ โดยไม่ขยับเขยื้อน
“เพียงแค่ย่างก้าวสู่ดินแดนนี้นางก็เริ่มชักนำจิตใจของคนในคณะสำรวจเสียแล้ว”
“ชักนำยังไงหรือครับ?” ชายในชุดดำหนึ่งในคณะที่คุกเข่าอยู่รายรอบเอ่ยถาม
“นางใช้จุดอ่อนของแต่ละคนอย่างไรล่ะ” ร่างสูงตอบกระแสเสียงนั้นปนความเย้ยหยันในกลุ่มคนที่กล่าวถึง “ผู้หญิง อำนาจ สมบัติ วัตถุโบราณ และ ความดี”
“ไอ้ 4 อย่างแรกผมพอจะเข้าใจ แต่ความดีนี่นางจะชักนำด้วยอะไรหรือครับ ?”
“คนดีก็ต้องถูกล่อหลอกด้วยความดี ความน่าสงสาร”
“ใครกันที่ถูกล่อหลอกด้วยความดี ?”
“ช่างเถอะ กลุ่มเตห์ลามีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือเปล่า ?” ร่างสูงเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่เลยครับ พวกมันเก็บตัวเงียบเชียบมาก อาจจะรอดูสถานการณ์ตอนนี้อีกซักระยะ แต่ยิ่งเข้าใกล้คาเธย์ อำนาจของนางก็จะยิ่งมากขึ้น” ร่างที่คุกเข่าหยุดไปนิดก่อนจะเอ่ยต่อไป
“แล้ว .เอ่อ คีลจะไหวหรือครับ”
“เราถึงให้เธอคอยสอดส่องดูแลอยู่รอบนอกไงล่ะ มุตตาฟาส่งข่าวอะไรมาบ้างหรือเปล่าอาหมัด ?”
“องค์อาซาริยัสเรียกประชุมคณะมนตรีความมั่นคงเรื่องหมู่บ้านในเขตทะเลทรายนอกถูกปล้นคราวนี้ เห็นว่ายังถกเถียงกันเรื่องชาวบ้านกับทหารใครเป็นฝ่ายโจมตีใครกันแน่ แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ครับ” ผู้ฟังถอนใจยาว
“เอาเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้าไปพักกันเถอะ”
กลุ่มคนในชุดดำน้อมตัวลงทำความเคารพหากเมื่อเงยหน้าขึ้น ร่างสูงกลางวงล้อมก็อันตธานไปจาก ณ ที่นั้นแล้ว
ดวงอาทิตย์สีแดงเจิดจ้าทอแสงส่องกระทบผืนทราย ความหนาวเย็นในช่วงราตรีกาลสลายหายไปอย่างรวดเร็ว กระโจมต่าง ๆ ถูกเก็บพับ ข้าวของถูกลำเลียงขึ้นรถ จัสมินเดินเข้ามาหาซาเล็มที่กำลังควบคุมเหล่าคนงานจัดเก็บข้าวของ
“ซาเล็ม ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” เธอบอกพลางเดินนำเลี่ยงหลบผู้คนออกมา
“เมื่อคืนฉันฝัน” หญิงสาวเริ่มต้นเล่าเรื่องราวความฝันให้ชายชราฟังก่อนจะสรุปในตอนท้าย
“ฉันคิดว่าฝันแน่ ๆ แต่ทำไม .ดูนี่สิซาเล็ม” เธอยื่นแขนออกมาพลางเม้นเสื้อคลุมแขนยาวขึ้นเพื่อให้คู่สนทนาเห็นรอยแดงช้ำบริเวณข้อมือทั้งสองข้างของเธอ
“เมื่อวานมันไม่มีรอยอะไรเลย แต่พอตื่นเช้ามันก็เป็นแบบนี้ และเป็นจุดเดียวกับที่ฉันถูกจับไว้เลย”
“เมื่อคืนคุณหนูอาจเผลอจับข้อมือตัวเอง” ซาเล็มติงเก็บความรู้สึกวิตกไว้ภายใต้ท่าทางเรียบเฉย
“ถ้าเผลอจับมันก็ต้องเป็นข้างเดียวซีซาเล็ม แต่นี่มันช้ำทั้งสองข้างเลย” จัสมินยื่นมือให้ดูยังไม่ยอมปักใจเชื่ออย่างที่ซาเล็มบอก
“คุณหนูพูดเรื่องนี้กับใครบ้างหรือเปล่าครับ ?”
“เปล่าจ๊ะ กลัวคนงานได้ยินเข้าจะกลัวกันซะเปล่า ๆ เขายิ่งทำท่ากลัว ๆ กันอยู่ด้วย”
“ดีแล้วละครับ ว่าแต่คุณหนูกลัวหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอก แค่สงสัยเท่านั้นแหล่ะว่าข้อมือฉันมันเป็นรอยได้อย่างไร ฉันอาจไปกระแทกกับอะไรมาโดยไม่รู้ตัวก็ได้มั๊ง” จัสมินสรุปไม่อยากจะคิดหาเหตุผลที่มันเป็นไปไม่ได้ ซาเล็มนิ่งไปเป็นครู่ก่อนจะยื่นของสิ่งหนึ่งให้ผู้เป็นนาย
“คุณหนูใส่ติดตัวไว้นะครับ” จัสมินรับมาพลิกดูอย่างสนใจ สร้อยเงินเส้นยาวร้อยเข้ากับหินสีเหลืองใสรูปจันทร์เสี้ยวเป็นประกายสะท้อนกับแสงแดด กึ่งกลางรูปจันทร์เสี้ยวมีลายอักขระโบราณสลักไว้แต่เธอไม่สามารถอ่านได้
“อะไรนี่ ?”
“เครื่องรางครับ ป้องกันวิญญาณร้าย”
“แหม นี่มันสมัยไหนกันแล้วซาเล็ม” หญิงสาวผู้เป็นนายหัวเราะอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ
“ไม่เชื่อก็ใส่ไว้เล่น ๆ ได้นี่ครับ”
“น่ารักดีเหมือนกันนะ” หญิงสาวว่าพลางสวมคล้องคอ
“ซาเล็มได้มาจากไหนหรือ ?”
“เอ่อ .มีคนให้มาครับ” ซาเล็มอึกอักแต่จัสมินไม่ทันสังเกต
“ซาเล็มให้ฉันแล้ว ตัวซาเล็มจะมีอะไรคุ้มครองละจ๊ะ ?”
“ผมมีอีกหลายชิ้นครับคุณหนูไม่ต้องห่วง”
“งั้นก็ขอบใจจ๊ะ เราจะออกเดินทางได้เมื่อไหร่ ?” เธอเปลี่ยนเรื่องถาม
“อีกชั่วโมงก็เรียบร้อยครับ คุณหนูไปรอที่เต็นท์อาหารดีกว่า” จัสมินทำท่าจะผละจากมาอยู่แล้วหากนึกอะไรได้จึงหันกลับมา
“แล้วนี่นายไกด์ของเราหายไปไหน ปล่อยให้ซาเล็มดูแลควบคุมงานอยู่คนเดียว”
“ออกไปสำรวจทิศทางตั้งแต่เช้าแล้วครับ อีกเดี๋ยวก็คงกลับมา” จัสมินพยักหน้ารับรู้แล้วผละไปโดยไม่ว่าอะไรอีก
พอคล้อยหลังหญิงสาวซาเล็มก็เดินลัดเลาะตรวจตราความเรียบร้อยต่าง ๆ จนมาพบคีลกับเจ้าเด็กมูซานั่งกินอาหารกันอยู่สองคนมิได้ไปรวมอยู่กับพวกคนงาน
“อยู่นี่เอง เป็นไงพอจะจับทิศทางแม่น้ำสายเก่าได้หรือยัง ?” ซาเล็มเข้ามาทรุดลงนั่งข้าง ๆ
“มุ่งหน้าไปทางตะวันตกราว ๆ พันไมล์ เราจะได้พบกับเส้นทางแม่น้ำสายโบราณ เราต้องเดินทางตามเส้นทางนั้น ระหว่างทางจะมีซากเมืองเก่า ซากกำแพงเมืองอยู่พอสมควร พวกคณะสำรวจเขาคงชอบ”
คีลอธิบายพลางใช้มีดพกวาดเส้นทางให้ซาเล็มดู
“พอผ่านซากเมืองพวกนี้ไป เราจะพบหมู่บ้านของพวกเผ่าปาลคาล หลังจากนั้นจะมีเพียงทะเลทรายที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน และน้อยครั้งจะมีกองคาราวานหลงผ่านมา จากที่นั่นถ้าเดินทางด้วยอูฐเราจะใช้เวลาประมาณสองวันถึงจะพบกับหมู่บ้านของพวกที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ศรัทธาในมาฮาร่าแต่เส้นทางหลังจากนั้นเราได้แต่อาศัยแผนที่โบราณเท่านั้น”
“ประมาณได้ไหมว่าเราจะไปถึงคาเธย์ภายในกี่วัน ?” คีลนิ่งเหมือนทบทวนบางอย่างในใจก่อนจะเอ่ยออกมา
“ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรคณะของเราก็น่าจะใช้เวลาประมาณสิบวัน”
“หมายความว่ายังไง เหตุการณ์อะไรที่เจ้าพูดถึง ? จะเกิดอะไรขึ้น”
“ก็ไม่มีอะไร ผมแค่พูดเผื่อไว้เผื่อคณะสำรวจเขาอยากจะตรวจเช็คซากวิหารร้าง แนวกำแพงโบราณอะไรที่เขาเจอเป็นพิเศษไงล่ะ ซากพวกนี้มันมีอยู่ตลอดเส้นทางนั่นแหล่ะ” ซาเล็มมองเพื่อจับพิรุธแต่เมื่อไม่พบจึงเอ่ยต่อไป
“อีกเดี๋ยวเราคงออกเดินทางได้แล้ว อ้อ! ข้ามีอีกเรื่องอยากจะถาม” คีลมองสบตาผู้ชรากว่าอย่างรอฟัง
“เครื่องรางที่เจ้าให้ข้า ข้าให้คุณหนูใส่ไว้แล้ว .เจ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า ?”
“ผมเป็นไกด์นะซาเล็ม หน้าที่ของผมคือการนำทาง และพาลูกทัวส์ของผมไปให้ตลอดรอดฝั่ง” ซาเล็มมองคีลอย่างพิจารณา คำพูดของชายหนุ่มเจตนาจะเลี่ยงในสิ่งที่เขาถาม
“เอาเถอะ เมื่อเจ้าไม่พร้อมจะตอบก็ไม่เป็นไร ข้าจะไปวิทยุรายงานท่านอับดุลลาก่อน พอพวกคุณหนูพร้อมเราจะออกเดินทางกัน” ซาเล็มบอกแล้วลุกจากไป มูซาขยับเข้ามาใกล้พลางถาม
“เจ้าให้อะไรคุณหนู ?”
“ก็เครื่องรางธรรมดาเหมือนที่เจ้าใส่นั่นแหล่ะ ว่าแต่เมื่อคืนเจ้าฝันบ้างหรือเปล่า ?” คีลถามในตอนท้าย
“หึ หลับสนิทสบายมาก ถามทำไมเหรอ”
“ไม่มีอะไร เอาเถอะเจ้ารีบกินเข้าเขาจะเดินทางกันอยู่แล้ว” เจ้าเด็กมูซายังไม่ทำตามที่บอกแต่มันเหลียวซ้ายแลขวาเมื่อเห็นปลอดคนก็ลดเสียงลงพูดกับคีล
“ทหารพวกนั้นน่ะ ข้าเห็นแววตาที่มันมองคณะสำรวจแล้วรู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้ ยิ่งมันมองแหม่มกิลด้ากับผู้หญิงคนที่หยิ่ง ๆ ที่ชื่อเบนดาฮาร่านั่นดูน่ากลัว ยิ่งไอ้ยูซุปน่ะเวลามันแอบมองคุณหนูแววตามันชอบกล”
“งั้นหรือ” คีลฟังแล้วนิ่งคิดก่อนจะบอกกับเจ้าเด็กมูซา
“เจ้าพยายามอยู่ใกล้ ๆ คุณหนูไว้นะ คอยดูคอยฟังเวลาเขาพูดกันด้วย เจ้าเป็นเด็กไม่ค่อยมีใครสนใจเก็บคำพูดกับเจ้าอยู่แล้ว”
“ถ้ามีเรื่องอะไรให้มาบอกเจ้าใช่ไหมล่ะ ?” มันถามอย่างรู้ทัน
“เจ้าน่ะมันฉลาดจนล้น ไปได้แล้วแล้วอย่าลืมที่ข้าบอกก็แล้วกัน” มูซาเก็บข้าวของยัดใส่ย่ามเก่า ๆ ของมันแล้ววิ่งปรื๋อจากไป
ความคิดเห็น