คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : พ่อมดขาวแห่งนาดีน
บทที่ 5
พ่อมดขาวแห่งนาดีน
“ลาเซีย!” หญิงสาวเจ้าของนามหันมาตามเสียงเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นใครหญิงสาวก็ส่งยิ้มหวานมาให้พลางเอ่ยทักทาย
“ท่านเฮรอส มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ?” ลาเซียถามอย่างยินดี
‘ทำยังกับไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน ก็อยู่กันแค่นี้แท้ ๆ’ เซเนตตรานึกค่อนขอดอย่างหมั่นไส้
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สวยขึ้นทุกครั้งที่ได้พบนะเจ้าน่ะ” เฮรอสเอ่ยชม ทำเอาใบหน้าของผู้ฟังขึ้นสีสวยรอยยิ้มที่ส่งให้เพิ่มความหวานมากขึ้น
“ท่านก็ยังปากหวานไม่เปลี่ยน”
“ใครว่าข้าปากหวาน ข้าพูดความจริงต่างหาก” ลาเซียยิ้มรับ หากดวงตาคู่สวยมีแววรู้เท่าทัน หญิงสาวเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง
“ท่านคงมาร่วมงานวันพรุ่งนี้ ?”
“ฮื่อ! ท่านพี่ซาร์กอนอยากให้ข้าอยู่ด้วย ว่าแต่พ่อของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าไม่ได้แวะไปเยี่ยมเยียนท่านเสียนาน”
“ท่านพ่อสบายดีค่ะ แต่ตอนนี้ยุ่ง ๆ เรื่องข่าวลือ ท่านเฮรอสเองก็คงทราบละมังว่าเขาลือกันว่าอย่างไร” หญิงสาวย้อมถาม
“ถ้าในวินเดเนียนี่ข่าวลือเรื่องภัยพิบัติเมื่อ800ปีก่อนกำลังจะกลับมายังไม่มากเท่ากับเมืองอื่นๆพวกชาวเมืองก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรนักหนา”
“ข้าได้ข่าวว่าแถบนอกเมืองออกไปรวมถึงอาณาจักรที่อยู่ใกล้กับป่าอาถรรพ์ข่าวลือเรื่องนี้หนักขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะไม่มีใครกล้าเดินทางไป” ลาเซียบอก
“ก็ลือกันไป” ดูเหมือนเฮรอสไม่ค่อยจะเชื่อถือนัก
“ข้าก็หวังว่ามันจะเป็นเพียงแค่ข่าวลือ” เซเนตตราพึมพำกับตัวเอง และเสียงนี้ทำให้ลาเซียหันมามองอย่างสนใจ เฮรอสเห็นสายตาสนใจใคร่รู้จึงเอ่ยแนะนำ
“ลาเซียนี่คือเซเนต มาจากบาลันเทียร์ เซเนตนี่ลาเซียธิดาจอมเวทแห่งวินเดเนีย” รอยยิ้มหวานหยิบยื่นไมตรีมาให้ ทำให้เซเนตตราส่งยิ้มตอบที่เคยนึกหมั่นไส้ค่อนแคะในใจหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ข้าได้ยินท่านพ่อพูดถึงผู้มาจากบาลันเทียร์ เป็นเจ้านี่เอง” ลาเซียกล่าวทักทาย
“ครับ” เซเนตตรารับคำ
“บาลันเทียร์อยู่ติดกับป่าอาถรรพ์นี่นา ตอนนี้ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้างคะ ?” ลาเซียชวนสนทนา
“ตอนข้าจากมา เขตอาคมที่ครอบคลุมป่าอาถรรพ์ดูเหมือนจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว พื้นที่ที่เคยเป็นเมืองรอบๆ ป่าอาถรรพ์ตอนนี้กำลังถูกป่ากลืนกิน อาณาเขตแห่งป่าขยายวงกว้างจนน่ากลัว ตอนนี้จอมเวทในบาลันเทียร์คงกำลังวุ่นวายกับการพยายามจำกัดการขยายตัวของป่าอาถรรพ์ ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงกันบ้าง”
“ดูเหมือนองค์ราชาแห่งวินเดเนียเองก็วิตกในเรื่องนี้นะคะ วินเดเนียอาจจะส่งจอมเวทไปช่วยกางเขตอาคมกักป่าอาถรรพ์ แต่ข้าก็ยังไม่รู้อะไรแน่นอนจึงให้คำตอบไม่ได้”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงดี” เซเนตตราเอออวยตาม เพราะเธอก็หวังให้เป็นเช่นที่ลาเซียกล่าว แค่กางเขตอาคมกักป่าอาถรรรพ์ก็ต้องใช้พลังเวทมหาศาลอยู่แล้ว ขืนต้องพบเจอกับภัยพิบัติในตำนานที่เล่าขานถึงการกลับมาของราชาปีศาจมิมอดม้วยกันหมดหรือ
“ข้าคงต้องขอตัวก่อน เมื่อครู่ท่านพ่อให้คนมาตาม อาจจะมีธุระอะไรให้ข้าทำ” ลาเซียเอ่ยขึ้นเมื่อสนทนากันได้ซักพัก นางหันไปล่ำลาเฮรอสก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้เซเนตตราแล้วร่างงามก็เยื้องกรายผ่านไป
“มองจนเหลียวหลังเลยนะ” เฮรอสว่าแกมหัวเราะเพราะเห็นเซเนตตราเหลียวมองตามไปไม่วางตา
“ก็นางสวย”
“มองน่ะมองได้ แต่ระวังหน่อย ลาเซียน่ะเป็นที่หมายปองของหนุ่ม ๆ ในวินเดเนียหลายคน”
“รวมทั้งเจ้าด้วยว่างั้นเหอะ” เซเนตตราดักคอ
“ก็อาจเป็นได้” ชายหนุ่มไม่ตอบรับหรือปฏิเสธพลางบอกต่อ
“แต่ที่ให้ระวังไม่ใช่ให้ระวังข้า แต่ระวังหนุ่ม ๆ คนอื่นต่างหาก เพราะแต่ละคนที่มาชอบลาเซียน่ะ ลูกขุนนางคนใหญ่คนโต บางคนก็เป็นถึงจอมเวทด้วยซ้ำ”
“อ้อ! เข้าใจละ” เซเนตตราพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจเหตุการณ์ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรนักเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีวันคิดจีบลาเซียแน่นอน แต่ถ้าเธอเป็นผู้ชายนั่นมันก็อีกเรื่อง
“ไปกันเถอะ” เฮรอสชวนพลางคว้าข้อมือคนตัวเล็กกว่าที่ไม่ทันตั้งตัวลากให้ตามไปโดยไม่สนใจเสียงโวยวายให้ปล่อยของอีกฝ่าย
ณ มุมหนึ่ง มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมองคนทั้งคู่อยู่อย่างประสงค์ร้าย
“บ้า! บ้าที่สุด!” เซเนตตราได้แต่นึกอย่างคลั่งแค้น เบื้องหน้าเธอขณะนี้รายล้อมไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ทุกคนอยู่ในอาภรณ์หรูหราแพรวพราว เครื่องแต่งกายแสดงถึงยศศักดิ์ ดวงหน้าของผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส สนทนากันอย่างออกรส ในขณะที่เธอถูกทิ้งให้ยืนเป็นเบื้อใบ้ไม่รู้จักใครซักคน
เธอถูกพามา ‘ทิ้ง’ ไว้ภายในงานเลี้ยงขององค์ราชาแห่งวินเดเนีย โดยเจ้าชายซาร์กอนและท่านชายเฮรอส รายแรกน่ะยังพออภัยเพราะมีภาระหน้าที่ของเจ้าชายรัชทายาท ต้องคอยต้อนรับแขก แต่ก่อนจะไปยังมีน้ำใจฝากฝังเธอไว้กับเฮรอส
แต่เฮรอสนี่สิ พ่อเจ้าประคุณทิ้งเธอไปหาสาวสวยหน้าตาเฉยโดยไม่สนใจที่เจ้าชายซาร์กอนได้ฝากฝังไว้ มันน่านัก! แล้วดูซิไอ้ท่านชายบ้านั่น หายหัวไปกับสาวคนไหนก็ไม่รู้ ปล่อยให้เธอยืนคว้างอยู่คนเดียวท่ามกลางงานเลี้ยงหรู ๆ แบบนี้
เซเนตตราคว้าน้ำสีสวยขึ้นดื่มเพื่อดับอารมณ์หงุดหงิด แต่แล้วก็ต้องสำลักพรวดเพราะเจ้าน้ำสีสวยมันขมบาดคอแถมร้อนวาบผ่านลำคอลงไป
เธอวางแก้วลงทันทีทั้งที่ยังกระอักกะไอไม่หยุด
“บ้าจริง! เหล้าก็ไม่บอก เห็นสีสวยนึกว่าน้ำหวาน” เซเนตตราบ่นอย่างหงุดหงิด
เสียงสนทนาต่าง ๆรอบตัวเงียบกริบจนผิดสังเกต เซเนตตราเงยหน้าขึ้นหันมองก็พบกับสายตาที่มองมา บางคนขบขัน บางคนป้องปากซุบซิบนินทา หากอีกหลายคนมองอย่างดูถูก เธอฝืนยิ้มส่งให้แล้วค่อย ๆ เลี่ยงหลบออกมาหลบยืนที่มุมห้องอันปราศจากสายตาสนใจของใคร ๆ เฝ้าสังเกตความเป็นไปภายในงาน
นั่น ! เฮรอสยืนคุยระรี้ระริกอยู่กับสาวงามนางหนึ่ง เจ้าบ้านั่นลืมเธอสนิท แม้แต่จะแวะเวียนมาดู เซเนตตราละสายตาจากภาพที่ชวนอารมณ์เสียนั้นมองไปทางอื่น
ภาพหญิงชายที่ยืนจับคู่สนทนากันทำให้เกิดความคิดสนุก ๆ!
“ท่านเฮรอส!” น้ำเสียงหวานใสบอกความยินดีดังจากเบื้องหลัง ทำให้ชายหนุ่มเจ้าของนามหันไปตามเสียงเรียก แล้วก็แทบเซผงะหงายหลังเพราะถูกโถมเข้ากอดจากหญิงสาวนางหนึ่ง ใบหน้าที่ซุกซบอยู่แทบอกทำให้ไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นใคร แต่ชุดที่สวมใส่นั้นชวนสะดุดตาด้วยความรัดรึงบางเบา แถมสีสันก็ฉูดฉาดตัดกับความขาวนวลของผู้สวมใส่ เล่นเอาหนุ่ม ๆ หลายคนกลืนน้ำลาย
“ท่านช่างใจดำนัก บอกว่าจะไปหาข้าที่หอแสงจันทร์แล้วก็ไม่เห็นไป หลอกให้ข้ารอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ”
หญิงสาวผู้กอดก่ายแนบชิดรำพึงรำพันเสียงไม่เบาเลย พาให้ยิ่งเป็นจุดสนใจมากขึ้น เฮรอสยังยืนนิ่งยอมให้อีกฝ่ายกอดโดยไม่คิดจะผลักไส หรือจะเป็นเพราะช็อกทำอะไรไม่ถูกไปแล้วก็ไม่รู้ เซเนตตราซ่อนยิ้มโดยใช้อกกว้างเป็นที่กำบัง
“ไหนท่านบอกว่าข้าไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ ของท่านไง คนอื่นๆ น่ะจืดชืดไร้รสชาติ สู้ลีลาของข้าไม่ได้ ยังไม่ทันไรท่านก็ลืมเสียแล้ว” คำต่อว่าต่อขานต่อไปยิ่งหนัก
“ท่านเฮรอส!” คราวนี้เสียงโกรธเกรี้ยวดังจากหญิงสาวอีกผู้หนึ่งที่ยืนฟังอยู่ด้วย เจ้าหล่อนหายจากอาการตกตะลึงตาค้าง แต่ตอนนี้ใบหน้าสวย ๆ แดงก่ำด้วยความโกรธ
“ผู้หญิงคนนี้มันเป็นใคร! กริยามารยาททราม แต่งตัวก็เหมือนกับแม่พวกผู้หญิงชั้นต่ำ” ร่างที่ซบอยู่แนบอกผละออกทันควันหันไปโต้ตอบอย่างไม่เกรง
“ถึงจะชั้นต่ำแต่ก็มีทีเด็ดมากกว่าผู้หญิงชั้นสูงจืดชืดอย่างเธอก็แล้วกัน” เจ้าของชุดชวนน้ำลายหกท้าวเอวหมับเตรียมเอาเรื่องในขณะที่สาวงามกรีดร้องลั่นงาน เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ
เฮรอสเห็นว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่จึงคว้าตัวคนตรงหน้าให้หันมาคุยกัน
“นี่เจ้า......” คำพูดขาดหาย สีหน้าที่ยังเกลื่อนด้วยรอยยิ้มปนขำขันในคราวแรกเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวตัวต้นเรื่องชัด ๆ นัยน์ตาคู่คมวาววับด้วยความโกรธ
“เล่นบ้า ๆ แบบนี้ทำไม แล้วคำพูดคำจาพวกนั้นไปจำมาจากไหน!? คนถูกถามเป็นฝ่ายงงเสียเอง ยังไม่ทันได้ตอบ เสื้อคลุมตัวยาวก็คลุมทับลงมา และยังไม่ทันจะคิดอะไร ร่างทั้งร่างก็ถูกลากปลิวไปตามแรงของเฮรอส ทิ้งผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดยืนตะลึงค้างไว้เบื้องหลัง
“ปล่อย! ข้าบอกให้ปล่อย ไม่ได้ยินหรือไง!” คนตัวเล็กกว่าพยายามสะบัดให้หลุดจากการฉุดลากแต่ไม่เป็นผลหนำซ้ำยังถูกเกาะกุมไว้หนักขึ้น เฮรอสลากเธอพ้นจากความอึกทึกของงานเลี้ยงมาสู่บริเวณสวนอุทยานที่มีแสงสว่างเพียงลางเลือนและร้างไร้ผู้คน
“ทำไม ทีเมื่อกี้เจ้ายังโผมากอดข้าก่อนเลย” เฮรอสบอกแกมหัวเราะ ดูผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่มาก ‘ใช่ เมื่อครู่เล่นเอาเธอนึกกลัวสายตาดุ ๆ คู่นั้นจริง ๆ’
“ก็ตอนนี้ข้าไม่อยากกอดท่านแล้วนี่ ท่านอยากจะไปคุยกับสาวที่ไหนก็ไปเถอะ”
“แต่ตอนนี้ข้าอยากคุยกับเจ้า” เซเนตตราชักพูดไม่ออก อย่าบอกนะว่าเฮรอสเกิดสนใจเธอเข้าแล้ว
“แหม! แต่ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ คงไม่ว่างคุยกับท่าน ไว้วันหลังก็แล้วกันนะ” เซเนตตราบอกพลางขยับเตรียมตัวเผ่นแต่อีกฝ่ายไวกว่าเพราะคว้าตัวเธอไว้จับให้หันมาเผชิญหน้ากัน
“ยังเล่นไม่เลิกใช่ไหม ?” เสียงเข้มเน้นหนัก ดวงตาสีนิลดำขลับมองเขม็งจนเธอไม่กล้าสบตา
“เล่นอะไรกัน ท่านนี่ละก้อ” เซเนตตราแสร้งตีหน้าซื่อส่งยิ้มหวานนำไปก่อน
“วันนี้ข้ามีธุระจริง ๆ ไว้วันหลังเถอะนะ ท่านไปหาข้าได้ที่หอแสงจันทร์ ข้าอยู่ที่นั่นแหละ” หญิงสาวบอกส่ง ๆ ไปเพื่อเอาตัวรอด ถ้าเกิดจะไปหาจริง ๆ หาให้ตายจ้างก็ไม่เจอ
“อยากเป็นผู้หญิงพวกนั้นมากหรือไง !”
“แหม พูดอะไรอย่างนั้นละคะ ข้าก็เป็นจริง ๆ นี่นา ข้าน่ะ....!” เซเนตตราพูดยังไม่ทันจบ และความคิดที่จะหาทางเอาตัวรอดก็แทบจะมลายไปจากใจเพราะริมฝีปากร้อนที่ทาบทับลงมา
เธอช็อกค้างทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ จนเฮรอสเป็นฝ่ายผละจาก เซเนตตราหน้าแดงก่ำตลอดลำคอ
“เจ้า!...เจ้ามัน....” เธอนึกหาคำพูดไม่ถูก ได้แต่ยืนเนื้อตัวสั่นด้วยความโกรธ
“จะเลิกเล่นหรือยัง....ถ้ายัง.....” เฮรอสหยุดคำพูดไว้แค่นั้นแต่สายตากรุ้มกริ่มที่กวาดไปทั่วร่างหญิงสาวที่บัดนี้เสื้อคลุมตัวยาวหล่นลงไปกองอยู่กับพื้นชวนให้คิดเอาเองว่าจะเกิดอะไรต่อไป
“เจ้ามันบ้า เจ้าคนเฮงซวย เจ้า...” เซเนตตราพูดไม่ออก โกรธจนร้องไห้
“ผู้ชายเขาไม่ร้องไห้กันหรอก” เฮรอสบอกแกมหัวเราะ ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร เขาก้มลงเก็บเสื้อคลุมที่หล่นลงไปกองอยู่ที่พื้นขึ้นมาคลุมทับให้ แต่ตอนนี้เซเนตตราไม่สนใจแล้วว่าตัวเองอยู่ในสภาพใด
“เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ! นี่เจ้ารู้งั้นหรือ ?” น้ำตาหยุดไหล ดวงตาสีมรกตลุกวาบดั่งมีเปลวไฟเผาผลาญอยู่ภายในด้วยความโกรธที่เพิ่มดีกรีกว่าเดิมอีกสิบเท่า
“เจ้ารู้ว่าข้าคือ...”
“เซเนต” เฮรอสต่อให้ยิ้ม ๆ
“ทั้ง ๆ ที่รู้แต่ยังทำอย่างนี้งั้นเหรอ เจ้า...เจ้ามัน...” เซเนตตรากำหมัดแน่น อยากจะตะบันหน้าร่างสูงที่อยู่ตรงหน้านัก
“เจ้ามันไม่เลือกผู้หญิงผู้ชายเลยงั้นเหรอ!”
“เลือก ทำไมจะไม่เลือก” เฮรอสบอกหน้าตาเฉย
“ก็ตอนนี้เจ้าเป็นผู้หญิง ใครเขาใช้ให้เจ้าเล่นพิเรนทร์แบบนี้ล่ะ” ชายหนุ่มเสริมพลางหัวเราะ ในขณะที่เซเนตตราโกรธจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปเรียบร้อยแล้ว
“เอาน่า ไม่สึกหรอไปเท่าไหร่หรอก กลับไปเป็นผู้ชายแบบเดิมน่ะดีแล้ว” เฮรอสบอกอย่างรอมชอม แววตายังไหวระริกด้วยอารมณ์ขัน
เซเนตตราข่มความรู้สึกที่อยากหาอะไรฟาดหน้าหล่อ ๆ นั่น กลับหลังหันเดินจากสะกดกลั้นอารมณ์โกรธไม่ให้ระเบิดออกมาที่เสียไปนั่นถือว่าให้ทานก็แล้วกัน
“เฮ้! อย่าลืมเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยล่ะ เดี๋ยวคนเขาจะรู้กันหมดว่าเจ้าน่ะ ตัวเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง!”
ไม่ทนอะไรอีกแล้ว! เซเนตตราคว้าก้อนหินที่อยู่แถวนั้นขว้างโครมอย่างไม่ยั้ง ฝ่ายนั้นหลบวูบไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ค่อย ๆ ห่างหายไป ทิ้งให้เธอยืนหอบตัวโยนอยู่คนเดียว
“ไอ้คนบ้า!”
อุทยานกว้างใหญ่ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เสียงดนตรีจากงานเลี้ยงดังเพียงแว่ว ๆ พอความโกรธจางลง อะไรบางอย่างก็สะดุดใจ ‘ทำไมเฮรอสจึงจำเธอได้’ แม้หน้าตาตอนเป็นชายและเป็นหญิงจะไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่ แต่รูปร่างทรวดทรงองค์เอวนั้นเปลี่ยนไปทุกอย่าง คนทั่วไปคงต้องลังเลกันบ้างว่าเป็นคน ๆ เดียวกันหรือไม่ แต่นี่เฮรอสไม่มีความลังเลเลยซักนิด มันเพราะอะไรกัน!
เซเนตตราเดินไปคิดไปไม่ได้สนใจทิศทาง มารู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อปะทะเข้ากับอะไรอย่างหนึ่งทั้งแข็งแกร่งและสูงใหญ่ เธอเซผงะเกือบล้มแต่ถูกอีกฝ่ายโอบประคองไว้ได้ทัน ยังงง ๆ ไม่หาย เสียงนุ่มก็เอ่ยถาม ท้ายเสียงดูเหมือนจะเจือความขบขันปนเอ็นดูอยู่ด้วย
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ?” เซเนตตราเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของวงแขนที่โอบประคองไว้ ชายหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าสดใสรับกับเรือนผมสีทองมองสบตายิ้ม ๆ ร่างสูงนั้นอยู่ในชุดขาวยาวทั้งชุดดูภาคภูมิ
“เอ่อ...ข้า....ข้าไม่เป็นไร” เซเนตตราบอก ขยับตัวถอยออกจากวงแขนนั้นทันที
“ขอโทษจริง ๆ ข้าไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ที่นี่ในเวลานี้” ชายหนุ่มบอก
“ข้าต้องเป็นฝ่ายขอโทษมากกว่าที่เดินไม่ดูทางจนชนท่านเข้า” หญิงสาวบอก มองจากการแต่งกายและท่าทีสุภาพของชายหนุ่มแล้วก็เดาได้ว่า ชายผู้นี้คงเป็นพวกขุนนางของวินเดเนีย ฉะนั้นอย่าให้เกิดปัญหาดีที่สุด
“เอ่อ...ข้าขอตัวก่อน” เซเนตตราเอ่ยขอตัวทำท่าจะผละไปแต่ถูกเรียกรั้งไว้
“เดี๋ยวก่อน” หญิงสาวหันกลับมามองอย่างจะถาม
“เจ้าอยู่ที่นี่หรือ ?” พอเห็นท่าทางงุนงงของเธอ อีกฝ่ายจึงขยายความต่อ
“ข้าหมายถึง เจ้าเป็นนางกำนัลในปราสาทนี่ ?”
“ข้าไม่ใช่นางกำนัล” เซเนตตราตอบ ยังไม่เข้าใจเจตนาของผู้ถามนัก
“งั้น...เจ้าเป็นธิดาของขุนนางท่านใด” ชายหนุ่มถามต่อไป ดวงหน้ายังแย้มยิ้มใจดี
“ข้าไม่ใช่ธิดาขุนนาง ไม่ใช่ลูกหลานใครที่นี่ทั้งนั้น ขอตัวก่อน ข้ามีธุระต้องทำ” เซเนตตราตัดบทแล้วเดินลิ่วจากไป
“เดี๋ยว! ข้าคือมาร์รานแห่งนาดีน เจ้าชื่ออะไร?” คำถามนั้นไร้คำตอบ เพราะหญิงสาวเดินลับหายไปเสียแล้ว ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนมองตามไปด้วยสายตาเกือบกึ่งอาวรณ์ ดวงหน้านั้นละมุนด้วยความพึงพอใจ
“เอาเถอะ วินเดเนียไม่กว้างเกินไปสำหรับข้าหรอกนะสาวน้อย!”
ชายหนุ่มในชุดขาวยาวก้าวเข้ามาหยุดอยู่ ณ ลานกว้าง เบื้องหน้าของเขาคือแท่นบูชาหินอ่อนสีขาวขนาดใหญ่ กระถางคบเพลิงตั้งวางเรียงรายรอบบริเวณ ต่ำลงมาจากแท่นบูชา ชายชราในชุดขาวเช่นเดียวกับชายหนุ่มยืนรออยู่อย่างสงบ ผู้มาทีหลังน้อมศีรษะลงแสดงอาการคารวะ
“อัสซูร์เทพโปรดประทานพรแก่ท่าน”
“อัสซูร์เทพโปรดประทานพรแก่เจ้าเช่นกัน” ผู้มากวัยกว่ากล่าวตอบ ก้มศีรษะลงนิด ๆ เพื่อรับการคารวะ
“เจ้ามาถึงได้รวดเร็วดีจริง มาร์ราน จากนาดีนมาวินเดเนียถ้าเดินทางปกติคงใช้เวลาเป็นวัน”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน อีกอย่างข้าก็ไม่อยากให้ท่านเซนรอนต้องรอข้านาน ๆ” มาร์รานผู้มีฉายาว่าพ่อมดขาวแห่งนาดีนบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ พลางเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น
“ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างครับ ?”
“อาณาจักรอื่นยังไม่น่าห่วงเท่าที่บาลันเทียร์ ที่นั่นมีอาณาเขตติดต่อกับป่าอาถรรพ์ หนำซ้ำยังเกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีก ข้าเกรงว่ากระจกผนึกมนตราอาจจะร้าว เพราะจอมเวทที่ข้าส่งไปบาลันเทียร์เมื่ออาทิตย์ก่อนส่งข่าวมาว่ามีไอปีศาจที่รุนแรงมากแผ่ออกมาปกคลุมป่าอาถรรพ์ ยิ่งลึกเข้าไปเท่าไหร่ไอปีศาจยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น พืชพันธุ์และสัตว์ในป่าอาถรรพ์เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว”
“ถ้าผนึกอาคมถูกทำลายลง ?”
“ข้าไม่แน่ใจว่าเราจะต้านทานจอมมารในตำนานที่ถูกกักขังได้หรือไม่” ท่านเซนรอนบอกอย่างไม่สบายใจ
“แต่เรายังมีคทามหาเวทกับลูกแก้วบาลันเทียร์ สมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่เคยใช้ปราบจอมมารในตำนาน” มาร์รานแย้ง
“ใช่! เรามีสมบัติศักดิ์สิทธิ์ แต่เจ้าก็รู้เหมือนที่ข้ารู้ ไม่มีใครดึงพลังจากคทามหาเวทหรือลูกแก้วแห่ง บาลันเทียร์มาใช้ได้เต็มที่ แม้แต่ข้าผู้ปกครองมหาวิหารอาร์เซนโทเฟีย คทามหาเวทจะทำให้ผู้ใช้มันมอดไหม้ด้วยพลังอันมหาศาลของมัน
“ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อทั้งคทามหาเวทและลูกแก้วบาลันเทียร์เป็นสิ่งที่องค์ราชาเซธารอสใช้ปราบปีศาจ มันก็น่าจะมีคนสามารถใช้ได้”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่คน ๆ นั้นเป็นใครกันล่ะ ?” คำถามนี้ทำเอามาร์รานนิ่งไปเพราะไมรู้จะตอบเช่นไร
“เรื่องนี้ทำให้ข้านึกถึงคำทำนายของมหาปราชญ์” ท่านเซนรอนเอ่ยหลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้ามาครอบงำอยู่ชั่วครู่
“เรื่องแสงแห่งความหวังหรือครับ ?”
“ใช่ ! แสงแห่งความหวัง หนึ่งเดียวที่จะหยุดยั้งภัยพิบัติในตำนาน”
“ถ้าคำทำนายนั้นเป็นความจริง เราก็ต้องตามหาผู้มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมันยากพอ ๆ กับขบปริศนาคำว่าแสงแห่งความหวัง ว่ามันคืออะไร และอยู่ที่ไหน” มาร์รานออกความเห็น
ผู้ปกครองอาร์เซนโทเฟียถอนใจยาวอย่างหนักอก สายเลือดศักดิ์สิทธิ์ผู้สืบเชื้อสายจากมหาปราชญ์ดาไรอัส ซึ่งจนถึงทุกวันนี้จะยังคงหลงเหลืออีกหรือไม่ ในเมื่อผู้มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์เป็นที่หมายปองของเหล่าปีศาจ ด้วยสายเลือดนั้นจะทำให้ผู้ที่ดื่มกินมีพลังอำนาจเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว!
เซนรอนเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย พึมพำอย่างเลื่อนลอย
“ถ้านี่คือสิ่งที่ท่านดาไรอัสทำนายไว้ และท่านล่วงรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ท่านก็น่าจะหาวิธีป้องกันสายเลือดของท่านให้ปลอดภัย และยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้”
“ข้าก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น” มาร์รานไม่ได้พูดความคิดที่อยู่ภายในใจออกมา เขาไม่คิดจะรอแสงแห่งความหวัง หรือสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ที่ได้กล่าวไว้ในคำทำนายแห่งมหาปราชญ์ดาไรอัส มันเป็นการเฝ้ารอที่เลื่อนลอยจนเกินไป สิ่งเดียวที่พึ่งพาได้อย่างแน่นอนและมั่นคงที่สุด คือ กำลังกายและกำลังสมองของตัวเองต่างหาก !
ความคิดเห็น