คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เหยื่อสังเวย
บทที่ 3
เหยื่อสังเวย
เมื่อเวลาผ่านความโกรธก็เริ่มลดลง เรี่ยวแรงที่เดินดุ่มมาแต่แรกก็พลอยลดลงตามไปด้วย ความวู่วามขาดการยั้งคิดจึงน้อยลงตาม ความคิดที่ถูกความโกรธบดบังก็เริ่มแล่น
‘จริงซิ! ยังไม่รู้เลยว่าพ่อมดขาวแห่งนาดีนชื่ออะไร’ เซเนตตราชะงักเท้าที่ก้าวเดิน
“หรือจะกลับไปถามก่อน ไม่ได้จะไปง้อทำไมกับคนใจดำ ที่เห็นแก่ตัวพรรค์นั้น” พูดเองเออเองเสร็จสรรพ
“แล้วถ้าไม่ง้อจะรู้ได้ยังไงล่ะ” พอก้าวเดินไปได้ซักครู่ก็เริ่มมีปัญหาใหม่
“หรือว่าจะกลับไปถามดี” เด็กหนุ่มหันกลับหากแล้วก็หยุดอย่างลังเล
“ไม่เห็นต้องง้อเลย ถามใคร ๆ เอาก็ได้ พ่อมดขาวมีชื่อเสียงขนาดนั้นน่าจะเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว” เมื่อสรุปได้ดังนั้นเจ้าตัวก็หันกลับตั้งท่าจะเดินต่อ แต่แล้วก็เริ่มรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ ป่ารอบด้านดูแปลกไปไม่เหมือนที่เธอจำได้ เมื่อครู่สภาพของป่าไม่เป็นแบบนี้ ดูเหมือนเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่จะโอบล้อมเข้ามาทุกด้าน เซเนตตราสูดลมหายใจยาวแล้วเดินตรงไปเบื้องหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไร หากแล้วก็รู้สึกว่าบริเวณเบื้องหลังเธอมีการเคลื่อนไหว เธอหันขวับไปทันที
ทุกอย่างยังนิ่งเป็นปกติแต่ดูเหมือนต้นไม้รอบ ๆ จะบีบใกล้เข้ามายังกับต้นไม้พวกนี้มันขยับเดินได้
เซเนตตราลองขยับก้าวอีกครั้งแล้วหันกลับทันควัน ทุกอย่างนิ่งสนิทหากแต่ต้นไม้ที่รายล้อมดูเหมือนจะขยับใกล้บางต้นกิ่งใบยังไหว รอบด้านถูกบีบแนวให้เข้ามาใกล้มากขึ้น
“นี่มันป่าบ้าอะไรกันเนี่ย!” บ่นพลางสายตาก็พยายามมองหาเส้นทางที่ผ่านมาแต่ก็แยกไม่ออกเสียแล้วว่าเป็นทางไหน ตอนนี้สิ่งที่คิดได้คือต้องไปให้พ้นจากป่าแห่งนี้ก่อน
“นึกให้ออกสิ นึกให้ออก จะทำยังไง โอ๊ย!” ยิ่งเหตุการณ์บีบรัดเจ้าตัวยิ่งคิดอะไรไม่ออก
“โธ่เอ๊ย! ในเวลาอย่างนี้ คิดสิคิด” เธอบ่นอย่างขัดใจ ขาดคำเสียงหัวเราะก็ดังกึกก้องรอบบริเวณ มันสะท้อนสะท้านไปมาจนจับทิศทางไม่ได้
“อ่อนหัด อ่อนหัดจริง ๆ”
“ใครน่ะ! ออกมานะ” เซเนตตราหมุนหาทิศทางของเสียงแต่ไม่พบ
“บาลันเทียร์หาคนมีฝีมือกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือไงถึงส่งเจ้ามา ?” เสียงนั้นถามอย่างเย้ยหยัน
“ออกมานะ !” เสียงหัวเราะยิ่งดังก้องก่อนร่างชายผู้หนึ่งจะปรากฏตัวออกมา ดวงตาสีซีดจับมองร่างเด็กหนุ่ม
“กระจอกอย่างเจ้า ไม่เห็นจะต้องให้ข้าลงมือเองเลย เฮ้อ!”
“เจ้าเป็นใคร แล้วต้องการอะไร” เซเนตตราถาม พยายามมองหาทางหนีไปด้วยพร้อมกัน
“ไปกับข้า”
“ข้าไม่รู้จักกับเจ้า จะพาข้าไปไหน ?”
“ไปกับข้าดี ๆ ดีกว่า เจ้าไม่มีทางหนีข้าพ้น” เด็กหนุ่มขยับถอยห่าง ท่าทางฝ่ายตรงข้ามยังดูสบาย ๆ ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลย
“ข้ามีธุระ ไปกับเจ้าไม่ได้หรอก” เธอปฏิเสธถอยห่างออกมาเรื่อย ๆ
“ถึงไม่อยากไปก็ต้องไป!” ขาดคำขดเชือกก็ปรากฏในมือที่ยื่นออกมาก่อนเชือกจะพุ่งตรงมาเหมือนมีชีวิตเข้ามัดร่างของเด็กหนุ่มไว้แน่นหนาจนไม่สามารถกระดิกตัวไปไหนได้
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” อัลซัสบ่นอย่างเบื่อ ๆ ที่งานนั้นง่ายเกินเหตุ เขาสะบัดมือวูบร่างที่ถูกมัดตรึงอยู่เบื้องหน้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนร่างของชายหนุ่มจะค่อย ๆ สลายกลายเป็นกลุ่มควันแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ร่างเด็กหนุ่มถูกมัดติดตรึงอยู่กับเสาหิน มือสองข้างมัดโยงด้วยโซ่ตรวนเส้นใหญ่โยงติดกับผนังด้านข้าง ปากก็ถูกมัดด้วยผ้าผืนหนาจนไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ ตรงหน้าเขาคือชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนคุยกันเหมือนเขาไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้นด้วย
“ท่านจะเริ่มพิธีเมื่อไหร่ เดมาล ?” ราชินีแห่งวินเดเนียเอ่ยถาม
“คืนนี้เลย คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดเป็นเวลาที่อีกภาคหนึ่งขององค์อัสซูร์เทพมีพลังสูงสุด”
“ท่านแน่ใจนะว่าตอนจับมันมาไม่มีใครเห็น”
“แน่ใจครับ”
“แล้วเฮรอสจะไม่สงสัยหรือว่าเจ้าเด็กนี่มันหายไปไหน ?” เดมาลลอบถอนใจไม่ให้ราชินีนาเกียสังเกตเห็น
“คนอย่างเฮรอสไม่สนใจอะไรท่านก็รู้ เขาสนใจเฉพาะเรื่องความสุขสนุกสบายของตัวเองเท่านั้นแหละ”
“นั่นซินะ ข้าก็วิตกจนคิดไปได้ว่าเฮรอสอาจจะทำให้เราเสียแผน มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว” ราชินีหัวเราะร่าค่อยคลายกังวลลง
“ท่านจัดเตรียมพิธีให้เรียบร้อย งานเสร็จข้ามีของตอบแทนท่านอย่างงามแน่นอน” ราชินีนาเกียหัวเราะอย่างเบิกบานใจก่อนจะก้าวจากไป
ภายในห้องเหลือเพียงเดมาลและเด็กหนุ่มที่ถูกมัดอยู่ ร่างในชุดขาวก้าวช้า ๆ เข้ามาหาคนที่ถูกมัดตรึง
“สงสัยใช่ไหมล่ะเจ้าหนุ่มว่าข้าจับเจ้ามาทำไม” เซเนตตราจ้องตาผู้พูดโดยไม่หลบ
“ใจกล้าดีนี่ ข้าชอบ แต่น่าเสียดายที่อายุไม่ยืน หึ หึ อย่าโทษข้าเลยนะ ถ้าจะโทษก็โทษคนที่ส่งเจ้ามาที่นี่ และก็โทษตัวเจ้าเองที่ไม่มีความสามารถพอ” ดวงตาคู่สวยวาวโรจน์อย่างโกรธแค้น
“ภาวนาเข้าเถอะ ปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยเจ้าได้ในคืนนี้!” เสียงหัวเราะดังก้องสะท้อนไปทั่วห้อง ก่อนจะค่อย ๆ ดังห่างออกไปเพราะเจ้าของเสียงเดินจากไปแล้ว ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเยียบเย็นวังเวง
เซเนตตราลองขยับมือแต่ก็ไม่เป็นผล โซ่ที่พันธนาการอยู่ใหญ่เกินกว่าจะกระชากให้หลุดได้ด้วยแรงปกติ ต่อให้เป็นจอมพลังก็ยังยาก และถ้าขืนทำอย่างนั้นแขนเธออาจจะหลุดไปเสียก่อนที่โซ่จะขาด
‘สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือรอปาฏิหาริย์เพียงอย่างเดียวเสียละมั้ง!’ เธอคิดอย่างปลงตก ระหว่างที่รออนาคตอันมืดมน ความสงสัยบางประการก็จู่โจมเข้ามา
ทำไมท่านเฮกาถึงเลือกเธอให้ทำหน้าที่นี้ ทำไมถึงไม่เลือกนักเวทคนอื่น ๆ ที่มีฝีมือดีกว่าเธอ ใช่! บาลันเทียร์มีผู้เก่งกล้าเรืองอาคมมากมาย อย่างเธอถือเป็นอันดับบ๊วยเลยก็ว่าได้ จอมเวทกับจอมปราชญ์แห่งอาณาจักรมีเหตุผลอะไรถึงเลือกเธอให้ทำงานสำคัญชิ้นนี้ งานที่หมายถึงความอยู่รอดของอาณาจักรบาลันเทียร์และยังหมายรวมถึงความอยู่รอดของชาวพิภพทั้งหมด
พยายามคิดแต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ สุดท้ายความคิดก็วนเวียนอยู่ที่ว่า
‘คืนนี้จะรอดไหมเนี่ย’
บนแท่นหินที่ทำพิธี เด็กหนุ่มผู้เป็นเครื่องสังเวยถูกมัดแขนโหนไว้กับเชือกเส้นยาวที่พาดกับรอกหมุน เบื้องหลังของเขาคือรูปปั้นสูงใหญ่หน้าตาน่าเกลียดยืนถมึงทึงอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่สว่างวับวาม
“ใกล้เวลาหรือยังเดมาล ?” ราชินีนาเกียถามอย่างตื่นเต้น
“เกือบแล้ว” ประกายตาของเดมาลไหวระริกด้วยความยินดี เวลาของเขาใกล้จะมาถึงแล้วซินะ เวลาแห่งอำนาจ เวลาแห่งความยิ่งใหญ่!
เสียงพึมพำทำนองประหลาดดังกระชั้น บรรยากาศโดยรอบบีบรัดชวนอึดอัด เซเนตตรามองไปรอบกายด้วยความวิตก กระแสคลื่นพลังที่บีบรัดอยู่ในขณะนี้ชวนให้หวาดหวั่นสิ้นดี
“จะตายที่นี่ไม่ได้! ยังไงก็ตายไม่ได้!” เธอคิดอย่างเร่าร้อน “ไม่ยอมเด็ดขาด ชีวิตฉันจะจบลงเพราะพิธีบ้าๆ นี่ได้ยังไง!”
“ราชินี ได้เวลาแล้ว ท่านจงนำมีดเล่มนี้ปักลงตรงหัวใจของเหยื่อสังเวย รองเลือดของมันให้รูปปั้นนั่นดื่มกิน” เดมาลส่งมีดสั้นให้กับราชินีนาเกียที่รับมาถือไว้ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาร่างเด็กหนุ่มที่ถูกมัดอยู่เบื้องหน้า
“อย่าโทษข้าเลยนะ โทษสายเลือดในตัวเจ้าซะเถอะ” ราชินีนาเกียหัวเราะร่า แววตาอำมหิต มือของนางเงื้อขึ้นสูงเตรียมปักลงกลางอกเป้าหมาย
“หยุดนะนาเกีย!” เสียงที่ดังก้องเบื้องหลังทำให้องค์ราชินีชะงักไปชั่วครู่แต่แล้วก็ตัดสินใจจ้วงแทงลงไปสุดแรง! เซเนตตราหลับตาปี๋ ‘งานนี้ไม่รอดแน่ !’
“เคร้ง!ๆ” เสียงกระทบกันของโลหะ ทำให้ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง ไม่เจ็บปวด ไม่มีบาดแผล เลือดก็ไม่ไหล เด็กหนุ่มสำรวจตัวเองก่อนเงยหน้าขึ้นมองเหตุการณ์
“ฝ่าบาท!” ราชินีนาเกียร้องอย่างตระหนก แววตาไหวระริกด้วยความหวั่นเกรง ขณะที่เดมาลถูกทหารร่างกำยำสองนายควบคุมตัวอยู่อีกทาง
ชายวัยกลางคนร่างสูงก้าวเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ หากทุกย่างก้าวฉายชัดถึงรัศมีแห่งอำนาจ ข่มให้ผู้ที่อยู่รอบข้างด้อยลงไปถนัดใจ
“เจ้าจะสังหารเจ้าหนุ่มนั่นทำไม มันทำความผิดอะไร ?”
“เอ่อ.......คือว่าข้า............”
“ทำไมจะต้องลงมือเอง ?”
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ?” ดวงพักตร์องค์ราชาเคร่งขรึม ต้องการคำตอบ
“คือ.....เจ้าเด็กนี่เป็น...เป็น....เครื่องสังเวยค่ะ” องค์ราชินีเสียงสั่น
“หือ....เครื่องสังเวยงั้นหรือ เครื่องสังเวยอะไร !?”
“เด็กนั่นมันมีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ถ้าได้เลือดของมันมาเซ่นสังเวย วินเดเนียจะเป็นมหาอาณาจักร มั่นคงและเข้มแข็ง” น้ำเสียงราชินีนาเกียสามารถเกลื่อนได้เป็นปรกติ เธอคิดหาทางออกได้แล้ว
“อย่างงั้นเหรอ ?”
“ค่ะ ท่านเดมาลบอกกับข้า แต่ที่ต้องแอบทำก็เพราะข้าเกรงว่าท่านจะไม่เห็นด้วย ที่ข้าทำทั้งหมดก็เพราะหวังดีกับวินเดเนียจริง ๆ” สีหน้าราชาแห่งวินเดเนียครุ่นคิด ทำเอาเซเนตตราที่ถูกมัดปิดปากฟังการสนทนาอยู่ใจแป้ว ‘งานนี้จะรอดหรือจะถูกสังเวยต่อละเนี่ย’
“ท่านพ่อ ข้าไม่เห็นว่าการที่วินเดเนียจะเข้มแข็งขึ้นจะเกี่ยวกับชีวิตเจ้าหนุ่มนี่ที่ตรงไหน แล้วการที่เราใช้ชีวิตของคน ๆ หนึ่งเป็นเครื่องสังเวยเพื่อความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร ข้าเห็นว่าไม่ถูกต้อง!”
เสียงหนึ่งดังขัด พร้อมกับร่างสูงโปร่งสง่างามของชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏขึ้น ใบหน้าอันละม้ายเหมือนองค์ราชาแห่งวินเดเนียทำให้เดาฐานะของชายหนุ่มผู้มาใหม่ได้ไม่ยาก
“เจ้าชายซาร์กอน! ท่านกำลังสงสัยข้างั้นหรือ!” ราชินีนาเกียถามผู้มาใหม่อย่างไม่พอใจ
“ใครจะกล้าคิดอย่างนั้นกับองค์ราชินีแห่งวินเดเนียได้ จริงไหม?” เจ้าชายหนุ่มย้อนถาม รอยยิ้มอารมณ์ดียังระบายอยู่ทั่วใบหน้า แววตาเป็นประกาย
“แต่ท่านพูดอย่างนี้ก็เหมือนไม่ไว้ใจข้า!”
“ข้าจะไม่ไว้ใจท่านเรื่องอะไร ข้าก็พูดตามความเห็นของข้า หรือว่าองค์ราชินีจะร้อนตัว”
“เจ้า!” นาเกียโกรธจนตัวสั่นขยับจะตอบโต้ หากแต่องค์ราชายกมือห้ามเสียก่อน
“เอาละ ๆ หยุดเถียงกันได้แล้ว นาเกียข้าเข้าใจความหวังดีของเจ้า แต่ข้าไม่ชอบวิธีที่เจ้าทำ ข้าเป็นราชาผู้ปกครองอาณาจักร หน้าที่ของข้าคือดูแลทุกข์สุขของชาวอาณาจักรไม่ใช่ก่อความทุกข์ให้กับคนในอาณาจักรของข้าเอง”
“แต่เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่คนของอาณาจักรเรา หนำซ้ำถ้าชีวิตคน ๆ เดียวสามารถช่วยให้อาณาจักรเรามั่นคง เข้มแข็ง ชาวอาณาจักรเราก็จะอยู่เย็นเป็นสุข นี่ก็เป็นหน้าที่ของราชาเหมือนกันนะคะ” นาเกียยังไม่ยอมแพ้
“ข้าจะยอมเสียสละเมื่อถึงเวลาจำเป็นเท่านั้น แต่ในขณะนี้ข้ายังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น”
องค์ราชาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม ราชินีนาเกียไม่พอใจนักแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกอย่างเปิดเผย
‘คราวนี้ปล่อยไปก่อน ไว้โอกาสหน้าก็ยังมี’ นางนึกมาดหมายอยู่ในใจ แต่ที่พูดออกมากลับเป็นอีกอย่าง
“งั้นข้าก็ไม่ขัด ตามแต่ประสงค์ของท่านเถอะ”
“ปล่อยเจ้าหนุ่มนั่น!” เจ้าชายซาร์กอนสั่งการทหาร
เซเนตตราถอนใจอย่างโล่งอก ‘งานนี้รอดแล้วเรา’ เด็กหนุ่มบิดข้อมือที่เพิ่งพ้นจากพันธนาการอย่างเมื่อยขบ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับสายตาหลายคู่ที่จับจ้องอยู่
“เจ้าชื่ออะไร ?” เจ้าชายซาร์กอนเอ่ยถาม รอยยิ้มไมตรีถูกยื่นมาให้
“เซเนต ข้าชื่อเซเนตครับ” เซเนตตราตอบพลางพินิจชายหนุ่มตรงหน้า ‘นี่เองเจ้าชายซาร์กอนที่เฮรอสพูดถึง สง่าราศีสมกับเป็นเจ้าคนนายคนจริง ๆ’
“เจ้ามาจากไหน ?”
“ข้าเป็นคนอาณาจักรบาลันเทียร์” เจ้าชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“บาลันเทียร์ อาณาจักรที่อยู่ติดกับป่าอาถรรพ์ แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“คือ....ข้ามารอพบท่านเซนรอนแห่งวิหารอาร์เซนโทเฟีย” สายตาคำถามของเจ้าชายหนุ่มทำให้เซเนตตราอธิบายต่อ
“ข้ามาจากท่านเฮกาจอมปราชญ์แห่งบาลันเทียร์ ท่านส่งข้าให้มาแจ้งข่าวกับทางวิหารอาร์เซนโทเฟียเกี่ยวกับคำทำนายแห่งปราชญ์ที่ได้ทำนายไว้” เจ้าชายซาร์กอนมองสบตากับองค์ราชาแห่งวินเดเนียแวบหนึ่ง
“ว่าต่อไปซิ”
“เขตอาคมที่กางกั้นป่าอาถรรพ์กับแดนพิภพเริ่มเสื่อมลงแล้ว ตอนนี้มีเหล่าปีศาจออกมาอาละวาดมากมายจนทางบาลันเทียร์ยากจะต้านทาน”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” องค์ราชาถามอย่างร้อนใจ
“ราว ๆ 2 เดือนก่อนครับ มันเริ่มจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบริเวณรอยต่อป่าอาถรรพ์กับแดนพิภพ”
“งั้นก็เรื่องใหญ่ละ” องค์ราชาหันไปบอกกับเจ้าชายซาร์กอน
“แล้วเรื่องที่เจ้าคือผู้มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ล่ะ จริงไหม ?”
“สายเลือดศักดิ์สิทธิ์คืออะไรหรือครับ ?” เซเนตตราย้อนถามด้วยไม่รู้จริง ๆ องค์ราชากับเจ้าชายซาร์กอน มองสบตากันอีกครั้งเหมือนจะบอกอะไรกันบางอย่าง
“อาจจะเป็นการเข้าใจผิดกันก็ได้ สายเลือดศักดิ์สิทธิ์ใช่ว่าจะพบได้ง่าย ๆ เอาเถอะ เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ส่วนเรื่องทางบาลันเทียร์ข้ารับปากจะจัดการให้ ตอนนี้เจ้าอยู่ในความดูแลของซาร์กอนไปก่อนก็แล้วกัน” องค์ราชาตัดสิน ในขณะที่ผู้ฟังทั้งเดมาลและราชินีนาเกียแม้ไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าแสดงออก
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว” สั่งแล้วองค์ราชาก็กลับออกไปพร้อมราชองครักษ์ เจ้าชายซาร์กอนพยักหน้าให้เด็กหนุ่มที่เกือบเป็นเหยื่อสังเวยให้ตามไป บริเวณนั้นจึงเหลือเพียงราชินีนาเกียและเดมาล
“ต้องเจ้าชายซาร์กอนแน่ ๆ มันคอยจับผิดเราอยู่ น่าเจ็บใจนัก เกือบสำเร็จอยู่แล้วเชียว!”
“เรายังมีโอกาส” เดมาลเอ่ยหลังจากเงียบฟังมาโดยตลอด
“โอกาส! ฝันไปเถอะ เจ้าซาร์กอนมันสงสัยข้าแบบนี้ มันกัดไม่ปล่อยแน่ แล้วมันก็จัดการไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนเจ้าเฮรอสด้วย” ราชินีนาเกียตวาด
“อีกหลายวันกว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะออกจากวินเดเนีย ตราบใดที่มันยังไม่พ้นจากวินเดเนีย ตราบนั้นเรายังมีโอกาส” เดมาลบอกอย่างใจเย็น
“งั้นเจ้าก็มีหน้าที่สร้างโอกาสนั้น” ราชินีนาเกียบอกแล้วสาวเท้าจากไปอย่างหงุดหงิด
“แน่นอน โอกาสสำหรับข้า ข้าต้องหามันได้อยู่แล้ว” เดมาลพึมพำกับตัวเองแล้วก้าวตามไป
ภายในบริเวณลานกว้างเหลือแต่ความเงียบสงบ ในเงามืด ณ มุมหนึ่งที่ไม่มีใครทันสังเกต เงาร่างสูงในชุดดำที่กลืนไปกับความมืดรอบตัวยืนนิ่งเฝ้าดูเหตุการณ์มาโดยตลอด
“ถือว่าข้าช่วยให้งานของเจ้าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งก็แล้วกันนะเซเนต ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือมันเป็นหน้าที่ของเจ้าโดยเฉพาะ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทำยังไง”
ความคิดเห็น