คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ศึกแดนพิภพ 1
บทที่ 15
ศึกแดนพิภพ 1
เซเนตตราใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นบนชั้นหนังสือที่บรรจุตำราแขนงต่าง ๆ อัดแน่น ฝุ่นจับเต็มเนื่องจากขาดการดูแลเอาใจใส่ เธอใช้เวลาอยู่ในหอตำราเป็นส่วนใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนใดคนหนึ่งในคณะของเจ้าชายซาร์กอน
แต่ถึงแม้จะอยู่แต่ในหอตำรา ข่าวคราวจากภายนอกก็ยังมีมาให้ได้ยินอยู่เสมอ คณะของเจ้าชายซาร์กอนร่วมกับจอมปราชญ์เฮกา และเจ้าหญิงเซเลน่าเดินทางเข้าสู่ป่าอาถรรพ์เพื่อผนึกรอยร้าวของกระจกผนึกมนตรา
เธอก็ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะทำสำเร็จ เพราะนั่นหมายถึงการรอดพ้นจากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับชาวพิภพทั้งหมดด้วย
เสียงประตูเปิดและปิดกลับ เสียงฝีเท้าเดินมาตามช่องชั้น เซเนตตราไม่ได้สนใจเพราะคนที่เข้ามาในหอตำรานี้ส่วนใหญ่คือลูกศิษย์ของท่านจอมปราชญ์ที่แวะมาค้นหาตำราบางอย่าง และพวกเขาชอบอยู่เงียบ ๆ โดยไม่มีใครรบกวน เด็กสาวไต่บันไดปืนขึ้นไปชั้นบนของตู้หนังสือที่ฝุ่นจับเขรอะ ตำราบางเล่มเก่าจนกรอบ บางเล่มเหมือนไม่เคยมีใครสัมผัสมานานแสนนาน เธอมัวสนใจกับงานที่ทำจนไม่รู้ตัวว่ามีใครเข้ามาหยุดยืนอยู่ต่ำลงไป
“มีหนังสือน่าสนใจเยอะดีนะ” เสียงที่จู่ ๆ ดังขึ้น ทำเอาคนที่กำลังตั้งใจทำงานสะดุ้งเฮือก เป็นผลให้ศีรษะทุ่มกับเพดานเต็มแรง
“โอ๊ย!”
“เป็นอะไรหรือเปล่า ?” คำถามแกมหัวเราะนั้นทำให้เซเนตตราหันขวับไปมองเตรียมตัวเอาเรื่องแต่แล้วก็ต้องชะงักค้าง หุบปากทันควันเพราะเจ้าของคำถามคือชายร่างสูง นัยน์ตาดำขลับ เจ้าของนาม ‘เฮรอส’
ชายหนุ่มในชุดดำยาว ไล่สายตาไปตามตู้ต่าง ๆ ไม่ได้สนใจกับคนที่อยู่ด้านบนของตู้ เซเนตตราหันกลับ ทำเหมือนสนใจอยู่กับงาน แต่สายตายังคอยชำเลืองดูอีกฝ่ายอย่างระแวง เธอรู้ว่าเฮรอสไม่ได้เดินทางไปกับคณะของเจ้าชายซาร์กอน แต่ไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาทำอะไรในหอตำราอย่างนี้ ที่ที่ชายหนุ่มอย่างเฮรอสน่าจะไปคือร้านเหล้าหรือหอต่าง ๆ ที่ให้ความสำราญกับชายหนุ่มมากกว่า
‘เจ้านี่ชอบมีอะไรให้แปลกใจอยู่เรื่อยเชียว’ เซเนตตรานึกนินทาอยู่ในใจ
“เจ้าดูแลหอตำรานี่หรือ ?” จู่ ๆ เฮรอสก็ถามขึ้น ทำเอาคนถูกถามตั้งตัวแทบไม่ทัน
“ใช่”
“แล้วอ่านหมดหรือยัง ?” คำถามยังดำเนินต่อไปโดยชายหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะจำเธอได้ เซเนตตราตอบพลางมือก็ทำงานไปด้วย ทำเหมือนไม่ใส่ใจนัก
“ตำราตั้งมากมายใครจะไปอ่านหมด”
“งั้นเหรอ งั้นข้าแนะนำให้เจ้าอ่านเล่มนี้” เฮรอสบอกพลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น สภาพของมันทั้งเก่าและทรุดโทรมจนถ้าเป็นคนก็คงแก่หง่อม บ่งบอกถึงอายุการใช้งานที่เนิ่นนาน ฝุ่นที่จับหนาแสดงว่าไม่มีผู้ใดแตะต้องมันมาอาจจะนานหลายสิบปีแล้วก็ได้
“อย่าลืม อ่านซะ” ร่างสูงวางหนังสือเล่มนั้นลงบนโต๊ะ แล้วก้าวจากไปท่ามกลางความงุนงงของคนถูกสั่งให้อ่าน
“เจ้าเป็นบ้าอะไรเฮรอส อยู่ ๆ มาสั่งให้อ่านหนังสือ!” เซเนตตราบ่นพึมพำแต่ไม่กล้าพูดดังกลัวคนที่เดินจากไปแล้วได้ยิน แต่หนังสือที่วางอยู่ก็ดึงดูดความสนใจเธอไม่น้อย
เด็กสาวปีนลงจากชั้น หยิบหนังสือที่วางอยู่ขึ้นมาปัดฝุ่น หน้าปกของหนังสือเล่มนั้นเขียนไว้ว่า
“ศึกแดนพิภพ !”
ในที่สุดเซเนตตราก็ตัดสินใจเปิดหนังสือเล่มนั้น!”
“คิดว่าจะได้ผลหรือครับ ?” คำถามดังขึ้นเมื่อเจ้าของร่างสูงเดินออกมาจากหอตำรา คนในชุดดำไม่ได้ชะงักแต่ยังก้าวเดินต่อไปเรื่อย ๆ โดยมีผู้ที่เอ่ยถามเดินตามมาเบื้องหลังด้วยท่าทางนอบน้อมกว่าปกติที่แสดงออกต่อหน้าคนอื่น ๆ
“นั่นก็สุดแล้วแต่ชะตากรรมของพวกเขาแล้วละ แค่นี้ก็ถือว่าช่วยมากพอแล้ว”
“แต่มันคงยาก”
“จะยากหรือไม่ก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ข้าจะต้องคิดหาทางแก้ไข ข้ารับผิดชอบในส่วนของข้าตามเงื่อนไขแห่งพันธะสัญญาแล้ว ที่เหลือนั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาว่าจะสามารถตีโจทย์ที่ดาไรอัสสร้างไว้ได้หรือไม่”
“ถ้าท่านบอกว่าทำตามพันธะสัญญา ทำไมไม่เดินทางเข้าไปในป่าอาถรรพ์พร้อมกับพวกนั้น” อีกฝ่ายถามยิ้ม ๆ เพราะพอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว
“เจ้าว่าข้าเลือกปฏิบัติงั้นหรือทีคาล”
“หรือท่านจะเถียง” รอยยิ้มปรากฏจาง ๆ ที่มุมปาก พร้อมกับคำตอบ
“ข้าทำตามพันธะสัญญา....แต่....นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับความพอใจของข้าด้วยว่า ‘ใคร’ เป็นคนที่ข้าเลือก”
“และท่านก็ไม่เลือกหญิงผู้งามล้ำอย่างเจ้าหญิงเซเลน่า หรือหญิงสาวผู้ที่ทั้งสวยและเปี่ยมด้วยปัญญาอย่างเฮกา แต่เลือก.......เฮ้อ! ข้าจะหานิยามอะไรมาจำกัดความเป็นนางดีนะ” ทีคาลถอยในเฮือกอย่างเห็นชัดว่าแกล้งทำ
“เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจทีคาล ว่าเพราะอะไร” ชายหนุ่มกล่าวแล้วเดินจากไป
“ดวงใจอันพิสุทธิ์สะอาดเท่านั้นคือสิ่งที่มีค่าคู่ควรกับ..........” ทีคาลปล่อยให้ถ้อยคำนั้นปลิวหายไปกับสายลม ดวงตาสีแดงฉานอ่อนแสงลงทอดมองแผ่นหลังตรงสง่าของผู้เป็นนายไปอย่างครุ่นคิด
เซเนตตราพลิกหน้ากระดาษเก่า ๆ นั่นอย่างระมัดระวัง หญิงสาวนั่งอ่านเรื่องราวของสงครามแดนพิภพที่ถูกกล่าวไว้ในหนังสือ เท่าที่อ่านผ่านมาทั้งหมดก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกไปจากตำราหรือบันทึกเล่มอื่น ๆ ที่กล่าวถึงสงครามในครั้งนั้น สงครามระหว่างมหาราชาเซธารอสกับจอมมารลูเนซาราส จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของจอมมาร เซเนตตราถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อไม่พบอะไรที่แตกต่างไป เธอเปิดข้ามบทพรรณนาถึงความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของมหาราชาเซธารอสไปเรื่อย ๆ
“เฮ้อ! แล้วเจ้าบ้าเฮรอสให้อ่านทำไมกันเนี่ย” เซเนตตราบ่น อดจะประหลาดใจกับการกระทำของตัวเองไม่ได้เหมือนกันที่ดันมานั่งอ่านตามคำบอกของเฮรอส เธอเกือบจะปิดหนังสืออยู่แล้วแต่สายตาเหลือบไปเห็นบางสิ่งคั่นอยู่ระหว่างหน้ากระดาษ
ลักษณะของมันคล้ายผืนผ้าจารึกตัวอักษรไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเป็นระเบียบ เซเนตตราหยิบมันขึ้นมาคลี่อ่านกับแสงไฟ
“ผู้โลภหลงในอำนาจ จารึกถึงแต่คุณธรรม ความดี ความกล้าหาญ และความเฉลียวฉลาดของตนเอง
ผู้โลภหลงในอำนาจ กล่าววาจาที่เป็นเท็จ กลับร้ายให้เป็นดี เปลี่ยนขาวให้เป็นดำได้โดยง่าย
ผู้โลภหลงในอำนาจ ทำลายแม้ทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์และมิตรผู้หวังดี
ผู้โลภหลงในอำนาจ ทำลายผู้คนทั้งแผ่นดินด้วยความมัวเมาที่พึงมี
ผู้โลภหลงในอำนาจ สุดท้ายย่อมทำลายตนเอง
สำหรับข้า เป็นเพียงผู้มืดบอด ที่ยึดติดกับคำว่ามิตรภาพ
สำหรับข้า เป็นเพียงผู้ขลาดกลัวที่จะตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง
สำหรับข้า เป็นเพียงผู้โง่เขลาถึงแม้ใครจะสรรเสริญในปัญญา
สำหรับข้า เป็นเพียงผู้สำนึกผิดที่ไม่อาจแก้ตัว
นั่นคือข้า...ดาไรอัส”
เซเนตตราอ่านทวนข้อความนั้นกลับไปกลับมา เหมือนกับว่าประโยคอันเคยคุ้นจะวาบเข้ามาในความทรงจำอันลางเลือน
“ข้าคือผู้ขลาดกลัว ผู้สำนึกผิด และผู้โง่เขลาที่สุดในแดนพิภพ” เธอพึมพำประโยคที่ติดอยู่ในความทรงจำ ภาพชายหนุ่มในชุดขาวที่เคยฝันเห็นปรากฏชัด
ผู้ชายคนนั้นคือมหาปราชญ์ดาไรอัสอย่างนั้นหรือ ? กระบวนการคิดเริ่มจะงุนงงสับสน
แล้วลำนำบทนั้น! ใช่! ลำนำที่หญิงสาวลึกลับนามเฮเลน่าเป็นผู้ขับขาน ลำนำบทนั้นตรงกับที่ดาไรอัสบอกกับเธอ แล้วมันหมายถึงอะไรกัน !?
ความทรงจำเกี่ยวกับความฝันที่ผ่านมาดูเหมือนจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ “แผ่นดินแห่งแสงดาว” มหาปราชญ์ดาไรอัสต้องการสิ่งใดจึงทำให้เธอเห็นดินแดนแห่งนั้น ปราสาทแสนงามท่ามกลางดวงดาวที่ดารดาษเต็มท้องฟ้า
‘ดินแดนแห่งนั้นเกี่ยวพันกับลำนำที่เฮเลน่าขับหรือเปล่า’
“โอ๊ย!” ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว เธอรู้สึกเหมือนศรีษะจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ภาพทุกภาพหมุนวนสับสน หญิงสาวใช้มือคลึงขมับเพื่อบรรเทาความปวดร้าวมึนงงที่ทวีขึ้นทุกขณะ
“เซเนตตรา....เซเนตตรา........”
เสียงที่เหมือนเคยคุ้นมานานแสนนานนั้นเรียกเธออีกแล้ว เซเนตตราหมุนมองรอบตัว หมอกหนาทึบจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด ละอองหมอกอันเย็นเฉียบปลิวปัดผ่านตัวเธอจนเปียกชื้น
“เซเนตตรา......”
เธอหันไปตามเสียงเรียก ชายหนุ่มในชุดขาวยาวยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้า ดวงตาที่ทอดมองช่างดูอบอุ่นอ่อนโยน
“ท่านเป็นใคร ?”
“เจ้ารู้คำตอบแล้วไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นย้อนถามกลับ
“มหาปราชญ์ดาไรอัส” ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้ม เป็นการยอมรับอยู่ในที
“นี่ข้าฝันหรืออะไรกันแน่ ?”
“เจ้ามีเรื่องที่อยากรู้มากกว่านั้นไม่ใช่หรือ” คำถามนั้นเหมือนกับรู้ใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“ข้าพบแผ่นจารึกของท่าน มันหมายความว่าอย่างไร ?”
“หมายความตามที่เขียน”
“ข้าไม่เข้าใจ ใครคือผู้โลภหลงในอำนาจ แล้วทำไมท่านถึงกล่าวว่าตัวท่าน คือผู้ขลาดกลัว ผู้สำนึกผิด และผู้โง่เขลาที่สุดในแดนพิภพ” ชายหนุ่มไม่ตอบในทันทีแต่แววตาที่มองสบนั้นเศร้าลง
“เพราะข้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ”
“ท่านดาไรอัส ข้าไม่ใช่คนฉลาด ไม่ใช่จอมปราชญ์มาจากไหน ข้าเข้าไม่ถึงหรอกนะไอ้หลักปรัชญาการแฝงความหมายในคำพูดอะไรพวกนี้น่ะ” เซเนตตราบอกอย่างหงุดหงิด
“ข้ารู้” คำตอบรับยังสงบ
“ในเมื่อท่านรู้ก็ควรพูดอะไรที่มันตรงไปตรงมา พูดเป็นปริศนาข้าคิดไม่ออก หรือไม่ ท่านก็ไปหาคนที่ฉลาดกว่าข้าอย่างท่านเฮกา ผู้เฒ่าเบล หรือเจ้าหญิงเซเลน่าดีกว่า” เธอบอก
“ข้าติดต่อคนเหล่านั้นไม่ได้”
“ทำไมล่ะ ท่านเฮกากับท่านเซเลน่าคือผู้สืบเชื้อสายแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ของท่านนี่ ท่านน่าจะติดต่อได้ พวกนั้นน่ะรู้เรื่องอะไรมากกว่าข้าเยอะ”
“ดวงจิตของพวกนางกล้าแข็งเกินกว่าพลังของข้าในตอนนี้ ข้าเป็นเพียงรูปรอยแห่งความทรงจำที่ยังคงห่วงกังวลกับสิ่งที่ผูกพัน มีเพียงเจ้าที่ข้าสามารถติดต่อได้”
เซเนตตราฟังแล้วก็ถอนใจยาว ท่านจอมปราชญ์คงไม่อยากจะบอกตรง ๆ ว่าเธอนั้นไม่ได้เรื่อง ไร้ซึ่งพลังจะต้านทานกระแสพลังของเขาได้
“งั้นท่านต้องการให้ข้าทำอะไร ?”
“ตามหาของสิ่งหนึ่ง”
“อะไร ?”
“บันทึกของข้าเอง มันเป็นบันทึกที่บันทึกเรื่องราวความเป็นจริงทั้งหมดในสงครามแห่งแดนพิภพ เป็นคำตอบของปริศนาทั้งหมดที่เจ้าสงสัย”
“ทำไมท่านไม่ตอบข้าเสียตอนนี้เลยล่ะ ? ง่ายกว่ากันตั้งเยอะ” เซเนตตราถามอย่างไม่เข้าใจ ทำไมจะต้องทำอะไรที่มันยุ่งยากด้วย
“ด้วยพันธะสัญญา ข้าตอบคำถามเจ้าไม่ได้” คนฟังถอนใจอีกเฮือกใหญ่
“แล้วถ้าข้าถามว่าพันธะสัญญาอะไร ท่านจะตอบข้าได้ไหม หรือว่าตอบไม่ได้อีก”
“พันธะสัญญาแห่งราชา สัญญาที่เป็นความหวังหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของชาวพิภพ”
“พันธะสัญญา....กับราชาเซธารอสงั้นเหรอ” มหาปราชญ์ดาไรอัสส่ายหน้าน้อย ๆ ปฏิเสธ
“ถ้างั้นใคร ?”
“เมื่อเจ้าได้บันทึกนั่นมาเจ้าจะรู้เรื่องราวทั้งหมด” ซักถามต่อไปก็คงไม่ได้อะไรมากกว่าเดิม เธอจึงเปลี่ยนเรื่องถาม
“แล้วข้าจะตามหาบันทึกของท่านได้ที่ไหน ?”
“มันถูกฝังไปพร้อมกับร่างของข้า”
“ที่วิหารจอมปราชญ์งั้นเหรอ ?” วิหารจอมปราชญ์คือสถานที่ฝังศพของเหล่าจอมปราชญ์ในแต่ละยุคสมัยเป็นสถานที่หวงห้าม คนนอกมิอาจย่างกรายเข้าไปได้นอกจากผู้ดำรงตำแหน่งจอมปราชญ์และคนที่ได้รับอนุญาตโดยเฉพาะเท่านั้น
“ร่างของข้ามิได้ถูกฝังไว้ที่วิหารจอมปราชญ์หรอก”
“อ้าว! ทำไมล่ะ ?”
“เรื่องมันยาว เอาเป็นว่าเจ้าตามหาที่ฝังศพของข้าให้พบก่อนก็แล้วกัน”
“แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเขาฝังร่างท่านไว้ที่ไหน” เซเนตตราถามอย่างเพลียใจ แค่เรื่องไขปริศนาถ้อยคำของท่านมหาปราชญ์ก็ปวดหัวจะแย่ นี่ยังต้องตามหาหลุมฝังศพของเจ้าตัวอีกด้วย
“ที่ที่ดอกแสงแห่งราตรีบานสะพรั่ง”
“แล้วไอ้ดอกแสงแห่งราตรีนี่มันเป็นยังไง ข้าไม่เห็นเคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย”
“แล้วเจ้าจะรู้” ร่างชายหนุ่มตรงหน้าดูเหมือนจะค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ
“แล้วจะรู้ได้ยังไงเล่า พูดให้มันรู้เรื่องกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง” ไม่มีคำตอบ แต่ร่างในชุดขาวนั้นเลือน สลายไปกับสายหมอก
“เดี๋ยวซิ เดี๋ยวก่อน ยังพูดกันไม่รู้เรื่องเลย กลับมาก่อน นี่ท่านดาไรอัส!”
เซเนตตราสะดุ้งเฮือกตกใจตื่น รอบกายขณะนี้มีแต่ความมืด แสงไฟจากตะเกียงที่จุดไว้ดับไปแล้ว สรรพเสียงต่าง ๆ รอบตัวเงียบสนิท อากาศหนาวเย็นจนสั่นสะท้าน เธอเพิ่งรู้ตัวว่าฟุบหลับคาหนังสือ ‘ศึกแดนพิภพ’ ที่นั่งอ่านค้างไว้ ความฝันทั้งหมดช่างชัดเจนราวกับเธอได้พบกับดาไรอัสจริง ๆ
‘แล้วสิ่งที่พูดกันในฝันนั้นเล่า’ มันเป็นเพียงเรื่องที่เธอเก็บเอาไปฝันเป็นเรื่องเป็นราวเองหรือว่า เธอติดต่อกับมหาปราชญ์ดาไรอัสได้จริง ๆ
“ดอกแสงแห่งราตรี แล้วมันดอกอะไรกัน ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินชื่อ” เธอบ่นพึมพำกับตัวเอง ถ้าท่านเฮกาอยู่เธอจะเล่าความฝันนี้ให้ฟัง แต่นี่เธอจะไปขอความช่วยเหลือจากใครได้ล่ะ
ชายชราในชุดคลุมยาวสีเทายืนเพ่งพินิจอยู่เหนืออ่างขนาดใหญ่ที่บรรจุน้ำจนเกือบเต็ม เส้นผมขาวโพลนถูกรวบรัดไว้เบื้องหลัง ใบหน้าของผู้ชราเปี่ยมไปด้วยความกังวลจนเห็นได้ชัด
“กังวลใจเรื่องอะไรหรือผู้เฒ่า ?” เสียงที่ดังขึ้นทำให้ผู้เต่าละสายตาจากอ่างน้ำ ร่างเล็กอยู่ในชุดแบบผู้ชาย ผมยาวสีน้ำตาลหยิกหยักถูกขมวดมุ่นไว้ง่าย ๆ หญิงสาวเดินเข้ามาสมทบกับผู้เฒ่า ชะโงกตัวเหนืออ่างน้ำ
“ข้าติดตามดูคณะที่เดินทางเข้าไปในป่าอาถรรพ์”
“นั่นสิ แล้วพวกนั้นเป็นยังไงกันบ้าง ปลอดภัยกันดีหรือเปล่า ?” เซเนตตราถามด้วยความเป็นห่วง
“ทุกคนยังปลอดภัยดีแต่ป่าอาถรรพ์อันตรายมากขึ้นทุกที ที่แย่กว่านั้นประตูแห่งแดนปีศาจก็ได้รับผลกระทบจากกระจกผนึกมนตราที่ร้าวด้วย ไอปีศาจแผ่กระจายออกมามากขึ้น ๆ ถ้ายังไม่สามารถผนึกกระจกได้ละก้อ
.” จอมเวทย์แห่งบาลันเทียร์ถอนใจยาว ไม่อยากจะคิดถึงเรื่องราวที่จะเกิดต่อไปเลย
ถึงจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไรเป็นอะไรนักแต่เซเนตตราก็นึกภาพออกว่าถ้าประตูแห่งแดนปีศาจถูกทำลายลงจะเป็นยังไง แดนพิภพคงจะถึงกาลวิบัติอย่างแท้จริง
“เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า ?” จอมเวทเอ่ยถาม พลางโบกมือผ่านอ่างน้ำ ภาพที่ปรากฏค่อย ๆ กระเพื่อมไหวแล้วหายไปกลายเป็นอ่างน้ำธรรมดา
“ท่านรู้เรื่องสุสานของมหาปราชญ์ดาไรอัสหรือเปล่า ?” เซเนตตราถาม เพราะเธอนั้นพยายามเสาะหาข้อมูลในหนังสือและตำราทั้งหลายมากมายแต่ก็ยังไม่พบอะไรที่พูดถึงสถานที่ฝังศพของมหาปราชญ์
“เจ้าจะถามไปทำไม ?” ผู้เฒ่าเบลย้อมถาม
“คือข้าอยากรู้น่ะ” เธอยังไม่อยากเล่าเรื่องความฝันให้ใครฟังตอนนี้เพราะดีไม่ดีอาจถูกหาว่าสติไม่ดีก็ได้
“สุสานของท่านมหาปราชญ์ดาไรอัสก็อยู่ที่วิหารแห่งปราชญ์ไงล่ะ” ท่านผู้เฒ่าบอก เป็นคำตอบที่เธอต้องลอบถอนใจเพราะขนาดระดับจอมเวทยังไม่รู้เรื่องสุสานของดาไรอัส ความหวังของเธอยิ่งริบหรี่ลงไปอีก แล้วนี่ท่านเฮกาจะรู้ไหมหนอ
“นั่นซินะ ข้าไม่น่าถามอะไรโง่ ๆ เลย”
เซเนตตราหัวเราะกลบเกลื่อนสายตาที่มองมาอย่างสงสัยของผู้เฒ่าเบล
“เออ...แล้วท่านรู้จักดอกแสงแห่งราตรีไหม ?”
“ดอกอะไร ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” เธอแทบอยากจะยกมือขึ้นเกาหัวยุ่ง ๆ ของตัวเอง ทำไมคนฉลาดถึงชอบทำอะไรให้เป็นปริศนาอยู่เรื่อย แล้วทำไมต้องให้คนโง่ ๆ อย่างเธอตามไขปริศนาด้วย
“เจ้าไปเอาชื่อนี้มาจากไหน ?”
“คือข้าอ่านเจอในตำราเก่า ๆ ในหอตำราน่ะ ก็เลยสงสัยเพราะมันไม่บอกอะไรไว้เลยนอกจากชื่อเจ้าดอกไม้นี่เท่านั้น ถ้างั้นข้าไปก่อนนะ” เซเนตตราบอกแล้วถอยกลับออกมา ผู้เฒ่าเบลเองก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรเพราะมีเรื่องอีกมากมายที่เขาต้องคอยห่วงกังวล
ร่างเล็ก ๆ นั้นเดินช้า ๆ ลัดเลาะผ่านแนวไม้ที่ปลูกทอดยาวเพื่อให้ร่มเงาระหว่างทางเดินจากวิหารหลวงไปสู่หอคอยแห่งปราชญ์ เท้าที่ก้าวไปนั้นทำไปตามความเคยชินมากกว่าจะมีใจจดจ่ออยู่กับทางที่เดินไป คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันอย่างคนคิดไม่ตก
“ถ้าข้าเป็นเสือจริง ๆ คงจับเจ้ากินได้สบายเลย” เสียงทักดังมาจากที่สูงขึ้นไป ทำเอาคนที่กำลังคิดสะดุ้งเฮือกแหงนมองไปตามเสียง ชายหนุ่มผิวคล้ำหน้าเข้ม ดวงตาสีแดงฉานดูดุดันนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้สูง เมื่อสบตาเธอฝ่ายนั้นก็ยิ้มยิงฟันขาว เซเนตตราขยับจะเอ่ยปากทักอยู่แล้วเชียวแต่กดลิ้นไว้ทันเพราะนึกได้ว่าตอนนี้เธอไม่ใช่เซเนต แต่คือเซเนตตรา
“ไม่ทักทายข้าหน่อยเหรอ ?” เธอขยับจะตอบแต่อีกฝ่ายชิงพูดดักทางเสียก่อน
“ไม่ต้องบอกหรอกว่าเจ้าไม่รู้จักข้า เพราะข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นใคร เซเนต...ตรา” ทีคาลออกเสียงชื่อเธอลากยาว
“นี่เจ้า!?” เจ้าของชื่อยังงุนงง ไม่คิดว่าเจ้าสัตว์ภูตจะจำเธอได้ ร่างสูงใหญ่นั้นกระโจนวูบลงมาเบื้องหน้าห่างจากเธอเพียงไม่กี่ก้าว ความสูงขนาดนี้ถ้าเป็นคนธรรมดาคงตกลงมาคอหัก
“เจ้ารู้ได้ยังไง ?
“ข้าคือสัตว์ภูต สัตว์น่ะแยกแยะกลิ่นได้ดีกว่าคนเยอะ”
“แล้วทำไมถึงรู้จักชื่อจริงของข้า ?” เจ้าเสือดำซึ่งตอนนี้อยู่ในร่างคนส่งยิ้มแบบกวน ๆ มาให้
“ถ้าเรื่องแค่นี้ข้าไม่รู้ก็ไม่สมควรเป็นสัตว์ภูตที่มีอายุหลายร้อยปีหรอก” เสียงบอกกึ่งโอ้อวด
“อะไรนะ! เจ้าน่ะเหรอมีอายุหลายร้อยปี” เซเนตตราอุทานอย่างคาดไม่ถึง
“ก็ใช่น่ะซิ พวกภูตน่ะมีอายุยืนนานกันทั้งนั้นแหล่ะ เรื่องธรรมดาจะตายไป” คนฟังที่อายุไม่ยืนขนาดนั้นได้แต่อึ้งพูดไม่ออก แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แวบผ่านมา
‘ลองดูก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร’ เธอคิดพลางเอ่ยปากถาม
“เจ้าบอกว่าอยู่มาหลายร้อยปีแล้วใช่ไหม ?”
“ใช่ ทำไมหรือ ?”
“งั้นเจ้าพอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับสงครามแดนพิภพเมื่อราวแปดร้อยปีก่อนไหม ?” เซเนตตราถามอย่างมีความหวัง
“เสียใจ อายุข้ายังไม่ยาวถึงขนาดนั้น พวกสัตว์ภูตน่ะถึงจะอายุยืนแต่ก็มีเกณฑ์กำหนดอยู่ส่วนใหญ่ไม่เกิน 500 ปี อย่างข้าเพิ่งจะอายุ 300 กว่าปีเท่านั้นเอง”
“เป็นอันว่าหมดหวัง” เซเนตตราเบ้หน้าอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ทีคาลกลับยิ้ม สายตาที่เคยร้อนแรงทอดมองคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยนมากขึ้น
“คิดจะถามเรื่องนี้เรื่องเดียวเหรอ ?” เด็กสาวมองหน้าเจ้าเสือดำ มองตรงเข้าไปในดวงตาสีแดงนั้นเหมือนมันต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง
“งั้นเจ้ารู้จักดอกแสงแห่งราตรีไหม ?”
“แสงแห่งราตรี.....หึ....หึ....รู้จักดีทีเดียวละ ดอกไม้ที่งดงามยามค่ำคืน”
“แล้วเจ้าดอกแสงแห่งราตรีนี่อยู่ที่ไหนกัน” เซเนตตราถามอย่างกระตือรือร้นความหวังที่เคยว่าริบหรี่บัดนี้ดูจะเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็อยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่” คำตอบของทีคาลทำเอาเซเนตตราอยากจะหาอะไรทุ่มใส่เสียนัก ตอบมาได้อยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่ แล้วจะรู้ไหมล่ะ
“แล้วไอ้ที่ที่มันควรอยู่น่ะคือที่ไหน ?” ยังไงก็ต้องใจเย็นไว้ก่อน
“ไปถามเฮรอสดูซิ เขาก็รู้” มันเลี่ยงไม่ยอมตอบ
“เฮรอสรู้งั้นเหรอ !?” เป็นคำตอบที่เธอไม่ได้คิดมาก่อนเลย เอ๊ะ! แต่หนังสือเล่มนั้นเฮรอสก็เป็นคนหยิบออกมานี่นา
“ใช่ เฮรอสน่ะรู้อะไรที่พวกเจ้าคาดไม่ถึงมากมาย เพียงแต่จะบอกหรือไม่บอกเท่านั้นแหล่ะ” ทีคาลได้โอกาสเผาเจ้านายตัวเอง
“ลองไปถามเขาดูซิ ถ้าเป็นเจ้าเขาอาจจะบอก” ทีคาลแนะ แต่เซเนตตราไม่อยากจะไปเผชิญหน้ากับเฮรอสเลยจริง ๆ เจ้านั่นจะว่ายังไงถ้ารู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง
“ในเมื่อเจ้าก็รู้เหมือนกันบอก ๆ ข้ามาซะก็หมดเรื่อง” เซเนตตราหาทางออก
“ก็เพราะข้าบอกเจ้าไม่ได้น่ะซิ”
“เพราะอะไรถึงบอกไม่ได้ ?” เธอชักจะเบื่อกับเจ้าพวกรู้แต่บอกไม่ได้จริง ๆ
“ถ้าลองเจ้าถามถึงดอกแสงแห่งราตรีก็แสดงว่าเจ้าได้พบกับดาไรอัส เจ้าคงได้ยินคำว่าพันธะสัญญาจากเขามาบ้างแล้ว และข้าจะบอกว่าเพราะเงื่อนไขในพันธะสัญญาเดียวกันทำให้ข้าบอกเจ้าไม่ได้ แต่ข้าก็สามารถบอกเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามแดนพิภพเมื่อแปดร้อยปีก่อน หรือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บางเรื่องได้”
“อย่างเช่นบอกว่าเฮรอสรู้เรื่องดอกแสงแห่งราตรีใช่ไหม ?” เซเนตตราเริ่มคิดตาม
“ฉลาดนี่” ทีคาลเอ่ยชม
“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าเฮรอสรู้ แล้วยังเรื่องข้ากับดาไรอัส” เซเนตตรายังไม่หมดความสงสัย
“ถ้าไม่อยากได้ยินคำโกหก ก็อย่าถามในสิ่งที่ข้าบอกเจ้าไม่ได้” ชายหนุ่มตรงหน้าบอกยิ้ม ๆ ทำเอาคนฟังหน้ามุ่ย ‘เบื่อจริง ๆ พวกชอบทำตัวลึกลับ’
ความคิดเห็น