คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : มฤตยูใต้แสงจันทร์
บทที่ 11
มฤตยูใต้แสงจันทร์
แสงแดดอันร้อนแรงเจิดจ้าส่องกระทบผืนทรายแห้งแล้ง ภูเขาทรายสูงต่ำทอดยาวทัศนียภาพแปรเปลี่ยนไปหมดจนไม่เหลือภาพที่ชินตา ซากปรักหักพังเมื่อวันวานยังพอหลงเหลือให้เห็นบ้างแต่เต็นท์พักแรมกับรถอีกสิบกว่าคันนั้นสูญหายไปทั้งสิ้น จัสมินเช็ดเหงื่อที่ไหลโซมกาย ใช้ผ้าผืนยาวตวัดขึ้นคลุมศีรษะและใบหน้าบดบังความร้อน
“แล้วเราจะทำยังไงถึงจะหาพวกนั้นเจอล่ะ ทะเลทรายออกกว้างใหญ่ขนาดนี้” หญิงสาวหันมาถามคนที่เดินตาม
“เดินอยู่แถว ๆ นี้ เดี๋ยวเขาก็หาเราพบเองนั่นแหละ” คีลบอกหน้าตาเฉยจนคนฟังชักฉุน
“นี่นายหลอกให้ฉันเดินหรือไง”
“ใครว่าก็แค่ให้ออกมายืนที่โล่ง ๆ พวกนั้นจะได้หาเราได้ง่ายขึ้น เราเป็นส่วนน้อยที่พลัดหลงต้องปล่อยให้คนกลุ่มใหญ่เป็นฝ่ายตามหา ซาเล็มรู้กฎข้อนี้ดี”
“นายรู้ได้ยังไง คณะของเราอาจจะโดนพายุกระจัดกระจายกันไปก็ได้”
“คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทรายเขามีวิธีหลบพายุ ไม่เหมือนคุณเที่ยวเดินท่อม ๆ อยู่คนเดียวห่างไกลผู้คนเกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่มีใครรู้”
“เอ๊ะ! นายว่าฉันเหรอ ?”
“น่าคุณ ไม่รู้ก็ไม่ผิดหรอก” คีลบอกอย่างรอมชอมไม่สนใจกริยากระทืบเท้าขัดใจของหญิงสาว พลางก้าวนำขึ้นไปยืนบนเนินทราย ชายหนุ่มป้องหน้าเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนหาอะไรบางอย่าง
“ทำอะไรน่ะ ?” เมื่อไม่ได้รับการสนใจ จัสมินก็ต้องก้าวตามขึ้นมายืนเคียงหันมองตามบ้าง
“หาที่ที่คณะของเราหยุดพักเมื่อวานนี้”
“ไหนว่าให้เดินอยู่แถว ๆ นี้ไงล่ะ ?” คีลถอนใจยาวอย่างเห็นชัดว่าแกล้งทำ
“เดินก็เดินอย่างมีจุดหมายไม่ใช่เดินเปะปะ ทะเลทรายออกกว้างใหญ่ขืนคุณมุ่งไปทางซ้าย แต่คนตามไปทางขวาแล้วจะเจอกันไหมล่ะ ?” เจอคำถามนี้เข้าจัสมินได้แต่มองคนตอบอย่างเข่นเขี้ยวที่ไม่เคยเถียงชนะ ‘นายไกด์’ ได้ซักครั้ง
เมื่อยืนอยู่บนเนินสูงแบบนี้ทำให้สามารถมองเห็นบริเวณต่าง ๆ ได้โดยรอบ ทะเลทรายเวิ้งว้างมองทางไหนก็เหมือนกันไปหมดคือเห็นแต่เนินทรายไม่เห็นมีจุดไหนจะให้สังเกตได้
“ทางนี้แหละ” คีลบอกพลางเริ่มออกเดิน จัสมินก้าวตามแต่ไม่วายถาม
“รู้ได้ยังไง ?” ชายหนุ่มหันกลับมายิ้มกว้าง ดวงตาดำขลับมีแววขำขัน
“ผมเป็นไกด์นะครับ พาลูกทัวส์หลงก็เสียชื่อแย่”
“ถามจริง ๆ เถอะ นายเคยหลงทางบ้างหรือเปล่า ?” ดวงตาแจ่มใสนั้นแพรวพราวเมื่อตอบ
“บ่อยไป”
“แล้วคุยเสียดิบดี”
“ที่บ่อยไปน่ะผมหลงทางในเมือง ส่วนทะเลทรายผมไม่เคยหลง”
“คนบ้าอะไรหลงทางในเมือง” รอยยิ้มที่กว้างอยู่แล้วยิ่งกว้างมากกว่าเดิม ดูเปิดเผยและจริงใจ
“ก็คนบ้าอย่างผมนี่แหละ ในเมืองตรอกซอกซอยมากมายไปหมดน่าเวียนหัว สู้ทะเลทรายไม่ได้ เรียบ ๆ โล่ง ๆ หาง่ายกว่ากันตั้งเยอะ” คีลตอบแล้วก้าวลงจากเนินทรายมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ชี้บอก จัสมินเถียงไม่ออกจึงจำต้องเงียบก้าวเท้าตามคนยียวนกวนประสาทที่เดินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
เพียงไม่นานคีลก็หยุดเดินใช้เงาเนินทรายลูกหนึ่งบังแดด คนเดินตามอย่างจัสมินจึงต้องหยุดด้วยพร้อมคำถามสงสัย
“คราวนี้หยุดทำไม ?”
“โน่นไง” ชายหนุ่มชี้ไปเบื้องหน้า หญิงสาวเพ่งมองสังเกตอยู่ครู่หนึ่งจึงมองเห็นฝุ่นที่ฟุ้งตลบก่อนจะมองเห็นรถโฟร์วิลคันหนึ่งแล่นตรงดิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
“เขาเห็นเราแล้ว”
“ทำไมนายตาดีจังเลยอยู่ตั้งไกลขนาดนั้นแท้ ๆ กลับมองเห็นได้” ไม่มีคำตอบจากคีล ชายหนุ่มเพียงยิ้มแล้วทรุดลงนั่งบนพื้นทรายอย่างไม่กลัวร้อน เพียงไม่นานรถคันนั้นก็วิ่งฝุ่นตลบเข้ามาเทียบ
เมื่อรถจอดสนิทคนที่เปิดประตูก้าวลงมาเป็นคนแรกคือมูซา เด็กชายโผนเข้าหาคีลด้วยความดีใจ
“คีล! คีล! ในที่สุดก็เจอจนได้ ตอนเกิดพายุข้าเป็นห่วงแทบแย่” มูซาละล่ำละลักบอก ซาเล็มที่ตามลงมาสมทบมองภาพนั้นยิ้ม ๆ
“ข้าฟังมันบ่นจนหูชาเลย คุณหนูละครับปลอดภัยดีใช่ไหม ?” ตอนท้ายซาเล็มหันมาถามหญิงสาว
“ฉันไม่เป็นไร คนอื่น ๆ ล่ะ มีใครพลัดหลงหรือได้รับบาดเจ็บอะไรหรือเปล่า”
“หนัก ๆ ไม่มีหรอกครับ แค่ได้แผลคนละนิดละหน่อยเท่านั้น นี่ผมให้แยกกันออกติดตามคุณหนูกับคีลเป็นสองทางคงต้องวิทยุบอก ขึ้นรถเถอะครับ” ซาเล็มบอกพลางก้าวนำไปเปิดประตูรถรอ เมื่อทั้งหมดกลับขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยรถจึงเคลื่อนตัวมุ่งหน้าสู่เต็นท์พัก
“โชคดีนะครับที่คุณหนูพลัดมากับคีลไม่อย่างนั้นผมคงเป็นห่วงแย่ ตอนพายุสงบแล้วสำรวจคนผมยังกังวลกลัวคุณหนูจะพลัดไปคนเดียว”
“ไกด์ของซาเล็มเขาทำหน้าที่ดี คอยดูแลลูกทัวร์ไม่มีขาดตกบกพร่องเลยแหละ” จัสมินสรรเสริญชายตาชำเลืองมอง แต่คนถูกชื่นชมนั่งหลับตาไม่พูดไม่จากับใครเสียแล้ว
“อะไรกันขึ้นรถได้ก็จะหลับเลยหรือ เมื่อคืนนายก็หลับก่อนฉันอีกนะ”
“ผมพักสายตาเฉย ๆ ไม่ได้หลับเสียหน่อย น่าเดี๋ยวเราก็ต้องเดินทางต่อให้ผมพักเอาแรงบ้างเถอะ” หญิงสาวมองอย่างหมั่นไส้แต่ก็หยุดเซ้าซี้หันไปพูดคุยกับซาเล็มต่อไป
องค์อาซาริยัสประทับนั่งเป็นประธานในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคง พระพักตร์ขององค์กษัตริย์ผู้มากพระชันษาเคร่งเครียดกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ประดังเข้ามา โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้คณะมนตรีด้านความมั่นคงกำลังปรึกษาหารือกันอยู่ในขณะนี้
“ทหารรายงานว่าหน่วยรบทะเลทรายของเราถูกลอบโจมตีได้รับความเสียหายหนัก”
“ผู้ก่อการร้ายหรือเปล่า ?” ท่านอับดุลลาเอ่ยถามซาลีสผู้ควบคุมกองทหารหน่วยรบทะเลทราย
“ไม่ใช่แต่เป็นพวกเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย พวกมันรวมตัวกันเพื่อต่อต้านรัฐบาล”
“แค่ชาวบ้านธรรมดาจะเอาอะไรมาสู้รบกับทหาร ยิ่งเป็นหน่วยรบทะเลทรายด้วยแล้ว เราก็รู้กันไม่ใช่หรือว่าทหารหน่วยนี้ฝีมือเยี่ยมแค่ไหน” องค์รัชทายาทฟาฮานแย้ง
“แต่คนของผมก็ยืนยันแน่ชัด พวกเผ่าเร่ร่อนนั่นต้องได้รับการสนับสนุนจากคนที่หวังให้เกิดความไม่สงบในอัลมาฮาร์แน่ ๆ” ซาลีสกล่าวอย่างมั่นใจ
“แล้วท่านคิดว่าเป็นใครล่ะ ?” คราวนี้คนถูกถามนิ่งอึ้งเพราะไม่สามารถตอบคำถามได้
“ท่านก็ให้คำตอบไม่ได้ งั้นลองฟังรายงานจากทางด้านของท่านอับดุลลาดูบ้าง เชิญ” เจ้าชายฟาฮานพยักพระพักตร์ให้ ท่านอับดุลลาจึงกล่าวถึงข่าวที่ตนได้รับรายงานมา
“ในขณะที่หน่วยรบทะเลทรายถูกโจมตี ผมได้รับรายงานว่ามีทหารหน่วยหนึ่งออกปล้นสะดมกองคาราวานสินค้า และยังปล้นหมู่บ้านรอบนอก ข่มเหงรังแกประชาชน”
“เป็นไปไม่ได้ ผมไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน” ซาลีสเอ่ยขัด
“แสดงว่ารายงานของเราทั้งคู่ขัดแย้งกัน ทีนี้ก็ต้องมาดูละว่ารายงานอันไหนเป็นจริง และอันไหนเป็นเท็จ” ท่านอับดุลลากล่าวอย่างใจเย็น ซาลีสฮึดฮัดคล้ายจะไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกนอกหน้านัก
“เอาละ ๆ นี่อาจเป็นแผนที่จะทำให้รัฐบาลกับประชาชนเกิดความหวาดระแวงซึ่งกันและกันก็ได้ เราจึงควรสามัคคีกันไว้ อย่าใช้อารมณ์วู่วาม ฉันอยากให้แต่ละฝ่ายกลับไปตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ให้แน่นอน แล้วเราค่อยมาประชุมปรึกษาเรื่องนี้กันอีกครั้งในการประชุมคราวหน้า” องค์กษัตริย์ทรงตัดสินก่อนที่จะเกิดข้อพิพาทในคณะมนตรีความมั่นคง เมื่อไม่มีใครเห็นคัดค้านจึงมีรับสั่งปิดประชุมแล้วเสด็จขึ้นโดยมีเจ้าชายฟาฮานตามเสด็จ คณะมนตรีต่างทยอยลุกออกไปเหลือเพียงท่านอับดุลลาที่ขยับลุกเป็นคนสุดท้าย ทหารมหาดเล็กนายหนึ่งเข้ามาคำนับพลางบอก
“มีรับสั่งให้ท่านอับดุลลาเข้าเฝ้าที่ห้องทรงงานครับผม” ท่านอับดุลลาพยักหน้ารับรู้ ก้าวเท้าตามไปยังห้องทรงงาน ทหารมหาดเล็กผู้นั้นก้าวล้ำขึ้นไปเปิดพระทวารให้ก่อนหับปิดด้วยมือตนเองแล้วยืนเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้น
ภายในห้องทรงงานส่วนพระองค์ องค์กษัตริย์และเจ้าชายฟาฮานประทับรออยู่แล้ว
“เชิญนั่งท่านอับดุลลา” ผู้ถูกเชิญก้มศีรษะทำความเคารพก่อนจะค่อย ๆ นั่งลง
“ฉันจะถามเรื่องที่เคยขอให้ท่านช่วย เป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวคืบหน้าบ้างไหม” องค์กษัตริย์มีรับสั่งถาม พระพักตร์เปี่ยมไปด้วยความหวัง ท่านอับดุลลาถอนใจยาวยิ่งเห็นพระพักตร์ยิ่งยากจะกราบทูล
“ว่าไง ท่านได้ข่าวอะไรมาบ้าง”
“ไม่มีข่าวคราวเลยพระเจ้าค่ะ ทั้งร่องรอยต่าง ๆ ก็หายไปจนสิ้นๆไม่อาจติดตามได้” จบคำกราบทูลสีพระพักตร์แห่งองค์กษัตริย์ผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“ชาตินี้พ่อจะไม่มีโอกาสได้พบเจ้าอีกแล้วหรือฟารีดา” ทรงรำพึงกับพระองค์เอง
เจ้าหญิงฟารีดาพระธิดาองค์ใหญ่ในกษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์ เจ้าหญิงที่สง่างามและชาญฉลาด หากเป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่อเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ยอมละทิ้งทุกอย่างเพียงเพื่อความรักอันห่างชั้น ความรักที่เกิดกับชายหนุ่มสามัญชน พ่อค้าเร่ชาวถิ่นทะเลทราย เรื่องที่เกิดเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ ณ เวลานั้นองค์อาซาริยัสกริ้วจัดจนถึงขนาดประกาศถอดยศและขับไล่ให้ออกจากพระราชวัง เจ้าหญิงฟารีดาน้อมรับด้วยอาการสงบและนับจากวันที่นางได้ก้าวออกจากราชวงศ์อัลมาฮาร์ข่าวคราวของนางก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
“พระทัยเย็นก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ เรายังไม่หมดหวังใช่ไหมท่านอับดุลลา” เจ้าชายฟาฮานพยายามปลอบพระทัย
“กระหม่อมจะพยายามต่อไปพระเจ้าค่ะ” ท่านอับดุลลาให้คำรับรองอีกคน
“ท่านพี่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้ยังไง แปลกมาก” เจ้าชายฟาฮานตั้งข้อสังเกต
“แต่บุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหญิงฟารีดาล้วนหายสาบสูญไปทั้งหมด”
“ความหวังของฉันฝากไว้ที่ท่านเท่านั้น” องค์กษัตริย์ตรัสแล้วเสด็จจากไปด้วยสีพระพักตร์หมองเศร้า เจ้าชายฟาฮานมองสบตากับท่านอับดุลลาพลางถอนใจยาวด้วยไม่รู้ว่าจะช่วยเหลืออะไรได้ดีกว่านั้น
ดวงอาทิตย์ยามเย็นส่องกระทบกับผืนทรายบังเกิดสีแดงฉานไปทั่วทั้งความเวิ้งว้าง รอบบริเวณดูสงบสงัดจนเกือบจะวังเวง ณ เนินทรายลูกหนึ่งมีร่างสูงของชายในชุดคลุมดำยืนกอดอกมองดูดวงตะวันที่กำลังค่อย ๆ คล้อยต่ำลงทุกที
“คิดอะไรอยู่ ?” เสียงถามที่ดังขึ้นทำให้คนที่ยืนปักหลักเป็นรูปปั้นหันกลับมา
“แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
“เราใกล้จะถึงคาเธย์หรือยัง” ซาเล็มเอ่ยถามต่อไปขยับขึ้นมายืนเคียงข้าง
“ยังหรอก แต่ว่าตอนนี้เรากำลังเหยียบย่างเข้าสู่อาณาเขตของนครต้องคำสาปอย่างแท้จริงแล้ว” คนพูดถอนใจยาว
“เจ้าพูดเหมือนกับว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น” ดวงตาดำคมมองสบตากับผู้ถาม
“เคยได้ยินตำนานแห่งคาเธย์ไม่ใช่หรือ ?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เจ้ากำลังวิตก”
“คาเธย์คือนครต้องคำสาป.....” คีลทำท่าจะพูดแต่แล้วกลับหยุดเพียงแค่นั้น
“กับแค่คำสาปในตำนาน มันจะทำอะไรได้งั้นเหรอ” ซาเล็มไม่เชื่อถือ
“ใช่ คำสาปทำอะไรเราไม่ได้....แต่....ช่างเถอะ...แค่นับจากนี้ไปขอให้เชื่อตามที่ผมบอกก็พอ แล้วพวกเราทั้งหมดจะปลอดภัย” ซาเล็มนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดก็เอ่ยปาก
“เจ้าไม่ใช่ไกด์ทะเลทรายธรรมดา ๆ อย่างที่แสดงออก” คีลมองสบตาซาเล็มโดยไม่หลบ หนำซ้ำดวงตาคู่คมยังแฝงด้วยรอยยิ้ม ซาเล็มถอนใจเพราะคีลไม่มีท่าทีว่าจะแสดงพิรุธใด ๆ ออกมาทั้ง ๆ ที่ถูกดักคอ
“เอาเถอะถ้ามันเปิดเผยไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงพาพวกเราไปให้ถึงจุดหมายเรื่องอื่นก็ไม่สำคัญจริงไหม ?”
“ซาเล็มเข้าใจอะไรง่ายดี” ชายหนุ่มกล่าวยิ้ม ๆ แล้วก้าวลงจากเนินทรายปล่อยให้ผู้เฒ่าซาเล็มมองตามไปอย่างครุ่นคิด
“อะไรคือสิ่งที่เจ้ากังวลอยู่กันแน่คีล”
เหล่าคนงานกำลังจัดการกางเต็นท์พัก บางส่วนก็หุงหาอาหาร ทหารยามเริ่มเดินตรวจตราไปรอบ ๆ บริเวณที่จะหยุดพักในคืนนี้ แต่ละคนมีงานทำวุ่นวาย มีเพียงคีลเท่านั้นที่ก้มหน้าก้มตาใช้ไม้ยาวขนาดเหมาะมือขีดเส้นไปบนผืนทรายลากยาวและโรยผงกำมะถันลงตามเส้นที่ขีดไว้โดยมีมูซาคอยเดินตามช่วยถืออุปกรณ์
“จะทำอะไรน่ะ ?” มูซาเอ่ยถามด้วยความสงสัยหลังจากดูขั้นตอนการทำมาพักหนึ่งแล้ว
“ทำให้คืนนี้หลับได้อย่างสงบไง” คำตอบของคีลไม่ช่วยอธิบายอะไรเลย
“แล้วทำไมคืนนี้เราจะนอนไม่สงบ ?” เด็กชายยังไม่หายสงสัย
“เราก้าวเข้าสู่เขตแดนของนครต้องคำสาปแล้วน่ะสิ”
“เราจะถูกสาปไปด้วยงั้นเหรอ ?”
“ใครว่า คำสาปทำอะไรเราไม่ได้หรอก แต่ที่จะเป็นอันตรายกับเราคือมนตราแห่งมาฮาร่าต่างหาก”
“อ้าว! ไหงงั้นล่ะ ก็เจ้าบอกว่าเป็นมาฮาร่าไม่ใช่เหรอ แล้วไอ้มนตร์อะไรนั่นมันจะทำร้ายเราทำไม”
ยิ่งฟังมูซายิ่งงงหนักกว่าเดิม
“มนตร์แห่งมาฮาร่าทำร้ายทุกคนที่จะเข้าสู่คาเธย์ ไม่ละเว้นแม้แต่ผู้เป็นมาฮาร่าด้วยกัน มนตร์นี้ถูกลงไว้เพื่อปกป้องคาเธย์จากการลุกล้ำของบุคคลภายนอก เพื่อปกป้อง....” คีลหยุดมองเจ้าเด็กช่างสงสัยด้วยความเอ็นดู
“อย่ารู้เลย แค่นี้เจ้าก็รู้มากกว่าใครอีกหลายคนแล้ว มันผิดกฎ” คนตัวโตกว่าบอกแกมหัวเราะ พร้อมกับลงมือลากเส้นบนผืนทรายต่อไป
“เฮ้อ! เอะอะก็ผิดกฎทำไมมาฮาร่าถึงมีกฎมากมายนักนะ” มูซาบ่นแต่ก็ยังไม่วายถาม
“แล้วที่ทำน่ะมันจะช่วยอะไรได้”
“ช่วยได้ก็แล้วกัน จำไว้คืนนี้อย่าออกพ้นเส้นที่ข้าขีดล้อมไว้เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นข้าไม่รับรองความปลอดภัย”
“แล้วต้องบอกพวกนั้นด้วยหรือเปล่า ?” เด็กชายบุ้ยใบ้ไปทางทหารรักษาการณ์ที่ยืนตรวจตราอยู่ตามจุดต่าง ๆ
“ข้าบอกกับซาเล็มให้บอกคนงานและทหารทุกคนแล้ว ส่วนใครจะทำตามที่ข้าบอกหรือไม่นั้นสุดแต่ใจก็แล้วกัน”
“พวกนายฝรั่งกับคุณหนูล่ะ”
“ค่ำมืดดึกดื่นพวกนั้นไม่มีทางออกมาเดินเพ่นพ่านแน่ จะมีก็แต่คุณหนูของเจ้านั่นแหล่ะชอบเดินสำรวจไปทั่ว แถมดื้อไม่ฟังอะไรอีกต่างหาก” คีลนินทา
“แต่ไม่ต้องห่วงยังไงก็คงเดินมาไม่ถึงเขตที่ข้าขีดไว้หรอก” ชายหนุ่มบอกให้เด็กชายสบายใจมือก็ยังทำงานต่อไปเรื่อย ๆ
“ใกล้ค่ำแล้วเจ้ากลับเข้าไปที่เต็นท์ก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าตามไป” มูซายอมกลับไปก่อนตามที่คีลบอก
แสงสุดท้ายแห่งดวงตะวันลาลับไปจากขอบฟ้า ความมืดเริ่มย่างกรายเข้ามาพร้อม ๆ กับเส้นที่ผืนทรายถูกลากมาบรรจบกันพอดีแม้ลมจะพัดแรงแต่รอยที่ถูกขีดกลับไม่จางหาย และทันทีที่เส้นทั้งสองมาบรรจบฉับพลันแสงสีเหลืองก็สว่างวาบตามเส้นที่ขีดไว้ก่อนจะหายวับไปเพียงชั่ววินาที รวดเร็วจนไม่มีใครทันสังเกต
ยามค่ำคืนดวงจันทร์ดวงกลมโตส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า สว่างจนสามารถมองเห็นรอบตัวได้ลางเลือนหากก็เหมือนมีความวังเวงเยียบเย็นแผ่ผสมผสานอยู่ในบรรยากาศที่แสนจะสงบสงัด เงียบยิ่งกว่าเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงลม มีเพียงแสงไฟจากสปอตไลท์ที่ส่องให้ความสว่าง ทุกคนต่างหลับใหลมีเพียงยามรักษาการณ์เท่านั้นที่ยืนรักษาความปลอดภัย
ในความลางเลือนแห่งนวลจันทร์ดวงตาสีแดงฉานปรากฏตรงโน้น ตรงนี้ ก่อนจะมากขึ้น มากขึ้นจากสิบเป็นร้อย และอาจจะถึงพัน ดวงตาเหล่านั้นจับจ้องรายรอบที่พักของคณะสำรวจ แต่พวกมันไม่อาจเฉียดใกล้ ด้วยเส้นที่ถูกขีดคั่นไว้ ลำตัวยาวนุ่มลื่นขยับเลื้อยไปรอบ ๆ วนเวียนคอยหาโอกาส
และแล้วโอกาสก็มาถึง ! เงาทะมึนสองร่างเดินลับ ๆ ล่อๆ เหมือนกำลังจะหลบเลี่ยงออกไปโดยไม่รู้ว่าเบื้องหน้ามฤตยูกำลังคอยอยู่ เพียงทั้งคู่ก้าวเท้าพ้นอาณาเขตที่กั้นขวาง ร่างทะมึนก็สะดุ้งเฮือก ไม่มีแม้เสียงร้อง มีเพียงเสียงของหนักหล่นกระทบพื้นทรายแล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง แสงแห่งจันทราส่องกระทบร่างสองร่างที่นอนทอดเหยียดยาวแต่ปราศจากลมหายใจ!
ความคิดเห็น