ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Song of Starlight : ลำนำแห่งแสงดาว

    ลำดับตอนที่ #11 : มายาแห่งป่าหลงลืม

    • อัปเดตล่าสุด 1 ต.ค. 50


    บทที่ 11

    มายาแห่งป่าหลงลืม

     

    ขนดหางขนาดใหญ่ตวัดฟาดโครมลงมาอย่างบ้าคลั่ง   มาร์รานและเจ้าชายซาร์ลูมานกระเด็นไปคนละทาง   ส่วนเจ้าชายซาร์กอนคว้าลาเซียหลบไปอีกด้าน      เซเนตตราลากโซเนปที่ยังไม่หายมึนหมัดหลบพ้นไปอย่างหวุดหวิด

     

    ตัวอะไรน่ะ ?      โซเนปมองอย่างตื่นตะลึง

     

    ก็ตัวที่เจ้าหลงใหลใฝ่ฝันเมื่อครู่ไงล่ะ   ขนาดจะฆ่าแกงพวกเดียวกันเชียวนะ    เซเนตตราเฉลยข้อข้องใจให้อย่างหมั่นไส้   ฝุ่นทรายปลิวว่อนจนมองอะไรแทบไม่เห็น

     

    เบนดาฮาร่า!” 

     

    เออ  นั่นแหละ

     

     

    ทั้งมาร์รานและเจ้าชายซาร์ลูมานร่ายเวทเข้าใส่ร่างมหึมาที่กำลังอาละวาดแต่เวทมนตร์เหล่านั้นไม่อาจทำอันตรายใด ๆ แก่ภูตแสงจันทร์ตนนี้ได้เลย   หนำซ้ำยิ่งสู้ดูเหมือนขนาดอันใหญ่โตของมันจะทำให้เวทมนตร์แทบจะทำอะไรไม่ได้

     

    เจ้าชายซาร์ลูมานเหนื่อยหอบ   ในขณะที่มาร์รานก็ถอยมาตั้งหลักอยู่ใกล้ ๆ โซเนปและเซเนตตรา

     

    พลังเวททำอะไรมันไม่ได้!  แทบจะไม่ระคายผิวมันด้วยซ้ำ   มาร์รานหันมาปรึกษากับจอมปราชญ์โซเนปเพราะขืนทุ่มแรงสู้ต่อไปมีแต่แพ้อย่างเดียวเท่านั้น

     

    ขอเวลาข้าคิดเดี๋ยว    โซเนปพยายามรวบรวมสมาธิเพื่อคิดหาวิธีจัดการ       มาร์รานกับเจ้าชายซาร์ลูมานผสานพลังกางเขตอาคมต้านไว้

     

    ลูกแก้วบาลันเทียร์ไง    เสียงบอกดังมาจากเบื้องหลัง   โซเนปและเซเนตตราหันไปมองก็พบเฮรอสยืนอยู่

     

    เจ้าว่าอะไรนะ ?

     

    ลูกแก้วบาลันเทียร์   ดวงแก้วแห่งศรัทธา

     

    ก็ศรัทธา  แต่จะให้ทำยังไงล่ะ!”     เซเนตตราถามอย่างนึกโมโห   เวลาคับขันยังจะพูดอะไรวกไปเวียนมาอยู่ได้    

     

    อธิษฐานตามที่ข้าเคยบอกนั่นแหละ    เฮรอสบอกง่าย ๆ   เซเนตตราหันไปมองโซเนปก็เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้    เธอหยิบลูกแก้วบาลันเทียร์ขึ้นมา   ดวงแก้วสีขาวสกาวเปล่งแสงวับวาวอยู่กลางฝ่ามือ      แสงนั้นเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ จนครอบคลุมกลุ่มคนทั้งคณะไว้    แสงนั้นเรียกความสนใจภูตแห่งแสงจันทร์ให้พุ่งเข้าใส่แต่ทันทีที่ร่างอันใหญ่โตสัมผัสกับวงแสงเสียงกรีดร้องก็ดังก้อง    ผืนทรายสะเทือนเลื่อนลั่นดังเกิดแผ่นดินไหว    ร่างมหึมานั้นบิดเป็นเกลียวอย่างเจ็บปวด  หางอันใหญ่โตฟาดซ้ายป่ายขวา   นานช้ากว่าร่างนั้นจะค่อยๆ สงบลง

     

    นางตายแล้วใช่ไหม?    ลาเซียถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

     

    ไม่รู้ซิ    โซเนปตอบ   มองร่างแน่นิ่งนั้นอย่างไม่ไว้ใจเช่นกัน

     

    และไม่ปล่อยให้ทุกคนสงสัยนาน         ร่างนั้นเริ่มขยับอีกครั้ง     ดวงตาสีแดงฉานเปิดขึ้นมันฉายแสงโกรธกรุ่นมากกว่าเดิมหลายสิบเท่า

     

    ลูกแก้วบาลันเทียร์ทำอะไรนางไม่ได้!”     

     

    ตั้งใจหน่อย   เชื่อมั่นในพลังของลูกแก้ว   ด้วยพลังแห่งศรัทธาดาบแห่งแสงจงปรากฏ     

     

    เฮรอสบอกกับเซเนตตราโดยเฉพาะ     คนอื่น ๆ มัวแต่พะวงกับร่างมหึมาที่อาละวาดจนไม่มีใครสนใจ

     

    เร็วสิ!”     เซเนตตราไม่มีเวลาคิดสงสัย   เธอหลับตาลงสำรวมจิตใจอีกครั้ง    แน่วแน่กับสิ่งที่ต้องการ    แสงสีขาวเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง  ครานี้รุนแรงสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม

     

    เซเนตตรารู้สึกถึงวัตถุแข็งเย็นที่ปลายมือ    เมื่อลืมตาขึ้น  ด้ามดาบปรากฏอยู่เบื้องหน้า   เธอจับแล้วดึงออกมาสุดแรง    หญิงสาวรู้สึกเหมือนพลังในกายเหือดหายไปหมด   ไม่เหลือแม้แรงที่จะทรงกายหยัดยืน

     

    ดาบแห่งแสง     ดาบยาวที่รูปทรงแปลกตาคล้ายกับผลึกแก้วใสที่ผสานกันขึ้นเป็นรูปทรงของดาบแต่หาด้านคมของดาบไม่เจอ    

     

    เซเนต!  เป็นอะไร ?    ลาเซียที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้ามาประคองอย่างตกใจ    เซเนตตรารู้สึกตาพร่ามองอะไรไม่ชัด    ท่ามกลางความลางเลือน   เหมือนเธอจะมองเห็นชายลึกลับที่พบในฝัน    ชายผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้าเธอ!

     

    เจ้าใช้พลังมากเกินไป    ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกนั้นเถอะ   เสียงบอกดังมาก่อนสายตาจะแปรจากดาบไปจับยังเจ้าชายซาร์กอนอย่างมีความหมาย

     

    เซเนต  เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ?   ลาเซียถามซ้ำ  มองท่าทางหมดเรี่ยวแรงของเด็กหนุ่มอย่างกังวล

     

    เปล่า   ข้าไม่เป็นไร   ลาเซีย...ดาบ       เซเนตตราส่งดาบให้ลาเซียพลางกัดฟันบอก  

     

    เจ้าชายซาร์กอน     ลาเซียรับดาบนั้นไปอย่างงง ๆ ยังไม่เข้าใจเจตนาของผู้ให้

     

    เซเนตคงจะให้ท่านพี่ใช้ดาบเล่มนี้จัดการกับเบนดาฮาร่าละมั้ง      เฮรอสช่วยบอก

     

    เร็วเข้า !”    ลาเซียมองดาบในมืออย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก

     

    ทำตามที่เขาบอกเถอะ    เฮรอสเข้ามาพยุงร่างเซเนตไว้แทน     เขตอาคมที่กางกั้นดูเหมือนจะทานพลังมหาศาลที่เพิ่มขึ้นจากความโกรธได้อีกไม่นาน

     

     

    เจ้าชายคะ   เสียงเรียกของลาเซียทำให้เจ้าชายซาร์กอนที่กระชับดาบในมือเตรียมพร้อมหันกลับมามอง   ดาบในมือลาเซียเปล่งประกายสะดุดตานักดาบอย่างเขายิ่งนัก

     

    ใช้ดาบนี่จัดการกับนังปีศาจ

     

    เหมือนมีพลังดึงดูดจากดาบเรียกร้องให้เขาใช้มัน     ซาร์กอนเอื้อมมือไปแตะด้ามดาบ   พลังอำนาจมหาศาลหลั่งไหลจากดาบส่งผ่านมายังเขาทันที!

     

     

    การต่อสู้ระหว่างหนึ่งเจ้าชายรัชทายาทแห่งวินเดเนียกับหนึ่งปีศาจแห่งทะเลทรายแสงจันทร์เริ่มขึ้นอย่างดุเดือด    เกร็ดหนาสีเงินที่ดาบประจำตัวของเจ้าชายซาร์กอนมิอาจฟันผ่าน   แต่ดาบที่มองไม่เห็นความคมเล่มนี้กลับเรียกเลือดสีแดงฉานให้พุ่งกระฉุดได้ทุกครั้งที่สัมผัสถูก      ยิ่งเจ็บร่างอันใหญ่โตก็ยิ่งบ้าคลั่ง    หากเจ้าชายซาร์กอนก็ไม่พลาด  อาศัยร่างกายที่เล็กกว่าทำให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วหลบหลีกได้อย่างว่องไว

     

     และพอได้จังหวะนางปีศาจเปิดช่องว่าง    เจ้าชายซาร์กอนก็พุ่งทะยานขึ้นไปกลางอากาศเงื้อดาบขึ้นสูงฟันฉับลงที่ลำคอของนาง!

     

    เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้อง     เลือดสีแดงฉานพุ่งกระฉูดรินหลั่งลงบนผืนทรายส่งกลิ่นคาวคลุ้งชวนสะอิดสะเอียน    

     

    ศีรษะอันใหญ่โตตกกระทบพื้นทรายก่อนร่างครึ่งคนครึ่งงูจะล้มครืนลงมา     ลำตัวท่อนยาวยังฟาดเปะปะอยู่ชั่วครู่แล้วค่อย ๆ สงบลง  

     

     

    เฮ่อ!   นึกว่าจะแย่ซะแล้ว     โซเนปถอนใจยาวทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง

     

    หวังว่าคงไม่ฟื้นขึ้นมาอีกนะ

     

    มันจะฟื้นก็เพราะเจ้าพูดมากนี่แหละ     เจ้าชายซาร์ลูมานบอกแล้วเดินเลยไปสำรวจความเสียหายของรถม้าที่ตอนนี้เหลือแต่ซากหักพังโดยไม่สนใจสายตามองค้อนของโซเนปที่ขว้างไล่หลังมา

               

     

    ดวงจันทร์บนท้องฟ้ายังทอแสงกระจ่างแม้ภูตแห่งแสงจันทร์จะถูกสังหารไปแล้วก็ตาม     หลังเหตุการณ์สงบทุกคนก็กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง    เซเนตตราอาการดีขึ้นมากแล้วและกำลังถูกซักถึงที่มาของ ดาบ  

     

    หลังอธิบายจบทุกคนก็มองหน้ากัน     เจ้าชายซาร์กอนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

     

    นี่ก็หมายความว่าเจ้าสามารถใช้พลังจากลูกแก้วบาลันเทียร์ได้โดยไม่เป็นอันตรายงั้นเหรอ

     

    ข้าว่าไม่ใช่   เราก็เห็นกันอยู่ว่าเซเนตน่ะแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลยเมื่อเรียก ดาบแห่งแสง  ออกมา   ซึ่งก็ตรงกับบันทึกเก่า ๆ ที่กล่าวไว้ว่า  ผู้ใช้พลังจากลูกแก้วบาลันเทียร์จะถูกดูดพลังไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว   ร่างกายก็จะแตกดับ     โซเนปอธิบายตามที่รู้มา

     

    ที่สำคัญใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้พลังจากลูกแก้วได้

     

    ข้าไม่เข้าใจ    ท่านจอมปราชญ์บอกข้าว่าลูกแก้วบาลันเทียร์จะปกป้องผู้เป็นเจ้าของนี่นา       เซเนตตราถามถึงข้อข้องใจ

     

    ข้อนั้นข้าไม่รู้   แต่ในบันทึกเกือบทุกเล่มที่ได้ศึกษาบอกไว้ตามที่ข้าได้กล่าวไปแล้ว     พวกเราจึงแปลกใจที่เจ้าบอกว่าเดินทางมาด้วยพลังของลูกแก้วบาลันเทียร์

     

    ใช่  เรื่องของเจ้ามันมีเงื่อนงำที่น่าสงสัย    ทั้งเรื่องที่เดมาลมันว่าเจ้าคือสายเลือดศักดิ์สิทธิ์   และเรื่องที่เจ้าสามารถใช้พลังจากลูกแก้วได้   มาร์รานเอ่ยเสริม

     

    กุญแจไขปริศนาคงจะอยู่ที่จอมปราชญ์แห่งบาลันเทียร์นั่นแหละ   เจ้าชายซาร์ลูมานสรุป

     

    แต่ตอนนี้เรื่องที่สำคัญกว่าก็คือเราจะเดินทางกันยังไง  เมื่อไม่มีทั้งม้า  และก็อาหาร      เฮรอสถามถึงปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเผชิญ     ทั้งม้าและข้าวของต่าง ๆ ถูกปีศาจครึ่งคนครึ่งงูนั่นทำลายจนย่อยยับหมดแล้ว

     

    เดินเท้าในทะเลทรายแสงจันทร์ตอนแดดเปรี้ยง    อาหารก็ไม่มี   สนุกละงานนี้   ท่านชายเสเพลบ่น

     

    ข้ากับอาเลฟสำรวจดูแล้ว   เสบียงอาหารยังพอมีแต่ก็ไม่มาก   ถ้าแบ่ง ๆ กันประหยัดหน่อยก็น่าจะอยู่ได้ 2  วัน   ที่น่าห่วงคือน้ำ   ถ้าเราขาดน้ำกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุเพียงวันเดียวเราก็ตายได้แล้ว   เจ้าชายซาร์กอนบอก

     

                ถ้างั้นตอนนี้มีแรงเดินกันไหวไหมล่ะ      ยังไม่สว่างเดินไปเรื่อย ๆ อาจเจอที่ ๆ พอจะหลบพักได้ชั่วคราว

                เฮรอสเสนอความเห็น

     

                ก็คงต้องทำตามที่เจ้าว่านั่นแหละ    ไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้วนี่    เจ้าชายซาร์ลูมานบอกพลางขยับลุกเป็นคนแรก    เลือกหยิบถุงสัมภาระของตนขึ้นมาสพายบ่าแล้วเริ่มออกเดิน      คนที่เหลือทำตามโดยไม่มีใครเสนอความเห็นเป็นอย่างอื่น   

     

    ถ้าไม่เดินหน้าต่อก็มีแต่ต้องตายอยู่ที่นี่เท่านั้นเอง    

     

     

    ยิ่งสาย   แดดก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อย ๆ  แต่ไม่มีวี่แววของที่ที่พอจะให้หยุดพักอาศัยได้เลย    แต่ละคนอยู่ในสภาพเหงื่อโซมกาย   เสื้อคลุมตัวในเปียกโชกพอจะช่วยให้ความร้อนบรรเทาไปได้บ้างแต่ก็ยังทำให้อ่อนเพลียอยู่ดี

     

    ลาเซียเป็นคนแรกที่มีอาการเพลียแดดจนแทบจะก้าวเท้าไม่ไหวเจ้าชายซาร์กอนต้องช่วยประคองให้เดินต่อไปและแบ่งสัมภาระให้อาเลฟช่วยถือแทน     ในขณะที่เซเนตตราเองก็ย่ำแย่แต่เพราะอยู่ในร่างชายหนุ่มทำให้ต้องกัดฟันฝืนทนไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใคร ๆ เห็น

     

    ข้าช่วยถือไหม ?     เฮรอสซึ่งเดินรั้งท้ายขนาบมาข้าง ๆ ถามด้วยความหวังดี    เซเนตตราเพียงแต่ส่ายหน้าไม่อยากออกแรงแม้แต่จะตอบ   เหนื่อยเกินกว่าจะสังเกตว่าคนถามนั้นไม่มีอาการเหนื่อยเหมือนกับคนอื่น ๆ ฝีเท้าการก้าวเดินยังสม่ำเสมอ   รักษาระยะห่างจากหัวขบวนกับท้ายขบวนได้เป็นอย่างดี

     

    ส่งมาเถอะ   เจ้าเสียพลังจากการใช้ลูกแก้วไปมากแล้ว   ให้ข้าช่วยถือจะได้เบาแรงขึ้นหน่อย

    เซเนตตราจึงส่งถุงสัมภาระของตนให้เฮรอสช่วยถือแทนโดยไม่พูดอะไรเช่นเดิม

     

    ยิ่งนานอาการลากขาเดินของแต่ละคนยิ่งปรากฏชัดขึ้น    ทั้งแดดที่ร้อนแรงและผิวทรายที่ระอุอุ่นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย    และท่ามกลางความรู้สึกที่ใกล้จะหมดหวัง   เสียงหนึ่งก็ดังก้องทำลายความเงียบที่มีเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิวของทะเลทรายแสงจันทร์

     

    เสียงม้าร้องก้อง!   เหมือนจะทักทาย   เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงก็พบกับ ร่างสีขาวสะอาดที่ปรากฏอยู่บนเนินทราย   มันผงกหัวหงึกหงักเป็นกริยาที่ไม่มีใครเข้าใจ

     

    เฮทเทอร์    เฮรอสเรียกชื่อ เพื่อน 

     

    เพื่อนของเจ้าใช่ไหม?     เจ้าชายซาร์กอนหันมาถามผู้ที่อยู่ท้ายขบวน

     

    ใช่     มันต้องการให้พวกเราตามไป    เฮรอสบอก

     

    ตามไปไหน ?  

     

    มันคงจะพาเราไปหาที่ที่เราหยุดพักกันได้ละมัง      เฮรอสบอกยิ้ม ๆ

     

    เอาไงดี ?       เจ้าชายซาร์กอนหันไปปรึกษาคนอื่น ๆ

     

    ลองตามมันไปดูก็ได้   ยังไงเราก็ไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่นอนอยู่แล้ว     มาร์รานตัดสินใจแทน   ทั้งคณะจึงเร่งฝีเท้าขึ้น       เจ้าม้าขาวหยุดรอเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ฝ่ายตามตามทัน  

     

     

    เมื่อข้ามพ้นเนินทรายขึ้นมาภาพความเขียวชอุ่มของแนวป่าหนาทึบก็ปรากฏแก่สายตา   ทำเอาแต่ละคนหยุดยืนมองอย่างคาดไม่ถึง

     

    ป่าหลงลืมใช่ไหมนั่น!”      โซเนปอุทานอย่างตื่นเต้น   เจ้าชายซาร์กอนหยิบแผนที่ขึ้นมากางดู

     

    ไม่น่าเป็นไปได้   เราเพิ่งเดินทางข้ามทะเลทรายแสงจันทร์แค่สามวัน   ทำไมถึงป่าหลงลืมได้เร็วนัก

     

    เจ้าชายซาร์กอนบอกอย่างงงงัน

     

    แต่มันเป็นไปแล้ว   ท่านลองดูนั่นซิ  แนวป่าทอดยาวพรืดไปหมด  แล้วป่าที่ติดกับทะเลทรายแสงจันทร์ก็มีเพียงแห่งเดียวคือป่าหลงลืม     มาร์รานชี้ให้ดูแนวป่าที่ทอดยาวออกไปขนานกับผืนทราย

     

    หมายความว่าเจ้าม้าตัวนี้นำทางเราให้มาถึงป่าหลงลืมได้เร็วขึ้นงั้นเหรอ ?     โซเนปถาม

     

    อาจเพราะเราอยู่ใกล้ป่าหลงลืมแล้วก็ได้    เจ้าชายซาร์ลูมานแย้ง

     

    เจ้าม้าตัวนี้มันนำเราตัดข้ามมาในทิศที่ใกล้ที่สุด    ถ้าดูจากจุดที่เรามุ่งหน้าไปในตอนแรกอย่างน้อยก็อีกสองวันเต็ม ๆ กว่าเราจะเดินถึงชายป่า   แต่นี่อีกไม่เท่าไหร่ก็ถึงแล้ว    เจ้าชายซาร์กอนบอกเปรียบเทียบทิศทางกับแผนที่ในมือ

     

    เรารีบไปให้ถึงชายป่าก่อนดีกว่า    มาร์รานบอกทำให้ทุกคนเริ่มตั้งต้นเดินอีกครั้ง   ความกระปรี้กระเปร่ากลับมายังกับได้น้ำทิพย์ชโลมใจ

     

    เจ้าม้าขาวไม่ได้เดินนำไปข้างหน้าอีกแล้วแต่วิ่งเหยาะ ๆ มาหาเฮรอสพลางส่งเสียงร้องเบา ๆ ในลำคอดังจะทักทาย     เฮรอสลูบแผงคอมันพลางกล่าวเบา ๆ

     

    ตามมาจนได้นะ        เจ้าม้าขาวส่งเสียงพรืดสะบัดหัวแล้ววิ่งเหยาะ ๆ ห่างออกไป    เฮรอสหัวเราะไม่พูดอะไรอีก

     

     

     

    ป่าหลงลืม!   ป่าที่ผู้คนเล่าขานถึงความน่าสะพรึงกลัว    ไม่น่าเชื่อว่าป่านี้จะอยู่ชิดติดกับทะเลทรายแสงจันทร์อันแห้งแล้ง     เพราะเพียงเข้าสู่เขตป่าความร้อนระอุแห่งผืนดินก็กลับกลายเป็นความหนาวเย็นวังเวงจนถึงขั้นยะเยือก    ความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ทำให้ต้นไม้แต่ละต้นสูงใหญ่กว่าต้นไม้ปกติโดยทั่วไปสองถึงสามเท่าขึ้นเบียดเสียดกันจนแน่นขนัด   แทบจะมองไม่เห็นท้องฟ้าเบื้องบน      แสงแดดรำไรลอดผ่านระหว่างใบไม้ลงมาทำให้ป่าไม่มืดครึ้มเกินไปนัก   หมอกจาง ๆ ปกคลุมไปทั่ว    ป่าทั้งป่าเงียบกริบ   ไร้เสียงร้องของสรรพสัตว์  

     

    เจ้าว่าป่านี่มันประหลาดไหม ?    เซเนตตราถามโซเนปที่เดินนำหน้า

     

    มันเงียบจนเกินไป   แม้แต่เสียงนกร้องก็ยังไม่มีให้ได้ยิน

     

    มันไม่มาร้องให้เจ้าได้ยินก็ดีแล้วละน่า    เฮรอสบอกแกมหัวเราะมาจากด้านหลัง

     

    มันจะดีได้ยังไง    ป่ามันเงียบผิดปกติ    เหมือนไม่ใช่ป่า

     

    อย่าเอาป่าหลงลืมไปเปรียบกับป่าอื่น ๆ ที่เจ้ารู้จัก  เพราะมันต่างกันไกลนัก   

     

    ต่างกันยังไงล่ะ ?

     

    แล้วก็รู้เองนั่นแหละ      โซเนปเป็นฝ่ายเงียบฟัง  โดยไม่สอดแทรก   ดูเหมือนท่านจอมปราชญ์แห่งวินเดเนียจะสงบปากสงบคำลงมากตั้งแต่เผลอไผลไปหลงเสน่ห์ปีศาจครึ่งคนครึ่งงูเข้า!

     

     

    เซเนตตราเลิกชวนคุยเดินตามไปเงียบ ๆ  หากแล้วจากหางตาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรวูบผ่าน     เธอหันขวับไปมองแต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ว่างเปล่า    คิดว่าอาจจะตาฝาดไปเองพอตั้งหน้าเดินต่อ    สายตาที่มองสอดส่ายไปเรื่อยมองผ่านพุ่มไม้หนาทึบ   อะไรอย่างหนึ่งไหววูบผ่านไป   กิ่งไม้ยังไหวนิด ๆ   เซเนตตราขยับจะเอ่ยปากถามโซเนปที่ชะลอฝีเท้าลงจนเดินเคียงกันก็พอดีโซเนปพูดขึ้นเสียก่อนเหมือนจะเดาความคิดอีกฝ่ายได้

     

    อย่าพูด   อย่าถาม   ทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น     โซเนปสั่งแล้วเดินล้ำขึ้นไป    เซเนตตราเองแม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ต้องสงบปากสงบคำไว้เพราะท่าทางแต่ละคนดูเคร่งเครียด   จะมีระรื่นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ก็เพียงเฮรอสที่เดินไปฮัมเพลงกับตัวเองไปเท่านั้น    

     

    ตลอดทาง   ความรู้สึกวูบวาบเหมือนมีอะไรวิ่งผ่านทั้งด้านข้าง  ด้านหน้า  ด้านหลังยังมีเป็นระยะ ๆ  บางครั้งก็มีเสียงซู่ซ่าของลมพัด    บางทีก็มีเสียงหวีดหวิวคล้ายเสียงกรีดร้องของหญิงสาว    แต่ทุกคนในคณะต่างตั้งหน้าตั้งตาเดินเหมือนกับไม่รู้สึกและไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น   ทำเอาคนช่างสงสัยต้องเงียบไปด้วย

     

     

     

    เจ้าชายซาร์กอนเลือกทำเลที่พักบริเวณลานหินกว้างข้างลำธารเล็ก ๆ สายหนึ่ง   น้ำในลำธารใสแจ๋วจนมองเห็นก้อนกรวดใต้ธารน้ำ   บริเวณนี้มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นน้อยกว่าบริเวณอื่น ๆ  ทำให้ดูปลอดโปร่งกว่า     มาร์รานกางเขตอาคมป้องกันรอบบริเวณที่พักเพื่อความปลอดภัย      ยังไม่ทันเย็นบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มมืดครึ้ม   หมอกสีขาวที่เคยปกคลุมอยู่จางๆ ตอนนี้หนาทึบจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น    อากาศเย็นเฉียบจนแทบจะทนไม่ไหวแม้จะก่อกองไฟให้แสงสว่างและความอบอุ่นแล้วก็ตาม

     

    ท่ามกลางหมอกหนา   ดวงไฟสีแดงลอยวูบปรากฏขึ้นตรงนั้นตรงนี้แล้วหายไป   แล้วก็ปรากฏขึ้นใหม่ใกล้บ้างไกลบ้างรอบ ๆ  เขตอาคมที่กางกั้นไว้     บางทีก็มีเสียงลมพัดหวีดหวิวคล้ายเสียงครวญคร่ำ   บางครั้งเหมือนเสียงผู้หญิงร้องไห้มาจากที่ไกล ๆ  และบางครั้งก็เหมือนมีเสียงหัวร่อต่อกระซิกกันคิกคักอยู่หลังกลุ่มหมอกที่ลงหนาขึ้นทุกที    ทำเอาไม่มีใครหลับลงทั้งที่วันนี้เกือบทั้งวันก็เหนื่อยล้าเอาการอยู่

     

    จู่ ๆ ท่ามกลางสรรพเสียงทั้งหมดเสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสาวก็ดังขึ้น!         ทั้งอาเลฟและ เซเนตตราผุดลุกขึ้นพร้อมกัน

     

    เดี๋ยว!  จะไปไหน ?    โซเนปเอ่ยถาม

     

    เจ้าก็ได้ยินไม่ใช่เหรอ   เสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือ

     

    เราทุกคนก็ได้ยิน  แต่จะแน่ใจได้ยังไงว่านี่ไม่ใช่กลลวงอะไรบางอย่าง   โซเนปเอ่ยเตือนอย่างใจเย็น

     

    ก็เสียงที่เราได้ยินมันผู้หญิงชัด ๆ   กำลังร้องขอความช่วยเหลืออยู่ด้วย   

     

    ผู้หญิงที่ไหนจะมาอยู่กลางป่าอย่างนี้

     

    เรื่องนั้นข้าไม่รู้   แต่เสียงเงียบไปพักแล้วนะ   ถ้าเป็นเรื่องจริงนางอาจกำลังตกอยู่ในอันตราย   และถ้าเราไม่ช่วยก็จะดูใจดำเกินไป     เซเนตราค้าน

     

    แต่เราต้องคิดถึงหลักความปลอดภัย      โซเนปแย้งยังไม่ทันจะขาดคำเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้นอีก   คราวนี้ใกล้ยิ่งกว่าเดิม  แล้วก็เงียบไปอีก

     

    ทั้งหมดมองหน้ากันเหมือนจะปรึกษา   มีเพียงเฮรอสเท่านั้นที่นอนหลับอย่างสบายใจอยู่อีกด้านหนึ่งไม่รับรู้ต่อเหตุการณ์ใด ๆ

     

    เจ้าชายซาร์กอนทนเฉยต่อไปไม่ไหว   ขยับจะลุกออกไปแต่ถูกมาร์รานค้าน

     

    ท่านอยู่ที่นี่แหละ   ข้าจะออกไปดูเอง    มาร์รานสั่งแล้วก้าวออกจากเขตอาคมของตนเองหายไปท่ามกลางหมอกหนาและความมืดมิด

     

    เวลาผ่านแต่กลับปราศจากสรรพเสียงใด ๆ    ป่าทั้งป่าเงียบจนผิดปกติ    คนที่รออยู่เริ่มกังวล  และในที่สุดร่างสูงของเจ้าชายซาร์กอนก็ลุกขึ้น

     

    ข้ากับอาเลฟจะไปดูมาร์ราน   พวกเจ้าระวังตัวกันด้วย   อย่าออกจากเขตอาคมเป็นอันขาด

     

    ระวังตัวด้วยนะคะ      ลาเซียเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง   เจ้าชายซาร์กอนยิ้มให้นิดหนึ่งแล้วก้าวออกจากเขตอาคมไปพร้อมกับอาเลฟราชองครักษ์หายไปท่ามกลางหมอกหนา

     

     

    ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง     การรอคอยท่ามกลางความเงียบและความมืดทำให้รู้สึกเหมือนยาวนานเหลือเกิน      

     

    ทำไมเงียบหายกันไปหมด ?    ลาเซียเอ่ยออกมาด้วยความกังวล

     

    นั่นสิ  เงียบเชียบ   ไม่มีเสียงอะไรซักอย่าง   ไม่รู้เป็นอะไรกันหรือเปล่า    เซเนตตราเองก็กังวลเช่นกัน

     

    ระดับจอมเวทอย่างมาร์รานไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก    โซเนปเป็นคนเดียวที่ยังใจเย็น    ในขณะที่เจ้าชายซาร์ลูมานเริ่มเดินกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิด

     

    แต่เจ้าชายกับอาเลฟล่ะ ?    ลาเซียถามอย่างต้องการคำปลอบใจ

     

    ไปกันตั้งสองคนคงไม่มีอะไรหรอก    โซเนปพยายามมองในแง่ดี

     

    ถ้าไม่มีอะไร   ป่านนี้ก็น่าจะกลับมากันได้แล้ว      เซเนตตราติง

     

    รออีกหน่อยแล้วกัน     โซเนปบอกแล้วก็นั่งเงียบหลับตา     แต่ดูเหมือนกระแสคลื่นภายในป่าหลงลืมนั้นวุ่นวายสับสนยากต่อการใช้พลังค้นหาจิตของเจ้าชายซาร์กอน   มาร์ราน  และอาเลฟ

     

    ข้าจะไปตาม!”    เจ้าชายซาร์ลูมานเอ่ยออกมาแล้วทำท่าจะผละไปดีแต่โซเนปถลันมาดักหน้าไว้ทัน

    เดี๋ยว!   รอก่อนเถอะ

     

    ไม่!  ข้าไม่ชอบการรอคอย    ไปดูให้รู้เรื่องดีกว่ามานั่งรอไม่รู้อะไรเลยอยู่ที่นี่     โซเนปเห็นท่าแล้วก็รู้ว่ายากจะห้ามปราม

     

    ข้าไปด้วย

     

    เจ้าอยู่กับพวกนี้แหละ  จะไปทำไม   เจ้าชายซาร์ลูมานไม่ยินยอม

     

    ข้านำท่านไปหาพวกนั้นได้    อย่าลืมซิ      คราวนี้เจ้าชายซาร์ลูมานจำต้องพยักหน้ายอมรับ

    งั้นก็ตามใจ      เจ้าชายซาร์ลูมานบอกพลางก้าวเดินโดยไม่รั้งรอ   โซเนปมีเวลาเพียงหันมาสั่งความกับอีกสองคนที่เหลือ

     

    ห้ามพวกเจ้าออกจากเขตอาคม     ไม่ว่าจะได้ยินเสียงหรือเห็นอะไรก็ตาม   เข้าใจไหม ?   

     

    ฮื่อ     ไม่ต้องห่วง      เซเนตตราบอกให้อีกฝ่ายสบายใจ    โซเนปก้าวตามเจ้าชายซาร์ลูมานหายไปกับความมืดและหมอกหนาเช่นเดียวกับสามคนที่ล่วงหน้าไป   

     

     

                เซเนตราและลาเซียเดินกลับไปกลับมาในเขตอาคมอย่างกระวนกระวายจนแทบจะชนกันเอง    แต่ร่างที่หลับสนิทอยู่บนพื้นหินยังคงหลับได้อย่างเป็นสุขมีเจ้าม้าเฮทเทอร์ยืนอย่างไม่รู้กังวลอยู่ถัดไปไม่ไกล

     

                เจ้าเฮรอสนี่ก็หลับได้หลับดี    เซเนตตราบ่น   ไม่รู้จะเอาความหงุดหงิดไปลงที่ใคร

     

                เจ้าว่าพวกนั้นหายไปนานขนาดนี้จะมีอะไรหรือเปล่า ?    ลาเซียเอ่ยทำลายความเงียบ 

       

                ไม่มีอะไรหรอกน่า   ทุกคนเก่ง ๆ กันทั้งนั้นแหละ     เซเนตตราเองก็ได้แต่ปลอบใจเท่านั้น

     

                แต่มันนานแล้วนะ    ลาเซียยังกังวล

     

                อาจจะแค่หลงทางก็ได้   เจ้าชายซาร์ลูมานกับโซเนปออกไปตามแล้วเดี๋ยวก็กลับมา

     

                ยังไม่ทันจะขาดคำดีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้นในหมอกหนาทึบเบื้องหน้า

     

                เซเนต!   เสียงเจ้าชายซาร์กอนใช่ไหม!?    ลาเซียเริ่มว้าวุ่น   

     

                เจ้าชายเป็นอะไรก็ไม่รู้  เราออกไปดูกันเถอะ  

      

                ไม่ได้   พวกนั้นสั่งให้เรารออยู่ในนี้นะ    เซเนตตราพยายามทักท้วง

     

                เสียงมันเงียบไปแล้ว 

     

                อาจจะบาดเจ็บ  หรือกำลังได้รับอันตรายอยู่ก็ได้     ลาเซียคิดไปต่าง ๆ นานา   จนเซเนตตราเองเริ่มใจไม่ดีเหมือนกัน       เสียงที่เงียบไปกลับดังขึ้นมาใหม่  คราวนี้ชัดเจนกว่าเดิม

     

                ข้าจะไปดู  เจ้ารออยู่นี่แหละ   ลาเซียตัดสินใจ

     

                ข้าไปด้วย    สองคนย่อมดีกว่าคนเดียว   เซเนตตราคิดในใจ   

     

                ไม่ต้องไปทั้งคู่นั่นแหละ!”     เสียงที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ทั้งคู่ชะงักหันกลับไปมองก็พบเฮรอสลุกขึ้นยืนเดินตรงมา

     

                ที่ห้ามเนี่ย  จะไปเองหรือไง ?    เซเนตตราย้อนถาม

     

                เปล่า     ถึงพวกเราไปก็ช่วยอะไรไม่ได้  จะไปเป็นตัวถ่วงซะเปล่า ๆ  เดี๋ยวพวกเขาก็กลับมา  เชื่อเถอะ

     

                แต่ข้าได้ยินเสียงร้องของเจ้าชายซาร์กอนนะคะ   เซเนตก็ได้ยิน    ลาเซียไม่ยอมจำนน

     

                มายาแห่งป่าหลงลืม

     

                ท่านหมายความว่าอะไรคะ ?  

     

                ที่ได้ยินกันน่ะคือมายาแห่งป่าหลงลืม    มายาที่ล่อหลอกผู้คนให้หลงวนเวียนอยู่ภายในป่านี้จนไม่อาจกลับออกไปได้ต้องทิ้งวิญญาณไว้ที่นี่

     

                งั้นเรายิ่งต้องไปตามพวกนั้นกลับมา   เซเนตตราแทรก

     

                ผิด  เราต้องรออยู่ที่นี่  แค่มายาแค่นี้ถ้าพวกนั้นผ่านไม่ได้ก็ไม่ต้องเดินทางต่ออีกแล้วละเพราะป่าอาถรรพ์น่ะน่ากลัวยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่า     เอาน่าถึงยังไงข้าก็เชื่อมั่นในฝีมือพวกนั้นว่าต้องกลับมาได้แน่ ๆ  อย่าห่วงไปเลย

     

                เฮรอสอุตส่าห์ปลอบในตอนท้าย

     

                ลาเซียมองเซเนตเป็นเชิงปรึกษา   เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วยนางก็จำใจต้องทรุดลงนั่ง   แม้จะยังกังวลอยู่ก็ตาม  

     

    เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า  ป่าทั้งป่าเงียบสงัด   แต่ไม่มีเสียงใดมารบกวนอีกเลย

     

     

    มาร์รานก้าวตามเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสาวลึกลับ   หากเมื่อคิดว่าเข้าใกล้    เสียงนั้นก็ดังห่างออกไปอีก     เหมือนล่อหลอกให้เขาห่างจากเขตอาคมออกมาเรื่อย ๆ    แต่พอจะตัดสินใจหันกลับเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกใกล้จนอดเดินไปเพื่อให้รู้แน่ไม่ได้    แต่ยิ่งเดินเขาก็ยิ่งห่างไกลจากจุดเริ่มต้นเข้าไปทุกที   พอตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะกลับแสงเจิดจ้าดวงหนึ่งก็ปรากฏเบื้องหน้าแล้วก็วูบหาย    เสียงหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานดังรอบจนจับทิศทางของเสียงไม่ได้

     

    อยากจะลองดีกับข้าใช่ไหม ?      มาร์รานเอ่ยยิ้ม ๆ มือหนึ่งยื่นออกมาเรียกคฑาประจำตัวพึมพำคาถาแล้วหมุนควงคฑาจนรอบทิศ    แสงเจิดจ้าสว่างจากปลายคฑาเพิ่มขึ้น   เพิ่มขึ้น   จนสว่างทั่วบริเวณ  เสียงหัวเราะจางหายกลายเป็นเสียงหวีดร้องอย่างตกใจและเจ็บปวดแล้วค่อย ๆ เลือนหายไป

     

    เสียงปรบมือดังขึ้นจากเบื้องหลัง     แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางความมืด   เงาร่างบอบบางนั้นบ่งชัดว่าเป็นผู้หญิง

     

    สมแล้วที่ได้รับฉายาพ่อมดขาวแห่งนาดีน    เสียงเสนาะใสเอ่ยแกมหัวเราะแต่กระแสเสียงนั้นปนเยาะหยันขัดหูมาร์รานพิกล

     

    แต่ไม่โหดเหี้ยมไปหน่อยเหรอ    พวกนั้นแค่จะล้อท่านเล่นเท่านั้นเองนะ

     

    เจ้าเป็นใคร ?     มาร์รานเอ่ยถาม      ความมืดที่ครอบคลุมทำให้เขาไม่อาจเห็นหญิงสาวผู้มาใหม่ได้

     

    เป็นใคร....อืม...เป็นใครดีล่ะ....ไม่รู้สินะบอกไปท่านก็ไม่รู้จักข้าอยู่ดี     หญิงสาวหัวเราะขบขันยังกับมีเรื่องอะไรให้น่าหัวเราะเสียหนักหนา

     

    เจ้าต้องการอะไร ? 

     

    เปล่า...ก็แค่ไม่อยากให้ท่านจัดการกับเจ้าพวกนี้ซะหมดเท่านั้นแหละ     พวกนี้น่ะขี้เล่นแค่แกล้งนิด ๆ หน่อยๆ อย่าให้ถึงตายเลยท่าน    นาน ๆ จะมีคนจากแดนพิภพผ่านมาทางนี้  พวกเขาก็แค่อยากมาทักทาย

     

    หมายถึงอะไร ?     มาร์รานไม่เข้าใจ

     

    ภูตพรายแห่งหมอก    พวกนี้ไม่ใช่ศัตรูของท่าน   และเขาก็ไม่อยากต่อกรกับท่าน  แต่ก็อย่างที่บอก  พวกเขาขี้เล่น    หญิงสาวลึกลับหัวเราะเบา ๆ

     

    ว่าแต่ท่านรีบกลับไปดีกว่านะ    ตัวท่านแค่โดนทักทาย  แต่เพื่อนท่านอีกสองคนน่ะ  เป็นคนละพวกกับเจ้าพวกนี้   ระวังตัวหน่อยล่ะ      ทางกลับไปทางนั้น      ร่างบางหัวเราะขบขันพลางชี้มือไปทางทิศหนึ่ง   ก่อนจะก้าวหายวับไปในความมืด

     

    เดี๋ยวก่อน !   เจ้าเป็นใคร!?     ไม่มีเสียงตอบ   รอบด้านมีแต่ความเงียบสงัด    มาร์รานลังเลแต่แล้วก็ตัดสินใจก้าวไปในทิศทางที่หญิงสาวลึกลับผู้นั้นบอก

     

     

     

    เจ้าชายซาร์กอนและอาเลฟก้าวไปในทิศที่เห็นมาร์รานเดินไปก่อนหน้านี้   แต่ยิ่งเดินดูเหมือนทุกด้านจะถูกครอบคลุมไว้ด้วยม่านหมอกหนาทึบ

     

    ได้ยินเสียงอะไรบ้างไหม ?     เจ้าชายซาร์กอนเอ่ยถามราชองครักษ์คู่ใจ

     

    ไม่เลยครับ  ทุกอย่างเงียบจนผิดปกติ

     

    นั่นซิ   มาร์รานมุ่งหน้าไปทางไหนก็ไม่รู้      ขาดคำของเจ้าชายซาร์กอนดวงไฟสีแดงฉานดวงหนึ่งก็ปรากฏลอยวูบผ่านไป

     

    ดวงไฟนั่นมันอะไรกัน ?     เจ้าชายซาร์กอนพึมพำกับตัวเอง     เท้าทั้งคู่ก้าวตามไปในทิศทางที่ดวงไฟนั้นลอยไป

     

    จะตามหรือครับ ?     อาเลฟท้วงเบา ๆ

     

    ไปดูกันหน่อย        ดวงไฟยังลอยไปช้า ๆ แต่ก็ทิ้งระยะห่างให้ผู้ติดตามทั้งสองคนไม่อาจไล่ตามทัน   ความมืดและม่านหมอกทำให้ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเดินทางออกมาห่างจากเขตอาคมมากเพียงใด

     

    เราไกลจากจุดที่พักมากแล้วครับ   อาเลฟเอ่ยเตือน

     

    นั่นสิ   ไม่พบวี่แววของมาร์รานเลย   ป่านนี้อาจจะกลับไปแล้วก็ได้      ยังไม่ทันจะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรเจ้าชายซาร์กอนก็รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างในความมืด   สิ่งนั้นกำลังมุ่งมาทางตนและอาเลฟ     

     

    เจ้าชาย    อาเลฟเอ่ยเรียก

     

    ข้ารู้แล้ว   ระวังตัวให้ดี        เจ้าชายซาร์กอนกระซิบตอบพร้อมกับเรียกดาบประจำตัวมาไว้ในมือ   อาเลฟก็เตรียมพร้อมรับมือเช่นกัน

     

    จู่ ๆ เสียงเคลื่อนไหวในความมืดก็เงียบไปเหมือนจะรู้ว่าฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามเตรียมตัวตั้งรับ     ในทิศทางที่ทั้งคู่เพ่งสายตามองกลับปรากฏแสงเรือง ๆ ขึ้นทีละน้อย ๆ

     

    ผีเสื้อขนาดใหญ่ขยับปีกพึ่บพับ   มันเป็นผีเสื้อที่ประหลาดที่สุดเท่าที่เจ้าชายซาร์กอนเคยเห็น   เพราะมันมีแสงเรือง ๆ เป็นประกายออกมารอบตัวอย่างน่าอัศจรรย์   

     

    โธ่เอ๊ย!   เจ้าผีเสื้อประหลาดนี่เอง   สงสัยมันนี่แหละที่เป็นสาเหตุให้คนร่ำลือกันว่ามีดวงไฟประหลาดปรากฏให้เห็นวูบวาบในป่าหลงลืม   จนเชื่อกันว่าเป็นภูตผีปีศาจ     เจ้าชายหนุ่มหัวเราะอย่างขบขัน   หมดความสนใจกับเจ้าสัตว์แปลกประหลาดนั่นอีก

     

    กลับกันเถอะ   เราออกมาไกลเกินไปแล้ว      ร่างสูงหันกลับหากต้องชะงักเพราะเบื้องหน้าขณะนี้ปรากฏแสงเรือง ๆ วูบวาบอีกเป็นสิบ ๆ ดวง      แสงสีที่ปรากฏนั้นมีความแตกต่าง  บางดวงเป็นเพียงสีเหลืองนวลตา   บางดวงสีเข้มขึ้นจนเป็นสีอมส้ม   หากบางดวงเป็นสีแดงฉานราวสีเลือด

     

    เราหลงเข้ามาในดงของพวกมันเสียละมัง      ไปต้องรอใครมาตอบคำถาม   ดวงไฟเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากสิบเป็นร้อยดวงในเวลารวดเร็ว   ส่งให้ทั่วบริเวณนั้นสว่างจนเกือบจะมองเห็นได้ถนัดตา      จากที่เคยคิดว่าเจ้าสัตว์เรืองแสงนี่คือผีเสื้อ  แต่เมื่อเห็นชัดๆ จึงรู้ว่าไม่ใช่!

     

    มันคือร่างเล็กของสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเพราะลักษณะที่เกือบจะเหมือนคนทุกประการ  เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าเกือบสามเท่า    ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นผอมตอบเหลือแต่กระดูก    ดวงตาลึกเป็นสีแดงจ้า   ปากมีเขี้ยวงอกโง้ว   แขนและขายาวเก้งก้างมีแต่กระดูก     นิ้วเรียวยาวเล็ก ๆ นั้นแหลมคมด้วยกรงเล็บอันน่ากลัว  ปีกกว้างมีลักษณะคล้ายปีกค้างคาว  ไม่ได้มีส่วนไหนที่คล้ายผีเสื้อแม้แต่น้อย

     

    อะไรไม่ร้ายเท่าเจ้าผีเสื้อปีศาจหลายร้อยตัวนั้นจับจ้องมาทางคนทั้งคู่ที่ล่วงล้ำเข้ามา  ประดุจเหยื่ออันโอชะที่พวกมันได้เจอ

     

      ระวัง  มันเล่นเราแน่      เจ้าชายซาร์กอนบอกกับคนสนิท     ไม่ทันขาดคำเจ้าตัวหนึ่งก็พุ่งถลาเข้ามาด้วยความเร็วผิดรูปร่างของมันมาก     อาเลฟที่คอยทีอยู่แล้วฟันฉับขาดสองท่อน     เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด  ร่างร่วงลงพื้นแน่นิ่งไป      ตัวอื่น ๆ กลุ้มรุมเข้ามา!

     

    เจ้าชายซาร์กอนและอาเลฟหันหลังชนกันพลางใช้ดาบกวัดแกว่งเข้าใส่เจ้าผีเสื้อกระหายเลือด    ตัวที่ตายก็ตายไป  ตัวใหม่ ๆ ก็สมทบเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย

     

    เจ้าชายมันมากเหลือเกิน!”

     

    เราต้องแหวกวงล้อมพวกมันออกไป!”      เจ้าชายซาร์กอนบอกดาบในมือยังทำงานไม่หยุดหย่อน    ยิ่งทอดระยะเวลานานไปจะยิ่งเสียเปรียบ   ต้องทำอะไรซักอย่าง     พลันชื่อหนึ่งก็วาบขึ้นมาในหัว

     

    ดาบแห่งแสง!”        ขาดคำแสงสีขาวสว่างวาบก็ฟาดเปรี้ยงลงมากลางกลุ่มเจ้าผีเสื้อปีศาจ     พวกมันมอดไหม้ในพริบตาหล่นผล็อยเป็นใบไม้ร่วง        ตัวอื่น ๆ ถอยหลบอยู่วงนอกด้วยความหวาดกลัว

     

    ดาบรูปทรงประหลาดห้อมล้อมด้วยรัศมีสีขาวกระจ่างปรากฏอยู่ในมือเจ้าชายซาร์กอน

     

    พวกมันกลัวแสง        อาเลฟได้ความคิด

     

    ใช่  ดาบจัดการกับมันไม่ได้     เราต้องใช้พลังแห่งแสง     เจ้าชายซาร์กอนบอกพลางพึมพำคาถา   ลูกไฟดวงใหญ่ปรากฏที่ฝ่ามือ     แสงเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ      ทำให้เจ้าผีเสื้อปีศาจนั้นถอยร่นไม่เป็นขบวน      หากตัวใดถูกแสงนั้นเข้าก็มอดไหม้ไฟลุกท่วมตัว     ไม่ช้าพวกมันก็หนีหายไปหมด

     

    เฮ้อ!  ไปหมดแล้ว     

     

    แต่เราจะกลับทางไหนละครับ    อาเลฟเอ่ยถามมองไปรอบ ๆ   ความมืดและหมอกหนาปกคลุมลงมาอย่างรวดเร็ว

     

    นั่นซิ    สงสัยเราจะหลงทางกันแล้วละ

     

    เสียงกิ่งไม้หัก   คล้ายเสียงคนเดินแว่วมาทำให้ทั้งเจ้าชายและองครักษ์อาเลฟเตรียมพร้อมอีกครั้ง  หากคนที่โผล่มาทำให้ทั้งคู่ถอนใจอย่างโล่งอก      มาร์รานนั่นเอง

     

    พวกท่านเป็นอะไรหรือเปล่า ?     

     

    ก็เกือบแย่ไปเหมือนกัน   แล้วท่านล่ะ  หายไปนานจนข้ากังวล

     

    ไม่มีอะไรมาก   แค่โดนหลอกให้เดินวนเวียนในป่าเท่านั้นแหละ   เรากลับกันเถอะ

     

    ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราจะกลับยังไงเนี่ยซิ      ข้าก็หลงทางเหมือนกัน    

     

    ก็ตามข้ากลับไง!”     เสียงที่ดังแทรกขึ้นทำให้ต่างหันไปมอง     โซเนปเดินนำเข้ามามีเจ้าชายซาร์ลูมานรั้งท้าย

     

    ซาร์ลูมาน    โซเนป   พวกเจ้าออกมาทำไมกันนี่ ? 

     

    ข้าเห็นหายกันมานาน  กลัวจะเกิดอะไรขึ้นก็เลยตามออกมา             โซเนปบอกแกมหัวเราะแทนเจ้าชายซาร์ลูมานที่เย็บปากเงียบสนิท   เหมือนตัวเองถูกชวนมามากกว่าจะเป็นตัวตั้งตัวตีออกมาตามเอง

     

    เจ้าจำทางกลับได้ใช่ไหม ?      เจ้าชายซาร์กอนถาม

     

    โธ่   มือชั้นนี้แล้ว    ไม่งั้นข้าจะตามหาพวกท่านพบได้ยังไง      โซเนปคุย

     

    แน่ใจนะว่าเจ้าจะพาไปถูกทาง  ไม่ไปตกบ่อโคลนให้ข้าต้องช่วยดึงขึ้นอีกน่ะ    เจ้าชายซาร์ลูมานที่นิ่งเงียบมาตลอดขัดด้วยความหมั่นไส้

     

    แหม!   นั่นแค่ผิดพลาดเล็กน้อยน่าเจ้าชาย     เราไปกันเถอะ    อยู่ในป่านี่นาน ๆ ข้ารู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้  

     

    โซเนปตัดบทแล้วรีบออกเดินนำ

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×