คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : มายาแห่งป่าหลงลืม
บทที่ 11
มายาแห่งป่าหลงลืม
ขนดหางขนาดใหญ่ตวัดฟาดโครมลงมาอย่างบ้าคลั่ง มาร์รานและเจ้าชายซาร์ลูมานกระเด็นไปคนละทาง ส่วนเจ้าชายซาร์กอนคว้าลาเซียหลบไปอีกด้าน เซเนตตราลากโซเนปที่ยังไม่หายมึนหมัดหลบพ้นไปอย่างหวุดหวิด
“ตัวอะไรน่ะ ?” โซเนปมองอย่างตื่นตะลึง
“ก็ตัวที่เจ้าหลงใหลใฝ่ฝันเมื่อครู่ไงล่ะ ขนาดจะฆ่าแกงพวกเดียวกันเชียวนะ” เซเนตตราเฉลยข้อข้องใจให้อย่างหมั่นไส้ ฝุ่นทรายปลิวว่อนจนมองอะไรแทบไม่เห็น
“เบนดาฮาร่า!”
“เออ นั่นแหละ”
ทั้งมาร์รานและเจ้าชายซาร์ลูมานร่ายเวทเข้าใส่ร่างมหึมาที่กำลังอาละวาดแต่เวทมนตร์เหล่านั้นไม่อาจทำอันตรายใด ๆ แก่ภูตแสงจันทร์ตนนี้ได้เลย หนำซ้ำยิ่งสู้ดูเหมือนขนาดอันใหญ่โตของมันจะทำให้เวทมนตร์แทบจะทำอะไรไม่ได้
เจ้าชายซาร์ลูมานเหนื่อยหอบ ในขณะที่มาร์รานก็ถอยมาตั้งหลักอยู่ใกล้ ๆ โซเนปและเซเนตตรา
“พลังเวททำอะไรมันไม่ได้! แทบจะไม่ระคายผิวมันด้วยซ้ำ” มาร์รานหันมาปรึกษากับจอมปราชญ์โซเนปเพราะขืนทุ่มแรงสู้ต่อไปมีแต่แพ้อย่างเดียวเท่านั้น
“ขอเวลาข้าคิดเดี๋ยว” โซเนปพยายามรวบรวมสมาธิเพื่อคิดหาวิธีจัดการ มาร์รานกับเจ้าชายซาร์ลูมานผสานพลังกางเขตอาคมต้านไว้
“ลูกแก้วบาลันเทียร์ไง” เสียงบอกดังมาจากเบื้องหลัง โซเนปและเซเนตตราหันไปมองก็พบเฮรอสยืนอยู่
“เจ้าว่าอะไรนะ ?”
“ลูกแก้วบาลันเทียร์ ดวงแก้วแห่งศรัทธา”
“ก็ศรัทธา แต่จะให้ทำยังไงล่ะ!” เซเนตตราถามอย่างนึกโมโห เวลาคับขันยังจะพูดอะไรวกไปเวียนมาอยู่ได้
“อธิษฐานตามที่ข้าเคยบอกนั่นแหละ” เฮรอสบอกง่าย ๆ เซเนตตราหันไปมองโซเนปก็เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้ เธอหยิบลูกแก้วบาลันเทียร์ขึ้นมา ดวงแก้วสีขาวสกาวเปล่งแสงวับวาวอยู่กลางฝ่ามือ แสงนั้นเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ จนครอบคลุมกลุ่มคนทั้งคณะไว้ แสงนั้นเรียกความสนใจภูตแห่งแสงจันทร์ให้พุ่งเข้าใส่แต่ทันทีที่ร่างอันใหญ่โตสัมผัสกับวงแสงเสียงกรีดร้องก็ดังก้อง ผืนทรายสะเทือนเลื่อนลั่นดังเกิดแผ่นดินไหว ร่างมหึมานั้นบิดเป็นเกลียวอย่างเจ็บปวด หางอันใหญ่โตฟาดซ้ายป่ายขวา นานช้ากว่าร่างนั้นจะค่อยๆ สงบลง
“นางตายแล้วใช่ไหม?” ลาเซียถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“ไม่รู้ซิ” โซเนปตอบ มองร่างแน่นิ่งนั้นอย่างไม่ไว้ใจเช่นกัน
และไม่ปล่อยให้ทุกคนสงสัยนาน ร่างนั้นเริ่มขยับอีกครั้ง ดวงตาสีแดงฉานเปิดขึ้นมันฉายแสงโกรธกรุ่นมากกว่าเดิมหลายสิบเท่า
“ลูกแก้วบาลันเทียร์ทำอะไรนางไม่ได้!”
“ตั้งใจหน่อย เชื่อมั่นในพลังของลูกแก้ว ด้วยพลังแห่งศรัทธาดาบแห่งแสงจงปรากฏ”
เฮรอสบอกกับเซเนตตราโดยเฉพาะ คนอื่น ๆ มัวแต่พะวงกับร่างมหึมาที่อาละวาดจนไม่มีใครสนใจ
“เร็วสิ!” เซเนตตราไม่มีเวลาคิดสงสัย เธอหลับตาลงสำรวมจิตใจอีกครั้ง แน่วแน่กับสิ่งที่ต้องการ แสงสีขาวเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง ครานี้รุนแรงสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม
เซเนตตรารู้สึกถึงวัตถุแข็งเย็นที่ปลายมือ เมื่อลืมตาขึ้น ด้ามดาบปรากฏอยู่เบื้องหน้า เธอจับแล้วดึงออกมาสุดแรง หญิงสาวรู้สึกเหมือนพลังในกายเหือดหายไปหมด ไม่เหลือแม้แรงที่จะทรงกายหยัดยืน
‘ดาบแห่งแสง’ ดาบยาวที่รูปทรงแปลกตาคล้ายกับผลึกแก้วใสที่ผสานกันขึ้นเป็นรูปทรงของดาบแต่หาด้านคมของดาบไม่เจอ
“เซเนต! เป็นอะไร ?” ลาเซียที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้ามาประคองอย่างตกใจ เซเนตตรารู้สึกตาพร่ามองอะไรไม่ชัด ท่ามกลางความลางเลือน เหมือนเธอจะมองเห็นชายลึกลับที่พบในฝัน ชายผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้าเธอ!
“เจ้าใช้พลังมากเกินไป ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกนั้นเถอะ” เสียงบอกดังมาก่อนสายตาจะแปรจากดาบไปจับยังเจ้าชายซาร์กอนอย่างมีความหมาย
“เซเนต เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ?” ลาเซียถามซ้ำ มองท่าทางหมดเรี่ยวแรงของเด็กหนุ่มอย่างกังวล
“เปล่า ข้าไม่เป็นไร ลาเซีย...ดาบ” เซเนตตราส่งดาบให้ลาเซียพลางกัดฟันบอก
“เจ้าชายซาร์กอน” ลาเซียรับดาบนั้นไปอย่างงง ๆ ยังไม่เข้าใจเจตนาของผู้ให้
“เซเนตคงจะให้ท่านพี่ใช้ดาบเล่มนี้จัดการกับเบนดาฮาร่าละมั้ง” เฮรอสช่วยบอก
“เร็วเข้า !” ลาเซียมองดาบในมืออย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก
“ทำตามที่เขาบอกเถอะ” เฮรอสเข้ามาพยุงร่างเซเนตไว้แทน เขตอาคมที่กางกั้นดูเหมือนจะทานพลังมหาศาลที่เพิ่มขึ้นจากความโกรธได้อีกไม่นาน
“เจ้าชายคะ” เสียงเรียกของลาเซียทำให้เจ้าชายซาร์กอนที่กระชับดาบในมือเตรียมพร้อมหันกลับมามอง ดาบในมือลาเซียเปล่งประกายสะดุดตานักดาบอย่างเขายิ่งนัก
“ใช้ดาบนี่จัดการกับนังปีศาจ”
เหมือนมีพลังดึงดูดจากดาบเรียกร้องให้เขาใช้มัน ซาร์กอนเอื้อมมือไปแตะด้ามดาบ พลังอำนาจมหาศาลหลั่งไหลจากดาบส่งผ่านมายังเขาทันที!
การต่อสู้ระหว่างหนึ่งเจ้าชายรัชทายาทแห่งวินเดเนียกับหนึ่งปีศาจแห่งทะเลทรายแสงจันทร์เริ่มขึ้นอย่างดุเดือด เกร็ดหนาสีเงินที่ดาบประจำตัวของเจ้าชายซาร์กอนมิอาจฟันผ่าน แต่ดาบที่มองไม่เห็นความคมเล่มนี้กลับเรียกเลือดสีแดงฉานให้พุ่งกระฉุดได้ทุกครั้งที่สัมผัสถูก ยิ่งเจ็บร่างอันใหญ่โตก็ยิ่งบ้าคลั่ง หากเจ้าชายซาร์กอนก็ไม่พลาด อาศัยร่างกายที่เล็กกว่าทำให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วหลบหลีกได้อย่างว่องไว
และพอได้จังหวะนางปีศาจเปิดช่องว่าง เจ้าชายซาร์กอนก็พุ่งทะยานขึ้นไปกลางอากาศเงื้อดาบขึ้นสูงฟันฉับลงที่ลำคอของนาง!
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้อง เลือดสีแดงฉานพุ่งกระฉูดรินหลั่งลงบนผืนทรายส่งกลิ่นคาวคลุ้งชวนสะอิดสะเอียน
ศีรษะอันใหญ่โตตกกระทบพื้นทรายก่อนร่างครึ่งคนครึ่งงูจะล้มครืนลงมา ลำตัวท่อนยาวยังฟาดเปะปะอยู่ชั่วครู่แล้วค่อย ๆ สงบลง
“เฮ่อ! นึกว่าจะแย่ซะแล้ว” โซเนปถอนใจยาวทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง
“หวังว่าคงไม่ฟื้นขึ้นมาอีกนะ”
“มันจะฟื้นก็เพราะเจ้าพูดมากนี่แหละ” เจ้าชายซาร์ลูมานบอกแล้วเดินเลยไปสำรวจความเสียหายของรถม้าที่ตอนนี้เหลือแต่ซากหักพังโดยไม่สนใจสายตามองค้อนของโซเนปที่ขว้างไล่หลังมา
ดวงจันทร์บนท้องฟ้ายังทอแสงกระจ่างแม้ภูตแห่งแสงจันทร์จะถูกสังหารไปแล้วก็ตาม หลังเหตุการณ์สงบทุกคนก็กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง เซเนตตราอาการดีขึ้นมากแล้วและกำลังถูกซักถึงที่มาของ “ดาบ”
หลังอธิบายจบทุกคนก็มองหน้ากัน เจ้าชายซาร์กอนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“นี่ก็หมายความว่าเจ้าสามารถใช้พลังจากลูกแก้วบาลันเทียร์ได้โดยไม่เป็นอันตรายงั้นเหรอ”
“ข้าว่าไม่ใช่ เราก็เห็นกันอยู่ว่าเซเนตน่ะแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลยเมื่อเรียก ‘ดาบแห่งแสง’ ออกมา ซึ่งก็ตรงกับบันทึกเก่า ๆ ที่กล่าวไว้ว่า ผู้ใช้พลังจากลูกแก้วบาลันเทียร์จะถูกดูดพลังไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว ร่างกายก็จะแตกดับ” โซเนปอธิบายตามที่รู้มา
“ที่สำคัญใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้พลังจากลูกแก้วได้”
“ข้าไม่เข้าใจ ท่านจอมปราชญ์บอกข้าว่าลูกแก้วบาลันเทียร์จะปกป้องผู้เป็นเจ้าของนี่นา” เซเนตตราถามถึงข้อข้องใจ
“ข้อนั้นข้าไม่รู้ แต่ในบันทึกเกือบทุกเล่มที่ได้ศึกษาบอกไว้ตามที่ข้าได้กล่าวไปแล้ว พวกเราจึงแปลกใจที่เจ้าบอกว่าเดินทางมาด้วยพลังของลูกแก้วบาลันเทียร์
“ใช่ เรื่องของเจ้ามันมีเงื่อนงำที่น่าสงสัย ทั้งเรื่องที่เดมาลมันว่าเจ้าคือสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ และเรื่องที่เจ้าสามารถใช้พลังจากลูกแก้วได้” มาร์รานเอ่ยเสริม
“กุญแจไขปริศนาคงจะอยู่ที่จอมปราชญ์แห่งบาลันเทียร์นั่นแหละ” เจ้าชายซาร์ลูมานสรุป
“แต่ตอนนี้เรื่องที่สำคัญกว่าก็คือเราจะเดินทางกันยังไง เมื่อไม่มีทั้งม้า และก็อาหาร” เฮรอสถามถึงปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเผชิญ ทั้งม้าและข้าวของต่าง ๆ ถูกปีศาจครึ่งคนครึ่งงูนั่นทำลายจนย่อยยับหมดแล้ว
“เดินเท้าในทะเลทรายแสงจันทร์ตอนแดดเปรี้ยง อาหารก็ไม่มี สนุกละงานนี้” ท่านชายเสเพลบ่น
“ข้ากับอาเลฟสำรวจดูแล้ว เสบียงอาหารยังพอมีแต่ก็ไม่มาก ถ้าแบ่ง ๆ กันประหยัดหน่อยก็น่าจะอยู่ได้ 2 วัน ที่น่าห่วงคือน้ำ ถ้าเราขาดน้ำกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุเพียงวันเดียวเราก็ตายได้แล้ว” เจ้าชายซาร์กอนบอก
“ถ้างั้นตอนนี้มีแรงเดินกันไหวไหมล่ะ ยังไม่สว่างเดินไปเรื่อย ๆ อาจเจอที่ ๆ พอจะหลบพักได้ชั่วคราว”
เฮรอสเสนอความเห็น
“ก็คงต้องทำตามที่เจ้าว่านั่นแหละ ไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้วนี่” เจ้าชายซาร์ลูมานบอกพลางขยับลุกเป็นคนแรก เลือกหยิบถุงสัมภาระของตนขึ้นมาสพายบ่าแล้วเริ่มออกเดิน คนที่เหลือทำตามโดยไม่มีใครเสนอความเห็นเป็นอย่างอื่น
ถ้าไม่เดินหน้าต่อก็มีแต่ต้องตายอยู่ที่นี่เท่านั้นเอง
ยิ่งสาย แดดก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่มีวี่แววของที่ที่พอจะให้หยุดพักอาศัยได้เลย แต่ละคนอยู่ในสภาพเหงื่อโซมกาย เสื้อคลุมตัวในเปียกโชกพอจะช่วยให้ความร้อนบรรเทาไปได้บ้างแต่ก็ยังทำให้อ่อนเพลียอยู่ดี
ลาเซียเป็นคนแรกที่มีอาการเพลียแดดจนแทบจะก้าวเท้าไม่ไหวเจ้าชายซาร์กอนต้องช่วยประคองให้เดินต่อไปและแบ่งสัมภาระให้อาเลฟช่วยถือแทน ในขณะที่เซเนตตราเองก็ย่ำแย่แต่เพราะอยู่ในร่างชายหนุ่มทำให้ต้องกัดฟันฝืนทนไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใคร ๆ เห็น
“ข้าช่วยถือไหม ?” เฮรอสซึ่งเดินรั้งท้ายขนาบมาข้าง ๆ ถามด้วยความหวังดี เซเนตตราเพียงแต่ส่ายหน้าไม่อยากออกแรงแม้แต่จะตอบ เหนื่อยเกินกว่าจะสังเกตว่าคนถามนั้นไม่มีอาการเหนื่อยเหมือนกับคนอื่น ๆ ฝีเท้าการก้าวเดินยังสม่ำเสมอ รักษาระยะห่างจากหัวขบวนกับท้ายขบวนได้เป็นอย่างดี
“ส่งมาเถอะ เจ้าเสียพลังจากการใช้ลูกแก้วไปมากแล้ว ให้ข้าช่วยถือจะได้เบาแรงขึ้นหน่อย”
เซเนตตราจึงส่งถุงสัมภาระของตนให้เฮรอสช่วยถือแทนโดยไม่พูดอะไรเช่นเดิม
ยิ่งนานอาการลากขาเดินของแต่ละคนยิ่งปรากฏชัดขึ้น ทั้งแดดที่ร้อนแรงและผิวทรายที่ระอุอุ่นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย และท่ามกลางความรู้สึกที่ใกล้จะหมดหวัง เสียงหนึ่งก็ดังก้องทำลายความเงียบที่มีเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิวของทะเลทรายแสงจันทร์
เสียงม้าร้องก้อง! เหมือนจะทักทาย เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงก็พบกับ ร่างสีขาวสะอาดที่ปรากฏอยู่บนเนินทราย มันผงกหัวหงึกหงักเป็นกริยาที่ไม่มีใครเข้าใจ
“เฮทเทอร์” เฮรอสเรียกชื่อ ‘เพื่อน’
“เพื่อนของเจ้าใช่ไหม?” เจ้าชายซาร์กอนหันมาถามผู้ที่อยู่ท้ายขบวน
“ใช่ มันต้องการให้พวกเราตามไป” เฮรอสบอก
“ตามไปไหน ?”
“มันคงจะพาเราไปหาที่ที่เราหยุดพักกันได้ละมัง” เฮรอสบอกยิ้ม ๆ
“เอาไงดี ?” เจ้าชายซาร์กอนหันไปปรึกษาคนอื่น ๆ
“ลองตามมันไปดูก็ได้ ยังไงเราก็ไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่นอนอยู่แล้ว” มาร์รานตัดสินใจแทน ทั้งคณะจึงเร่งฝีเท้าขึ้น เจ้าม้าขาวหยุดรอเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ฝ่ายตามตามทัน
เมื่อข้ามพ้นเนินทรายขึ้นมาภาพความเขียวชอุ่มของแนวป่าหนาทึบก็ปรากฏแก่สายตา ทำเอาแต่ละคนหยุดยืนมองอย่างคาดไม่ถึง
“ป่าหลงลืมใช่ไหมนั่น!” โซเนปอุทานอย่างตื่นเต้น เจ้าชายซาร์กอนหยิบแผนที่ขึ้นมากางดู
“ไม่น่าเป็นไปได้ เราเพิ่งเดินทางข้ามทะเลทรายแสงจันทร์แค่สามวัน ทำไมถึงป่าหลงลืมได้เร็วนัก”
เจ้าชายซาร์กอนบอกอย่างงงงัน
“แต่มันเป็นไปแล้ว ท่านลองดูนั่นซิ แนวป่าทอดยาวพรืดไปหมด แล้วป่าที่ติดกับทะเลทรายแสงจันทร์ก็มีเพียงแห่งเดียวคือป่าหลงลืม” มาร์รานชี้ให้ดูแนวป่าที่ทอดยาวออกไปขนานกับผืนทราย
“หมายความว่าเจ้าม้าตัวนี้นำทางเราให้มาถึงป่าหลงลืมได้เร็วขึ้นงั้นเหรอ ?” โซเนปถาม
“อาจเพราะเราอยู่ใกล้ป่าหลงลืมแล้วก็ได้” เจ้าชายซาร์ลูมานแย้ง
“เจ้าม้าตัวนี้มันนำเราตัดข้ามมาในทิศที่ใกล้ที่สุด ถ้าดูจากจุดที่เรามุ่งหน้าไปในตอนแรกอย่างน้อยก็อีกสองวันเต็ม ๆ กว่าเราจะเดินถึงชายป่า แต่นี่อีกไม่เท่าไหร่ก็ถึงแล้ว” เจ้าชายซาร์กอนบอกเปรียบเทียบทิศทางกับแผนที่ในมือ
“เรารีบไปให้ถึงชายป่าก่อนดีกว่า” มาร์รานบอกทำให้ทุกคนเริ่มตั้งต้นเดินอีกครั้ง ความกระปรี้กระเปร่ากลับมายังกับได้น้ำทิพย์ชโลมใจ
เจ้าม้าขาวไม่ได้เดินนำไปข้างหน้าอีกแล้วแต่วิ่งเหยาะ ๆ มาหาเฮรอสพลางส่งเสียงร้องเบา ๆ ในลำคอดังจะทักทาย เฮรอสลูบแผงคอมันพลางกล่าวเบา ๆ
“ตามมาจนได้นะ” เจ้าม้าขาวส่งเสียงพรืดสะบัดหัวแล้ววิ่งเหยาะ ๆ ห่างออกไป เฮรอสหัวเราะไม่พูดอะไรอีก
ป่าหลงลืม! ป่าที่ผู้คนเล่าขานถึงความน่าสะพรึงกลัว ไม่น่าเชื่อว่าป่านี้จะอยู่ชิดติดกับทะเลทรายแสงจันทร์อันแห้งแล้ง เพราะเพียงเข้าสู่เขตป่าความร้อนระอุแห่งผืนดินก็กลับกลายเป็นความหนาวเย็นวังเวงจนถึงขั้นยะเยือก ความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ทำให้ต้นไม้แต่ละต้นสูงใหญ่กว่าต้นไม้ปกติโดยทั่วไปสองถึงสามเท่าขึ้นเบียดเสียดกันจนแน่นขนัด แทบจะมองไม่เห็นท้องฟ้าเบื้องบน แสงแดดรำไรลอดผ่านระหว่างใบไม้ลงมาทำให้ป่าไม่มืดครึ้มเกินไปนัก หมอกจาง ๆ ปกคลุมไปทั่ว ป่าทั้งป่าเงียบกริบ ไร้เสียงร้องของสรรพสัตว์
“เจ้าว่าป่านี่มันประหลาดไหม ?” เซเนตตราถามโซเนปที่เดินนำหน้า
“มันเงียบจนเกินไป แม้แต่เสียงนกร้องก็ยังไม่มีให้ได้ยิน”
“มันไม่มาร้องให้เจ้าได้ยินก็ดีแล้วละน่า” เฮรอสบอกแกมหัวเราะมาจากด้านหลัง
“มันจะดีได้ยังไง ป่ามันเงียบผิดปกติ เหมือนไม่ใช่ป่า”
“อย่าเอาป่าหลงลืมไปเปรียบกับป่าอื่น ๆ ที่เจ้ารู้จัก เพราะมันต่างกันไกลนัก”
“ต่างกันยังไงล่ะ ?”
“แล้วก็รู้เองนั่นแหละ” โซเนปเป็นฝ่ายเงียบฟัง โดยไม่สอดแทรก ดูเหมือนท่านจอมปราชญ์แห่งวินเดเนียจะสงบปากสงบคำลงมากตั้งแต่เผลอไผลไปหลงเสน่ห์ปีศาจครึ่งคนครึ่งงูเข้า!
เซเนตตราเลิกชวนคุยเดินตามไปเงียบ ๆ หากแล้วจากหางตาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรวูบผ่าน เธอหันขวับไปมองแต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ว่างเปล่า คิดว่าอาจจะตาฝาดไปเองพอตั้งหน้าเดินต่อ สายตาที่มองสอดส่ายไปเรื่อยมองผ่านพุ่มไม้หนาทึบ อะไรอย่างหนึ่งไหววูบผ่านไป กิ่งไม้ยังไหวนิด ๆ เซเนตตราขยับจะเอ่ยปากถามโซเนปที่ชะลอฝีเท้าลงจนเดินเคียงกันก็พอดีโซเนปพูดขึ้นเสียก่อนเหมือนจะเดาความคิดอีกฝ่ายได้
“อย่าพูด อย่าถาม ทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น” โซเนปสั่งแล้วเดินล้ำขึ้นไป เซเนตตราเองแม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ต้องสงบปากสงบคำไว้เพราะท่าทางแต่ละคนดูเคร่งเครียด จะมีระรื่นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ก็เพียงเฮรอสที่เดินไปฮัมเพลงกับตัวเองไปเท่านั้น
ตลอดทาง ความรู้สึกวูบวาบเหมือนมีอะไรวิ่งผ่านทั้งด้านข้าง ด้านหน้า ด้านหลังยังมีเป็นระยะ ๆ บางครั้งก็มีเสียงซู่ซ่าของลมพัด บางทีก็มีเสียงหวีดหวิวคล้ายเสียงกรีดร้องของหญิงสาว แต่ทุกคนในคณะต่างตั้งหน้าตั้งตาเดินเหมือนกับไม่รู้สึกและไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ทำเอาคนช่างสงสัยต้องเงียบไปด้วย
เจ้าชายซาร์กอนเลือกทำเลที่พักบริเวณลานหินกว้างข้างลำธารเล็ก ๆ สายหนึ่ง น้ำในลำธารใสแจ๋วจนมองเห็นก้อนกรวดใต้ธารน้ำ บริเวณนี้มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นน้อยกว่าบริเวณอื่น ๆ ทำให้ดูปลอดโปร่งกว่า มาร์รานกางเขตอาคมป้องกันรอบบริเวณที่พักเพื่อความปลอดภัย ยังไม่ทันเย็นบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มมืดครึ้ม หมอกสีขาวที่เคยปกคลุมอยู่จางๆ ตอนนี้หนาทึบจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น อากาศเย็นเฉียบจนแทบจะทนไม่ไหวแม้จะก่อกองไฟให้แสงสว่างและความอบอุ่นแล้วก็ตาม
ท่ามกลางหมอกหนา ดวงไฟสีแดงลอยวูบปรากฏขึ้นตรงนั้นตรงนี้แล้วหายไป แล้วก็ปรากฏขึ้นใหม่ใกล้บ้างไกลบ้างรอบ ๆ เขตอาคมที่กางกั้นไว้ บางทีก็มีเสียงลมพัดหวีดหวิวคล้ายเสียงครวญคร่ำ บางครั้งเหมือนเสียงผู้หญิงร้องไห้มาจากที่ไกล ๆ และบางครั้งก็เหมือนมีเสียงหัวร่อต่อกระซิกกันคิกคักอยู่หลังกลุ่มหมอกที่ลงหนาขึ้นทุกที ทำเอาไม่มีใครหลับลงทั้งที่วันนี้เกือบทั้งวันก็เหนื่อยล้าเอาการอยู่
จู่ ๆ ท่ามกลางสรรพเสียงทั้งหมดเสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสาวก็ดังขึ้น! ทั้งอาเลฟและ เซเนตตราผุดลุกขึ้นพร้อมกัน
“เดี๋ยว! จะไปไหน ?” โซเนปเอ่ยถาม
“เจ้าก็ได้ยินไม่ใช่เหรอ เสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือ”
“เราทุกคนก็ได้ยิน แต่จะแน่ใจได้ยังไงว่านี่ไม่ใช่กลลวงอะไรบางอย่าง” โซเนปเอ่ยเตือนอย่างใจเย็น
“ก็เสียงที่เราได้ยินมันผู้หญิงชัด ๆ กำลังร้องขอความช่วยเหลืออยู่ด้วย”
“ผู้หญิงที่ไหนจะมาอยู่กลางป่าอย่างนี้ “
“เรื่องนั้นข้าไม่รู้ แต่เสียงเงียบไปพักแล้วนะ ถ้าเป็นเรื่องจริงนางอาจกำลังตกอยู่ในอันตราย และถ้าเราไม่ช่วยก็จะดูใจดำเกินไป” เซเนตราค้าน
“แต่เราต้องคิดถึงหลักความปลอดภัย” โซเนปแย้งยังไม่ทันจะขาดคำเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้นอีก คราวนี้ใกล้ยิ่งกว่าเดิม แล้วก็เงียบไปอีก
ทั้งหมดมองหน้ากันเหมือนจะปรึกษา มีเพียงเฮรอสเท่านั้นที่นอนหลับอย่างสบายใจอยู่อีกด้านหนึ่งไม่รับรู้ต่อเหตุการณ์ใด ๆ
เจ้าชายซาร์กอนทนเฉยต่อไปไม่ไหว ขยับจะลุกออกไปแต่ถูกมาร์รานค้าน
“ท่านอยู่ที่นี่แหละ ข้าจะออกไปดูเอง” มาร์รานสั่งแล้วก้าวออกจากเขตอาคมของตนเองหายไปท่ามกลางหมอกหนาและความมืดมิด
เวลาผ่านแต่กลับปราศจากสรรพเสียงใด ๆ ป่าทั้งป่าเงียบจนผิดปกติ คนที่รออยู่เริ่มกังวล และในที่สุดร่างสูงของเจ้าชายซาร์กอนก็ลุกขึ้น
“ข้ากับอาเลฟจะไปดูมาร์ราน พวกเจ้าระวังตัวกันด้วย อย่าออกจากเขตอาคมเป็นอันขาด”
“ระวังตัวด้วยนะคะ” ลาเซียเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง เจ้าชายซาร์กอนยิ้มให้นิดหนึ่งแล้วก้าวออกจากเขตอาคมไปพร้อมกับอาเลฟราชองครักษ์หายไปท่ามกลางหมอกหนา
ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง การรอคอยท่ามกลางความเงียบและความมืดทำให้รู้สึกเหมือนยาวนานเหลือเกิน
“ทำไมเงียบหายกันไปหมด ?” ลาเซียเอ่ยออกมาด้วยความกังวล
“นั่นสิ เงียบเชียบ ไม่มีเสียงอะไรซักอย่าง ไม่รู้เป็นอะไรกันหรือเปล่า” เซเนตตราเองก็กังวลเช่นกัน
“ระดับจอมเวทอย่างมาร์รานไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก” โซเนปเป็นคนเดียวที่ยังใจเย็น ในขณะที่เจ้าชายซาร์ลูมานเริ่มเดินกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิด
“แต่เจ้าชายกับอาเลฟล่ะ ?” ลาเซียถามอย่างต้องการคำปลอบใจ
“ไปกันตั้งสองคนคงไม่มีอะไรหรอก” โซเนปพยายามมองในแง่ดี
“ถ้าไม่มีอะไร ป่านนี้ก็น่าจะกลับมากันได้แล้ว” เซเนตตราติง
“รออีกหน่อยแล้วกัน” โซเนปบอกแล้วก็นั่งเงียบหลับตา แต่ดูเหมือนกระแสคลื่นภายในป่าหลงลืมนั้นวุ่นวายสับสนยากต่อการใช้พลังค้นหาจิตของเจ้าชายซาร์กอน มาร์ราน และอาเลฟ
“ข้าจะไปตาม!” เจ้าชายซาร์ลูมานเอ่ยออกมาแล้วทำท่าจะผละไปดีแต่โซเนปถลันมาดักหน้าไว้ทัน
“เดี๋ยว! รอก่อนเถอะ”
“ไม่! ข้าไม่ชอบการรอคอย ไปดูให้รู้เรื่องดีกว่ามานั่งรอไม่รู้อะไรเลยอยู่ที่นี่” โซเนปเห็นท่าแล้วก็รู้ว่ายากจะห้ามปราม
“ข้าไปด้วย”
“เจ้าอยู่กับพวกนี้แหละ จะไปทำไม” เจ้าชายซาร์ลูมานไม่ยินยอม
“ข้านำท่านไปหาพวกนั้นได้ อย่าลืมซิ” คราวนี้เจ้าชายซาร์ลูมานจำต้องพยักหน้ายอมรับ
“งั้นก็ตามใจ” เจ้าชายซาร์ลูมานบอกพลางก้าวเดินโดยไม่รั้งรอ โซเนปมีเวลาเพียงหันมาสั่งความกับอีกสองคนที่เหลือ
“ห้ามพวกเจ้าออกจากเขตอาคม ไม่ว่าจะได้ยินเสียงหรือเห็นอะไรก็ตาม เข้าใจไหม ?”
“ฮื่อ ไม่ต้องห่วง” เซเนตตราบอกให้อีกฝ่ายสบายใจ โซเนปก้าวตามเจ้าชายซาร์ลูมานหายไปกับความมืดและหมอกหนาเช่นเดียวกับสามคนที่ล่วงหน้าไป
เซเนตราและลาเซียเดินกลับไปกลับมาในเขตอาคมอย่างกระวนกระวายจนแทบจะชนกันเอง แต่ร่างที่หลับสนิทอยู่บนพื้นหินยังคงหลับได้อย่างเป็นสุขมีเจ้าม้าเฮทเทอร์ยืนอย่างไม่รู้กังวลอยู่ถัดไปไม่ไกล
“เจ้าเฮรอสนี่ก็หลับได้หลับดี” เซเนตตราบ่น ไม่รู้จะเอาความหงุดหงิดไปลงที่ใคร
“เจ้าว่าพวกนั้นหายไปนานขนาดนี้จะมีอะไรหรือเปล่า ?” ลาเซียเอ่ยทำลายความเงียบ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ทุกคนเก่ง ๆ กันทั้งนั้นแหละ “ เซเนตตราเองก็ได้แต่ปลอบใจเท่านั้น
“แต่มันนานแล้วนะ” ลาเซียยังกังวล
“อาจจะแค่หลงทางก็ได้ เจ้าชายซาร์ลูมานกับโซเนปออกไปตามแล้วเดี๋ยวก็กลับมา”
ยังไม่ทันจะขาดคำดีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้นในหมอกหนาทึบเบื้องหน้า
“เซเนต! เสียงเจ้าชายซาร์กอนใช่ไหม!?” ลาเซียเริ่มว้าวุ่น
“เจ้าชายเป็นอะไรก็ไม่รู้ เราออกไปดูกันเถอะ”
“ไม่ได้ พวกนั้นสั่งให้เรารออยู่ในนี้นะ” เซเนตตราพยายามทักท้วง
“เสียงมันเงียบไปแล้ว”
“อาจจะบาดเจ็บ หรือกำลังได้รับอันตรายอยู่ก็ได้” ลาเซียคิดไปต่าง ๆ นานา จนเซเนตตราเองเริ่มใจไม่ดีเหมือนกัน เสียงที่เงียบไปกลับดังขึ้นมาใหม่ คราวนี้ชัดเจนกว่าเดิม
“ข้าจะไปดู เจ้ารออยู่นี่แหละ” ลาเซียตัดสินใจ
“ข้าไปด้วย” สองคนย่อมดีกว่าคนเดียว เซเนตตราคิดในใจ
“ไม่ต้องไปทั้งคู่นั่นแหละ!” เสียงที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ทั้งคู่ชะงักหันกลับไปมองก็พบเฮรอสลุกขึ้นยืนเดินตรงมา
“ที่ห้ามเนี่ย จะไปเองหรือไง ?” เซเนตตราย้อนถาม
“เปล่า ถึงพวกเราไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ จะไปเป็นตัวถ่วงซะเปล่า ๆ เดี๋ยวพวกเขาก็กลับมา เชื่อเถอะ”
“แต่ข้าได้ยินเสียงร้องของเจ้าชายซาร์กอนนะคะ เซเนตก็ได้ยิน” ลาเซียไม่ยอมจำนน
“มายาแห่งป่าหลงลืม”
“ท่านหมายความว่าอะไรคะ ?”
“ที่ได้ยินกันน่ะคือมายาแห่งป่าหลงลืม มายาที่ล่อหลอกผู้คนให้หลงวนเวียนอยู่ภายในป่านี้จนไม่อาจกลับออกไปได้ต้องทิ้งวิญญาณไว้ที่นี่”
“งั้นเรายิ่งต้องไปตามพวกนั้นกลับมา” เซเนตตราแทรก
“ผิด เราต้องรออยู่ที่นี่ แค่มายาแค่นี้ถ้าพวกนั้นผ่านไม่ได้ก็ไม่ต้องเดินทางต่ออีกแล้วละเพราะป่าอาถรรพ์น่ะน่ากลัวยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่า เอาน่าถึงยังไงข้าก็เชื่อมั่นในฝีมือพวกนั้นว่าต้องกลับมาได้แน่ ๆ อย่าห่วงไปเลย”
เฮรอสอุตส่าห์ปลอบในตอนท้าย
ลาเซียมองเซเนตเป็นเชิงปรึกษา เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วยนางก็จำใจต้องทรุดลงนั่ง แม้จะยังกังวลอยู่ก็ตาม
เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า ป่าทั้งป่าเงียบสงัด แต่ไม่มีเสียงใดมารบกวนอีกเลย
มาร์รานก้าวตามเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสาวลึกลับ หากเมื่อคิดว่าเข้าใกล้ เสียงนั้นก็ดังห่างออกไปอีก เหมือนล่อหลอกให้เขาห่างจากเขตอาคมออกมาเรื่อย ๆ แต่พอจะตัดสินใจหันกลับเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกใกล้จนอดเดินไปเพื่อให้รู้แน่ไม่ได้ แต่ยิ่งเดินเขาก็ยิ่งห่างไกลจากจุดเริ่มต้นเข้าไปทุกที พอตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะกลับแสงเจิดจ้าดวงหนึ่งก็ปรากฏเบื้องหน้าแล้วก็วูบหาย เสียงหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานดังรอบจนจับทิศทางของเสียงไม่ได้
“อยากจะลองดีกับข้าใช่ไหม ?” มาร์รานเอ่ยยิ้ม ๆ มือหนึ่งยื่นออกมาเรียกคฑาประจำตัวพึมพำคาถาแล้วหมุนควงคฑาจนรอบทิศ แสงเจิดจ้าสว่างจากปลายคฑาเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น จนสว่างทั่วบริเวณ เสียงหัวเราะจางหายกลายเป็นเสียงหวีดร้องอย่างตกใจและเจ็บปวดแล้วค่อย ๆ เลือนหายไป
เสียงปรบมือดังขึ้นจากเบื้องหลัง แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางความมืด เงาร่างบอบบางนั้นบ่งชัดว่าเป็นผู้หญิง
“สมแล้วที่ได้รับฉายาพ่อมดขาวแห่งนาดีน” เสียงเสนาะใสเอ่ยแกมหัวเราะแต่กระแสเสียงนั้นปนเยาะหยันขัดหูมาร์รานพิกล
“แต่ไม่โหดเหี้ยมไปหน่อยเหรอ พวกนั้นแค่จะล้อท่านเล่นเท่านั้นเองนะ”
“เจ้าเป็นใคร ?” มาร์รานเอ่ยถาม ความมืดที่ครอบคลุมทำให้เขาไม่อาจเห็นหญิงสาวผู้มาใหม่ได้
“เป็นใคร....อืม...เป็นใครดีล่ะ....ไม่รู้สินะบอกไปท่านก็ไม่รู้จักข้าอยู่ดี” หญิงสาวหัวเราะขบขันยังกับมีเรื่องอะไรให้น่าหัวเราะเสียหนักหนา
“เจ้าต้องการอะไร ?”
“เปล่า...ก็แค่ไม่อยากให้ท่านจัดการกับเจ้าพวกนี้ซะหมดเท่านั้นแหละ พวกนี้น่ะขี้เล่นแค่แกล้งนิด ๆ หน่อยๆ อย่าให้ถึงตายเลยท่าน นาน ๆ จะมีคนจากแดนพิภพผ่านมาทางนี้ พวกเขาก็แค่อยากมาทักทาย”
“หมายถึงอะไร ?” มาร์รานไม่เข้าใจ
“ภูตพรายแห่งหมอก พวกนี้ไม่ใช่ศัตรูของท่าน และเขาก็ไม่อยากต่อกรกับท่าน แต่ก็อย่างที่บอก พวกเขาขี้เล่น” หญิงสาวลึกลับหัวเราะเบา ๆ
“ว่าแต่ท่านรีบกลับไปดีกว่านะ ตัวท่านแค่โดนทักทาย แต่เพื่อนท่านอีกสองคนน่ะ เป็นคนละพวกกับเจ้าพวกนี้ ระวังตัวหน่อยล่ะ ทางกลับไปทางนั้น” ร่างบางหัวเราะขบขันพลางชี้มือไปทางทิศหนึ่ง ก่อนจะก้าวหายวับไปในความมืด
“เดี๋ยวก่อน ! เจ้าเป็นใคร!?” ไม่มีเสียงตอบ รอบด้านมีแต่ความเงียบสงัด มาร์รานลังเลแต่แล้วก็ตัดสินใจก้าวไปในทิศทางที่หญิงสาวลึกลับผู้นั้นบอก
เจ้าชายซาร์กอนและอาเลฟก้าวไปในทิศที่เห็นมาร์รานเดินไปก่อนหน้านี้ แต่ยิ่งเดินดูเหมือนทุกด้านจะถูกครอบคลุมไว้ด้วยม่านหมอกหนาทึบ
“ได้ยินเสียงอะไรบ้างไหม ?” เจ้าชายซาร์กอนเอ่ยถามราชองครักษ์คู่ใจ
“ไม่เลยครับ ทุกอย่างเงียบจนผิดปกติ”
“นั่นซิ มาร์รานมุ่งหน้าไปทางไหนก็ไม่รู้” ขาดคำของเจ้าชายซาร์กอนดวงไฟสีแดงฉานดวงหนึ่งก็ปรากฏลอยวูบผ่านไป
“ดวงไฟนั่นมันอะไรกัน ?” เจ้าชายซาร์กอนพึมพำกับตัวเอง เท้าทั้งคู่ก้าวตามไปในทิศทางที่ดวงไฟนั้นลอยไป
“จะตามหรือครับ ?” อาเลฟท้วงเบา ๆ
“ไปดูกันหน่อย” ดวงไฟยังลอยไปช้า ๆ แต่ก็ทิ้งระยะห่างให้ผู้ติดตามทั้งสองคนไม่อาจไล่ตามทัน ความมืดและม่านหมอกทำให้ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเดินทางออกมาห่างจากเขตอาคมมากเพียงใด
“เราไกลจากจุดที่พักมากแล้วครับ” อาเลฟเอ่ยเตือน
“นั่นสิ ไม่พบวี่แววของมาร์รานเลย ป่านนี้อาจจะกลับไปแล้วก็ได้” ยังไม่ทันจะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรเจ้าชายซาร์กอนก็รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างในความมืด สิ่งนั้นกำลังมุ่งมาทางตนและอาเลฟ
“เจ้าชาย” อาเลฟเอ่ยเรียก
“ข้ารู้แล้ว ระวังตัวให้ดี” เจ้าชายซาร์กอนกระซิบตอบพร้อมกับเรียกดาบประจำตัวมาไว้ในมือ อาเลฟก็เตรียมพร้อมรับมือเช่นกัน
จู่ ๆ เสียงเคลื่อนไหวในความมืดก็เงียบไปเหมือนจะรู้ว่าฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามเตรียมตัวตั้งรับ ในทิศทางที่ทั้งคู่เพ่งสายตามองกลับปรากฏแสงเรือง ๆ ขึ้นทีละน้อย ๆ
ผีเสื้อขนาดใหญ่ขยับปีกพึ่บพับ มันเป็นผีเสื้อที่ประหลาดที่สุดเท่าที่เจ้าชายซาร์กอนเคยเห็น เพราะมันมีแสงเรือง ๆ เป็นประกายออกมารอบตัวอย่างน่าอัศจรรย์
“โธ่เอ๊ย! เจ้าผีเสื้อประหลาดนี่เอง สงสัยมันนี่แหละที่เป็นสาเหตุให้คนร่ำลือกันว่ามีดวงไฟประหลาดปรากฏให้เห็นวูบวาบในป่าหลงลืม จนเชื่อกันว่าเป็นภูตผีปีศาจ” เจ้าชายหนุ่มหัวเราะอย่างขบขัน หมดความสนใจกับเจ้าสัตว์แปลกประหลาดนั่นอีก
“กลับกันเถอะ เราออกมาไกลเกินไปแล้ว” ร่างสูงหันกลับหากต้องชะงักเพราะเบื้องหน้าขณะนี้ปรากฏแสงเรือง ๆ วูบวาบอีกเป็นสิบ ๆ ดวง แสงสีที่ปรากฏนั้นมีความแตกต่าง บางดวงเป็นเพียงสีเหลืองนวลตา บางดวงสีเข้มขึ้นจนเป็นสีอมส้ม หากบางดวงเป็นสีแดงฉานราวสีเลือด
“เราหลงเข้ามาในดงของพวกมันเสียละมัง” ไปต้องรอใครมาตอบคำถาม ดวงไฟเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากสิบเป็นร้อยดวงในเวลารวดเร็ว ส่งให้ทั่วบริเวณนั้นสว่างจนเกือบจะมองเห็นได้ถนัดตา จากที่เคยคิดว่าเจ้าสัตว์เรืองแสงนี่คือผีเสื้อ แต่เมื่อเห็นชัดๆ จึงรู้ว่าไม่ใช่!
มันคือร่างเล็กของสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเพราะลักษณะที่เกือบจะเหมือนคนทุกประการ เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าเกือบสามเท่า ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นผอมตอบเหลือแต่กระดูก ดวงตาลึกเป็นสีแดงจ้า ปากมีเขี้ยวงอกโง้ว แขนและขายาวเก้งก้างมีแต่กระดูก นิ้วเรียวยาวเล็ก ๆ นั้นแหลมคมด้วยกรงเล็บอันน่ากลัว ปีกกว้างมีลักษณะคล้ายปีกค้างคาว ไม่ได้มีส่วนไหนที่คล้ายผีเสื้อแม้แต่น้อย
อะไรไม่ร้ายเท่าเจ้าผีเสื้อปีศาจหลายร้อยตัวนั้นจับจ้องมาทางคนทั้งคู่ที่ล่วงล้ำเข้ามา ประดุจเหยื่ออันโอชะที่พวกมันได้เจอ
“ระวัง มันเล่นเราแน่” เจ้าชายซาร์กอนบอกกับคนสนิท ไม่ทันขาดคำเจ้าตัวหนึ่งก็พุ่งถลาเข้ามาด้วยความเร็วผิดรูปร่างของมันมาก อาเลฟที่คอยทีอยู่แล้วฟันฉับขาดสองท่อน เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ร่างร่วงลงพื้นแน่นิ่งไป ตัวอื่น ๆ กลุ้มรุมเข้ามา!
เจ้าชายซาร์กอนและอาเลฟหันหลังชนกันพลางใช้ดาบกวัดแกว่งเข้าใส่เจ้าผีเสื้อกระหายเลือด ตัวที่ตายก็ตายไป ตัวใหม่ ๆ ก็สมทบเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
“เจ้าชายมันมากเหลือเกิน!”
“เราต้องแหวกวงล้อมพวกมันออกไป!” เจ้าชายซาร์กอนบอกดาบในมือยังทำงานไม่หยุดหย่อน ยิ่งทอดระยะเวลานานไปจะยิ่งเสียเปรียบ ต้องทำอะไรซักอย่าง พลันชื่อหนึ่งก็วาบขึ้นมาในหัว
“ดาบแห่งแสง!” ขาดคำแสงสีขาวสว่างวาบก็ฟาดเปรี้ยงลงมากลางกลุ่มเจ้าผีเสื้อปีศาจ พวกมันมอดไหม้ในพริบตาหล่นผล็อยเป็นใบไม้ร่วง ตัวอื่น ๆ ถอยหลบอยู่วงนอกด้วยความหวาดกลัว
ดาบรูปทรงประหลาดห้อมล้อมด้วยรัศมีสีขาวกระจ่างปรากฏอยู่ในมือเจ้าชายซาร์กอน
“พวกมันกลัวแสง” อาเลฟได้ความคิด
“ใช่ ดาบจัดการกับมันไม่ได้ เราต้องใช้พลังแห่งแสง” เจ้าชายซาร์กอนบอกพลางพึมพำคาถา ลูกไฟดวงใหญ่ปรากฏที่ฝ่ามือ แสงเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เจ้าผีเสื้อปีศาจนั้นถอยร่นไม่เป็นขบวน หากตัวใดถูกแสงนั้นเข้าก็มอดไหม้ไฟลุกท่วมตัว ไม่ช้าพวกมันก็หนีหายไปหมด
“เฮ้อ! ไปหมดแล้ว”
“แต่เราจะกลับทางไหนละครับ” อาเลฟเอ่ยถามมองไปรอบ ๆ ความมืดและหมอกหนาปกคลุมลงมาอย่างรวดเร็ว
“นั่นซิ สงสัยเราจะหลงทางกันแล้วละ”
เสียงกิ่งไม้หัก คล้ายเสียงคนเดินแว่วมาทำให้ทั้งเจ้าชายและองครักษ์อาเลฟเตรียมพร้อมอีกครั้ง หากคนที่โผล่มาทำให้ทั้งคู่ถอนใจอย่างโล่งอก มาร์รานนั่นเอง
“พวกท่านเป็นอะไรหรือเปล่า ?”
“ก็เกือบแย่ไปเหมือนกัน แล้วท่านล่ะ หายไปนานจนข้ากังวล”
“ไม่มีอะไรมาก แค่โดนหลอกให้เดินวนเวียนในป่าเท่านั้นแหละ เรากลับกันเถอะ”
“ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราจะกลับยังไงเนี่ยซิ ข้าก็หลงทางเหมือนกัน”
“ก็ตามข้ากลับไง!” เสียงที่ดังแทรกขึ้นทำให้ต่างหันไปมอง โซเนปเดินนำเข้ามามีเจ้าชายซาร์ลูมานรั้งท้าย
“ซาร์ลูมาน โซเนป พวกเจ้าออกมาทำไมกันนี่ ?”
“ข้าเห็นหายกันมานาน กลัวจะเกิดอะไรขึ้นก็เลยตามออกมา” โซเนปบอกแกมหัวเราะแทนเจ้าชายซาร์ลูมานที่เย็บปากเงียบสนิท เหมือนตัวเองถูกชวนมามากกว่าจะเป็นตัวตั้งตัวตีออกมาตามเอง
“เจ้าจำทางกลับได้ใช่ไหม ?” เจ้าชายซาร์กอนถาม
“โธ่ มือชั้นนี้แล้ว ไม่งั้นข้าจะตามหาพวกท่านพบได้ยังไง” โซเนปคุย
“แน่ใจนะว่าเจ้าจะพาไปถูกทาง ไม่ไปตกบ่อโคลนให้ข้าต้องช่วยดึงขึ้นอีกน่ะ” เจ้าชายซาร์ลูมานที่นิ่งเงียบมาตลอดขัดด้วยความหมั่นไส้
“แหม! นั่นแค่ผิดพลาดเล็กน้อยน่าเจ้าชาย เราไปกันเถอะ อยู่ในป่านี่นาน ๆ ข้ารู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้”
โซเนปตัดบทแล้วรีบออกเดินนำ
ความคิดเห็น