คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : พายุทราย
บทที่ 10
พายุทราย
จัสมินยืนมองซากปรักหักพังของสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นกำแพงเมือง ความยาวนานแห่งกาลเวลาที่ผันผ่าน ทั้งแสงแดดอันเริงร้อนและแรงลมรวมถึงพายุทราย ทำให้กำแพงศิลาที่ครั้งหนึ่งเคยมั่นคงแข็งแกร่ง บัดนี้กองสุมกันระเกะระกะแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม ซากเมืองหน้าด่านตามข้อสันนิษฐานของคีลก็แทบจะไม่ต่างอะไรจากกำแพงเมือง หลงเหลือเพียงฐานหินสูงต่ำกระจัดกระจายเป็นวงกว้างที่บอกว่าครั้งหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้เคยเป็นเมืองเท่านั้น
“เฮ้อ! เหลือแต่ซากปรักหักพัง เมื่อพันปีก่อนที่นี่จะสวยซักแค่ไหนนะ” หญิงสาวพูดกับตัวเอง กวาดสายตาไปรอบ ๆ คณะสำรวจคนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปตรวจดูผังเมือง กองกำลังอารักขากระจายกำลังกันออกไปเดินสำรวจอยู่รอบนอก จัสมินปลีกตัวห่างจากคนอื่นเพราะนึกรำคาญฮัดซันที่คอยตามประกบเธอแจแถมพ่วงท้ายมาด้วยเบนดาฮาร่าที่เกาะชายหนุ่มไม่ยอมห่างเช่นกัน
เธอเดินเลาะแนวกำแพงหินเพื่ออาศัยร่มเงาบังแดด ดูเหมือนวันนี้ลมทะเลทรายจะสงบกว่าปกติ อากาศก็ร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลโซมกาย เธอมองซากหินเหล่านั้นแล้วถอนใจยาว
“ถ้ามีซากปรักหักพังของหินแบบนี้แล้วใครจะถ่อสังขารเข้ามาเที่ยวกันละนี่” หญิงสาวบ่นกับตัวเองพลางนึกถึงนครคาเธย์ที่กำลังมุ่งไป ถ้าที่นั่นเป็นเหมือนที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบูรณะ นอกจากใช้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ของอัลมาฮาร์
เสียงอึกทึกโหวกเหวกดังอื้ออึงสับสนทำให้จัสมินละจากสิ่งที่นึกอยู่เท้าก้าวเดินไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว แต่เพียงเลี้ยวพ้นแนวกำแพงเธอก็ปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ทำเอาเกือบกระเด็นดีที่ฝ่ายนั้นคว้าไว้ทัน
“คีลเกิดอะไรขึ้นเอะอะอะไรกัน!?” หญิงสาวเอ่ยถามเอากับคนที่คว้าตัวเธอไว้ สองแขนคว้ามือชายหนุ่มไว้ด้วยความตกใจ
“พายุทราย”
“อะไรนะ?”
“พายุทราย หาที่หลบกันก่อนดีกว่า” ฝ่ายนั้นบอกแต่จัสมินยังข้องใจ ก็อากาศยังปลอดโปร่งแบบนี้แล้วจะมีพายุทรายอะไรนั่นได้ยังไง
“เร็วเข้า!” ชายหนุ่มไม่อธิบายแต่ดึงเธอให้ออกวิ่งลัดเลาะไปตามแนวกำแพงหินทันพอดีกับสายลมที่พัดกรรโชกพาเอาฝุ่นทรายปลิวว่อนม้วนดึงเอาสิ่งที่อยู่ใกล้ขึ้นไปหมุนวนกลางอากาศ ทรายนับเป็นล้าน ๆ เม็ดก่อตัวหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง แหลมคมจนสามารถกรีดผ่านผิวเนื้อหากสัมผัสถูก จัสมินตกใจที่ถูกคว้าดึงให้วิ่งในตอนแรกแต่ต้องตกใจมากกว่าเพราะภาพที่เกิดขึ้น พายุทรายที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว รุนแรงและบ้าคลั่ง ฝุ่นทรายที่ฟุ้งตลบทำให้ไม่สามารถมองอะไรได้ หนทางเบื้องหน้าถูกกำหนดโดยคนที่ฉุดรั้งให้เธอวิ่งตามไปเท่านั้น นานช้าเมื่อเธอรู้สึกว่าถูกรวบไว้ในอ้อมแขนแข็งแรง เธอหลับตาซุกหน้าลงกับอกกว้างที่กอดรัดเธอไว้ คีลตวัดเสื้อคลุมตัวยาวคลุมตัวหญิงสาวให้พ้นจากฝุ่นทรายที่ปลิวว่อน
เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ แต่จัสมินรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่ออ้อมแขนที่กระชับอยู่คลายออกและเริ่มขยับตัว เสียงต่าง ๆ ภายนอกเงียบกริบ พายุทรายสงบแล้วในขณะที่ความมืดแห่งราตรีกาลย่างกรายเข้ามา
หญิงสาวขยับตัวถอยออกจากคีลที่ยอมปล่อยแต่โดยดี อากาศในทะเลทรายยามค่ำคืนหนาวเหน็บจนสะท้าน
“พายุสงบแล้ว คีลบอกหันไปมองรอบด้านเช่นกัน
“ทำไมมันเงียบ ๆ อย่างนี้ล่ะ แล้วคนอื่น ๆ ไปไหนหมด ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน” คีลตอบแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยทุกข์ร้อนอะไรนัก
“แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน สภาพมัน......” จัสมินถามพลางเลื่อนมือสัมผัสไปรอบ ๆ มือเธอสัมผัสเข้ากับความเยียบเย็นของผนังทึบ
“มันเหมือนเป็นห้อง หรืออะไรซักอย่าง” จัสมินบอก เสียงเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ ๆ ซักพักแสงไฟก็สว่างขึ้นด้วยแรงเทียนเล่มเล็กในมือชายหนุ่ม
“เอามาจากไหนน่ะ ?” หญิงสาวถามอย่างประหลาดใจ
“ผมพกติดตัวอยู่เสมอเวลาออกทะเลทรายแบบนี้” คีลอธิบายง่าย ๆ
“แหม! พกอะไรที่มันทันสมัยหน่อยได้ไหม อย่างไฟฉายมันจะเข้าท่ากว่าละมั๊ง” หญิงสาวอดหัวเราะไม่ได้
“ไฟฉายก็มี” คีลควานลงไปในย่ามที่สะพายติดตัวไว้เสมอหยิบไฟฉายขนาดจิ๋วขึ้นมาส่งให้พลางบอก
“แต่เทียนน่ะมันให้ความอบอุ่นด้วย” ที่พูดมามันก็ถูก ไฟฉายให้แต่แสงสว่างแต่ขาดความอบอุ่น
“พวกนั้นจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกนั้นน่ะเกิดและโตมากับทะเลทรายย่อมรู้วิธีเอาตัวรอดจากพายุทรายได้อยู่แล้ว ที่น่าห่วงหน่อยก็เห็นจะมีแต่คณะสำรวจของนายฝรั่งกับท่านหัวหน้าคณะของเรานั่นแหล่ะ” คีลบอกง่าย ๆ
“แล้วเราจะนั่งอยู่อย่างนี้หรือไง ออกไปตามพวกเขากันดีกว่า” จัสมินเอ่ยชวนพลางขยับลุกแต่เป็นเพราะนั่งอุดอู้ขดงอมานานทำให้ขาเป็นเหน็บต้องทรุดลงนั่งอีกครั้ง
“ค่อย ๆ เหยียดขาออกซิคุณ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น” คีลเห็นอาการจึงบอก
“ก็มันเจ็บนี่” หญิงสาวว่าพลางทุบขาตัวเองเบา ๆ ให้หายชา ชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้
“จะทำอะไรน่ะ!?” จัสมินร้องอย่างตกใจเพราะชายหนุ่มจับขาเธอไว้ดึงให้เหยียดตรง เธอค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก หากเพียงชั่วครู่ก็ร้องลั่น
“โอ๊ย! เจ็บนะ เบา ๆ หน่อยสิ” หญิงสาวร้องลั่น มือเผลอทุบคนช่วยบีบนวดให้แต่คีลไม่ว่าอะไรยังก้มหน้าก้มตาทำต่อไปอย่างตั้งใจ
จัสมินมองมือที่จับต้นขาเธอช่วยนวดคลึงให้ มือใหญ่เรียวยาวที่โผล่พ้นเสื้อแขนยาวสีคล้ำนั้นแม้จะเปื้อนฝุ่นทรายไปบ้างแต่ก็ยังเห็นชัดถึงความขาว เล็บตัดสั้นเรียบร้อยบ่งบอกว่าได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ผิวหน้าที่กระทบกับแสงเทียนนั้นเล่าก็บ่งบอกถึงความเป็นคนขาวที่เพิ่งกระทบถูกแดด เพราะผิวหน้าชายหนุ่มออกแดงจากการถูกแดดลม ไม่เหมือนคนที่อาศัยและทำงานอยู่ในทะเลทรายแม้แต่น้อย
“เสร็จแล้ว ดีขึ้นไหม ?” คีลขยับถอยห่างออกมา
“ดีขึ้นแล้วละ ขอบใจนะ”
“ผมว่าเราควรรอให้เช้าเสียก่อนค่อยออกไปตามหาพวกนั้น มืด ๆ แบบนี้อาจทำให้หลงทิศจนกลับไม่ถูก หลังพายุทรายภูมิประเทศจะเปลี่ยนไปด้วย” จัสมินจำต้องยอมรับข้อเสนอของชายหนุ่ม แต่อากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้มันทรมานน่าดู เมื่อตอนกลางวันเพราะความร้อนอบอ้าวเธอจึงสวมเพียงเสื้อคลุมเนื้อบางเบาเพื่อให้คลายร้อน แต่ตอนนี้มันแทบจะช่วยกันความหนาวเย็นไม่ได้เลย ต่างกับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเพราะเธอสังเกตเห็นเขาสวมเสื้อผ้าคลุมปิดมิดชิดอยู่เสมอไม่ว่าขณะนั้นจะเป็นกลางวันที่ร้อนอบอ้าวหรือค่ำคืนที่หนาวเหน็บ
เสื้อคลุมสีดำถูกยื่นส่งมาให้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของพลางถาม
“ถ้าให้ฉันแล้วนายไม่หนาวเหรอ ?”
“หนาว แต่ยังไงผมก็ทนได้มากกว่าคุณแหล่ะ” เป็นคำตอบที่ช่างไม่เหมือนใครดีแท้ ถ้าเป็นผู้ชายอื่นเธอคงจะได้คำตอบประมาณว่า คุณคลุมไว้เถอะ ผมทนได้ ผมไม่หนาว อะไรทำนองนั้น
“ขอบใจนะ” จัสมินยอมรับเสื้อคลุมตัวนั้นมาห่มกระชับไว้กับตัว กระไออุ่นจากเจ้าของยังอบอวล เธอได้กลิ่นหอมจาง ๆ จากเสื้อตัวยาว ไม่ใช่กลิ่นเหงื่อของคนที่ทำงานอยู่กลางทะเลทราย แต่เป็นกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นดอกไม้ที่เป็นดอกอะไรเธอก็ตอบไม่ได้ ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเสื้อถอยกลับไปยังอีกด้าน ใช้หลังพิงกำแพง มือกอดอกหลับตาลงอย่างไม่สนใจอะไรอีก
จัสมินเหลียวมองรอบตัวที่มีแต่ความเงียบ แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียว คือ แสงเทียนที่จุดไว้ คืนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงดาว อากาศเยียบเย็นวังเวง หญิงสาวรู้สึกเหมือนถูกจับตามอง พอหันขวับไปมอง ชั่วแวบแห่งสายตาเหมือนจะเห็นร่างเงาตะคุ่ม ๆ นั่งอยู่เคียงข้างร่างที่นอนกอดอกหลับเงียบอยู่ แต่พอเธอเพ่งมองทุกอย่างกลับว่างเปล่า
“ตาฝาดละมั๊ง” แม้จะปลอบใจตัวเองอย่างนั้นแต่เจ้าความรู้สึกเหมือนมีใครอีกคนนั่งอยู่นั้นไม่จางหายไป เวลาล่วงเลยจนค่อนดึก แสงเทียนริบหรี่ใกล้ดับ อากาศหนาวเหน็บจนเสื้อคลุมแทบจะช่วยอะไรไม่ได้ จัสมิน นั่งกอดเข่าขดตัวเพื่อให้ความอบอุ่นกับตัวเอง หนาวจนปวดไปถึงกระดูก นอนก็นอนไม่หลับ แต่คนที่สละเสื้อคลุมให้กลับนอนหลับอย่างสบายใจ ไม่เห็นมีอาการหนาวสั่นเลยซักนิด
สายลมพัดพาเอากลิ่นอะไรอย่างหนึ่งโชยมาอ่อน ๆ เธอรู้สึกถึงความง่วงงุนที่คืบคลานเข้ามา แม้จะยังหนาวเหน็บแต่ความง่วงกลับมีอิทธิพลมากกว่า หญิงสาวเคลิ้มหลับไปในที่สุด!
แสงเทียนที่ริบหรี่ใกล้ดับสะท้อนให้เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่รุมล้อมเข้าโดยคนที่นอนหลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ร่างทมึนของชายคนหนึ่งเดินตรงไปทางชายหนุ่มที่หลับสนิทพิงกำแพงอยู่
“เอามันไปด้วยไหม ?”
“จะเอาไปทำไม เกะกะเปล่า ๆ ปล่อยทิ้งไว้นี่แหล่ะ เอาแค่ผู้หญิงไปก็พอ” อีกเสียงหนึ่งตอบมาพลางขยับเข้าไปทางด้านหญิงสาวที่นอนสลบไศลอยู่
“ลูกสาวอับดุลลา สวยขนาดนี้ แหมมันน่า”
“เฮ้ย! นายท่านสั่งห้ามแตะต้อง” เสียงบอกนั้นชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปสัมผัสกับแก้มนวล
“ถ้าไม่แตะแล้วจะเอาตัวไปได้ยังไงวะ” เสียงบ่นตามมา มือที่ทำท่าจะสัมผัสแก้มนวลเปลี่ยนเป็นช้อนร่างที่นอนขดงออุ้มขึ้นมาทั้งตัว แต่แล้วก็ต้องอุทานลั่นด้วยความตกใจเมื่อร่างที่อุ้มขึ้นมานั้นไม่ใช่หญิงสาวบอบบางที่เห็นเมื่อครู่ แต่เป็นร่างของชายวัยฉกรรจ์ ดวงตาที่จ้องเขม็งลุกโชนแดงฉาน มันปล่อยมือจากร่างนั้นทันควัน!
“ผี! ผี!” มันร้องลั่นลนลานถอยห่าง คนอื่น ๆ ที่มาด้วยหันมามองเป็นตาเดียว ร่างที่ถูกปล่อยล่วงลงสู่พื้นลุกขึ้นยืนช้า ๆ ท่ามกลางแสงสลัวใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดกลับมองเห็นได้ชัดเจน ดวงตาวาวโรจน์โกรธขึ้ง กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหมดถอยมารวมกันหน้าตาตื่น
“เฮ๊ย! มะ..มันเป็นใครวะ” เสียงถามไถ่ปนหวาดกลัว ร่างซีดขาวเดินตรงทื่อเข้ามาหาด้วยท่าทางเอาเรื่อง ใบหน้านั้นแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ผู้ชายทั้งกลุ่มถอยหนีอย่างหวาดกลัว หนึ่งในกลุ่มกลัวจนไม่อาจควบคุมสติไว้ได้ ปืนในมือระเบิดขึ้นซ้อน ๆ กันหลายนัด แต่กลับทะลุผ่านร่างอมนุษย์ตนนั้นไปหมด
“ผี! ผี! แน่แล้ว เผ่นเหอะ” พวกมันแหกปากร้องโวยวายกระจายกันหนีหัวซุกหัวซุน ร่างซีด ๆ นั้นเริ่มเลือนรางท่ามกลางแสงเทียนใกล้ดับ มือหนึ่งแตะบ่าร่างบางใสนั้นคล้ายกับเป็นสิ่งที่จับต้องได้
“อย่า! พอแค่นี้แหล่ะอัมซา” ชายหนุ่มที่น่าจะสลบไศลจากกลิ่นรมยานอนหลับกลับยืนอยู่ตรงนั้น
“แต่ว่าพวกมัน......” อัมซาขยับจะเถียง
“ท่านไม่ควรก่อเวรสร้างกรรมกับมนุษย์ ไม่อย่างนั้นดวงจิตของท่านจะมีมลทิน ซึ่งฉันหรือใครก็ไม่อาจชำระล้างให้ได้”
“ข้าไม่สนใจ!”
“แต่ฉันสน! และก็ไม่ยินยอมให้ท่านทำได้ด้วย” คีลบอกอย่างเด็ดขาด แววตาที่เคยขี้เล่นอยู่เสมอกลับจริงจังขึ้นทำให้ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ผู้เป็นวิญญาณอารักษ์ของราชาแห่งมาฮาร่าฮึดฮัดขัดใจ
“มันจะแตะต้องนาง” อัมซาชี้ไปทางร่างที่หลับใหลอยู่บนพื้นทราย
“ก็แค่จะเท่านั้น มันยังไม่ได้ทำเสียหน่อย” คีลแก้อย่างไม่เดือดร้อนกลับมาเป็นชายหนุ่มขี้เล่นคนเดิม อัมซามองอย่างเคืองแล้วหายวับไปเฉย ๆ โดยไม่พูดไม่จา คีลยักไหล่หันไปมองร่างบางที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา
“เฮ้อ! อยู่ในเมืองสบาย ๆ ไม่ชอบ จะออกมาหาความลำบากทำไมก็ไม่รู้” ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเดินเข้าไปทรุดลงนั่งข้าง ๆ จัดท่านอนให้หญิงสาวสบายขึ้นโดยใช้ย่ามของตนสอดรองแทนหมอนและดึงเสื้อคลุมห่มทับให้ก่อนจะถอยออกมานั่งแหงนมองท้องฟ้ามืดมิดเบื้องบน
“อีกไม่นานก็จะถึงคืนเดือนดับ อำนาจของอาบรีซาจะกล้าแข็งขึ้นอีกครั้ง อาคมของท่านซาลามาฮานจะต้านทานนางได้หรือไม่นะ”
จัสมินขยับตัวอย่างเมื่อยขบเพราะนอนขดงอมาตลอดคืน แม้จะยังไม่อยากลุกแต่เพราะแสงแดดที่ส่องกระทบใบหน้าทำให้ต้องลืมตาตื่น หญิงสาวสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ความมึนงง สมองเริ่มลำดับเหตุการณ์ สายตาจึงกวาดมองหาชายหนุ่มผู้น่าจะอยู่ในที่นี้ด้วย แล้วภาพที่เห็นก็นำความประหลาดใจมาให้เพราะชายหนุ่มที่มองหากำลังนั่งอยู่หน้ากองไฟ มือกำลังสาละวนอยู่กับท่อนไม้ขนาดเหมาะมือที่ถืออยู่ทั้งสองข้าง พยายามยกกระป๋องใบเล็กออกจากเตาไฟทีประกอบด้วยหินตั้งพิงกันไว้
“นายทำอะไรน่ะ ?”
“อ้าว ตื่นแล้วหรือคุณ อาหารอุ่นกินได้พอดีเลย” คีลบอกพลางใช้ชายเสื้อตัวเองแทนที่รองมือจับกระป๋อง
“เอามาจากไหน ?” จัสมินถามอย่างอดทึ่งไม่ได้ก็สถานที่แบบนี้ ‘นายไกด์’ ยังอุตส่าห์มีอาหารกระป๋องพกมาด้วย คนถูกถามพยักหน้าไปทางถุงย่ามของตนที่วางอยู่ใกล้ ๆ ข้าวของหลายอย่างถูกรื้อค้นออกมาวางล้วนเป็นสิ่งของที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอดทั้งสิ้น
“เอากาแฟไหม ?” คีลถามมาอีก หญิงสาวจึงพยักหน้ารับและก็ได้กระบอกกระติกน้ำสแตนเลสรูปทรงแบน ๆ กลับมา ภายในบรรจุกาแฟที่อุ่นกำลังดี กลิ่นหอมฟุ้ง
“กาแฟพื้นเมืองนะ คุณจะดื่มได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
“แค่นี้ก็ดีถมเถแล้ว” เธอบอกพลางใช้ฝากระติกแทนแก้วรองกาแฟข้นคลั่กขึ้นมาทดลองจิบ ความขมจัดแล่นปราดเป็นการรู้รสในครั้งแรก หากแล้วในความขมกลับมีความหวานเจือปนให้ชุ่มชื่นคอ คีลส่งแผ่นแป้งชิ้นไม่ใหญ่นักที่ผิงไฟอุ่น ๆ เกรียมนิด ๆ มาให้
“กินกับกาแฟช่วยให้หนักท้อง อยู่ได้นานดี” อีกครั้งที่หญิงสาวรับมาค่อย ๆ และเล็มกินกับกาแฟรสเข้มข้นนั้นจนหมดแผ่นโดยมีคนคอยบริการนั่งมองด้วยสายตาเอ็นดู
“หิวละซิ”
“ก็แหงละ ตั้งแต่บ่ายจนเย็นแล้วอีกทั้งคืนยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง หิวจะแย่” หญิงสาวยอมรับ ขณะนี้เธอกำลังจัดการอาหารกระป๋องที่ชายหนุ่มส่งมาให้
“เล่นส่งให้ฉันหมดแบบนี้ แล้วนายล่ะ ?” หลังจากหายหิวไปบ้างแล้วจึงมีน้ำใจถามไถ่ รู้สึกละอายหน่อยๆ ทีทำตัวคล้ายคนตะกละและไร้น้ำใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอก แค่กาแฟนั่นกับแป้งแผ่นนี่ผมก็อยู่ได้เป็นวันแล้ว ชีวิตในทะเลทรายนะคุณ ผมอดจนชินแล้วละ” คีลบอกง่าย ๆ พลางเริ่มใช้เศษไม้เขี่ยก้อนหินให้กระจายออก และใช้ทรายกลบไฟที่ลุกไหม้อยู่จนมอดสนิท
จัสมินพิจารณาคนที่บอกว่าอดจนชิน คนอด ๆ อยาก ๆ จะมีหน้าตาผิวพรรณแบบนี้หรือ ถึงชายหนุ่มจะแสดงให้เห็นว่าสามารถดำรงชีวิตอยู่กลางทะเลทรายได้อย่างสบาย ๆ ก็เถอะ
“คุณทำหน้าไม่เชื่อ”
“ก็มันน่าเชื่อไหมล่ะ คนอด ๆ อยาก ๆ หาเช้ากินค่ำที่ไหนเขาเป็นแบบนายบ้าง”
“ผมเป็นแบบไหน ?” คีลถามแกมหัวเราะ
“แค่ดูผิวพรรณมือไม้ก็ไม่น่าเชื่ออยู่แล้ว”
“อย่ามองคนแค่เพียงรูปกายภายนอก เพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ตัวตนจริง ๆ และตัวตนจริง ๆ ก็อาจไม่ใช่อย่างที่เห็น อย่าพูดว่าคุณรู้จักเขาดีเพราะในความจริงคุณอาจไม่รู้จักเขาเลยก็ได้” คำพูดของคีลทำให้หญิงสาวมองสบดวงตาดำคมอย่างค้นหา
“แล้วนายล่ะนี่เป็นตัวตนจริง ๆ ของนายหรือแค่ภาพลวงตาหลอกคนอื่น” เป็นคำถามที่ทำเอาคนมองสบตายิ้มกว้าง ดวงตาคู่คมปรากฏแววขบขัน
“คนเราทุกคนมีสองหน้าทั้งนั้นแหล่ะครับ อาจเป็นเพราะหน้าที่อาจเป็นเพราะความรับผิดชอบเป็นตัวกำหนดการกระทำ,,,,แต่ตอนนี้ขณะนี้ผมก็คือผม ไม่ใช่มายาลวงที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกตาใคร”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าอันไหนหน้ากาก อันไหนหน้าจริง” หญิงสาวยังซักไซ้ต่อไป
“เราไม่มีทางรู้หรอกครับ เวลาและสถานการณ์บางอย่างเท่านั้นจะทำให้ความจริงเปิดเผยออกมา”
ความคิดเห็น