คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : เบนดาฮาร่า
บทที่ 10
เบนดาฮาร่า
“เซเนตตรา”
“เซเนตตรา”
ใครกัน เสียงใครเรียกชื่อเธอ เซเนตตราลืมตาตื่นเพราะเสียงเรียกที่ไม่คุ้นเคย ภาพที่เห็นคือภาพดวงดาวดารดาษเต็มท้องฟ้า แสงดาวกระพริบระยิบระยับใกล้จนแทบจะเอื้อมมือสัมผัสได้ เธอลุกขึ้นนั่ง มองรอบกายอย่างงง ๆ รอบตัวเธอมีแต่ความมืดมิด แสงเพียงหนึ่งเดียวที่มองเห็นขณะนี้คือดวงดาวบนฟากฟ้า
“ที่นี่ที่ไหน ?” เธอถามตัวเอง เธอไม่เคยเห็นสถานที่แบบนี้มาก่อน และเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“เซเนตตรา” เสียงเรียกนั้นอีกแล้ว เสียงใครกัน เซเนตตราลุกขึ้นยืนพยายามจับทิศทางของเสียงเรียก แล้วท่ามกลางความมืดมิด ดวงไฟสีทองก็สว่างขึ้น ณ จุดหนึ่ง ดุจจะนำทางให้ หญิงสาวก้าวเท้าตามไป เสียงเรียกชื่อเธอดังมาจากทางนั้น!
ดวงไฟสีทองยังร่องลอยต่อไปโดยทิ้งระยะห่างจากเธอพอควร ไม่ว่าเธอจะเร่งฝีเท้าเท่าไหร่ก็ไม่อาจตามทัน หากพอเธอหยุดพักเจ้าดวงไฟนั้นก็ดูเหมือนจะหยุดลอยนิ่งดั่งรอคอย พอเธอเริ่มก้าวต่อมันก็ลอยนำห่างไปอีก
จู่ ๆ ดวงไฟที่ลอยนำทางมาตลอดก็วูบหายไปปล่อยเธอทิ้งไว้ในความมืดตามลำพัง เซเนตตราหันมองรอบทิศเพื่อมองหาแต่มิอาจมองเห็นสิ่งใด
“เซเนตตรา” เสียงเรียกนั้นอีกแล้ว
“ใคร! ข้าถามว่าใคร ออกมานะ”
“หันมาทางนี้สิเซเนตตรา” เธอหันตามเสียงแต่แล้วก็ต้องตกตลึงตาค้างในสิ่งที่เห็น
เบื้องหน้าของเธอคือปราสาทสีขาวขนาดใหญ่กลางเกาะที่มีห้วงน้ำล้อมรอบ รูปทรงการก่อสร้างงดงามเกินกว่าปราสาทใดที่เธอเคยเห็น นอกจากนี้ตัวปราสาทยังส่องประกายดั่งอัญมณีมีค่าวับวามท่ามกลางความมืด
“ศิลาแห่งแสง” จู่ ๆ เสียงทุ้มนุ่มนวลก็ดังขึ้นข้าง ๆ เซเนตตราหันขวับไปมอง ร่างชายคนหนึ่งในชุดขาวยาวยืนอยู่ใกล้กับเธอ ลักษณะการแต่งกายคลับคล้ายว่าจะเคยเห็น ใช่ต้องเคยเห็นแน่ ๆ ลวดลายการปักและเล่นลายแบบนี้เป็นลักษณะเฉพาะของเสื้อผ้าแบบบาลันเทียร์ และคนที่ใส่ชุดขาวยาวแบบนี้ในบาลันเทียร์มีเพียงคนเดียว คือผู้อยู่ในฐานะจอมปราชญ์!
แต่จอมปราชญ์แห่งบาลันเทียร์นั้นเธอรู้จัก ไม่ใช่ผู้ชายคนนี้แน่นอน
“ท่านเป็นใคร ?” เซเนตตราเอ่ยถาม น่าแปลกที่เธอไม่รู้สึกกลัวชายผู้นี้แม้แต่น้อย
“เจ้ารู้จักข้า” น้ำเสียงนุ่มนวลตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม น่าแปลกอีกนั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่รอบกายเธอมืดจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น แต่เธอกลับเห็นผู้ชายคนนี้ได้ชัดเจนแม้กระทั่งรอยยิ้ม
“อย่าสงสัยว่าข้าเป็นใคร จงสงสัยว่าข้ามาทำไมจะดีกว่า”
“แล้วท่านมาทำไม ?” เซเนตตราย้อนถามทันควัน
“เจ้าเห็นปราสาทนั่นใช่ไหม” ชายแปลกหน้าถามและไม่รอคำตอบเพราะเขาพูดต่อในทันที
“จดจำไว้ให้ดี ที่ที่เจ้ายืนอยู่นี่คือแผ่นดินแห่งแสงดาวที่เจ้าต้องตามหา แผ่นดินที่ถูกลืม”
“ข้าไม่เข้าใจ ท่านพูดเรื่องอะไร ?”
“ในความยาวนานแห่งกาลเวลา ผู้คนต่างพากันลืมเลือนดินแดนแห่งนี้ ช่างน่าเศร้านัก”
“หมายความว่ายังไง !?” เซเนตตราเริ่มโมโหอีกฝ่ายที่พูดจาไม่รู้เรื่อง
“หมดสิ้นทุกความหวัง หากว่ายังคงหลงลืม” ชายผู้นั้นเอ่ยเอื้อนคำทำนายแห่งมหาปราชญ์ดาไรอัส
“กงล้อแห่งกาลเวลาได้หมุนเวียนทับซ้อนกลับมาอีกครั้ง.....แล้วครั้งนี้มันจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม....”
ชายหนุ่มลึกลับถอนใจยาว สายตามองเหม่อ
“เขาลืม เขาเลือน ตัวข้า
เจ็บนัก เจ็บหนา ใจเอ๋ย
มีเพียง แสงเจ้า ดาวเอย
ไม่เคย หลบเร้น ลืมเลือน”
“จำไว้ เซเนตตรา จำลำนำบทนี้ไว้” ชายหนุ่มผู้นั้นหันมามองเธอที่ยังงุนงงไม่หายกับกริยาแปลก ๆ ที่ชายหนุ่มผู้นี้แสดงออก
“ท่านยังไม่ตอบข้าว่ามาทำไม ?”
“ข้านำความหวังสุดท้ายของชาวพิภพมาให้เจ้า”
“ท่านเป็นใคร ?”
“ผู้ขลาดกลัว ผู้สำนึกผิด และผู้โง่เขลาที่สุดในแดนพิภพ” เซเนตตราไม่เข้าใจคำพูดของชายแปลกหน้าผู้นี้แม้แต่น้อย
“ซักวันเจ้าจะรู้ว่าข้าเป็นใคร และเข้าใจว่าทำไมข้าถึงพูดแบบนั้น หมดเวลาของข้าแล้ว” ชายผู้นั้นบอกแล้วหันหลังจากไป เซเนตตราขยับจะตามแต่แล้วก็ต้องตกตลึงตาค้างไปอีกครั้งเพราะร่างชายหนุ่มที่เธอเห็นเมื่อแรกกลับกลายเป็นดวงไฟสีทองลอยห่างหายไปในความมืด
“เซเนต!.....เฮ๊ย.....เซเนต...ตื่นได้แล้ว” เสียงเรียกและการเขย่าตัวที่เริ่มจะรุนแรงขึ้นทุกทีทำให้คนถูกเรียกต้องยอมตื่นไม่อย่างนั้นอาจจะเคล็ดขัดยอกเพราะการเขย่าปลุกแบบไม่บันยะบันยังของเฮรอส
“ข้าตื่นแล้ว พอได้แล้ว!” เซเนตตราร้องบอกพลางผลักเจ้าคนขยันปลุกให้ห่างออกไป
“ปลุกข้าทำไม !?” เสียงถามอารมณ์เสียขนาดหนัก เจ้าบ้า! ยังไม่ทันจะเข้าใจอะไรดันขัดจังหวะซะได้
“ลืมหูลืมตาซะมั่ง แดดร้อนเปรี้ยงขนาดนี้หลับเข้าไปได้ แล้วหลับไม่หลับเปล่าดันละเมออะไรก็ไม่รู้ หนวกหู”
เฮรอสบ่นแต่ไม่ได้จริงจังนัก เซเนตตราหันมองรอบตัว แดดร้อนจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า เธอจำได้ว่าทั้งคณะหยุดพักที่โอเอซีสเล็ก ๆ หลังจากนั้นก็ไม่รู้ตัวว่าวูบหลับไปได้ยังไง
“ทีเจ้ายังหลับได้แล้วข้าจะหลับมั่งมันแปลกตรงไหน” เซเนตตรายังไม่วายเถียง
“ถึงข้าจะหลับ ข้าก็หลับเงียบ ๆ ไม่รบกวนใครเหมือนเจ้า”
“นี่เจ้า....”
“เจ้าสองคนจะหยุดเถียงกันซะทีได้มั๊ย” มาร์รานเริ่มรำคาญจึงหันมาดุ ไอ้คู่นี้มันเป็นคุยกันดี ๆ ไม่ได้นานชอบหาเรื่องทะเลาะกันอยู่เรื่อย เซเนตตรายังมองเฮรอสด้วยความขุ่นเคืองแกมหมั่นไส้แต่ก็ยอมสงบปากสงบคำส่วนคนถูกมองยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้
“เจ้าฝันงั้นหรือ ? ฝันว่าอะไรลองเล่าให้ฟังหน่อยซิ” จู่ ๆ โซเนปก็เอ่ยถามหลังจากนิ่งฟังมานาน
“ก็แค่ฝันว่าอยู่ในสถานที่แปลก ๆ รอบตัวมืดมองไม่เห็นแม้แต่แสงดาว แล้วก็มีปราสาทใหญ่ ใหญ่มาก สวยมากด้วย แต่มันแปลกตรงที่ข้ามองเห็นได้ปราสาทนั่นได้ชัดเจนทั้งๆ ที่บริเวณโดยรอบมืดสนิท แล้วข้าก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง เขาพูดอะไรแปลกๆ”
“พูดอะไร ?” โซเนปถามอย่างสนใจ เซเนตตราหลับตาเพื่อทบทวนคำพูดที่ได้ฟังจากชายลึกลับ
“ข้าก็จำไม่ค่อยได้ รู้แต่ว่าผู้ชายคนนั้นกล่าวถึงคำทำนายของมหาปราชญ์ดาไรอัส....ดินแดนที่ถูกลืม.... ความหวัง แล้วก็ลำนำอะไรก็ไม่รู้...ข้า...ข้าจำไม่ได้แล้ว” สีหน้าโซเนปใช้ความคิดอย่างไม่ค่อยได้เคยเห็นบ่อยนัก จากคำพูดของเซเนต เหมือนกับว่าผู้ชายคนนั้นต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง
“อ้อ ข้าถามว่าเขาเป็นใครแต่เขาไม่ยอมบอกชื่อบอกแต่ว่าเขาคือผู้ขลาดกลัว ผู้สำนึกผิด และผู้โง่เขลาที่สุดในแดนพิภพ”
“เหมือนข้าเคยได้ยินประโยคแบบนี้ที่ไหน ไม่ใช่สิ ไม่ใช่คำพูด ข้าเคยอ่านเจอมากกว่า” โซเนปพยายามทบทวนแต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
“มีอะไรเหรอ ?” เซเนตตราถามอย่างอยากรู้ แต่ไม่ได้รับคำตอบ มาร์รานเป็นฝ่ายไขข้อข้องใจให้
“ความฝัน บางครั้งก็เป็นเครื่องบอกเหตุ และถ้าเราไขปริศนาจากความฝันได้เราก็อาจจะได้รู้อะไรอีกหลายอย่าง เพียงแต่ที่เจ้าเล่ามาเรายังไม่สามารถจับเงื่อนงำอะไรได้เลย”
“เสียดายข้าจำลำนำบทนั้นไม่ได้” เซเนตตราบอกอ่อย ๆ อย่างรู้สึกผิด ชักสมเพชตัวเองหนักขึ้นทุกที แค่ความฝันง่าย ๆ แค่นี้ทำไมถึงจำไม่ได้ โง่จริง!
“ไม่เป็นไร ของมันลืมกันได้” โซเนปบอกอย่างปลอบใจ
“ก็แค่ฝัน ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก” เฮรอสบอกอย่างไม่เชื่อถือแล้วลุกเดินไปนั่งคุยกับเจ้าชายซาร์ลูมานที่นั่งแยกตัวไม่สุงสิงกับใครในกลุ่ม
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ดูเหมือนต่างคนต่างก็มีเรื่องให้ครุ่นคิด จู่ ๆ พลันแสงแดดที่แผดแรงเจิดจ้าก็วูบดับ ทั่วผืนทรายตกอยู่ในความมืดชนิดที่มองอะไรไม่เห็นแม้แต่ฝ่ามือของตนเอง
“เกิดอะไรขึ้น ?” เซเนตตรามองรอบตัวอย่างงง ๆ เธอมองอะไรไม่เห็น มืดยิ่งกว่าในคืนที่มืดมิด ความมืดนั้นมาพร้อมกับความอึดอัดกดดันจนศีรษะแทบจะระเบิด ทุกคนหายไปไหนกันหมด!
“เฮรอส โซเนป เจ้าชายซาร์กอน!” เซเนตตราลองส่งเสียงเรียก
“ท่านมาร์ราน เจ้าชายซาร์ลูมาน ลาเซีย อาเลฟ พวกท่านอยู่ที่ไหนกัน” เงียบ ไร้เสียงตอบรับใด ๆ จากบุคคลที่ร้องเรียก
เซเนตตราเดินสะเปะสะปะ สายตาทั้งสองพยายามเพ่งมองฝ่าออกไปในความมืด แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เธอไม่พบเจอใครซักคน!
พลันที่ความมืดครอบคลุมลงมา เจ้าชายซาร์ลูมานก็ร่ายเวทปรากฏม่านพลังขึ้นมาเป็นเกราะป้องกันตน สายตาพยายามเพ่งมองไปรอบด้านแต่ก็มองอะไรไม่เห็นทั้งสิ้น พลังของเขายังไม่ฟื้นคืนเป็นปกติ ไม่อาจใช้เวทสลายความมืดนี้ได้ ใครกันที่มีพลังสูงถึงขนาดดับดวงอาทิตย์เปลี่ยนวันให้เป็นคืน
ทางด้านโซเนป จอมปราชญ์หนุ่มร่ายเวทสร้างเกราะป้องกันตัวแล้วก็ทำได้เพียงสงบใจรอเวลาให้ทุกอย่างกลับเป็นปกติด้วยฝีมือของเหล่า ‘อัศวินผู้กล้า’ ท่านใดท่านหนึ่งในคณะที่มาด้วยกัน เรื่องความคิดใช้เวทแก้ไขนั้นเขาทำไม่ได้ ด้วยรู้ขีดจำกัดของพลังตัวเองดี ชายหนุ่มหลับตาลงเพื่อลองพยายามหาต้นเหตุที่ทำให้เกิดความวิปริตนี้ และค้นหาคนอื่นไปด้วย
เจ้าชายซาร์กอน ลาเซีย และอาเลฟ ยืนหันหลังชนกัน เบื้องหน้าของคนทั้งสามคือคทาประจำตัวที่เรืองแสงประสานครอบคลุมบุคคลทั้งสามไว้ แสงสว่างที่ปรากฏพยายามผลักดันความมืดที่แผ่ครอบคลุมให้ล่าถอยแต่ดูเหมือนว่าแค่พยายามรักษารัศมีของแสงสว่างไว้ก็ยังยาก!
ร่างสูงในชุดขาวยืนอยู่บนผืนทรายที่ร้อนระอุด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มพึงพอใจกับผลงานเบื้องหน้า ไอมืดแผ่ครอบคลุมเขตอาคมของเขาที่สร้างไว้เพื่อเตรียมรอรับคณะของเจ้าชายซาร์กอน ความมืดที่จะค่อย ๆ กลืนกินผู้ที่ถูกครอบคลุมไว้ทีละน้อย ๆ ในที่สุดก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดมิดนั้น
“ท่านคิดว่าพวกมันจะต้านทานไอมารได้นานแค่ไหน ?” อัลซัสที่ยืนอยู่เบื้องหลังเอ่ยถาม
“ไม่มีใครต้านทานอำนาจแห่งท่านจอมมารได้! มันทนได้อีกไม่นานหรอก” เดมาลตอบอย่างมั่นใจ ไอมารที่ท่านจอมมารมอบให้เขานั้นยากที่ใครจะต้านทานได้
“อัลซัสเจ้าเข้าไปเอาตัวไอ้เด็กนั่นมา ท่านจอมมารต้องการตัวมัน” เดมาลสั่งโดยที่ไม่ละสายตาจากเขตอาคมของตน อัลซัสน้อมคำนับแล้วค่อย ๆ กลายเป็นกลุ่มควันหายเข้าไปในความมืดมิดเบื้องหน้า
“เป็นฝีมือเจ้านี่เอง” เสียงเรียบ ๆ ดังจากเบื้องหลัง เดมาลหันขวับกลับไปมอง
“มาร์ราน!” ร่างสูงค้อมศีรษะลงนิดหนึ่งเหมือนเป็นการทักทายกันตามปกติ ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังแย้มยิ้ม หากดวงตาสีฟ้าที่เคยฉายแววอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจนั้นกลับสงบนิ่ง ว่างเปล่าจนดูน่ากลัว
“ไม่ได้พบกันนานนะเดมาล เจ้ายังถนัดวิธีลอบกัดเหมือนเดิม”
“ข้าไม่แปลกใจซักนิดที่เป็นเจ้า ฝีมือก้าวหน้าขึ้นมากเลยนี่ เก่งขนาดหนีจากเขตอาคมของข้าได้เชียว”
เดมาลเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
“สลายเขตอาคมนั่นซะ” มาร์รานสั่งเสียงเรียบ หากคำตอบที่ได้รับคือเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังกึกก้อง
“เจ้าคิดว่ากำลังพูดอยู่กับใคร มาร์ราน พ่อมดขาวแห่งนาดีน เจ้าคิดว่าการที่ใคร ๆ ยกย่องเจ้า แล้วจะทำให้เจ้าสั่งข้าได้งั้นเหรอ!” เดมาลยิ้มเยาะ
“นายข้ามีเพียงผู้เดียว ต่อให้เซนรอนก็สั่งข้าไม่ได้!”
“ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ!” ขาดคำคทาสีขาวก็ปรากฏในมือของผู้มีฉายา ‘พ่อมดขาวแห่งนาดีน’ ในขณะที่เดมาลก็เตรียมพร้อมอยู่แล้วเช่นกัน
ร่างสองร่างยืนประจันหน้ากัน ผืนทรายที่เหยียบยืนบนพื้นรายรอบหมุนวนแรงขึ้น ๆ ปั่นป่วนจากการปะทะกันของผู้เป็นจอมเวททั้งสองคน!
“หายไปไหนกันหมด! ขานรับข้าหน่อยได้ไหม” เซเนตราพึมพำอย่างอ่อนแรง สติเริ่มเลือนราง เธอป่ายมือสะเปะสะปะดังจะหาที่ยึดเหนี่ยว หากแล้วในท่ามกลางความมืดมือหนึ่งก็เอื้อมมาคว้ามือเธอไว้ สติสัมปชัญญะที่ใกล้จะขาดสะบั้นลงถูกกระแสอันอบอุ่นปลอดภัยแล่นปราดจากอุ้งมือที่สัมผัสรินไหลไปทั่วร่าง ความมืดที่ครอบคลุมอยู่เมื่อครู่ดูเหมือนจะจางลงจนน่าประหลาดใจ เซเนตตราคว้ามือนั้นกุมไว้แน่น
“เซเนต เป็นไงบ้าง ?” เสียงถามอันคุ้นหูดังขึ้นใกล้ตัว
“เฮรอส! เจ้าใช่ไหม ?” เซเนตตราร้องถามออกไปด้วยความดีใจ แม้ยังมองไม่เห็นตัวขอแค่เสียงยืนยันให้แน่ใจก็ยังดี
“ใช่ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ?”
“ไม่ ข้าไม่เป็นไร แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ ถึงมืดแบบนี้”
“ถามข้า....แล้วเจ้าคิดว่าข้ารู้รึไง” เฮรอสถามกลับง่าย ๆ น้ำเสียงติดจะหัวเราะเสียด้วยซ้ำ คล้ายไม่ได้ทุกข์ร้อนกับสภาพวิปริตรอบตัวที่เป็นอยู่ตอนนี้เลยแม้แต่น้อย
“ถามข้าดีกว่าไหม” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น กลุ่มควันสีเทาค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นรูปร่างคน
“ภูตรับใช้”
“โอ้! เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านชายเฮรอสอุตส่าห์รู้จัก ข้าไม่คิดมาก่อนเลยนะนี่” อัลซัสเยาะหยันพลางเอ่ยต่อไป
“ใครจะคิดว่าท่านชายเสเพลอย่างท่านจะรู้อะไรดี ๆ กับเขาด้วย”
“ข้ารู้มากกว่าภูตรับใช้ชั้นต่ำอย่างเจ้าจะคาดถึงเสียอีก” เฮรอสบอกแกมหัวเราะไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ตรงข้ามดูเหมือนจะกำลังสนุกอยู่ด้วยซ้ำ เซเนตตรามองเฮรอสสลับกับผู้มาใหม่อย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“อะไรล่ะที่ข้าจะคาดไม่ถึง” เจ้าภูตรับใช้ย้อนถามอย่างนึกสนุก
“ก็อย่างเช่นวิธีจัดการกับภูตรับใช้โง่ ๆ อย่างเจ้า”
“โอ้!...ข้าชักอยากจะเห็นฝีมือของเจ้าแล้วสิ” อัลซัสว่าพลางหัวเราะไม่เชื่อถือ
“ไม่จำเป็นต้องถึงมือข้าหรอก เซเนตเจ้าก็ทำได้” ตอนท้ายเฮรอสหันมาทางเซเนตที่ยืนงงอยู่ เฮรอสเอียงหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหู
“ตั้งจิตของเจ้าให้มั่น รวมเป็นหนึ่งเดียว อธิษฐานต่อลูกแก้วบาลันเทียร์ ด้วยพลังแห่งศรัทธา แสงเจิดจ้าจงกลับคืน” เซเนตตราขยับจะแย้งแต่เฮรอสสำทับมาอีก
“ทำตามที่ข้าบอก” แม้จะไม่เข้าใจและไม่มั่นใจเลยว่าลูกแก้วบาลันเทียร์จะใช้การได้ แต่ในเมื่อเป็นความหวังเดียว ลองดูก็ไม่เสียหายตรงไหน เซเนตตราหลับตาลงเพื่อรวมจิตให้มั่นคง
“ว่าไง ซุบซิบอะไรกันอยู่ คิดหรือว่าจะหนีพ้นจากข้าไปได้ หมดเวลาเล่นแล้ว ข้าคงต้องขอตัวไปก่อนนะท่านชาย หวังว่าท่านคงจะรู้วิธีเอาตัวรอดจากไอปีศาจนี่” อัลซัสว่าพลางหัวเราะร่า มือหนึ่งเอื้อมมาจะคว้าตัวเซเนตหากยังไม่ทันจะแตะถูกแสงสีขาวเป็นประกายเจิดจ้าก็สว่างวาบบาดตา แสงนั้นแผ่รัศมีออกไปเรื่อย ๆ มากขึ้น ๆ ขับไล่ความมืดมิดที่ครอบคลุมอยู่ให้ค่อย ๆ สลายไป
อัลซัสล้มลงกับพื้นทรายเกลือกกลิ้งทุรนทุรายอย่างเจ็บปวด เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้อง ก่อนร่างของภูตรับใช้จะค่อย ๆ สลายไปเหลือเพียงกองธุลีดินสีดำแทรกปะปนอยู่บนพื้นทราย!
“จบสิ้น!” เฮรอสบอกมองร่องรอยที่เหลือนั้นด้วยแววตานิ่งสนิท ไร้ความรู้สึก ช่างว่างเปล่าจนดูน่าหวาดหวั่น เซเนตตรากระพริบตามองอีกครั้งหากแต่แววตาแบบนั้นเลือนหายไปแล้ว เธออาจจะตาฝาดไปเอง แสงแดดแผดแรงกระจ่างไปทั่วอณูบริเวณ แต่ละคนต่างอยู่ในอาการงุนงงกับความแปรปรวนแบบฉับพลันนั้น
เสียงอื้ออึงจากการปะทะกันด้วยเวทมนตร์ทำให้ต่างหายจากอาการงุนงง ทุกสายตาหันไปทางต้นเหตุแห่งความปั่นป่วนที่กำลังโรมรันกันอยู่
ดูเหมือนเขตอาคมที่ถูกทำลายจะมีผลกระทบกับเดมาล เพราะทันทีแสงเจิดจ้ากระจายออกขับไล่ความมืดมิด เจ้าของเขตอาคมก็ถึงกับกระอักออกมาเป็นเลือด ร่างนั้นทรุดลงคุกเข่าอยู่บนพื้นทราย คล้ายจวนเจียนจะสิ้นเรี่ยวแรง
“เป็นไปไม่ได้! เขตอาคมของข้าถูกทำลายได้ยังไงกัน” เดมาลกระอักออกมาอีก
“เจ้าแพ้แล้วเดมาล” มาร์รานก้าวเข้ามา คทาสีขาวชี้ไปเบื้องหน้า
“ไม่! ข้าไม่แพ้ ข้าไม่มีทางแพ้ ท่านจอมมาร ข้าไม่แพ้ ข้ายังไม่แพ้” เดมาลตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง พื้นทรายรอบตัวก่อขึ้นเป็นกำแพงหมุนวนขวางกั้นระหว่างมาร์รานกับเดมาลไว้จนไม่สามารถทำอะไรได้
พ่อมดขาวแห่งนาดีนลดมือที่ป้องหน้าลงเมื่อพายุทรายสงบ เบื้องหน้าเขาคือความว่างเปล่าไม่เหลือร่องรอยใด ๆ บนผืนทราย
“เป็นยังไงบ้าง ?” เจ้าชายซาร์กอนและคนอื่น ๆ ขยับเข้ามารุมล้อม
“ข้าไม่เป็นไร” มาร์รานบอก แม้จะดูซีดเซียวไปบ้างเพราะเสียพลังไปมาก
“ต้องขอบใจท่านมากที่ทำลายเขตอาคม ไม่อย่างงั้นพวกเราคงแย่”
“ข้าไม่ได้ทำลายเขตอาคม แค่สู้กับเดมาลก็แทบจะตึงมืออยู่แล้ว”
“งั้นใครล่ะ ?” เงียบกันไปหมด ในที่สุดเซเนตตราก็ตัดสินใจเอ่ยออกมา
“ข้าเอง”
“เจ้า....เจ้าน่ะเหรอ ?” โซเนปย้อนถามอย่างไม่อยากเชื่อ สายตาทุกคนต่างมองมาทางเซเนตตราเพื่อต้องการคำอธิบาย เซเนตตราจึงเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง ซึ่งพอฟังจบคราวนี้ทุกสายตาจึงแปรมาจับจ้องเฮรอสแทน
“ไม่ต้องจ้องกันขนาดนั้นก็ได้” เฮรอสบอก
“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง ?” เจ้าชายซาร์กอนถามด้วยความสงสัย
“ข้าเคยอ่านบันทึกเก่า ๆ เกี่ยวกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์สามสิ่งในตำนาน ในนั้นกล่าวไว้ว่า ลูกแก้วบาลันเทียร์คือดวงแก้วแห่งศรัทธา ก็เลยให้เซเนตลองดู” คนอื่น ๆ พอใจในคำตอบด้วยไม่มีใครศึกษาตำรามากพอจะจำได้ทั้งหมด หากโซเนปมองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด ทั้งตำราทั้งบันทึกเก่า ๆ เกี่ยวกับสงครามในตำนาน หรือเรื่องราวของสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ปราบจอมมารเขาศึกษาจนทะลุปรุโปร่งและแน่ใจว่าเรื่องสำคัญแบบนี้เขาไม่มีทางลืมแน่นอน โซเนปได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้ภายในใจ
หลังจากสำรวจความเสียหายของข้าวของแล้ว คณะเดินทางก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้งเมื่อแสงแห่งดวงตะวันอ่อนลง ทุกคนมารวมกันอยู่ในรถม้าคันเดียวกันเนื่องจากรถม้าอีกคันนั้นเสียหายเกินกว่าจะใช้การได้อีก ม้าที่ใช้ลากรถก็เตลิดหายไปทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้ข้าวของใดที่ไม่จำเป็นมากมายก็ต้องละทิ้งไว้ เหลือเพียงสิ่งของที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
ดวงตะวันลับผืนทรายไปเพียงไม่นาน ดวงจันทร์ดวงกลมโตก็ปรากฏโฉมออกมาแทนที่ ยิ่งนานแสงนวลกระจ่างก็ยิ่งเพิ่มขึ้นพร้อม ๆ กับความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านแทรกซอนเข้ามาในทุกอณูบรรยากาศ ยิ่งดึกความหนาวยิ่งทวี
หากแต่ลมทะเลทรายสงบเงียบจนน่าประหลาด กระแสความเงียบแผ่ซึมมาพร้อมกับความหนาวเย็น เป็นความเงียบที่ก่อให้เกิดความอึดอัด กดดัน ดังความเงียบก่อนจะเกิดพายุใหญ่
และแล้วในท่ามกลางความเงียบ เสียงม้าก็ร้องก้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก เจ้าชายซาร์กอนบังคับม้าจนสุดความสามารถ ท่าทางของพวกมันเหมือนหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง
ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สว่างเรืองรอง หญิงสาวในชุดสีขาวพลิ้วยาวยืนอยู่บนพื้นทรายที่เคยร้อนระอุเหมือนผุดขึ้นมาจากผืนทราย ผมยาวสยายสีน้ำตาลแดงคลุมลงมาเลยสะโพกสะท้อนกับแสงจันทร์ ร่างนั้นยืนหันหลังดวงหน้าแหงนเงยขึ้นมองดวงจันทร์เบื้องบนเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ดูเหมือนว่าเสียงม้าที่ตื่นตระหนกจะไม่สามารถปลุกหญิงสาวให้รู้สึกตัวได้
ม้าที่ตื่นตระหนกสงบลงด้วยเวทสะกดของเจ้าชายซาร์กอน เจ้าชายหนุ่มกระโดดลงจากที่นั่งคนขับเดินตรงไปยังร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้า มีอาเลฟตามไปติด ๆ อย่างคอยระวังภัย
“เจ้าเป็นใคร ?” ร่างอ้อนแอ้นอรชรนั้นค่อย ๆ หันกลับมาช้า ๆ ใบหน้างดงามผุดผ่อง รับกับดวงตาสีคราม ที่ดูลึกลับชวนค้นหา เจ้าชายซาร์กอนมองสบดวงตานั้นแล้วนิ่งงันไปดังต้องมนตร์สะกด
“เจ้าชาย ท่านเป็นอะไร ?” อาเลฟถามอย่างตระหนก แต่เจ้าชายซาร์กอนยังไม่มีทีท่าจะรับรู้ สายตายังจับจ้องหญิงสาวตรงหน้าบอกความคลั่งไคล้ไหลหลง
“เจ้าทำอะไรเจ้าชาย!......” อาเลฟหันไปหาหญิงสาวลึกลับ หากแล้วอาการของเขาก็ไม่ต่างจากเจ้านายของตนทันทีที่ได้สบตา
“อาเลฟ เจ้าชายซาร์กอน เกิดอะไรขึ้น ?” เซเนตตราที่ถูกใช้ให้ออกมาดูเหตุการณ์ร้องถามเมื่อเห็นเจ้าชายและองครักษ์คนสนิทมีอาการประหลาด การปรากฏตัวของหญิงสาวที่สวยราวกับไม่ใช่คนธรรมดาๆบนทะเลทรายแสงจันทร์ที่ไม่น่าจะมีหญิงสาวคนใดมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้
หญิงสาวผู้นั้นหันมาสบตาเซเนตตรา รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้ ดวงตาสีครามดั่งมีมนต์สะกดให้งวยงงแต่ก็ไม่มีผลให้เซเนตตราตะลึงค้างเหมือนเจ้าชายซาร์กอนและอาเลฟ
รอยยิ้มหวานที่ส่งให้จึงเปลี่ยนไป ดวงตานั้นมีความพิศวงสงสัยปนอยู่
“อาเลฟ เจ้าชายซาร์กอน” เซเนตตราพยายามเรียกเพื่อให้ได้สติแต่ไม่ได้ผล โซเนปที่ตามออกมาพร้อมมาร์รานพิจารณาอาการของทั้งคู่แล้วให้สังหรณ์ใจบางอย่าง
“เบนดาฮาร่า!”
“อะไรนะ ?” เซเนตตราย้อนถามเพราะไม่เข้าใจ
“เซเนต อย่าสบตานาง! นางคือเบนดาฮาร่า ภูตแห่งแสงจันทร์ ดวงตาของนางมีอำนาจสะกดผู้คน!”
“โอ้...ช่างน่ายินดีอะไรเช่นนี้ มีคนรู้จักข้าด้วยหรือนี่” น้ำเสียงหวานใสเอ่ยออกมา รอยยิ้มบนใบหน้างามยังไม่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรจงส่งยิ้มหวานมาให้โซเนปและมาร์รานเป็นพิเศษ แต่ทั้งคู่ไม่ยอมสบตานาง
“ช่างมองข้าในแง่ร้ายเสียจริง” หญิงสาวผู้งามล้ำเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ กังวานหวานในน้ำเสียงเพียงอย่างเดียวก็แทบจะทำให้ผู้ฟังคล้อยตามไปได้ ร่างงามเดินเยื้องกรายเข้ามาใกล้ด้วยท่วงท่าสบาย ๆ
“ที่พวกท่านหลงใหลข้าก็เป็นเพราะรูปโฉมอันงดงามของข้า หาใช่ถูกมนต์สะกด นั่นก็แค่คำเล่าลือที่พูดกันไปเท่านั้น”
“อย่าหลงเชื่อนาง!” โซเนปเอ่ยขัดทั้งที่ยังหลบไม่สบตา เบนดาฮาร่าเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในขณะที่ทั้งสามได้แต่ถอยหนี ไม่อาจลงมือกับหญิงสาวแสนงามตรงหน้าได้
“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าจะเชื่อเพียงเพราะคำล่ำลือโดยไม่คิดจะพิสูจน์หรือไร แล้วท่านล่ะ ท่านจอมเวท ท่านคิดว่าข้าจะมีอำนาจสะกดท่านให้หลงใหลได้เชียวหรือ ?” นางเอ่ยถามมาร์รานราวกับจะอ่านใจที่เต็มไปด้วยความกังขาของเขาได้ ใช่ ใจหนึ่งเขายังแคลงใจเพียงแค่มองดูผู้หญิงคนหนึ่งจะทำให้ผู้เรืองเวทอย่างเขาคลั่งไคล้ได้เชียวหรือ ?
“ดูเพื่อนท่านคนนั้นซิ เขาไม่เห็นเป็นอะไรซักนิด เขามองข้าสบตาข้าจัง ๆ ด้วยซ้ำไป”
เบนดาฮาร่าหมายถึงเซเนตตราที่ยังยืนมองอยู่โดยไม่หลบสายตา มาร์รานและโซเนปหันมองผู้ที่ถูกเอ่ยถึงแล้วก็เห็นว่าที่อีกฝ่ายพูดนั้นเป็นความจริง
“เจ้าไม่เป็นอะไรหรือเซเนต?” โซเนปเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“ไม่ ข้าไม่เป็นอะไรนี่”
“เห็นไหม ท่านกลัวผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างข้าด้วยหรือท่านจอมเวท ?” น้ำเสียงนั้นยั่วเย้า
“ข้าไม่ได้กลัวเจ้า!.......” มาร์รานเอ่ยแล้วก็ตกตะลึงตาค้างชายหนุ่มมองสบสายตาทรงอำนาจนั่นเข้าอย่างจัง เสียงหัวเราะอย่างสาสมใจดังก้องทะเลทรายอันเวิ้งว้าง
“ช่างไร้เดียงสากันจริง ๆ” เซเนตตราเห็นท่าไม่ดีหันไปจะปรึกษากับโซเนปแต่อีกฝ่ายก็ดันมีอาการเดียวกันกับสามหนุ่มเข้าเสียอีก เสร็จกันเจ้าจอมปราชญ์นี่ก็หลงใหลนางเข้าอีกคนแล้ว
“เซเนต เกิดอะไรขึ้น ?” เสียงลาเซียร้องถามยืนมองภาพเบื้องหน้าอย่างงงงัน
“ลาเซีย นางคือเบนดาฮาร่า ภูตแสงจันทร์” เซเนตตราเตือน ลาเซียเรียกคทามากระชับไว้ในมือทันที
“ช่างน่าเสียดาย เสน่ห์ของข้าใช้ไม่ได้กับผู้หญิง” เบนดาฮาร่าเอ่ยยิ้ม ๆ
“แล้วก็ใช้ไม่ได้กับข้าด้วย!” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น ทำให้รอยยิ้มสนุกนั้นแปรไป
ร่างสูงของเจ้าชายซาร์ลูมานก้าวลงมาจากรถม้า ดวงตาสีน้ำเงินเข้มฉายแสงกล้า
“โอ้! คณะของเจ้านี่ช่างมีเรื่องให้ข้าประหลาดใจหลายอย่างจริง มีทั้งเด็กหนุ่มและชายหนุ่มที่ไม่หลงใหลข้าด้วยหรือนี่...จุ๊...จุ๊....แถมชายหนุ่มคนนั้นยังเป็นคนที่รอดชีวิตจากทรายพิษของข้าเสียด้วย” รอยยิ้มถูกใจฉายอยู่บนใบหน้าอันงดงามนั้น
“ข้าชักจะสนใจเจ้าซะแล้วสิ เจ้าทำยังไงถึงถอนพิษของข้าได้ ?”
“พิษอะไร ?” เจ้าชายซาร์ลูมานไม่เข้าใจ
“แสดงว่ารอดทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ตัวว่าถูกพิษซินะ นี่สิช่างน่าสนใจจริง ๆ” แววตานั้นฉายแววพึงพอใจเหมือนเห็นของเล่นชิ้นใหม่
“ใครกันหนอที่เก่งขนาดถอนพิษของข้าได้”
“พูดมาก คลายมนต์สะกดพวกเราเดี๋ยวนี้!” เจ้าชายซาร์ลูมานสั่ง
“ดุจริง ๆ ใจคอท่านจะทำร้ายหญิงสาวบอบบางอย่างข้าได้เชียวหรือ ข้าไม่มีอาวุธอะไรอยู่ในมือด้วยซ้ำ”
“ข้าสั่งให้เจ้าคลายมนต์สะกด! นังปีศาจ” คฑาสีเงินปรากฏอยู่ในมือเจ้าชายผู้เย็นชาอีกครั้งหนึ่ง
“ช่างทำตัวไม่น่ารักเอาซะเลย ข้าคงต้องสั่งสอนให้เจ้ารู้จักมารยาทของสุภาพบุรุษซะบ้างแล้ว” นางบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์
“ท่านจอมเวท ท่านช่วยสั่งสอนเขาแทนข้าหน่อยซิ” นางเอ่ยสั่งมาร์ราน ที่พอขาดคำพ่อมดขาวแห่งนาดีนก็เรียกคฑาออกมาเล่นงานเจ้าชายซาร์ลูมานทันที !
“แล้วข้าจะทำยังไงดีกับเด็กหนุ่มผู้ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา กับหญิงสาวที่ข้าไม่ชอบหน้าดีนะ”
“นังปีศาจ แกทำอะไรเจ้าชายซาร์กอน!” ลาเซียยามนี้ไม่เหลือความอ่อนหวานอ่อนโยนเหมือนในยามปกติ ดูเหมือนสาวเจ้าจะพร้อมลุยเต็มที่เช่นกัน คฑาในมือชี้ตรงมาที่ร่างเบนดาฮาร่าที่ไม่ได้มีท่าทีเตรียมพร้อมจะต่อสู้เลยแม้แต่น้อย
“อ้อ! ข้านึกออกแล้ว” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า
“เจ้าชายซาร์กอน” ร่างสูงสง่าของเจ้าชายซาร์กอนองค์รัชทายาทแห่งวินเดเนียเดินมาตามเสียงเรียกอย่างว่าง่าย
“สั่งสอนนางให้ข้าหน่อยซิ”
เจ้าชายรัชทายาทแห่งวินเดเนียเดินตรงเข้ามาหาลาเซียอย่างประสงค์ร้าย แววตาว่างเปล่าไร้ความทรงจำ มือขวายื่นออกข้างลำตัว ดาบประจำตัวปรากฏอยู่ในมือ เท้าทั้งคู่ยังก้าวตรงมาที่ลาเซียท่าทางเอาจริง
“เจ้าชายซาร์กอน ท่านจำข้าไม่ได้หรือ ข้าลาเซียไงคะ” ลาเซียถอยหนี ในขณะที่เซเนตตราพยายามเรียกชื่อเจ้าชายซาร์กอนเพื่อให้ได้สติ แต่ก็ไร้ผล ดาบนั้นถูกยกขึ้นสูงเตรียมฟันลงมา
“ลาเซียระวัง!” เซเนตตราตะโกนสุดเสียง ลาเซียเบี่ยงตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด คฑาในมือเรืองแสง
“ข้าไม่อยากสู้กับท่านนะ!” ร่างสูงยังเดินเข้าหาอย่างมุ่งร้าย ประกายดาบถูกวาดฟันลงมาอีกครั้ง คราวนี้เฉียดแก้มนวลของลาเซียไปนิดเดียว
เมื่อไม่เห็นท่าทางที่จะคืนสติได้ ลาเซียก็เริ่มร่ายเวทเพราะถ้าหากไม่สู้ครั้งต่อไปคมดาบอาจจ่ออยู่ที่คอเธอ ศึกระหว่างนักดาบกับจอมเวทสาวจึงเริ่มขึ้นอีกหนึ่งคู่
เซเนตตรามองสองคู่ที่กำลังโรมรันกันอยู่อย่างดุเดือด ไม่รู้จะช่วยใครดี ดูเหมือนทั้งเจ้าชายซาร์ลูมานและลาเซียจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะต้องคอยยั้งมือ ในขณะที่อีกฝ่ายทุ่มพลังอย่างเต็มที่หวังทำลายให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว
“เจ้าหนุ่มน้อย ก่อนจะห่วงคนอื่น ห่วงตัวเองซะก่อนเถอะ” เสียงหวานแกมหัวเราะนั้นเอ่ยขึ้นทำให้ เซเนตตราหันกลับไปมอง
“ข้าหาคู่มือให้เจ้าได้แล้ว จอมปราชญ์ที่แสนจะรู้มากคนนี้เป็นยังไง” ขาดคำของนาง โซเนปก็ขยับเข้ามาทันที
“ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้านะโซเนป!” เซเนตตราเอ่ยเตือน จ้องอีกฝ่ายเขม็ง แต่ดูเหมือนว่าโซเนปจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น หมัดหนัก ๆ เฉียดปรายคางไปอย่างหวุดหวิด
“เฮ๊ย! โซเนป นี่ข้าเองนะ ตั้งสติให้ดีซิ” อีกฝ่ายไม่ฟังเสียง ยังป่ายซ้ายขวาจนหลบแทบไม่ทันโดนบ่อยเข้าก็ชักจะหงุดหงิด
“ได้! ถึงข้าจะไม่ฉลาดเหมือนเจ้า แต่ถ้าเรื่องสู้กันแบบตัวต่อตัวละก้อ ข้าไม่มีทางแพ้เจ้าแน่!”
เซเนตตราเริ่มโมโหเพราะโดนเข้าไปหลายทีเลยซัดกลับไปบ้าง ต่างฝ่ายต่างฟัดกันนัวเนียไปอีกคู่หนึ่ง ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของหญิงสาวเจ้าของนามเบนดาฮาร่า
“สนุกมากใช่ไหม ?” เสียงถามเรียบ ๆ ดังมาจากเบื้องหลัง
เบนดาฮาร่าหันขวับกลับไปมอง ร่างสูงยืนกอดอกมองตรงมา ใบหน้านั้นเจือด้วยรอยยิ้มนิด ๆ นางอึ้งไปชั่วครู่ เพราะไม่รู้สึกมาก่อนว่ายังมีชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งอยู่ในขบวนเดินทางนี้ด้วย และที่สำคัญ เจ้าหนุ่มคนนั้นมาปรากฏตัวเบื้องหลังของนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
“ตายจริง ท่าทางเสน่ห์ของข้าจะเสื่อมลงกระมัง ถึงไม่อาจทำให้หนุ่ม ๆ สามคนหลงใหลข้าได้” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเห็นได้ชัดว่าแกล้งทำ
“เสน่ห์ของเจ้ายังมีอยู่เต็มเปี่ยมเบนดาฮาร่า เพียงแต่มันใช้กับข้าไม่ได้ผลเท่านั้นแหละ” ร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้ สายตายังไม่คลาดจากใบหน้างุนงงประหลาดใจของภูตสาว
“รู้มั้ย ทำไมเจ้าถึงทำให้เจ้าชายซาร์ลูมานหลงใหลไม่ได้” ชายหนุ่มเอ่ยถามและไม่รอคำตอบเพราะบอกต่อไป
“ในบรรดาพวกเราที่เดินทางมาครั้งนี้ คนที่จิตใจเข้มแข็งที่สุดก็คือเจ้าชายซาร์ลูมาน จิตอันแน่วแน่ มั่นคง ยากจะคลอนแคลนนี่แหละที่เสน่ห์อันน่าหลงใหลของเจ้าไม่อาจเอาชนะได้ ส่วนเจ้าชายซาร์กอนนั้นจิตใจดีเกินไป อ่อนโยน ช่างสงสารเกินไปจึงถูกครอบงำได้ง่าย ๆ ในขณะที่จอมเวทอย่างมาร์รานแม้จะมีพลังใจที่เข้มแข็ง แต่ก็ถูกทำให้เคลือบแคลงสงสัย จิตจึงไม่สงบพอจะต้านทานอำนาจของเจ้าได้ ซึ่งก็เหมือนกับโซเนป”
“เจ้าเป็นใคร ?”
“ก็แค่คนธรรมดา”
“แต่มีจิตที่เข้มแข็งเกินกว่าที่ข้าจะครอบงำได้ซินะ”
“เปล่า ข้าเป็นคนใจอ่อน อ่อนแอที่สุดในกลุ่มต่างหาก เพราะถ้าข้าไม่ใจอ่อนก็คงไม่มายืนอยู่ที่นี่หรอก”
“งั้นเพราะอะไรเจ้าถึงไม่เหมือนผู้ชายคนอื่น ๆ ล่ะ” เบนดาฮาร่าถามด้วยความสนใจ และไม่เข้าใจ
“เพราะข้าเห็นตัวจริงของเจ้า!”
“เห็นตัวจริงของข้า !?” ภูตสาวหัวเราะก้อง
“ก็นี่ไงตัวจริงของข้า” ร่างบางระหงยืดตัวตรงมือเหยียดออกเพื่อให้อีกฝ่ายมองรูปโฉมอันสครวญของตนให้ชัด ๆ ทรวดทรงองค์เอวที่มองเห็นท่ามกลางแสงจันทร์นั้นหาที่ติไม่ได้เลย
“หลายคนคิดว่าทะเลทรายแสงจันทร์เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพราะทะเลทรายแห่งนี้มีกลางคืนนานกว่ากลางวัน และเพราะแสงจันทร์ที่สาดส่องสว่างราวกลางวัน ไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุที่มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะเจ้า” เฮรอสบอกต่อไปเรื่อย ๆ สายตาที่มองภาพเบื้องหน้าเหมือนเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีความหมายใด ๆ
“ดูเหมือนเจ้าจะรู้อะไรมากเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปนะ”
“เพราะเจ้าจะคงรูปโฉมและมนต์เสน่ห์ไว้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์แบบนี้เท่านั้น หากในคืนฟ้ามืด และเวลากลางวันอันร้อนแรงเจ้าก็จะอยู่ในสภาพ......” คำพูดละไว้เพียงแค่นั้น หากร่างสูงกลับแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันใสกระจ่าง
พลันดวงจันทร์ที่ทอแสงนวลกลับถูกหมู่เมฆเคลื่อนเข้ามาบดบังอย่างรวดเร็วจนแสงนวลมืดมน เสียงกรีดร้องดังก้องทะเลทรายอันเงียบสงัด ร่างที่งดงามเริ่มแปรเปลี่ยนมันขยายใหญ่ขึ้น ๆ ลำตัวส่วนบนยืดยาวออกไป สองขาที่ใช้หยัดยืนเมื่อครู่กลายเป็นท่อนยาวใหญ่ เกร็ดสีเงินวาววับแม้อยู่ในความสลัวของแสงจันทร์ ดวงตาสีครามที่เคยทรงอำนาจบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ใบหน้ามีเขี้ยวงอกโง้งคมวับ ลำแขนที่เคยเรียวงามมีเกล็ดแข็งผุดขึ้นมาพร้อมกรงเล็บอันแหลมคม
ทะเลทรายปั่นป่วนด้วยพลังอำนาจอันมหาศาลของภูตแสงจันทร์ที่ขณะนี้เปลี่ยนร่างเป็นครึ่งคนครึ่งงูยักษ์! ที่เคลื่อนตัวแต่ละครั้งพาให้แผ่นดินรอบด้านสั่นไหว
สามคู่ที่โรมรันกันอยู่ถึงกับชะงักตกตะลึง มนต์เสน่ห์ที่เคยสะกดให้ไหลหลงหายวับไปพร้อมกับการปรากฏร่างจริงของภูตแห่งแสงจันทร์
ความคิดเห็น