ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Song of Starlight : ลำนำแห่งแสงดาว

    ลำดับตอนที่ #10 : เบนดาฮาร่า

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 50


     

     

    บทที่ 10

    เบนดาฮาร่า

     

    เซเนตตรา

     

    เซเนตตรา

     

    ใครกัน    เสียงใครเรียกชื่อเธอ     เซเนตตราลืมตาตื่นเพราะเสียงเรียกที่ไม่คุ้นเคย     ภาพที่เห็นคือภาพดวงดาวดารดาษเต็มท้องฟ้า    แสงดาวกระพริบระยิบระยับใกล้จนแทบจะเอื้อมมือสัมผัสได้     เธอลุกขึ้นนั่ง  มองรอบกายอย่างงง ๆ     รอบตัวเธอมีแต่ความมืดมิด   แสงเพียงหนึ่งเดียวที่มองเห็นขณะนี้คือดวงดาวบนฟากฟ้า

     

    ที่นี่ที่ไหน ?     เธอถามตัวเอง   เธอไม่เคยเห็นสถานที่แบบนี้มาก่อน    และเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

     

    เซเนตตรา       เสียงเรียกนั้นอีกแล้ว  เสียงใครกัน     เซเนตตราลุกขึ้นยืนพยายามจับทิศทางของเสียงเรียก   แล้วท่ามกลางความมืดมิด  ดวงไฟสีทองก็สว่างขึ้น ณ จุดหนึ่ง  ดุจจะนำทางให้     หญิงสาวก้าวเท้าตามไป  เสียงเรียกชื่อเธอดังมาจากทางนั้น! 

      

    ดวงไฟสีทองยังร่องลอยต่อไปโดยทิ้งระยะห่างจากเธอพอควร     ไม่ว่าเธอจะเร่งฝีเท้าเท่าไหร่ก็ไม่อาจตามทัน   หากพอเธอหยุดพักเจ้าดวงไฟนั้นก็ดูเหมือนจะหยุดลอยนิ่งดั่งรอคอย  พอเธอเริ่มก้าวต่อมันก็ลอยนำห่างไปอีก      

     

    จู่ ๆ ดวงไฟที่ลอยนำทางมาตลอดก็วูบหายไปปล่อยเธอทิ้งไว้ในความมืดตามลำพัง   เซเนตตราหันมองรอบทิศเพื่อมองหาแต่มิอาจมองเห็นสิ่งใด

     

    เซเนตตรา    เสียงเรียกนั้นอีกแล้ว

     

    ใคร!   ข้าถามว่าใคร    ออกมานะ

     

    หันมาทางนี้สิเซเนตตรา     เธอหันตามเสียงแต่แล้วก็ต้องตกตลึงตาค้างในสิ่งที่เห็น

     

    เบื้องหน้าของเธอคือปราสาทสีขาวขนาดใหญ่กลางเกาะที่มีห้วงน้ำล้อมรอบ     รูปทรงการก่อสร้างงดงามเกินกว่าปราสาทใดที่เธอเคยเห็น      นอกจากนี้ตัวปราสาทยังส่องประกายดั่งอัญมณีมีค่าวับวามท่ามกลางความมืด

     

    ศิลาแห่งแสง      จู่ ๆ เสียงทุ้มนุ่มนวลก็ดังขึ้นข้าง ๆ     เซเนตตราหันขวับไปมอง       ร่างชายคนหนึ่งในชุดขาวยาวยืนอยู่ใกล้กับเธอ    ลักษณะการแต่งกายคลับคล้ายว่าจะเคยเห็น   ใช่ต้องเคยเห็นแน่ ๆ    ลวดลายการปักและเล่นลายแบบนี้เป็นลักษณะเฉพาะของเสื้อผ้าแบบบาลันเทียร์     และคนที่ใส่ชุดขาวยาวแบบนี้ในบาลันเทียร์มีเพียงคนเดียว  คือผู้อยู่ในฐานะจอมปราชญ์!

     

    แต่จอมปราชญ์แห่งบาลันเทียร์นั้นเธอรู้จัก    ไม่ใช่ผู้ชายคนนี้แน่นอน

     

    ท่านเป็นใคร ?     เซเนตตราเอ่ยถาม   น่าแปลกที่เธอไม่รู้สึกกลัวชายผู้นี้แม้แต่น้อย   

     

    เจ้ารู้จักข้า    น้ำเสียงนุ่มนวลตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม      น่าแปลกอีกนั่นแหละ  ทั้ง ๆ ที่รอบกายเธอมืดจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น   แต่เธอกลับเห็นผู้ชายคนนี้ได้ชัดเจนแม้กระทั่งรอยยิ้ม

     

    อย่าสงสัยว่าข้าเป็นใคร   จงสงสัยว่าข้ามาทำไมจะดีกว่า

     

    แล้วท่านมาทำไม ?      เซเนตตราย้อนถามทันควัน

     

    เจ้าเห็นปราสาทนั่นใช่ไหม       ชายแปลกหน้าถามและไม่รอคำตอบเพราะเขาพูดต่อในทันที

     

    จดจำไว้ให้ดี    ที่ที่เจ้ายืนอยู่นี่คือแผ่นดินแห่งแสงดาวที่เจ้าต้องตามหา   แผ่นดินที่ถูกลืม

     

    ข้าไม่เข้าใจ    ท่านพูดเรื่องอะไร ?

     

    ในความยาวนานแห่งกาลเวลา    ผู้คนต่างพากันลืมเลือนดินแดนแห่งนี้    ช่างน่าเศร้านัก

    หมายความว่ายังไง !?    เซเนตตราเริ่มโมโหอีกฝ่ายที่พูดจาไม่รู้เรื่อง

     

    หมดสิ้นทุกความหวัง       หากว่ายังคงหลงลืม    ชายผู้นั้นเอ่ยเอื้อนคำทำนายแห่งมหาปราชญ์ดาไรอัส

     

    กงล้อแห่งกาลเวลาได้หมุนเวียนทับซ้อนกลับมาอีกครั้ง.....แล้วครั้งนี้มันจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม....    

    ชายหนุ่มลึกลับถอนใจยาว     สายตามองเหม่อ      

     

    เขาลืม    เขาเลือน   ตัวข้า

    เจ็บนัก     เจ็บหนา     ใจเอ๋ย

    มีเพียง      แสงเจ้า     ดาวเอย

    ไม่เคย      หลบเร้น     ลืมเลือน

     

    จำไว้  เซเนตตรา     จำลำนำบทนี้ไว้       ชายหนุ่มผู้นั้นหันมามองเธอที่ยังงุนงงไม่หายกับกริยาแปลก ๆ ที่ชายหนุ่มผู้นี้แสดงออก

     

    ท่านยังไม่ตอบข้าว่ามาทำไม ?

     

    ข้านำความหวังสุดท้ายของชาวพิภพมาให้เจ้า

     

    ท่านเป็นใคร ?

     

    ผู้ขลาดกลัว     ผู้สำนึกผิด    และผู้โง่เขลาที่สุดในแดนพิภพ      เซเนตตราไม่เข้าใจคำพูดของชายแปลกหน้าผู้นี้แม้แต่น้อย

     

    ซักวันเจ้าจะรู้ว่าข้าเป็นใคร   และเข้าใจว่าทำไมข้าถึงพูดแบบนั้น    หมดเวลาของข้าแล้ว      ชายผู้นั้นบอกแล้วหันหลังจากไป    เซเนตตราขยับจะตามแต่แล้วก็ต้องตกตลึงตาค้างไปอีกครั้งเพราะร่างชายหนุ่มที่เธอเห็นเมื่อแรกกลับกลายเป็นดวงไฟสีทองลอยห่างหายไปในความมืด

     

     

    เซเนต!.....เฮ๊ย.....เซเนต...ตื่นได้แล้ว      เสียงเรียกและการเขย่าตัวที่เริ่มจะรุนแรงขึ้นทุกทีทำให้คนถูกเรียกต้องยอมตื่นไม่อย่างนั้นอาจจะเคล็ดขัดยอกเพราะการเขย่าปลุกแบบไม่บันยะบันยังของเฮรอส

     

    ข้าตื่นแล้ว  พอได้แล้ว!”    เซเนตตราร้องบอกพลางผลักเจ้าคนขยันปลุกให้ห่างออกไป

     

    ปลุกข้าทำไม !?      เสียงถามอารมณ์เสียขนาดหนัก      เจ้าบ้า!  ยังไม่ทันจะเข้าใจอะไรดันขัดจังหวะซะได้

     

    ลืมหูลืมตาซะมั่ง     แดดร้อนเปรี้ยงขนาดนี้หลับเข้าไปได้    แล้วหลับไม่หลับเปล่าดันละเมออะไรก็ไม่รู้   หนวกหู

     

    เฮรอสบ่นแต่ไม่ได้จริงจังนัก    เซเนตตราหันมองรอบตัว  แดดร้อนจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า   เธอจำได้ว่าทั้งคณะหยุดพักที่โอเอซีสเล็ก ๆ  หลังจากนั้นก็ไม่รู้ตัวว่าวูบหลับไปได้ยังไง 

     

    ทีเจ้ายังหลับได้แล้วข้าจะหลับมั่งมันแปลกตรงไหน    เซเนตตรายังไม่วายเถียง   

     

    ถึงข้าจะหลับ  ข้าก็หลับเงียบ ๆ ไม่รบกวนใครเหมือนเจ้า

     

    นี่เจ้า....

     

     

    เจ้าสองคนจะหยุดเถียงกันซะทีได้มั๊ย     มาร์รานเริ่มรำคาญจึงหันมาดุ   ไอ้คู่นี้มันเป็นคุยกันดี ๆ ไม่ได้นานชอบหาเรื่องทะเลาะกันอยู่เรื่อย   เซเนตตรายังมองเฮรอสด้วยความขุ่นเคืองแกมหมั่นไส้แต่ก็ยอมสงบปากสงบคำส่วนคนถูกมองยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้

     

    เจ้าฝันงั้นหรือ ?  ฝันว่าอะไรลองเล่าให้ฟังหน่อยซิ       จู่ ๆ โซเนปก็เอ่ยถามหลังจากนิ่งฟังมานาน

     

    ก็แค่ฝันว่าอยู่ในสถานที่แปลก ๆ  รอบตัวมืดมองไม่เห็นแม้แต่แสงดาว  แล้วก็มีปราสาทใหญ่  ใหญ่มาก  สวยมากด้วย  แต่มันแปลกตรงที่ข้ามองเห็นได้ปราสาทนั่นได้ชัดเจนทั้งๆ ที่บริเวณโดยรอบมืดสนิท   แล้วข้าก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง  เขาพูดอะไรแปลกๆ

     

    พูดอะไร ?    โซเนปถามอย่างสนใจ    เซเนตตราหลับตาเพื่อทบทวนคำพูดที่ได้ฟังจากชายลึกลับ

     

    ข้าก็จำไม่ค่อยได้    รู้แต่ว่าผู้ชายคนนั้นกล่าวถึงคำทำนายของมหาปราชญ์ดาไรอัส....ดินแดนที่ถูกลืม....   ความหวัง  แล้วก็ลำนำอะไรก็ไม่รู้...ข้า...ข้าจำไม่ได้แล้ว    สีหน้าโซเนปใช้ความคิดอย่างไม่ค่อยได้เคยเห็นบ่อยนัก   จากคำพูดของเซเนต   เหมือนกับว่าผู้ชายคนนั้นต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง

     

    อ้อ   ข้าถามว่าเขาเป็นใครแต่เขาไม่ยอมบอกชื่อบอกแต่ว่าเขาคือผู้ขลาดกลัว   ผู้สำนึกผิด  และผู้โง่เขลาที่สุดในแดนพิภพ

     

    เหมือนข้าเคยได้ยินประโยคแบบนี้ที่ไหน     ไม่ใช่สิ  ไม่ใช่คำพูด  ข้าเคยอ่านเจอมากกว่า    โซเนปพยายามทบทวนแต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

     

    มีอะไรเหรอ ?   เซเนตตราถามอย่างอยากรู้   แต่ไม่ได้รับคำตอบ   มาร์รานเป็นฝ่ายไขข้อข้องใจให้

     

    ความฝัน  บางครั้งก็เป็นเครื่องบอกเหตุ   และถ้าเราไขปริศนาจากความฝันได้เราก็อาจจะได้รู้อะไรอีกหลายอย่าง   เพียงแต่ที่เจ้าเล่ามาเรายังไม่สามารถจับเงื่อนงำอะไรได้เลย     

     

    เสียดายข้าจำลำนำบทนั้นไม่ได้       เซเนตตราบอกอ่อย ๆ อย่างรู้สึกผิด  ชักสมเพชตัวเองหนักขึ้นทุกที   แค่ความฝันง่าย ๆ แค่นี้ทำไมถึงจำไม่ได้  โง่จริง!

     

    ไม่เป็นไร   ของมันลืมกันได้    โซเนปบอกอย่างปลอบใจ

     

    ก็แค่ฝัน    ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก     เฮรอสบอกอย่างไม่เชื่อถือแล้วลุกเดินไปนั่งคุยกับเจ้าชายซาร์ลูมานที่นั่งแยกตัวไม่สุงสิงกับใครในกลุ่ม

     

     

    หลังจากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ  ดูเหมือนต่างคนต่างก็มีเรื่องให้ครุ่นคิด   จู่ ๆ พลันแสงแดดที่แผดแรงเจิดจ้าก็วูบดับ    ทั่วผืนทรายตกอยู่ในความมืดชนิดที่มองอะไรไม่เห็นแม้แต่ฝ่ามือของตนเอง

     

    เกิดอะไรขึ้น ?     เซเนตตรามองรอบตัวอย่างงง ๆ   เธอมองอะไรไม่เห็น   มืดยิ่งกว่าในคืนที่มืดมิด    ความมืดนั้นมาพร้อมกับความอึดอัดกดดันจนศีรษะแทบจะระเบิด   ทุกคนหายไปไหนกันหมด! 

     

    เฮรอส    โซเนป     เจ้าชายซาร์กอน!”     เซเนตตราลองส่งเสียงเรียก

     

    ท่านมาร์ราน    เจ้าชายซาร์ลูมาน   ลาเซีย   อาเลฟ    พวกท่านอยู่ที่ไหนกัน       เงียบ   ไร้เสียงตอบรับใด ๆ จากบุคคลที่ร้องเรียก

     

    เซเนตตราเดินสะเปะสะปะ   สายตาทั้งสองพยายามเพ่งมองฝ่าออกไปในความมืด   แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์    เธอไม่พบเจอใครซักคน!  

     

     

     

    พลันที่ความมืดครอบคลุมลงมา   เจ้าชายซาร์ลูมานก็ร่ายเวทปรากฏม่านพลังขึ้นมาเป็นเกราะป้องกันตน  สายตาพยายามเพ่งมองไปรอบด้านแต่ก็มองอะไรไม่เห็นทั้งสิ้น    พลังของเขายังไม่ฟื้นคืนเป็นปกติ   ไม่อาจใช้เวทสลายความมืดนี้ได้    ใครกันที่มีพลังสูงถึงขนาดดับดวงอาทิตย์เปลี่ยนวันให้เป็นคืน    

     

     

    ทางด้านโซเนป   จอมปราชญ์หนุ่มร่ายเวทสร้างเกราะป้องกันตัวแล้วก็ทำได้เพียงสงบใจรอเวลาให้ทุกอย่างกลับเป็นปกติด้วยฝีมือของเหล่า อัศวินผู้กล้า  ท่านใดท่านหนึ่งในคณะที่มาด้วยกัน    เรื่องความคิดใช้เวทแก้ไขนั้นเขาทำไม่ได้  ด้วยรู้ขีดจำกัดของพลังตัวเองดี     ชายหนุ่มหลับตาลงเพื่อลองพยายามหาต้นเหตุที่ทำให้เกิดความวิปริตนี้  และค้นหาคนอื่นไปด้วย

     

     

    เจ้าชายซาร์กอน  ลาเซีย  และอาเลฟ  ยืนหันหลังชนกัน  เบื้องหน้าของคนทั้งสามคือคทาประจำตัวที่เรืองแสงประสานครอบคลุมบุคคลทั้งสามไว้     แสงสว่างที่ปรากฏพยายามผลักดันความมืดที่แผ่ครอบคลุมให้ล่าถอยแต่ดูเหมือนว่าแค่พยายามรักษารัศมีของแสงสว่างไว้ก็ยังยาก!

     

    ร่างสูงในชุดขาวยืนอยู่บนผืนทรายที่ร้อนระอุด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มพึงพอใจกับผลงานเบื้องหน้า   ไอมืดแผ่ครอบคลุมเขตอาคมของเขาที่สร้างไว้เพื่อเตรียมรอรับคณะของเจ้าชายซาร์กอน      ความมืดที่จะค่อย ๆ กลืนกินผู้ที่ถูกครอบคลุมไว้ทีละน้อย ๆ ในที่สุดก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดมิดนั้น

     

    ท่านคิดว่าพวกมันจะต้านทานไอมารได้นานแค่ไหน ?      อัลซัสที่ยืนอยู่เบื้องหลังเอ่ยถาม

     

    ไม่มีใครต้านทานอำนาจแห่งท่านจอมมารได้!    มันทนได้อีกไม่นานหรอก    เดมาลตอบอย่างมั่นใจ   ไอมารที่ท่านจอมมารมอบให้เขานั้นยากที่ใครจะต้านทานได้

     

    อัลซัสเจ้าเข้าไปเอาตัวไอ้เด็กนั่นมา    ท่านจอมมารต้องการตัวมัน     เดมาลสั่งโดยที่ไม่ละสายตาจากเขตอาคมของตน   อัลซัสน้อมคำนับแล้วค่อย ๆ กลายเป็นกลุ่มควันหายเข้าไปในความมืดมิดเบื้องหน้า

     

     

    เป็นฝีมือเจ้านี่เอง      เสียงเรียบ ๆ ดังจากเบื้องหลัง   เดมาลหันขวับกลับไปมอง   

     

    มาร์ราน!”        ร่างสูงค้อมศีรษะลงนิดหนึ่งเหมือนเป็นการทักทายกันตามปกติ     ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังแย้มยิ้ม  หากดวงตาสีฟ้าที่เคยฉายแววอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจนั้นกลับสงบนิ่ง  ว่างเปล่าจนดูน่ากลัว

     

    ไม่ได้พบกันนานนะเดมาล    เจ้ายังถนัดวิธีลอบกัดเหมือนเดิม

     

     

    ข้าไม่แปลกใจซักนิดที่เป็นเจ้า     ฝีมือก้าวหน้าขึ้นมากเลยนี่     เก่งขนาดหนีจากเขตอาคมของข้าได้เชียว   

     

       เดมาลเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม   

     

    สลายเขตอาคมนั่นซะ       มาร์รานสั่งเสียงเรียบ   หากคำตอบที่ได้รับคือเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังกึกก้อง

     

    เจ้าคิดว่ากำลังพูดอยู่กับใคร  มาร์ราน   พ่อมดขาวแห่งนาดีน        เจ้าคิดว่าการที่ใคร ๆ ยกย่องเจ้า   แล้วจะทำให้เจ้าสั่งข้าได้งั้นเหรอ!”      เดมาลยิ้มเยาะ

     

    นายข้ามีเพียงผู้เดียว    ต่อให้เซนรอนก็สั่งข้าไม่ได้!”

     

    ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ!”      ขาดคำคทาสีขาวก็ปรากฏในมือของผู้มีฉายา  พ่อมดขาวแห่งนาดีน     ในขณะที่เดมาลก็เตรียมพร้อมอยู่แล้วเช่นกัน

     

    ร่างสองร่างยืนประจันหน้ากัน    ผืนทรายที่เหยียบยืนบนพื้นรายรอบหมุนวนแรงขึ้น ๆ   ปั่นป่วนจากการปะทะกันของผู้เป็นจอมเวททั้งสองคน!

        

     

     

    หายไปไหนกันหมด!   ขานรับข้าหน่อยได้ไหม     เซเนตราพึมพำอย่างอ่อนแรง   สติเริ่มเลือนราง      เธอป่ายมือสะเปะสะปะดังจะหาที่ยึดเหนี่ยว    หากแล้วในท่ามกลางความมืดมือหนึ่งก็เอื้อมมาคว้ามือเธอไว้  สติสัมปชัญญะที่ใกล้จะขาดสะบั้นลงถูกกระแสอันอบอุ่นปลอดภัยแล่นปราดจากอุ้งมือที่สัมผัสรินไหลไปทั่วร่าง    ความมืดที่ครอบคลุมอยู่เมื่อครู่ดูเหมือนจะจางลงจนน่าประหลาดใจ   เซเนตตราคว้ามือนั้นกุมไว้แน่น

     

    เซเนต   เป็นไงบ้าง ?      เสียงถามอันคุ้นหูดังขึ้นใกล้ตัว

     

    เฮรอส!  เจ้าใช่ไหม ?     เซเนตตราร้องถามออกไปด้วยความดีใจ    แม้ยังมองไม่เห็นตัวขอแค่เสียงยืนยันให้แน่ใจก็ยังดี

     

    ใช่  เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ?   

     

    ไม่  ข้าไม่เป็นไร    แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ ?

     

    ไม่รู้เหมือนกัน

     

    มันเกิดอะไรขึ้น   ทำไมจู่ ๆ ถึงมืดแบบนี้

     

    ถามข้า....แล้วเจ้าคิดว่าข้ารู้รึไง    เฮรอสถามกลับง่าย ๆ น้ำเสียงติดจะหัวเราะเสียด้วยซ้ำ   คล้ายไม่ได้ทุกข์ร้อนกับสภาพวิปริตรอบตัวที่เป็นอยู่ตอนนี้เลยแม้แต่น้อย

     

    ถามข้าดีกว่าไหม      เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น      กลุ่มควันสีเทาค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นรูปร่างคน

     

    ภูตรับใช้      

     

    โอ้!   เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านชายเฮรอสอุตส่าห์รู้จัก    ข้าไม่คิดมาก่อนเลยนะนี่      อัลซัสเยาะหยันพลางเอ่ยต่อไป

     

    ใครจะคิดว่าท่านชายเสเพลอย่างท่านจะรู้อะไรดี ๆ กับเขาด้วย

     

    ข้ารู้มากกว่าภูตรับใช้ชั้นต่ำอย่างเจ้าจะคาดถึงเสียอีก     เฮรอสบอกแกมหัวเราะไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย   ตรงข้ามดูเหมือนจะกำลังสนุกอยู่ด้วยซ้ำ    เซเนตตรามองเฮรอสสลับกับผู้มาใหม่อย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก   

     

    อะไรล่ะที่ข้าจะคาดไม่ถึง       เจ้าภูตรับใช้ย้อนถามอย่างนึกสนุก

     

    ก็อย่างเช่นวิธีจัดการกับภูตรับใช้โง่ ๆ อย่างเจ้า

     

    โอ้!...ข้าชักอยากจะเห็นฝีมือของเจ้าแล้วสิ     อัลซัสว่าพลางหัวเราะไม่เชื่อถือ   

     

    ไม่จำเป็นต้องถึงมือข้าหรอก    เซเนตเจ้าก็ทำได้     ตอนท้ายเฮรอสหันมาทางเซเนตที่ยืนงงอยู่   เฮรอสเอียงหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหู

     

    ตั้งจิตของเจ้าให้มั่น  รวมเป็นหนึ่งเดียว   อธิษฐานต่อลูกแก้วบาลันเทียร์    ด้วยพลังแห่งศรัทธา   แสงเจิดจ้าจงกลับคืน   เซเนตตราขยับจะแย้งแต่เฮรอสสำทับมาอีก

     

    ทำตามที่ข้าบอก      แม้จะไม่เข้าใจและไม่มั่นใจเลยว่าลูกแก้วบาลันเทียร์จะใช้การได้  แต่ในเมื่อเป็นความหวังเดียว  ลองดูก็ไม่เสียหายตรงไหน    เซเนตตราหลับตาลงเพื่อรวมจิตให้มั่นคง

     

    ว่าไง  ซุบซิบอะไรกันอยู่    คิดหรือว่าจะหนีพ้นจากข้าไปได้    หมดเวลาเล่นแล้ว    ข้าคงต้องขอตัวไปก่อนนะท่านชาย  หวังว่าท่านคงจะรู้วิธีเอาตัวรอดจากไอปีศาจนี่           อัลซัสว่าพลางหัวเราะร่า    มือหนึ่งเอื้อมมาจะคว้าตัวเซเนตหากยังไม่ทันจะแตะถูกแสงสีขาวเป็นประกายเจิดจ้าก็สว่างวาบบาดตา        แสงนั้นแผ่รัศมีออกไปเรื่อย ๆ มากขึ้น ๆ  ขับไล่ความมืดมิดที่ครอบคลุมอยู่ให้ค่อย ๆ สลายไป     

     

    อัลซัสล้มลงกับพื้นทรายเกลือกกลิ้งทุรนทุรายอย่างเจ็บปวด        เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้อง  ก่อนร่างของภูตรับใช้จะค่อย ๆ สลายไปเหลือเพียงกองธุลีดินสีดำแทรกปะปนอยู่บนพื้นทราย!

     

    จบสิ้น!”    เฮรอสบอกมองร่องรอยที่เหลือนั้นด้วยแววตานิ่งสนิท  ไร้ความรู้สึก  ช่างว่างเปล่าจนดูน่าหวาดหวั่น    เซเนตตรากระพริบตามองอีกครั้งหากแต่แววตาแบบนั้นเลือนหายไปแล้ว   เธออาจจะตาฝาดไปเอง   แสงแดดแผดแรงกระจ่างไปทั่วอณูบริเวณ        แต่ละคนต่างอยู่ในอาการงุนงงกับความแปรปรวนแบบฉับพลันนั้น

     

    เสียงอื้ออึงจากการปะทะกันด้วยเวทมนตร์ทำให้ต่างหายจากอาการงุนงง    ทุกสายตาหันไปทางต้นเหตุแห่งความปั่นป่วนที่กำลังโรมรันกันอยู่

     

     

     

    ดูเหมือนเขตอาคมที่ถูกทำลายจะมีผลกระทบกับเดมาล  เพราะทันทีแสงเจิดจ้ากระจายออกขับไล่ความมืดมิด  เจ้าของเขตอาคมก็ถึงกับกระอักออกมาเป็นเลือด   ร่างนั้นทรุดลงคุกเข่าอยู่บนพื้นทราย   คล้ายจวนเจียนจะสิ้นเรี่ยวแรง

     

    เป็นไปไม่ได้!    เขตอาคมของข้าถูกทำลายได้ยังไงกัน     เดมาลกระอักออกมาอีก

     

    เจ้าแพ้แล้วเดมาล       มาร์รานก้าวเข้ามา  คทาสีขาวชี้ไปเบื้องหน้า

     

    ไม่!  ข้าไม่แพ้    ข้าไม่มีทางแพ้   ท่านจอมมาร   ข้าไม่แพ้  ข้ายังไม่แพ้       เดมาลตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง  พื้นทรายรอบตัวก่อขึ้นเป็นกำแพงหมุนวนขวางกั้นระหว่างมาร์รานกับเดมาลไว้จนไม่สามารถทำอะไรได้

     

    พ่อมดขาวแห่งนาดีนลดมือที่ป้องหน้าลงเมื่อพายุทรายสงบ   เบื้องหน้าเขาคือความว่างเปล่าไม่เหลือร่องรอยใด ๆ  บนผืนทราย

     

     

    เป็นยังไงบ้าง ?    เจ้าชายซาร์กอนและคนอื่น ๆ ขยับเข้ามารุมล้อม

     

    ข้าไม่เป็นไร      มาร์รานบอก   แม้จะดูซีดเซียวไปบ้างเพราะเสียพลังไปมาก

     

    ต้องขอบใจท่านมากที่ทำลายเขตอาคม   ไม่อย่างงั้นพวกเราคงแย่

     

    ข้าไม่ได้ทำลายเขตอาคม    แค่สู้กับเดมาลก็แทบจะตึงมืออยู่แล้ว

     

    งั้นใครล่ะ ?       เงียบกันไปหมด      ในที่สุดเซเนตตราก็ตัดสินใจเอ่ยออกมา

     

    ข้าเอง

     

    เจ้า....เจ้าน่ะเหรอ ?     โซเนปย้อนถามอย่างไม่อยากเชื่อ    สายตาทุกคนต่างมองมาทางเซเนตตราเพื่อต้องการคำอธิบาย   เซเนตตราจึงเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง   ซึ่งพอฟังจบคราวนี้ทุกสายตาจึงแปรมาจับจ้องเฮรอสแทน

     

    ไม่ต้องจ้องกันขนาดนั้นก็ได้    เฮรอสบอก

     

    เจ้ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง ?     เจ้าชายซาร์กอนถามด้วยความสงสัย

     

    ข้าเคยอ่านบันทึกเก่า ๆ เกี่ยวกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์สามสิ่งในตำนาน   ในนั้นกล่าวไว้ว่า  ลูกแก้วบาลันเทียร์คือดวงแก้วแห่งศรัทธา   ก็เลยให้เซเนตลองดู      คนอื่น ๆ พอใจในคำตอบด้วยไม่มีใครศึกษาตำรามากพอจะจำได้ทั้งหมด   หากโซเนปมองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด     ทั้งตำราทั้งบันทึกเก่า ๆ เกี่ยวกับสงครามในตำนาน   หรือเรื่องราวของสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ปราบจอมมารเขาศึกษาจนทะลุปรุโปร่งและแน่ใจว่าเรื่องสำคัญแบบนี้เขาไม่มีทางลืมแน่นอน        โซเนปได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้ภายในใจ

     

     

     

     

    หลังจากสำรวจความเสียหายของข้าวของแล้ว   คณะเดินทางก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้งเมื่อแสงแห่งดวงตะวันอ่อนลง      ทุกคนมารวมกันอยู่ในรถม้าคันเดียวกันเนื่องจากรถม้าอีกคันนั้นเสียหายเกินกว่าจะใช้การได้อีก    ม้าที่ใช้ลากรถก็เตลิดหายไปทั้งคู่    ด้วยเหตุนี้ข้าวของใดที่ไม่จำเป็นมากมายก็ต้องละทิ้งไว้   เหลือเพียงสิ่งของที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น

     

    ดวงตะวันลับผืนทรายไปเพียงไม่นาน     ดวงจันทร์ดวงกลมโตก็ปรากฏโฉมออกมาแทนที่   ยิ่งนานแสงนวลกระจ่างก็ยิ่งเพิ่มขึ้นพร้อม ๆ กับความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านแทรกซอนเข้ามาในทุกอณูบรรยากาศ    ยิ่งดึกความหนาวยิ่งทวี  

     

    หากแต่ลมทะเลทรายสงบเงียบจนน่าประหลาด    กระแสความเงียบแผ่ซึมมาพร้อมกับความหนาวเย็น   เป็นความเงียบที่ก่อให้เกิดความอึดอัด  กดดัน   ดังความเงียบก่อนจะเกิดพายุใหญ่

     

     

     

    และแล้วในท่ามกลางความเงียบ  เสียงม้าก็ร้องก้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก   เจ้าชายซาร์กอนบังคับม้าจนสุดความสามารถ  ท่าทางของพวกมันเหมือนหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง

     

    ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สว่างเรืองรอง      หญิงสาวในชุดสีขาวพลิ้วยาวยืนอยู่บนพื้นทรายที่เคยร้อนระอุเหมือนผุดขึ้นมาจากผืนทราย   ผมยาวสยายสีน้ำตาลแดงคลุมลงมาเลยสะโพกสะท้อนกับแสงจันทร์      ร่างนั้นยืนหันหลังดวงหน้าแหงนเงยขึ้นมองดวงจันทร์เบื้องบนเหมือนตกอยู่ในภวังค์     ดูเหมือนว่าเสียงม้าที่ตื่นตระหนกจะไม่สามารถปลุกหญิงสาวให้รู้สึกตัวได้

     

     

    ม้าที่ตื่นตระหนกสงบลงด้วยเวทสะกดของเจ้าชายซาร์กอน     เจ้าชายหนุ่มกระโดดลงจากที่นั่งคนขับเดินตรงไปยังร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้า   มีอาเลฟตามไปติด ๆ  อย่างคอยระวังภัย

     

    เจ้าเป็นใคร ?      ร่างอ้อนแอ้นอรชรนั้นค่อย ๆ หันกลับมาช้า ๆ  ใบหน้างดงามผุดผ่อง  รับกับดวงตาสีคราม ที่ดูลึกลับชวนค้นหา    เจ้าชายซาร์กอนมองสบดวงตานั้นแล้วนิ่งงันไปดังต้องมนตร์สะกด   

     

    เจ้าชาย   ท่านเป็นอะไร ?     อาเลฟถามอย่างตระหนก    แต่เจ้าชายซาร์กอนยังไม่มีทีท่าจะรับรู้    สายตายังจับจ้องหญิงสาวตรงหน้าบอกความคลั่งไคล้ไหลหลง    

     

    เจ้าทำอะไรเจ้าชาย!......        อาเลฟหันไปหาหญิงสาวลึกลับ     หากแล้วอาการของเขาก็ไม่ต่างจากเจ้านายของตนทันทีที่ได้สบตา

     

     

    อาเลฟ   เจ้าชายซาร์กอน    เกิดอะไรขึ้น ?    เซเนตตราที่ถูกใช้ให้ออกมาดูเหตุการณ์ร้องถามเมื่อเห็นเจ้าชายและองครักษ์คนสนิทมีอาการประหลาด    การปรากฏตัวของหญิงสาวที่สวยราวกับไม่ใช่คนธรรมดาๆบนทะเลทรายแสงจันทร์ที่ไม่น่าจะมีหญิงสาวคนใดมาอยู่    ที่แห่งนี้ได้

     

    หญิงสาวผู้นั้นหันมาสบตาเซเนตตรา  รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้     ดวงตาสีครามดั่งมีมนต์สะกดให้งวยงงแต่ก็ไม่มีผลให้เซเนตตราตะลึงค้างเหมือนเจ้าชายซาร์กอนและอาเลฟ

     

    รอยยิ้มหวานที่ส่งให้จึงเปลี่ยนไป     ดวงตานั้นมีความพิศวงสงสัยปนอยู่

     

    อาเลฟ   เจ้าชายซาร์กอน     เซเนตตราพยายามเรียกเพื่อให้ได้สติแต่ไม่ได้ผล    โซเนปที่ตามออกมาพร้อมมาร์รานพิจารณาอาการของทั้งคู่แล้วให้สังหรณ์ใจบางอย่าง

     

    เบนดาฮาร่า!”        

     

    อะไรนะ ?    เซเนตตราย้อนถามเพราะไม่เข้าใจ

     

    เซเนต  อย่าสบตานาง!   นางคือเบนดาฮาร่า    ภูตแห่งแสงจันทร์    ดวงตาของนางมีอำนาจสะกดผู้คน!”

    โอ้...ช่างน่ายินดีอะไรเช่นนี้    มีคนรู้จักข้าด้วยหรือนี่     น้ำเสียงหวานใสเอ่ยออกมา   รอยยิ้มบนใบหน้างามยังไม่เปลี่ยนไป    โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรจงส่งยิ้มหวานมาให้โซเนปและมาร์รานเป็นพิเศษ  แต่ทั้งคู่ไม่ยอมสบตานาง

     

    ช่างมองข้าในแง่ร้ายเสียจริง    หญิงสาวผู้งามล้ำเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ   กังวานหวานในน้ำเสียงเพียงอย่างเดียวก็แทบจะทำให้ผู้ฟังคล้อยตามไปได้    ร่างงามเดินเยื้องกรายเข้ามาใกล้ด้วยท่วงท่าสบาย ๆ 

     

    ที่พวกท่านหลงใหลข้าก็เป็นเพราะรูปโฉมอันงดงามของข้า    หาใช่ถูกมนต์สะกด   นั่นก็แค่คำเล่าลือที่พูดกันไปเท่านั้น

     

    อย่าหลงเชื่อนาง!”    โซเนปเอ่ยขัดทั้งที่ยังหลบไม่สบตา   เบนดาฮาร่าเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในขณะที่ทั้งสามได้แต่ถอยหนี    ไม่อาจลงมือกับหญิงสาวแสนงามตรงหน้าได้

     

    เจ้าหนุ่มน้อย   เจ้าจะเชื่อเพียงเพราะคำล่ำลือโดยไม่คิดจะพิสูจน์หรือไร    แล้วท่านล่ะ  ท่านจอมเวท   ท่านคิดว่าข้าจะมีอำนาจสะกดท่านให้หลงใหลได้เชียวหรือ ?     นางเอ่ยถามมาร์รานราวกับจะอ่านใจที่เต็มไปด้วยความกังขาของเขาได้     ใช่   ใจหนึ่งเขายังแคลงใจเพียงแค่มองดูผู้หญิงคนหนึ่งจะทำให้ผู้เรืองเวทอย่างเขาคลั่งไคล้ได้เชียวหรือ ?

     

    ดูเพื่อนท่านคนนั้นซิ    เขาไม่เห็นเป็นอะไรซักนิด     เขามองข้าสบตาข้าจัง ๆ ด้วยซ้ำไป 

      เบนดาฮาร่าหมายถึงเซเนตตราที่ยังยืนมองอยู่โดยไม่หลบสายตา     มาร์รานและโซเนปหันมองผู้ที่ถูกเอ่ยถึงแล้วก็เห็นว่าที่อีกฝ่ายพูดนั้นเป็นความจริง

     

    เจ้าไม่เป็นอะไรหรือเซเนต?    โซเนปเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

     

    ไม่   ข้าไม่เป็นอะไรนี่

     

    เห็นไหม     ท่านกลัวผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างข้าด้วยหรือท่านจอมเวท ?     น้ำเสียงนั้นยั่วเย้า

    ข้าไม่ได้กลัวเจ้า!.......”    มาร์รานเอ่ยแล้วก็ตกตะลึงตาค้างชายหนุ่มมองสบสายตาทรงอำนาจนั่นเข้าอย่างจัง   เสียงหัวเราะอย่างสาสมใจดังก้องทะเลทรายอันเวิ้งว้าง

     

    ช่างไร้เดียงสากันจริง ๆ     เซเนตตราเห็นท่าไม่ดีหันไปจะปรึกษากับโซเนปแต่อีกฝ่ายก็ดันมีอาการเดียวกันกับสามหนุ่มเข้าเสียอีก    เสร็จกันเจ้าจอมปราชญ์นี่ก็หลงใหลนางเข้าอีกคนแล้ว

     

    เซเนต    เกิดอะไรขึ้น ?    เสียงลาเซียร้องถามยืนมองภาพเบื้องหน้าอย่างงงงัน

     

    ลาเซีย   นางคือเบนดาฮาร่า  ภูตแสงจันทร์    เซเนตตราเตือน   ลาเซียเรียกคทามากระชับไว้ในมือทันที

     

    ช่างน่าเสียดาย    เสน่ห์ของข้าใช้ไม่ได้กับผู้หญิง     เบนดาฮาร่าเอ่ยยิ้ม ๆ

     

    แล้วก็ใช้ไม่ได้กับข้าด้วย!”      น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น   ทำให้รอยยิ้มสนุกนั้นแปรไป

     

    ร่างสูงของเจ้าชายซาร์ลูมานก้าวลงมาจากรถม้า     ดวงตาสีน้ำเงินเข้มฉายแสงกล้า

     

    โอ้!  คณะของเจ้านี่ช่างมีเรื่องให้ข้าประหลาดใจหลายอย่างจริง    มีทั้งเด็กหนุ่มและชายหนุ่มที่ไม่หลงใหลข้าด้วยหรือนี่...จุ๊...จุ๊....แถมชายหนุ่มคนนั้นยังเป็นคนที่รอดชีวิตจากทรายพิษของข้าเสียด้วย      รอยยิ้มถูกใจฉายอยู่บนใบหน้าอันงดงามนั้น

     

    ข้าชักจะสนใจเจ้าซะแล้วสิ    เจ้าทำยังไงถึงถอนพิษของข้าได้ ?

     

    พิษอะไร ?      เจ้าชายซาร์ลูมานไม่เข้าใจ

     

    แสดงว่ารอดทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ตัวว่าถูกพิษซินะ      นี่สิช่างน่าสนใจจริง ๆ    แววตานั้นฉายแววพึงพอใจเหมือนเห็นของเล่นชิ้นใหม่

     

    ใครกันหนอที่เก่งขนาดถอนพิษของข้าได้

     

    พูดมาก    คลายมนต์สะกดพวกเราเดี๋ยวนี้!”    เจ้าชายซาร์ลูมานสั่ง

     

    ดุจริง ๆ    ใจคอท่านจะทำร้ายหญิงสาวบอบบางอย่างข้าได้เชียวหรือ    ข้าไม่มีอาวุธอะไรอยู่ในมือด้วยซ้ำ

     

    ข้าสั่งให้เจ้าคลายมนต์สะกด!    นังปีศาจ     คฑาสีเงินปรากฏอยู่ในมือเจ้าชายผู้เย็นชาอีกครั้งหนึ่ง

     

    ช่างทำตัวไม่น่ารักเอาซะเลย       ข้าคงต้องสั่งสอนให้เจ้ารู้จักมารยาทของสุภาพบุรุษซะบ้างแล้ว    นางบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ   แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์

     

    ท่านจอมเวท   ท่านช่วยสั่งสอนเขาแทนข้าหน่อยซิ     นางเอ่ยสั่งมาร์ราน   ที่พอขาดคำพ่อมดขาวแห่งนาดีนก็เรียกคฑาออกมาเล่นงานเจ้าชายซาร์ลูมานทันที !   

     

    แล้วข้าจะทำยังไงดีกับเด็กหนุ่มผู้ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา  กับหญิงสาวที่ข้าไม่ชอบหน้าดีนะ

     

    นังปีศาจ   แกทำอะไรเจ้าชายซาร์กอน!”      ลาเซียยามนี้ไม่เหลือความอ่อนหวานอ่อนโยนเหมือนในยามปกติ   ดูเหมือนสาวเจ้าจะพร้อมลุยเต็มที่เช่นกัน    คฑาในมือชี้ตรงมาที่ร่างเบนดาฮาร่าที่ไม่ได้มีท่าทีเตรียมพร้อมจะต่อสู้เลยแม้แต่น้อย

     

    อ้อ!  ข้านึกออกแล้ว     นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า 

     

    เจ้าชายซาร์กอน       ร่างสูงสง่าของเจ้าชายซาร์กอนองค์รัชทายาทแห่งวินเดเนียเดินมาตามเสียงเรียกอย่างว่าง่าย

     

    สั่งสอนนางให้ข้าหน่อยซิ

         

    เจ้าชายรัชทายาทแห่งวินเดเนียเดินตรงเข้ามาหาลาเซียอย่างประสงค์ร้าย   แววตาว่างเปล่าไร้ความทรงจำ    มือขวายื่นออกข้างลำตัว  ดาบประจำตัวปรากฏอยู่ในมือ  เท้าทั้งคู่ยังก้าวตรงมาที่ลาเซียท่าทางเอาจริง

     

    เจ้าชายซาร์กอน   ท่านจำข้าไม่ได้หรือ   ข้าลาเซียไงคะ      ลาเซียถอยหนี    ในขณะที่เซเนตตราพยายามเรียกชื่อเจ้าชายซาร์กอนเพื่อให้ได้สติ แต่ก็ไร้ผล   ดาบนั้นถูกยกขึ้นสูงเตรียมฟันลงมา

     

    ลาเซียระวัง!”      เซเนตตราตะโกนสุดเสียง   ลาเซียเบี่ยงตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด   คฑาในมือเรืองแสง

     

    ข้าไม่อยากสู้กับท่านนะ!”      ร่างสูงยังเดินเข้าหาอย่างมุ่งร้าย   ประกายดาบถูกวาดฟันลงมาอีกครั้ง   คราวนี้เฉียดแก้มนวลของลาเซียไปนิดเดียว    

     

    เมื่อไม่เห็นท่าทางที่จะคืนสติได้   ลาเซียก็เริ่มร่ายเวทเพราะถ้าหากไม่สู้ครั้งต่อไปคมดาบอาจจ่ออยู่ที่คอเธอ  ศึกระหว่างนักดาบกับจอมเวทสาวจึงเริ่มขึ้นอีกหนึ่งคู่   

     

    เซเนตตรามองสองคู่ที่กำลังโรมรันกันอยู่อย่างดุเดือด    ไม่รู้จะช่วยใครดี  ดูเหมือนทั้งเจ้าชายซาร์ลูมานและลาเซียจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะต้องคอยยั้งมือ   ในขณะที่อีกฝ่ายทุ่มพลังอย่างเต็มที่หวังทำลายให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว

     

    เจ้าหนุ่มน้อย  ก่อนจะห่วงคนอื่น  ห่วงตัวเองซะก่อนเถอะ           เสียงหวานแกมหัวเราะนั้นเอ่ยขึ้นทำให้     เซเนตตราหันกลับไปมอง 

      

    ข้าหาคู่มือให้เจ้าได้แล้ว     จอมปราชญ์ที่แสนจะรู้มากคนนี้เป็นยังไง    ขาดคำของนาง    โซเนปก็ขยับเข้ามาทันที

     

    ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้านะโซเนป!”     เซเนตตราเอ่ยเตือน  จ้องอีกฝ่ายเขม็ง  แต่ดูเหมือนว่าโซเนปจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น      หมัดหนัก ๆ เฉียดปรายคางไปอย่างหวุดหวิด   

     

                เฮ๊ย!  โซเนป  นี่ข้าเองนะ  ตั้งสติให้ดีซิ     อีกฝ่ายไม่ฟังเสียง     ยังป่ายซ้ายขวาจนหลบแทบไม่ทันโดนบ่อยเข้าก็ชักจะหงุดหงิด

     

    ได้!  ถึงข้าจะไม่ฉลาดเหมือนเจ้า    แต่ถ้าเรื่องสู้กันแบบตัวต่อตัวละก้อ   ข้าไม่มีทางแพ้เจ้าแน่!”   

     

    เซเนตตราเริ่มโมโหเพราะโดนเข้าไปหลายทีเลยซัดกลับไปบ้าง   ต่างฝ่ายต่างฟัดกันนัวเนียไปอีกคู่หนึ่ง     ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของหญิงสาวเจ้าของนามเบนดาฮาร่า

     

     

    สนุกมากใช่ไหม ?     เสียงถามเรียบ ๆ ดังมาจากเบื้องหลัง  

     

    เบนดาฮาร่าหันขวับกลับไปมอง    ร่างสูงยืนกอดอกมองตรงมา    ใบหน้านั้นเจือด้วยรอยยิ้มนิด ๆ     นางอึ้งไปชั่วครู่    เพราะไม่รู้สึกมาก่อนว่ายังมีชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งอยู่ในขบวนเดินทางนี้ด้วย  และที่สำคัญ   เจ้าหนุ่มคนนั้นมาปรากฏตัวเบื้องหลังของนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!

      

    ตายจริง   ท่าทางเสน่ห์ของข้าจะเสื่อมลงกระมัง  ถึงไม่อาจทำให้หนุ่ม ๆ สามคนหลงใหลข้าได้     นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเห็นได้ชัดว่าแกล้งทำ

     

    เสน่ห์ของเจ้ายังมีอยู่เต็มเปี่ยมเบนดาฮาร่า   เพียงแต่มันใช้กับข้าไม่ได้ผลเท่านั้นแหละ      ร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้    สายตายังไม่คลาดจากใบหน้างุนงงประหลาดใจของภูตสาว

     

    รู้มั้ย  ทำไมเจ้าถึงทำให้เจ้าชายซาร์ลูมานหลงใหลไม่ได้    ชายหนุ่มเอ่ยถามและไม่รอคำตอบเพราะบอกต่อไป

     

    ในบรรดาพวกเราที่เดินทางมาครั้งนี้    คนที่จิตใจเข้มแข็งที่สุดก็คือเจ้าชายซาร์ลูมาน   จิตอันแน่วแน่  มั่นคง  ยากจะคลอนแคลนนี่แหละที่เสน่ห์อันน่าหลงใหลของเจ้าไม่อาจเอาชนะได้   ส่วนเจ้าชายซาร์กอนนั้นจิตใจดีเกินไป   อ่อนโยน  ช่างสงสารเกินไปจึงถูกครอบงำได้ง่าย ๆ  ในขณะที่จอมเวทอย่างมาร์รานแม้จะมีพลังใจที่เข้มแข็ง  แต่ก็ถูกทำให้เคลือบแคลงสงสัย   จิตจึงไม่สงบพอจะต้านทานอำนาจของเจ้าได้   ซึ่งก็เหมือนกับโซเนป

     

    เจ้าเป็นใคร ?

     

    ก็แค่คนธรรมดา

     

    แต่มีจิตที่เข้มแข็งเกินกว่าที่ข้าจะครอบงำได้ซินะ

     

    เปล่า   ข้าเป็นคนใจอ่อน   อ่อนแอที่สุดในกลุ่มต่างหาก   เพราะถ้าข้าไม่ใจอ่อนก็คงไม่มายืนอยู่ที่นี่หรอก

     

    งั้นเพราะอะไรเจ้าถึงไม่เหมือนผู้ชายคนอื่น ๆ ล่ะ    เบนดาฮาร่าถามด้วยความสนใจ   และไม่เข้าใจ

     

    เพราะข้าเห็นตัวจริงของเจ้า!”

     

    เห็นตัวจริงของข้า !?     ภูตสาวหัวเราะก้อง

     

    ก็นี่ไงตัวจริงของข้า    ร่างบางระหงยืดตัวตรงมือเหยียดออกเพื่อให้อีกฝ่ายมองรูปโฉมอันสครวญของตนให้ชัด ๆ ทรวดทรงองค์เอวที่มองเห็นท่ามกลางแสงจันทร์นั้นหาที่ติไม่ได้เลย

     

    หลายคนคิดว่าทะเลทรายแสงจันทร์เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพราะทะเลทรายแห่งนี้มีกลางคืนนานกว่ากลางวัน  และเพราะแสงจันทร์ที่สาดส่องสว่างราวกลางวัน    ไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุที่มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะเจ้า    เฮรอสบอกต่อไปเรื่อย ๆ   สายตาที่มองภาพเบื้องหน้าเหมือนเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีความหมายใด ๆ

     

    ดูเหมือนเจ้าจะรู้อะไรมากเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปนะ

     

    เพราะเจ้าจะคงรูปโฉมและมนต์เสน่ห์ไว้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์แบบนี้เท่านั้น    หากในคืนฟ้ามืด   และเวลากลางวันอันร้อนแรงเจ้าก็จะอยู่ในสภาพ......        คำพูดละไว้เพียงแค่นั้น   หากร่างสูงกลับแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันใสกระจ่าง

     

    พลันดวงจันทร์ที่ทอแสงนวลกลับถูกหมู่เมฆเคลื่อนเข้ามาบดบังอย่างรวดเร็วจนแสงนวลมืดมน    เสียงกรีดร้องดังก้องทะเลทรายอันเงียบสงัด    ร่างที่งดงามเริ่มแปรเปลี่ยนมันขยายใหญ่ขึ้น ๆ  ลำตัวส่วนบนยืดยาวออกไป   สองขาที่ใช้หยัดยืนเมื่อครู่กลายเป็นท่อนยาวใหญ่  เกร็ดสีเงินวาววับแม้อยู่ในความสลัวของแสงจันทร์     ดวงตาสีครามที่เคยทรงอำนาจบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ   ใบหน้ามีเขี้ยวงอกโง้งคมวับ   ลำแขนที่เคยเรียวงามมีเกล็ดแข็งผุดขึ้นมาพร้อมกรงเล็บอันแหลมคม         

     

    ทะเลทรายปั่นป่วนด้วยพลังอำนาจอันมหาศาลของภูตแสงจันทร์ที่ขณะนี้เปลี่ยนร่างเป็นครึ่งคนครึ่งงูยักษ์!   ที่เคลื่อนตัวแต่ละครั้งพาให้แผ่นดินรอบด้านสั่นไหว

     

    สามคู่ที่โรมรันกันอยู่ถึงกับชะงักตกตะลึง   มนต์เสน่ห์ที่เคยสะกดให้ไหลหลงหายวับไปพร้อมกับการปรากฏร่างจริงของภูตแห่งแสงจันทร์

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×