คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : เริ่มต้นเกมแห่งชะตา 2
บทที่ 14
เริ่มต้นเกมแห่งชะตา2
“ช่วยข้าด้วย....ช่วยข้าที.....ปล่อยข้าออกไปที” น้ำเสียงครวญคร่ำแว่วมาตามสายลมร้อน จัสมินสะดุ้งเฮือกหญิงสาวเหลียวมองรอบตัวดุจจะหาที่มาแห่งเสียง แต่พอตั้งใจฟังก็คลับคล้ายเสียงนั้นจะเงียบไป
“เป็นอะไรหรือเปล่า ?” เสียงถามห่วงใยดังมาจากคนที่นั่งใกล้ สายตาที่มองตรงมาทางหญิงสาวแสดงความอาทรจนปิดไม่มิด และหญิงสาวอีกนางหนึ่งก็สังเกตเห็นเช่นกัน
“ไม่เป็นไรค่ะ คงเป็นเพราะอากาศร้อนจัดก็เลยเพลีย”
“จะไม่สบายหรือเปล่า สีหน้าคุณไม่ค่อยดีเลยตั้งแต่เช้า” ฮัดซันขยับเข้ามาทำท่าคล้ายจะใช้มือสัมผัสกับแก้มนวลหากนึกได้ว่าเป็นการไม่สมควรจึงชะงัก
“คงแค่ตกใจเท่านั้น ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มันเลยติดตา”
“ก็ไม่น่าจะเข้าไปดูเลยนี่น้า” เสียงคล้ายจะสมน้ำหน้าดังมาจากหญิงสาวที่นั่งมองตรงมาตาเขม็ง สายตาบอกความขุ่นเคืองใจอย่างชัดเจนโดยไม่คิดจะปิดบัง
“เบนดาฮาร่า!” ผู้เป็นพี่ชายเรียกด้วยเสียงหนักเป็นเชิงเตือน ผู้เป็นน้องจึงจำต้องเงียบไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมาอีก
“พักซักนิดดีไหม บ่าย ๆ เราค่อยเดินทางตอนนี้ก็สายมากอยู่ดี” เบซาร์หันไปถามน้ำเสียงอ่อนลงกว่าเมื่อครู่จนคนฟังจับกระแสนั้นได้ จัสมินส่ายหน้าพลางบอก
“ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ เดี๋ยวหลับตาไปในรถก็ได้” เบนดาฮาร่ามองอย่างหมั่นไส้ ไม่รู้ทำไมใคร ๆ จะต้องคอยกลุ้มรุมเอาใจนักหนา ถ้าไม่ใช่ธิดาท่านอับดุลลาคงไม่ได้รับการประคมประหงมกันขนาดนี้แน่ พี่ชายเธอก็คน ไหนจะฮัดซันอีก เผลอทีไรเป็นต้องคอยส่งสายตาไปให้
“ให้เขาออกเดินทางกันเถอะ ฉันอยากจะให้ถึงนครคาเธย์เร็ว ๆ เหมือนกัน”
“เอางั้นก็ได้ ผมจะไปบอกให้พวกนั้นเก็บของขึ้นรถเตรียมตัวเดินทางกันต่อก็แล้วกัน” ฮัดซันบอกแล้วขยับลุกออกไปจากเต็นท์พัก เบนดาฮาร่าลุกตามไปด้วยโดยไม่สนใจสายตาคนอื่น ๆ
จัสมินมองเปลวแดดที่สะท้อนกับพื้นทรายก่อเกิดเป็นไอระยิบระยับ เธอรู้สึกมึนงง หูเหมือนได้ยินเสียงแผ่ว ๆ แว่วมาอีกครั้ง เสียงที่คร่ำครวญทุกข์ทน
“ช่วยข้าด้วย....ปลดปล่อยข้าที” และก็แบบเดิมพอตั้งใจฟังเสียงนั้นก็เงียบไปหากพอไม่สนใจเสียงนั้นก็ดังแผ่ว ๆ อยู่ปลายหู
“มาหาข้า......มาปลดปล่อยข้า” ท่ามกลางไอแดดภาพเงาพร่าเลือนปรากฏคล้ายร่างหญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความร้อนระอุ จัสมินหลับตาลงแล้วลืมขึ้นอีกครั้ง ภาพที่เห็นเมื่อครู่หายไปแล้ว หญิงสาวถอนใจยาว วันนี้เธอเป็นอะไรไป ทำไมทั้งหูแว่ว ทั้งเห็นภาพหลอน หรือจะเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อเช้าที่ทำให้สภาพจิตใจของเธอหวั่นไหวจนทั้งเห็นและได้ยินอะไรวุ่นวายไปหมด
“หลบหน่อยซิคุณ ยืนเกะกะอยู่ได้” เสียงคุ้น ๆ ดังขึ้นเบื้องหลังเมื่อหันกลับไปจึงพบเข้ากับใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสจนเกือบจะกลายเป็นทะเล้นของเจ้าไกด์ทะเลทรายนามคีล
“ดูอะไรหรือคุณ ?” ชายหนุ่มเข้ามายืนเทียบป้องหน้ามองไปด้านเดียวกับที่หญิงสาวมองอยู่ก่อน
“เปล่า” จัสมินตอบออกไปโดยอัตโนมัติ ถ้าขืนบอกไปอาจจะถูกหาว่าบ้าก็เป็นได้
“เห็นภาพหลอนหรือหูแว่วหรือทั้งสองอย่าง” คำถามเหมือนล่วงรู้ทำให้จัสมินมองหน้าด้วยความสงสัย
“เรื่องปกติสำหรับสถานที่กลางทะเลทรายแบบนี้ อีกอย่างคุณอาจจะช็อก สภาพจิตใจไม่อยู่ในภาวะปกติหวั่นไหวสั่นคลอนทำให้รับคลื่นอะไรบางอย่างได้ง่าย ๆ”
“คลื่นอะไร ?”
“ก็คลื่นอะไรก็ตามที่อยู่แถว ๆ นี้ ดินแดนเก่าแก่ มันก็ต้องมีอะไรแปลก ๆ เป็นธรรมดา” คนตอบคำถามยักไหล่ทำท่าจะเดินผละไป
“เดี๋ยวก่อน” ร่างสูงในชุดขะมุกขะมอมตัวเดิมเหมือนไม่เคยเปลี่ยนเลยตลอดการเดินทางหลายวันที่ผ่านมาหันกลับมา แววตาดำขลับใสซื่อปนรอยยิ้มหัวที่อยู่ลึกลงไปภายใน
“ฉันได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วย แล้วก็เห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น” จัสมินชี้ไปเบื้องหน้าที่มองเห็นเมื่อครู่
“สวยไหม ?” คำถามที่ตามมาทำเอาคนตั้งใจจะเล่าชะงักค้าง นึกอยากหาอะไรฟาดหน้าทะเล้นนั้นให้แตกไปซักทีสองที
“จะไปรู้เหรอเห็นไม่ชัด”
“แหมคุณแค่นี้ก็ต้องโกรธด้วย ผมแค่ถามให้ผ่อนคลายเท่านั้นเอง” อีกฝ่ายรอมชอม
“นายก็พูดเล่นไปหมด ฉันจริงจังนะ เสียงนั่นมันเหมือนดังก้องอยู่ในหัว พอตั้งใจฟังก็หายไป พอจะลืมมันก็ดังแว่วขึ้นมาอีก”
“คุณใส่สร้อยที่ซาเล็มให้หรือเปล่า ?”
“นายรู้เรื่องสร้อยได้ยังไง!?”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ตอบผมมาก่อนคุณใส่หรือเปล่า” หญิงสาวยักไหล่บอกง่าย ๆ
“ลืม ถอดเก็บตอนอาบน้ำ”
“ว่าแล้ว”
“อะไรของนาย ?”
“บอกไปคุณก็ไม่เชื่อ เอาเป็นว่าถ้าไม่อยากเห็นหรือได้ยินอะไรแบบนี้อีกก็สวมติดตัวไว้ตลอดทั้งกลางวันกลางคืนห้ามถอด” จัสมินทำท่าจะท้วงแต่ไม่ทันเพราะชายหนุ่มพูดติดต่อกันไปไม่เว้นช่องว่างให้
“ผมรู้ว่าคุณเป็นคนทันสมัยแต่เชื่อไว้บ้างก็ดี ไม่เสียหายที่ตรงไหนหรอก”
“จะให้เชื่อเรื่องอะไรล่ะ”
“ก็เรื่องที่ผมเตือนไง ใส่สร้อยติดตัวไว้ตลอด อย่าถอดออกถึงแม้จะจำเป็น”
“โบราณคร่ำครึ” คนฟังยักไหล่ไม่สนใจที่โดนว่า
“ไปคอยในรถเถอะคุณอยู่ตรงนี้แดดร้อน เกะกะคนอื่นเขาจะทำงานกันด้วย” คำพูดหวังดีในตอนแรกแต่ตอนท้ายชักทะแม่ง ๆ จนหญิงสาวมองตาขุ่น
“ไปเหอะ อย่าจ้องหาเรื่องผมเลยน่า อ้อ! อย่าลืมใส่สร้อยซะด้วย” ตอนท้ายไม่วายย้ำก่อนจะเดินผละไปทางกลุ่มคนงานที่กำลังรื้อเก็บเต็นท์พัก คนถูกไล่ให้ไปรอในรถมองตามไปอย่างหมั่นไส้หน่อย ๆ แต่ก็ยอมทำตามคำแนะนำ
แสงอาทิตย์สุดท้ายแห่งวันกำลังจับอยู่ที่เส้นขอบฟ้าสุดสันทราย แสงสีแดงฉานดั่งสีเลือดสาดส่องเป็นลำทาบทับผืนทราย ก่อให้เกิดภาพชวนวังเวง ทันทีที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าความมืดทะมึนก็คืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ณ เนินทรายห่างจากจุดที่คณะสำรวจหยุดพักพอสมควร ร่างสูงนั่งโดดเดี่ยวอยู่บนเนินทรายทอดสายตามองดวงตะวันลาลับขอบฟ้าและดวงจันทร์ที่ค่อย ๆ ส่องสว่างลางเลือน สายลมร้อนระอุเมื่อตอนกลางวันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นสบายพัดผ่านชายผ้าคลุมจนปลิวสะบัด
ถุงมือสีดำคล้ำกอบลงบนผืนทรายกำไว้จนเต็มอุ้งมือ เสียงพึมพำแผ่วเบาก่อนมือที่กำนั้นจะแบออกปล่อยให้เม็ดทรายเม็ดเล็ก ๆ นับล้าน ๆ เม็ดร่วงหล่นปลิวไปตามสายลม
“ได้เวลาของพวกเจ้าแล้ว....ขอให้สนุกกับค่ำคืนแห่งความยุ่งเหยิง” สองมือผายออกกว้างทั้งสองข้างดุจส่งคำอวยพรตามไปกับสายลม
“อย่างนี้คณะสำรวจจะซวยไปด้วยนา จะดีเหรอ” คำถามดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏกายของวิญญาณอารักษ์
“วัดดวงดูไงว่าใครจะดวงแข็งพอจะอยู่รอดเป็นคนสุดท้าย”
“เหี้ยมไปหรือเปล่า”
“ท่านรู้จักฉันมาตั้งนาน น่าจะรู้ว่าฉันพูดจริงทำจริงเสมอ”
“เจ้าเล่ห์จนวางใจไม่ได้เสมอด้วย” วิญญาณอารักษ์ช่วยเสริมสรรพคุณ
“มาพนันกันไหมว่าจะเหลือรอดเท่าไหร่” คนถูกประชดชวนหน้าตาเฉยไม่สนใจสรรพคุณที่ถูกจารนัย
“กฎของมาฮาร่าห้ามการพนันไม่ใช่เหรอ”
“ห้ามเล่นกับคนไม่ได้ห้ามเล่นกับวิญญาณนี่” คำตอบไถลลื่นไปได้ทันควันจนวิญญาณอารักษ์แทบจะยกมือเกาหัว หรือจะเขกหัวผู้เป็นราชาของตัวเองดี อัมซาสองจิตสองใจแต่ค่อนข้างเอนเอียงไปทางความคิดหลังซะมากกว่า
“ยังไงข้าก็ไม่พนันกับท่าน ทายใจท่านยากกว่าหาน้ำในทะเลทรายเสียอีก ขืนข้าพนันว่าเป็นอย่างโน้นท่านก็จะทำให้มันเป็นอีกอย่างอยู่ดี ยังไง ๆ ก็ชนะอย่ามาชวนพนันซะให้ยาก” อัมซาดักคออย่างรู้ทัน
“พนันกับคนก็ไม่ได้ วิญญาณก็ไม่ยอมพนันด้วยเฮ้อ! ไปดีกว่า” เสียงบ่นพึมพำพร้อมกับการก้าวเดินลงจากเนินทราย ผู้เป็นวิญญาณอารักษ์มองตามไป สายตาบอกความเข้าใจที่ไม่ได้เปล่งออกมาเป็นคำพูด ราชาแห่งมาฮาร่าก็เป็นเพียงคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่บังเอิญต้องมารับภาระมากมายในการกระทำตามพันธะสัญญาแห่งเผ่าพันธุ์
“ถ้าใจท่านยิ้มได้อย่างที่แสดงกับข้าก็คงดี ราชาของข้าวันเวลาแห่งความยากลำบากใกล้เข้ามาทุกทีตัวท่านจะแบกรับมันเพียงผู้เดียวได้หรือ.....”
ไม่มีคำตอบจากความว่างเปล่าท่ามกลางทะเลทรายยามราตรี มีเพียงสายลมหวีดหวิวที่พัดผ่าน
สายลมที่พัดรวยรินในตอนแรกเริ่มเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นจนแทบจะกลายเป็นพายุ เต็นท์ที่ยึดตรึงไว้ด้วยหมุดยึดแทบจะปลิวตามแรงลม กลุ่มคนทั้งคณะไม่มีใครได้หลับนอนเพราะต้องตื่นตาค้างระวังภัยเกรงพายุที่ไม่รู้จะเกิดหรือไม่เกิดเพราะไม่มีการตั้งเค้ามาก่อน เสียงหวีดหวิวกรีดลงในความรู้สึกของผู้ฟังทุกคนที่รวมกลุ่มกันอยู่ยิ่งนัก
จัสมินมองฝุ่นทรายที่ปลิวฟุ้งกระจายอย่างวิตก แม้กระแสลมจะไม่รุนแรงเหมือนพายุทรายที่เคยเกิดเมื่อครั้งก่อนแต่มันก็มากพอจะทำให้กังวลได้ หญิงสาวเหลียวมองไปรอบ ๆ หากแล้วก็สะดุดใจเพราะรู้สึกถึงบางคนที่ขาดหายไป เธอเดินเลี่ยงคนอื่น ๆ ตรงไปหาซาเล็มที่นั่งหลบมุมมุมหนึ่งไม่พูดคุยกับใคร
“ซาเล็ม นายไกด์ของเราเขาหายไปไหน ?”
“ไม่รู้เลยครับ อาจจะอยู่กับพวกคนงานทางด้านโน้น” ซาเล็มเองก็ไม่ทราบ
“แล้วเจ้าเด็กมูซาล่ะ” หญิงสาวยังไม่วายห่วง
“นั่นไงครับวิ่งหน้าเริดฝ่าพายุมาโน่นพอดีเลย” จัสมินหันมองตามคำบอกก็พบกับเจ้าเด็กตัวมอมวิ่งตุปัดตุเป๋หลบพายุเข้ามาแต่ไม่มี ‘ลูกพี่’ ตามติดมาด้วยเหมือนเคย
“ไปไหนมามูซา” มันฉีกยิ้มกว้างส่งนำมาก่อน
“มานี่แหละ” ฟังคำตอบมันแล้วจัสมินอยากเอาเท้ายันมันออกนอกเต็นท์ไปเหลือเกิน
“แล้วลูกพี่เธอล่ะไปไหน ?” มันสั่นศีรษะหน้าซื่อสนิทนักเมื่อตอบ
“เห็นเดินท่อม ๆ ตอนเขากางเต็นท์หยุดพักกัน พอลมแรงขึ้นก็ไม่รู้ไปอยู่แถวไหนแล้ว แหม! ผมก็นึกว่าอยู่ที่นี่เลยวิ่งมาดูนะเนี่ย”
“เดี๋ยว คีลไม่ได้อยู่กับพวกคนงานเหรอ ?” มูซาสั่นหัวยืนยันอีกครั้ง
“แล้วไปไหนล่ะ” คราวนี้หญิงสาวหันกลับมาทางซาเล็มอย่างต้องการคำตอบแต่ได้เพียงการส่ายหน้าไม่รู้ไม่เห็นเช่นเดิม
“มิโดนทรายทับตายไปแล้วเหรอ” คำถามแกมประชดแต่ก็แฝงความห่วงใยด้วยเช่นกัน
“เฮอะ อย่างคีลโดนทรายทับตายคงเสียชื่อแย่” เจ้าเด็กคนสนิทเชื่อมั่นในลูกพี่มัน
“เออ ลูกพี่เจ้ามันเก่ง” จัสมินหมดอารมณ์ห่วงแต่ยังไม่ทันได้สนทนาซักถามอะไรต่อไปเสียงเอะอะจากเต็นท์ที่พักด้านฝั่งคนงานก็ดังขึ้นฝ่าความแรงของกระแสลม ตามมาด้วยเสียงปืนที่รัวสนั่นหวั่นไหว เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายตามมาไม่ขาดระยะ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ!” เสียงร้องถามอย่างตื่นตระหนกดังเซ็งแซ่ขึ้นเพราะจากที่พักด้านนี้ไม่อาจมองเห็นทางด้านที่พักคนงานได้
“ใครวิ่งไปดูซิ!” เสียงตวาดสั่งดังมาจากฮัดซัน ทหารคนหนึ่งทำท่าจะวิ่งฝ่ากระแสลมออกไปแต่แล้วก็ต้องรีบหยุดถอยกลับเข้ามาภายใน เสียงที่ร้องขึ้นตื่นตระหนก สีหน้าหวาดหวั่น มือชี้ไปมาเบื้องหน้า
“นาย นั่น นั่นมันอะไรน่ะ เต็มไปหมดเลย”
คำถามนั้นไม่มีใครตอบได้เพราะแต่ละคนก็เห็นในสิ่งที่คนถามเห็นเช่นกัน ภายนอกแสงสปอตไลท์ที่ส่องสว่าง ดวงตาสีแดงฉานนับสิบคู่ส่องประกายวาววับอยู่ในความมืด พวกมันขยับเคลื่อนไหวใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
“บ้าเอ๊ย! นั่นมันตัวอะไรวะนั่น” เสียงสบถดังมาจากใครบางคนที่อยู่ในกลุ่ม และก็ไม่ต้องให้สงสัยนานเพราะเจ้าของดวงตาคู่สีแดงฉานนั้นค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่างอวดโฉมอันน่าสะพรึงกลัวต่อสายตาทุกคู่
ร่างของสัตว์เลื้อยคลานสีดำมะเมื่อมลำตัวแต่ละตัวขนาดพอ ๆ กับท่อนแขนหนำซ้ำยังยาวร่วมหลายเมตร เกร็ดมันวาววับของมันสะท้อนแสงไฟเป็นอย่างดี ไม่ใช่มีแค่สี่ห้าตัว แต่มันมีเป็นร้อย ๆ ตัว
เลือดในกายของทุกผู้ที่มองเห็นเย็นเฉียบ ต่างฝ่ายต่างตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก เหล่าอสรพิษกำลังล้อมกรอบเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
ความคิดเห็น