ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์จันทรา มายาลวง

    ลำดับตอนที่ #1 : ณ จุดเริ่มต้น

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.97K
      34
      20 มี.ค. 50

    ทำความเข้าใจก่อนเข้าสู่เนื้อหา

    มนต์จันทรา  มายาลวงนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการ   มิได้ตั้งใจให้กระทบกระเทือนถึงเรื่องศาสนาและความเชื่อต่างๆ ของคนในท้องถิ่นทะเลทราย   ฉะนั้น  ชื่อสถานที่   ชื่อตัวละคร  คำเรียกขานและอื่น ๆ ล้วนเป็นสิ่งสมมุติขึ้นทั้งสิ้น

    จึงอาจไม่ถูกต้องตามหลักภาษาโดยทั่วไป    ผู้เคร่งครัดสำนวนภาษาโปรดทำใจ  และขออภัยมา     ที่นี้

     

     

    บทที่ 1

      จุดเริ่มต้น

     

                    หญิงสาวในชุดสูทเดินทางสีขาว  แบบเรียบ   แต่การตัดเย็บและเนื้อผ้าบ่งบอกถึงฐานะและรสนิยมของผู้สวมใส่    ตัวเสื้อตัดกระชับเข้ารูปพอดีกับร่างโปร่งระหง    ผิวขาวนวลเนียนละเอียด   ดวงหน้ารูปไข่รับกับริมฝีปากได้รูปสวยเคลือบด้วยลิปต์กรอสสีอ่อน     จมูกโด่งงามรับกับดวงตากลมโตสีเข้ม    ผมยาวหยักเป็นลอนทิ้งตัวลงไปเบื้องหลัง

     

     

                    หญิงสาวเอนตัวชะโงกมองจนใบหน้าเกือบจะชิดกระจกหน้าต่างเครื่องบิน    บนที่นั่งชั้นเฟริสคลาสที่มีคนนั่งไม่ถึงห้าคน    เธอไม่สนใจจะสนทนากับเพื่อนร่วมทางที่ล้วนเป็นหนุ่มใหญ่ชาวต่างชาติที่มีทีท่าอยากจะสานไมตรีกับหญิงสาวสวยเพียงคนเดียวบนที่นั่งชั้นนี้

     

                    เธอทอดตามองไปเบื้องล่างอย่างตื่นเต้นยินดี  บ้าน  ที่จากไปนาน    อีกไม่กี่นาทีเธอจะได้เหยียบย่างเข้าสู่แผ่นดินเกิดอีกครั้ง      เครื่องบินลดระดับลงเรื่อย ๆ จนเธอสามารถมองเห็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด    ผืนทรายท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล   ลาดเนินสูงต่ำลดหลั่นกันไป

     

     

                    อัลมาฮาร์    ประเทศเล็ก ๆ ในทะเลทราย   ประเทศที่สร้างตัวเองจนร่ำรวยด้วยทรัพยากรน้ำมันที่มีอยู่แทบจะทุกตารางนิ้วของพื้นที่ประเทศแห่งนี้     โลกแห่งอัลมาฮาร์แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับโลกที่เธอจากมา    ที่นี่ระบบการปกครองยังเป็นระบบราชาผู้ครองแคว้น   ผู้มีอำนาจสูงสุดคือองค์กษัตริย์อาซาริยัส     ทรงเป็นทั้งองค์ประมุขและผู้บริหารประเทศ   โดยมีคณะรัฐบาลและคณะมนตรีที่ปรึกษาอยู่ภายใต้อำนาจ       บิดาของเธอก็เป็นหนึ่งในคณะมนตรีที่ปรึกษา     ท่านอับดุลลา   อาร์  ซาเวียย์ 

     

                    ประเทศอัลมาฮาร์เปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาอย่างรวดเร็ว  ตลอดช่วงระยะเวลาห้าสิบกว่าปีที่ผ่านมา   แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนั้นก่อให้เกิดความแตกต่างในเรื่องชนชั้นมากมาย     ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจน  ในขณะที่ชนชั้นปกครองเท่านั้นที่ร่ำรวย  เป็นเจ้าของกิจการน้ำมันและธุรกิจสำคัญ ๆ ของประเทศ    จุดที่ได้รับการพัฒนาจะอยู่ตามเมืองใหญ่  และเมืองหลวงเท่านั้น

     

     

    หญิงสาวหยิบผ้าคลุมศรีษะสีขาวนวลเข้ากับชุดเดินทางจากกระเป๋าถือขึ้นมาคลุมศรีษะตามธรรมเนียมก่อนจะหยิบแว่นดำขึ้นมาสวมทับใบหน้าป้องกันแสงจ้าจากไอแดด      เมื่อแอร์โฮสเตสสาวเข้ามาจัดการรัดเข็มขัดให้กับผู้โดยสารชั้นหนึ่งแล้วกล่าวว่าเครื่องจะลงจอดในอีกไม่กี่วินาทีนี้

     

     

    ร่างสูงสมส่วนก้าวอย่างมาดมั่น   ไม่สนใจสายตาของผู้โดยสารต่างชาติหลายคนที่มองตามมาอย่างสนใจ    เมื่อเครื่องลงจอดเรียบร้อย     รถซีเลอมูนคันยาวก็แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าบันไดเครื่อง     คนขับแต่งกายในชุดคลุมสีทรายก้าวลงมาเปิดประตูที่นั่งตอนหลังให้หญิงสาวพลางโค้งคำนับ    หญิงสาวพยักหน้าให้นิดหนึ่งแล้วขึ้นนั่ง     รถคันยาวแล่นฝุ่นตลบจากไป

     

     

    ประตูห้องรับรองVIPเปิดกว้างรอรับร่างหญิงสาวที่ก้าวลงจากรถ   ตลอดทางที่หญิงสาวก้าวผ่านผู้คนที่ยืนรอต่างก้มศรีษะทำความเคารพอย่างนอบน้อม    ผู้ที่ยืนอยู่ด้านในสุดของห้องคือชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่   ชุดที่สวมเป็นชุดทูนิคยาวสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีเดียวกัน    มีผ้าคลุมศรีษะสีขาวคาดทับ   หญิงสาวถลาเข้าไปหาอ้อมแขนที่กางออกรอรับ

     

    จัสมิน!”

     

    ท่านพ่อ!   คิดถึงเหลือเกินค่ะ    หญิงสาวกล่าว  คลายอ้อมกอดจากผู้เป็นบิดา  เปลี่ยนเป็นจูบแก้มซ้ายขวา    เสียงหัวเราะร่าเริงแจ่มใส

     

    อย่าเอาธรรมเนียมฝรั่งมาใช้กับพ่อ    น้ำเสียงดุไม่จริงจังนัก    สายตาผู้เป็นบิดากวาดมองร่างที่อยู่ตรงหน้า   แววตาปลาบปลื้มยินดี       ชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งขยับขึ้นมา

     

    จำเบซาร์ได้ไหม ?   พอรู้ว่าลูกจะกลับวันนี้ก็เลยตามมารับด้วยกัน    หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่มร่างสูง  หน้าเข้มในชุดสูทสีเทา   ดูเด่นแตกต่างจากบุคคลภายในห้องรับรองแห่งนี้ที่อยู่ในชุดประจำถิ่นสีขาว

     

    เบซาร์  อิล  ฮาหมัด    หญิงสาวเอ่ยนามชายหนุ่มพร้อมส่งยิ้มให้

     

    ขอบคุณที่มาต้อนรับ

     

    ยินดีที่ยังจำผมได้    ฝ่ายชายก้มศรีษะให้นิดหนึ่งอย่างผู้เสมอกัน

     

    เบซาร์ไปเรียนที่อเมริกา   กลับมาได้ปีกว่าแล้ว    ท่านอับดุลลาบอก

     

    เรียนด้านไหนคะ ?

     

    ปิโตรเคมีครับ    อีกฝ่ายตอบ   สายตายังจับอยู่ที่หญิงสาวไม่คลาดเคลื่อนไปไหน

     

    ดีค่ะ     หญิงสาวพูดเพียงแค่นั้นแล้วหันไปทางผู้เป็นบิดา  พลางเอ่ยถาม

     

    พี่ซาลวาละคะ  ไม่เห็นมารับลูกเลย

     

    พี่เขาติดประชุม   แต่เดี๋ยวพอเรากลับถึงบ้านพี่เขาอาจมารออยู่แล้วก็ได้   ไปเถอะ   มาถึงเหนื่อย ๆ      ท่านอับดุลลาบอก    หญิงสาวจึงคว้าแขนผู้เป็นบิดามาเกาะพาก้าวเดินไปด้วยกันอย่างสนิทสนมผู้เป็นพ่อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี     

     

    บรรดาผู้ติดตามก้าวตามมาในระยะห่าง      สายตาชายหนุ่มนามเบซาร์ทอดมองตามร่างสองคนพ่อลูกไป   ด้วยแววตาประหลาดที่ไม่มีใครทันสังเกต

     

     

    รถซีเลอมูนคันยาวและรถผู้ติดตามแล่นช้า ๆ ออกจากบริเวณสนามบินไปตามถนนสายกว้างที่เรียบโล่งแทบจะไม่มีรถวิ่งสวน   เครื่องปรับอากาศภายในรถทำงานอย่างหนักเนื่องจากอากาศภายนอกที่ร้อนระอุ      รถแล่นไปตามถนนสาบเรียบอย่างเงียบกริบนุ่มนวล    สองข้างทางมีบ้านเรือนตึกสูงปลูกสร้างอยู่เป็นระยะ    ไกลออกไปจากถนน  คือ ทะเลทรายอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ไพศาล   มองเห็นเพียงเงาของต้นปาล์มขึ้นอยู่เป็นหย่อม ๆ   ภาพบ้านเรือนดูแปลกตากว่าก่อนที่เธอจะจากไปศึกษายังประเทศอันไกลโพ้น

     

    แปลกตาไปมากเลยนะคะ      หญิงสาวทอดสายตามองออกไปนอกรถ

     

    ใช่  อัลมาฮาร์พัฒนาไปมากทีเดียว     แววตาท่านอับดุลลามีความกังวลเพียงวูบเดียวแล้วก็จางหายไปจนบุตรสาวไม่ทันสังเกต

     

    วันนี้พักให้หายเหนื่อยเสียก่อน   พรุ่งนี้พ่อจะพาเจ้าเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์ที่พระราชวัง   ผู้เป็นบิดาบอก

     

    ค่ะ   หญิงสาวรับคำ   สายตาทอดมองแนวพืชสีเขียวชอุ่มที่กินอาณาบริเวณกว้างขวางอันเกิดจากฝีมือมนุษย์ในความพยายามจะเอาชนะความร้อนแรงและแห้งแล้งของธรรมชาติกลางทะเลทราย    หญิงสาวนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อรถเบรกอย่างกะทันหัน

     

    รถเป็นอะไรคะ ?     เธอเอ่ยถามผู้เป็นบิดา  ที่กดปุ่มสื่อสารภายในรถเพื่อสอบถามคนขับก่อนหันมาตอบบุตรสาว

    กองคาราวานจากทะเลทรายน่ะลูก   กำลังข้ามถนน  คงจะเข้ามาขายสินค้าในเมือง   เรารอให้เขาพ้นไปก่อนก็แล้วกัน     ท่านอับดุลลาบอกอย่างใจเย็น

     

    ลูกอยากเห็นกองคาราวานค่ะ    จัสมินบอก  และก่อนที่ผู้เป็นบิดาจะทันห้ามปราม   หญิงสาวก็เปิดประตูก้าวลงจากรถคันงาม   กระไอแดดร้อนวูบปลิวเข้ามาปะทะ    หญิงสาวก้าวเดินพลางสวมแว่นกันแดดเพื่อลดแสงที่จ้าจัดจนเกินไป     ผ้าคลุมผมที่ยาวคลุมลงมาถูกตวัดขึ้นปิดใบหน้า     ท่านอับดุลลารีบก้าวตามบุตรสาวลงมา   พาให้ผู้ทำหน้าที่อารักขาก้าวตามลงมาด้วยทั้งกลุ่ม

     

     

    ขบวนอูฐนับสิบบนหลังบรรทุกสินค้ามากมายจนล้น    รวมทั้งกองเกวียนที่บรรทุกสินค้าจนเต็มโดยมีผ้าใบคลุมทับอีกชั้น    คนกลุ่มหนึ่งในชุดพื้นเมืองประจำถิ่นสีดำขะมุกขะมอมจากฝุ่นทรายดูรุ่มร่ามรุงรัง    ใบหน้าถูกคลุมมิดชิดป้องกันความร้อนจากแสงแดด    คนกลุ่มนั้นช่วยกันต้อนเหล่าอูฐทั้งหลายที่ทำท่าขี้เกียจไม่อยากเดินให้รีบเร่งข้ามผ่านถนนไปโดยเร็ว

     

    พวกนี้เขาจะเข้าไปขายของในเมืองหรือคะ   มีอะไรบ้าง ?     หญิงสาวถามอย่างสนใจ  สายตายังจับอยู่ที่กองคาราวานที่เคลื่อนพ้นถนนไปแล้ว

     

    ก็พวกสินค้าพื้นเมือง   ผ้าทอ   เครื่องราง    แล้วแต่ว่าเขาจะหาอะไรมาขายได้     ท่านอับดุลลาอธิบายพลางดึงบุตรสาวให้กลับเข้ามาในรถ    

     

    ขบวนรถเริ่มเคลื่อนไปอีกครั้ง    คนภายในรถไม่ทันสังเกตเห็น   หนึ่งในผู้ที่นั่งอยู่บนหลังอูฐหันกลับมามอง    ร่างภายใต้ผ้าคลุมดำสกปรก  มองเห็นเพียงดวงตาดำคมและคิ้วเข้มที่ทอดสายตามองตามรถไปอย่างครุ่นคิด

     

    ขบวนรถท่านอับดุลลา    คงมารับบุตรสาวที่ว่าเพิ่งกลับจากอังกฤษ   เห็นว่าไปอยู่ที่นั่นเสียหลายปี   เรียนจบมาทางด้านภาษาและวรรณคดี   คนที่อยู่ในชุดคล้ายคลึงกันอธิบายให้ทราบโดยไม่ต้องถาม

        

    ผู้ฟังไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้น   กระตุ้นอูฐมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง

     

     

    ชายสูงอายุในชุดขาวยาวขลิบทองนั่งอยู่โดดเดี่ยวภายในห้องโถงกว้าง    เสาโมราสลักประดับกระจกสีสลับหักเหเล่นแสงกับช่องชั้นกับแผ่นหินบางเรียบที่ฉลุลวดลาย    ลมจากทะเลสาบพัดพากระไอน้ำขึ้นมาช่วยให้เย็นสบาย   แต่สีหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ในห้องกับขมวดมุ่นอย่างคิดไม่ตก      ชายชราขยับเพ่งมองเอกสารในมืออย่างหนักใจ    กลิ่นกำยานที่นางข้าหลวงจุดไว้รำเพยพัดมาอ่อน ๆ

     

    รู้สึกว่าเอกสารในพระหัตถ์จะทำให้หนักพระทัยมากเหลือเกิน ?      เสียงถามที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นทำให้ร่างนั้นสะดุ้งเฮือก    ค่อย ๆ ผินหน้ากลับมามอง      ร่างสูงในชุดดำคลุมยาวก้าวเข้ามาอย่างเงียบกริบ    ไม่มีแม้เสียงฝีเท้า

    เคยบอกหลายครั้งแล้ว   ว่าอย่ามาเงียบ ๆ  อยากให้ข้าหัวใจวายตายไปเลยหรือไง ?

     

    ไม่คิดว่าองค์กษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์จะขวัญอ่อน   ร่างนั้นบอกขยับมายืนอยู่จนชิดโต๊ะทรงงานที่องค์กษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์ประทับอยู่

     

    นี่มาในฐานอะไร     ต้องให้ทำความเคารพไหม ?    รับสั่งถามแกมประชดจากผู้มากวัยกว่ามาก

     

    ตามพระทัยซิ    ทรงอยากพบหม่อมฉันในฐานะไหนล่ะ ?     ร่างที่ปกปิดมิดชิดย้อนถาม   แต่แล้วก็ก้มศรีษะลงทำความเคารพผู้มีฐานะเป็นองค์กษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์

     

    ขอความสันติจงมีแด่ท่าน

     

    ขอสันติจงมีแด่ท่านเช่นกัน       กษัตริย์อาซาริยัสตรัสตอบ

     

    เอาละ   ที่นี้เราก็มาเข้าเรื่องกันได้แล้ว     ฉันมีเรื่องจะปรึกษา   ลองอ่านนี่ซิ     องค์กษัตริย์ส่งเอกสารในพระหัตถ์ให้อีกฝ่ายรับไปอ่าน    ฝ่ายนั้นรับไปยืนพินิจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่งกลับคืน

     

    ยังไง   เห็นด้วยไหม ?

     

    ไม่!”    คำเดียวสั้น ๆ ง่าย ๆ  นั้นทำให้กษัตริย์อาซาริยัสถอนพระทัยยาว   เพราะไม่เกินที่คาดหมายไว้อยู่แล้ว

    เหตุผลล่ะ ?

     

    อัลมาฮาร์เป็นประเทศเก่าแก่   มีซากอารยธรรมโบราณมากมาย  กระจัดกระจายอยู่ตามทะเลทรายที่กว้างใหญ่นั่น    เราพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปแล้วก็หลายเมือง    แต่ทำไมจะต้องไปพัฒนาที่คาเธย์     ทรงทราบไม่ใช่หรือว่าที่นั่นเป็นอย่างไร

     

    ก็แค่ตำนานนิทานพื้นบ้านที่เล่าลือกันต่อ ๆ มา.....    องค์กษัตริย์ตรัสยังไม่ทันจบคู่สนทนาก็ยกมือเป็นเชิงให้หยุดพลางกล่าว

     

    มันไม่ใช่ตำนาน    คาเธย์ล่มทั้งเมืองจริง !   หรือว่าทรงอยากเห็นอัลมาฮาร์เป็นแบบคาเธย์    

     

    องค์อาซาริยัสถอนพระทัยอีกครั้ง    ก็แค่ตำนานนิทานปรัมปรา   ทรงเชื่อเรื่องนั้นเพียงน้อยนิด     โลกวิวัฒนาการไปถึงไหน ๆ แล้ว  เรื่องแบบนี้ยังจะมีอยู่อีกหรือ

     

    ถ้าไม่ทรงเชื่อหม่อมฉัน    ก็แสดงว่าไม่ทรงเชื่อในถ้อยคำแห่งบรรพกษัตริย์ที่ดำรัสตกทอดกันมาด้วย   ทรงคิดว่าบรรพกษัตริย์ทุกพระองค์โง่เขลางมงายหรือไร

     

    ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น   เพียงแต่ในขณะนั้นการศึกษาค้นคว้า   เครื่องไม้เครื่องมืออะไรมันก็ไม่เจริญเหมือนเดี๋ยวนี้     ก็อาจมีการเข้าใจผิดกันได้    

     

    งั้นก็ทรงเห็นว่าหม่อมฉันมีความเชื่อที่งมงายด้วยใช่ไหม    ทรงคิดว่าพวกเราหูป่าตาเถื่อนจนไม่ยอมรับวัฒนธรรมภายนอกอย่างนั้นหรือ ?     คำถามเพิ่มระดับความไม่พอใจเข้าไปอีก

     

    เอ่อ....ไม่ใช่อย่างนั้น....เพียงแต่ว่า     องค์กษัตริย์ทรงหาข้อขัดแย้งไม่ทัน

     

    ถ้าทรงคิดอย่างนั้น    แล้วมาปรึกษาหม่อมฉันทำไม    อยากทำอะไรก็ทำกันไปซิ

     

    ราฟาเอล   อัลซา   อาซาริยัส!   เจ้าพูดอยู่กับใคร     กระแสเสียงกริ้วโกรธอย่างเหลือทน

     

    ท่านล่ะ   รับสั่งอยู่กับใคร!”      คำยอกย้อนไม่เกรงกลัว    องค์อาซาริยัสทรงนิ่งไปชั่วครู่     สายตาคมเข้มมองสบโดยไม่หลบ     ในที่สุดผู้มากวัยกว่าก็ถอนพระทัยยาว

     

    เอาละข้าขอโทษ   ข้าไม่ควรพูดอย่างนั้น    

     

    ทำไมคณะรัฐบาลถึงเห็นพ้องต้องกันว่าจะบูรณะคาเธย์ขึ้นมา ?    เมื่อองค์กษัตริย์เอ่ยขอโทษ   น้ำเสียงคนถามก็ราบเรียบสงบลงจนเป็นปกติ

     

    คาเธย์อยู่ใกล้บาสร่า   ที่ตอนนี้ชาวต่างชาติหลายคณะหลั่งไหลเข้าไปท่องเที่ยว    แต่ซากอารยธรรมของบาสร่านั้นก็ยังไม่สมบูรณ์เท่าคาเธย์

     

    รัฐบาลก็เลยคิดว่าควรเข้าไปสำรวจคาเธย์เพื่อเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไปงั้นสิ ?

     

    แต่มันเป็นผลดีกับประชาชน   นี่เป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่พวกเขาเลยทีเดียว    องค์กษัตริย์พยายามยกเหตุผล

    แค่จำนวนกำไรจากน้ำมันดิบที่ขายได้ของแต่ละท่าน ๆ ในรัฐบาล   ช่วยกันบริจาคคนละนิดละหน่อย   สร้างงาน  ส่งเสริมความรู้ให้กับประชาชน   จัดระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ดี   แค่นี้ก็สามารถเกื้อกูลประชาชนได้แล้ว    สีพระพักตร์ผู้ฟังหนักพระทัย

     

    ไม่มีใครยอมละซิ     ร่างในชุดคลุมดำถามแกมเยาะเพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

     

    ใครริเริ่มความคิดนี้ ?  

     

    ฮัดซัน     คำตอบขององค์กษัตริย์ทำให้คนที่รับฟังหวนนึกถึงข้อมูลที่เคยได้รับมา   ฮัดซันหนึ่งในคณะมนตรีที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจแห่งอัลมาฮาร์    เป็นคนหนุ่มไฟแรงหัวก้าวหน้า   ชาติตระกูลดีหนำซ้ำระดับการศึกษายังดีเยี่ยม

     

    ฮัดซันงั้นเหรอ     ร่างสูงในชุดดำเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด

     

    ทำไมเขาถึงเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา    มีเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า 

     

    ฮัดซันเป็นคนดี   และยังมีความสามารถ   เธออย่าช่างระแวงไปหน่อยเลย    องค์อาซาริยัสทรงท้วง

     

    ตามพระทัยก็แล้วกัน      บุรุษในชุดดำทำท่าจะผละจากไปเสียดื้อ ๆ

     

    เดี๋ยว!   เรายังคุยกันไม่จบเลย     

     

    อยากทำอะไรก็ทรงทำเถอะ     หน้าที่พัฒนาเป็นของฝ่าบาท   หน้าที่ปกปักษ์รักษาเป็นของหม่อมฉัน

     

    ร่างนั้นกล่าวแล้วเดินลับผ่านหลังม่านไป      ไม่ต้องเสด็จไปทอดพระเนตรก็ทราบว่าบุรุษผู้นั้นกลับไปแล้ว    กลับไปโดยที่ไม่มีใครในบริเวณพระราชวังได้เห็นเหมือนกับตอนที่เข้ามา   

     

    องค์กษัตริย์ถอนพระทัยยาวพลางเอนพระวรกายพิงเก้าอี้ที่ประทับ    ทรงทราบดีว่านั่นคือคำอนุญาตให้ดำเนินการโครงการต่อไปได้      แต่ถึงแม้จะได้รับคำอนุญาตแล้วแต่แทนที่จะสบายพระทัยกลับทรงรู้สึกหนักพระทัยมากกว่า    อาจเป็นเพราะความเชื่อนมนานที่เล่าขานกันต่อ ๆ มา    ความเชื่อที่นำพาพระองค์ให้ต้องมาเกี่ยวพันธ์และพานพบกับ

     

    ราฟาเอล   อัลซา    อาซาริยัส!”

     

     

     

    บุรุษร่างสูงในชุดคลุมดำยืนกอดอกตัวตรง    ใบหน้าที่บัดนี้ปราศจากผ้าคลุมแหงนเงยขึ้นมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นกระจ่างฟ้าเหนือสันทรายอันทอดยาวสลับซับซ้อน      ความระอุอุ่นจากแสงแดดที่เริงแรงเมื่อตอนกลางวันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บ     ชายที่แต่งกายไม่แผกกันก้าวเข้ามาน้อมศรีษะลงทำความเคารพพลางเอ่ย

     

    ดำริเรื่องคาเธย์หรือครับ ?     ผู้ถูกตั้งคำถามถอนใจยาว

     

    หรือคำพยากรณ์จะเป็นจริง     วันเวลาแห่งการครบวาระกำลังเวียนมาบรรจบ   วันที่อำนาจแห่งอาบรีซาจะเติมเต็มและจันทรามหามายาจะเสื่อมลง

     

    ผู้ได้ฟังคำปรารภนั้นถึงกับทอดถอนใจด้วยความวิตก

     

    มันไม่ใช่เหตุบังเอิญ     เหมือนมีความจงใจที่จะทำให้เกิดภาวะบีบคั้นกับเราเช่นนี้

     

    ผมสั่งให้คนของเราตรวจสอบฮัดซันแล้วครับ

     

    ดี    จับตาดูไว้     การเคลื่อนไหวของฮัดซันอาจมีผลกระทบกับเรา     ต้องระวังให้ดี    ตอนนี้พวกเตตามีความเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า ?

     

    ไม่มีครับ     ระยะหลังมานี่พวกมันเงียบไป

     

    ระวังความเงียบก่อนจะเกิดพายุใหญ่    มุตตาฟา      ผู้ถูกเรียกค้อมศรีษะลงเมื่อร่าง สูง ๆ นั้นก้าวผ่านไปหยุดยืนนิ่งบนสันทราย

     

    แล้วเรื่องคาเธย์เราจะจัดการอย่างไรครับ ?     มุตตาฟาถาม   มีความหนักใจในน้ำเสียง

     

    คาเธย์เป็นแค่เงา    สิ่งที่พวกเราต้องระวังจริง ๆ คือการพลัดหลงเข้าไปโดยบังเอิญ     ก่อนการสำรวจจะเริ่มเราต้องตรวจดูให้แน่ใจว่ามนตราที่ผนึกไว้มีจุดบกพร่องตรงไหนหรือเปล่า

     

    ครับ    มุตตาฟารับคำก่อนจะบอกต่อไป

     

    ผมเตรียมกระโจมให้ท่านเรียบร้อยแล้ว

     

    เราจะอยู่ตรงนี้อีกซักพัก    เธอไปก่อนเถอะ        ร่างของมุตตาฟาก้มศรีษะลงทำความเคารพก่อนจะถอยออกไป     ปล่อยให้ร่างสูงยืนสงบนิ่งอยู่อย่างนั้นเพียงลำพัง

     

     

     

    ยามเช้าตรู่ในย่านตลาดค้าขายในเมืองหลวงแห่งอัลมาฮาร์สับสน  วุ่นวาย   เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนพื้นเมือง  ที่มาจับจ่ายเลือกซื้อสินค้าตามความต้องการ   จะมีก็ส่วนน้อยที่เป็นชาวต่างชาติ    เสียงเรียกลูกค้า   เสียงต่อรองราคา   เสียงบีบแตรรถ  เสียงอูฐและเสียงสัตว์อีกหลากหลายชนิดดังประสานกันจนฟังไม่ได้ศัพท์   ที่นี่เป็นแหล่งรวมสินค้าพืชผลของชนพื้นเมืองและสินค้าจากถิ่นทะเลทรายอันไกลโพ้นที่ชาวบ้านต่างนำมาวางขายกันแต่เช้า     หากเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มสูงก็จะสลายตัวแยกย้ายกันไป     ห้างร้าน   ร้านอาหาร  และกิจการสำคัญต่าง ๆ จะเปิดให้บริการหลังจากนั้นในเวลาสิบนาฬิกา     ฉะนั้นคนที่มุ่งหน้ามาตลาดในยามเช้าเช่นนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นพวกคนรับใช้ ตามคฤหาสน์ต่าง ๆ  ชาวบ้านร้านถิ่นทั่วไป   กรรมกรจากท่าเรือและบรรดาพ่อค้าชาวถิ่นทะเลทรายเท่านั้น    มีน้อยครั้งที่บรรดาชนชั้นระดับสูงจะลงมาเดินเลือกซื้อสินค้าตามตลาดแบบนี้

     

    หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีเข้ม   มีชาดราห์คลุมศีรษะปิดหน้าเห็นเพียงดวงตาเดินปะปนอยู่ในกลุ่มคน    เบื้องหลังมีหญิงรับใช้เดินมามาด้วย    ในมือของหญิงรับใช้ถือตะกร้ารอรับสิ่งของที่ผู้เป็นนายเลือกซื้อ    นายสาวหยิบธนบัตรจากกระเป๋าสตางค์ขึ้นมานับเพื่อจ่ายเป็นค่าของตามราคาที่ตกลงกับพ่อค้า    แต่ในขณะที่เอื้อมมือไปรับของก็รู้สึกว่าถูกกระแทกจากเบื้องหลัง    หญิงสาวเสียหลักเซไปข้างหน้าพร้อม ๆ กับกระเป๋าในมือถูกกระชากไป   เสียงกรีดร้องอย่างตระหนกของหญิงรับใช้ดังลั่นแต่นายสาวไม่สนใจเพราะพอตั้งหลักได้หญิงสาวก็ถลาวิ่งตาม   ปากก็ร้องให้คนช่วยจับขโมยไปด้วย     หญิงรับใช้ยิ่งละล้าละลังหนัก

     

    คุณหนู  อย่าตาม!   อย่าตามนะคะ   ช่วยด้วย!  ใครก็ได้ช่วยที  คุณหนู!”

     

    ผู้ที่ถูกเรียกว่าคุณหนูนั้นไม่ได้อยู่รอฟังเพราะวิ่งตามเจ้าหัวขโมยวิ่งราวกระเป๋าไปติด ๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×