คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : เมื่อกงล้อแห่งโชคชะตาเริ่มหมุน
บทที่ 5
เมื่อกงล้อแห่งโชคชะตาเริ่มหมุน
ภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้าง ผนังทั้งสี่ด้านเป็นกำแพงหินหนา กึ่งกลางห้องปูพื้นด้วยพรมหนาจนเกือบเต็มพื้นที่ของห้อง กองหมอนและเบาะรองนั่งวางอยู่โดยรอบ กลิ่นกำยานอวลตลบ เอกสารต่าง ๆ วางกระจายเกลื่อน ท่ามกลางข้าวของเหล่านั้นมีร่างในชุดคลุมดำมิดชิดนั่งอยู่บนเบาะเอนอิงพิงหมอน ในมือมีกระดาษปึกหนึ่งที่ผู้ถือมันกำลังไล่สายตาไปตามตัวอักษรอย่างสนใจ บางครั้งดวงตาดำคมก็มีร่องรอยครุ่นคิด บางครั้งผู้อ่านก็หลับตาลงเหมือนทบทวนอะไรบางอย่าง
ประตูหินหนาหนักถูกเลื่อนเปิดออกด้วยกลไกพิเศษ แสงสว่างจากภายนอกสว่างวาบเข้ามานิดหนึ่งก่อนที่ประตูหินจะปิดลง ร่างที่ก้าวเข้ามาคุกเข่าลงแสดงความคารวะ ก่อนจะถอยออกไปนั่งลงที่สุดผืนพรม
ผู้ก้าวเข้ามาเป็นชายวัยกลางคน หน้าเข้มเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึก เมื่อร่างในชุดดำไม่ขยับ ชายผู้นั้นก็นั่งนิ่งรอต่อไปอย่างอดทน
“มีเรื่องอะไรมุตตาฟา ?” ในที่สุดร่างในชุดคลุมก็เอ่ยถามพลางวางเอกสารในมือลง
“หมู่บ้านรอบนอกถูกปล้นสะดมอีกแล้วครับ”
“เสียหายแค่ไหน ?”
“มากครับ ทั้งบาดเจ็บล้มตาย ทรัพย์สินที่ถูกปล้นชิง”
“ฝ่ายรัฐบาลรู้หรือยัง ?” แล้วเพียงแค่สบสายตาร่างในชุดดำก็ตอบได้
“ล่าช้าอีกตามเคย”
“หน่วยแพทย์ของเราออกปฏิบัติงานแล้วครับ แต่ขวัญและกำลังใจของชาวบ้านสั่นคลอนเต็มที เขาไม่วางใจในความคุ้มครองที่รัฐบาลจะมีให้เขาได้”
“รู้ไหมว่าเป็นฝีมือของฝ่ายไหน ?”
“กระแสข่าวยังสับสน สถานการณ์ตอนนี้มีหลายฝ่ายหลายพวกเหลือเกินครับ” ร่างในชุดดำถอนใจยาว
“จับตาดูต่อไป”
“ครับ ตอนนี้สายของเรารายงานว่ามีความพยายามปลุกระดมชนเผ่าต่าง ๆ และชาวบ้านที่อยู่ห่างไกล มีการสร้างสถานการณ์บั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและองค์กษัตริย์ มีข่าวลือต่าง ๆ ออกมามากมาย ยิ่งบวกกับทหารรักษาการณ์รอบนอกใช้อำนาจตามความพอใจด้วยแล้ว ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม”
ไม่มีคำพูดใดจากชายชุดดำที่นั่งอยู่บนเบาะ ผู้กล่าวรายงานมีท่าทีอึกอักลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดออกมา
“เอ่อ .ท่านน่าจะทูลเตือนองค์กษัตริย์”
“เราเตือนแล้วมุตตาฟา เตือนมาหลายครั้งแต่องค์อาซาริยัสทรงระแวงมาฮาร่า ทรงเกรงพลังศรัทธาที่ชาวทะเลทรายและชนกลุ่มน้อยเผ่าต่าง ๆ มีให้กับมาฮาร่า ดีไม่ดีอาจจะทรงคิดก็ได้ว่ามาฮาร่าอยู่เบื้องหลังสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น”
“อย่างนี้ยิ่งน่าหนักใจนะครับ พวกเรามาฮาร่าผูกพันกับอัลมาฮาร์ด้วยพันธะสัญญาศักดิ์สิทธิ์ เรามีหน้าที่ปกป้องหาใช่ครอบครอง” น้ำเสียงมุตตาฟาบ่งบอกความไม่พอใจ
“เป็นใครก็ต้องระแวงทั้งนั้น มาฮาร่าเผ่าพันธุ์ลึกลับผู้อยู่เบื้องหลังบัลลังก์แห่งอัลมาฮาร์ ผู้คอยบงการควบคุมองค์กษัตริย์ .ใครเคยรู้ความจริงบ้างว่ามาฮาร่าเป็นได้แค่เงา หากเมื่อใดเราปรากฏออกสู่เบื้องหน้าเราจะพบกับความวิบัติเหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งกระโน้น” ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
“เอาเถอะถึงยังไงหน้าที่ของเราก็คือปกป้องอัลมาฮาร์ อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด เราจะทำจนสุดความสามารถของเราก็พอแล้ว”
“ครับ” มุตตาฟารับคำแต่เหมือนจะยังมีเรื่องกังวลอยู่ในใจ
“อยากจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”
“ทำไมคีลจะต้องนำทางให้คณะสำรวจด้วยครับ เส้นทางไปสู่คาเธย์ไม่ใช่เส้นทางที่ปลอดภัยเลย”
“ก็เพราะไม่ปลอดภัย คนที่เหมาะจะนำทางจึงต้องเป็นคีล ให้พวกเขาอยู่ในเส้นทางที่เรากำหนดดีกว่าจะสะเปะสะปะไปโดยไม่รู้ทิศ อีกอย่างคีลคือไกด์ทะเลทราย จะให้เขาปฏิเสธงานปฏิเสธเงินที่ถูกเสนอให้ได้อย่างไร”
“ผมเกรงว่า .”
“คีลคือคนของมาฮาร่า เขาต้องอุทิศตนเพื่องานแห่งมาฮาร่า”
“แต่ท่านผู้เฒ่าในสภาคงไม่เห็นด้วย”
“เรื่องนั้นฉันจะพูดกับสภาเอง” มุตตาฟาจำต้องเงียบหมดข้อโต้แย้งแต่ยังมีท่าทีกังวลใจ
“เอาเถอะ ให้อาหมัดกับคนของเขาคอยติดตามคณะสำรวจไปห่าง ๆ ก็แล้วกัน พอใจใหม ?”
“ครับ” มุตตาฟาจำต้องยอมรับ เขาก้มลงทำความเคารพแล้วถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ
คณะสำรวจเส้นทางสายอารยธรรมโบราณออกเดินทางจากเมืองหลวงอัลมาฮาร์ด้วยเฮลิคอปเตอร์ที่ท่าน อับดุลลาจัดการให้มุ่งสู่เมืองบาสร่าอันเป็นเมืองใหญ่กลางทะเลทรายเพื่อจะใช้เส้นทางรถในการเดินทางเข้าสู่คาเธย์ การเดินทางในครั้งนี้ประกอบด้วยผู้ร่วมเดินทางสองกลุ่มสองจุดประสงค์ กลุ่มแรกมีฮัดซันเป็นผู้นำคณะสำรวจอารยธรรมคาเธย์ นอกจากนั้นยังมีผู้ร่วมคณะที่เป็นชาวต่างชาติอีก 4 คน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีตะวันออกโดยมีศาสตราจารมาร์คลิก เคตัน เป็นหัวหน้าทีม และลูกศิษย์แอรอน ฟอเรียน และกิลด้าแหม่มสาวผมทองหุ่นอวบอัดชวนน้ำลายหก ในส่วนของจัสมินนั้นมีผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่งซึ่งมีซาเล็มมาทำหน้าที่หัวหน้าคนงาน คีลผู้เป็นไกด์นำทางและมูซาที่ตื้อตามมาด้วยจนได้
ส่วนอีกคณะที่ร่วมเดินทางมาในครั้งนี้ด้วยคือเบซา อิล ฮาหมัด ที่มีจุดประสงค์ในการสำรวจแหล่งน้ำมันดิบในเขตคาเธย์ด้วยยังไม่มีผู้ใดเคยเข้าไปสำรวจมาก่อน เบซาได้เตรียมคนและเครื่องมือในการสำรวจต่าง ๆ เดินทางล่วงหน้าไปเตรียมการที่บาสร่าก่อนแล้วหนึ่งสัปดาห์และเบซายังมีน้องสาวแสนสวยนามเบนดาฮาร่าติดตามมาท่องเที่ยวทะเลทรายด้วยอีกหนึ่งคน
ในวันขึ้นเครื่องเด็กชายตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด ในขณะที่คีลก็มีท่าตื่น ๆ เพราะไม่เคยนั่งเฮลิคอปเตอร์ในการนำเที่ยวมาก่อนแต่ก็ยังพอเก็บอาการไว้ได้ ระหว่างที่เฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือท้องทะเลทรายอันเวิ้งว้าง เจ้าเด็กน้อยมูซาก็สะกิดถามคีลที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ หลังจากที่มันอาเจียนจนหมดไส้หมดพุงเพราะเมาเครื่อง
“มันจะตกไหม ?” มันเพิ่งกลัว
“ถามอะไรไม่เป็นมงคล!” จัสมินที่บังเอิญเดินผ่านมาได้ยินพอดีดุมัน
“สวดมนต์เอาไว้ซิ!” เป็นคำแนะนำจากคนที่มูซาสะกิดถาม คนที่นั่งหลับตาเงียบมาตั้งแต่ขึ้นเครื่องได้ ดูท่าทางแล้วจะแย่พอ ๆ กับเจ้าเด็กมูซา จัสมินมองอย่างสมน้ำหน้า
“แสดงว่าที่นั่งเงียบ ๆ นี่สวดมนต์มาตลอดเลยหรือ ?” หญิงสาวถามแกมหัวเราะทำให้อีกฝ่ายมองค้อน
“ผมเป็นไกด์นำเที่ยวอยู่บนพื้นดิน อยู่ในทะเลทราย ไม่เคยคิดว่าจะต้องนั่งไอ้เครื่องหมุน ๆ นี่” ชายหนุ่มว่าก่อนจะหลับตาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ต่อไปโดยไม่สนใจใคร จัสมินมองสภาพเจ้าเด็กน้อยแล้วอดสงสารไม่ได้จึงเดินกลับไปหยิบลูกอมหลากสีกลับมาส่งให้ถุงใหญ่
“อมใส่ปากไว้จะได้ไม่พูดมาก” ก่อนจะเดินกลับไปอยู่ในส่วนที่นั่งของตน
“สวย ดุ แต่ใจดีนะ” มูซาว่าพลางแกะลูกอมใส่ปาก
“ใจดีตรงเขาแจกท็อฟฟี่เจ้าน่ะสิ” คีลว่าประชดแต่เจ้ามูซาไม่สนใจแถมส่งลูกอมให้ คีลส่ายหน้า
“ข้าโตแล้ว ไม่ต้องใช้ลูกอมล่อหลอกเหมือนเด็ก ๆ”
“แต่ถ้ามันอร่อยก็น่ายินดีที่ถูกหลอก” มูซาว่าเลือกหยิบลูกอมหลากสีมาพิจารณาอย่างสนใจ
“ใครจะหลอกใครตอนนี้ก็ช่างมันเถอะ ข้าจะหลับซักหน่อย พอเครื่องใกล้ถึงเจ้าปลุกข้าด้วยแล้วกัน” คีลสั่งแล้วหลับตาลงอีกครั้ง
“อ้าว! เดี๋ยวซิ เฮ้! อย่าเพิ่งหลับ” เด็กชายพยายามเรียกแต่คีลไม่มีทีท่าจะตอบรับใด ๆ
เมื่อคณะสำรวจเดินทางมาถึงบาสร่าก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากอาซามันข่าน ผู้ตรวจการเมืองบาสร่าที่ได้จัดเตรียมขบวนรถ อุปกรณ์ และทหารคุ้มกันที่จะร่วมเดินทางไปกับการสำรวจเส้นทางในครั้งนี้ ทุกคนในคณะต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน คงเหลือแต่คีลที่เร่ไปสำรวจข้าวของต่าง ๆ ที่จะใช้ในการเดินทางโดยมูซาตามติดมาด้วยไม่ยอมห่าง
“ท่าทางเจ้าจะชำนาญการเดินทางในทะเลทรายมากนะ ?” เสียงถามดังขึ้นเบื้องหลังคีลและมูซาที่กำลังก้มๆ เงย ๆ สำรวจข้าวของต่าง ๆ อยู่
“อ้าว! ซาเล็ม นึกว่าไปพักแล้วเสียอีก” คีลเงยหน้าขึ้นทัก
“ไกด์ทะเลทรายที่ดีจะต้องดูแลเรื่องการเดินทางให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงจะไปพักได้ เหมือนที่เจ้ากำลังทำอยู่ในขณะนี้”
“ผมแค่ทำตามหน้าที่ เจ้านายกระเป๋าหนักผมก็ต้องบริการดีเป็นธรรมดา เผื่อวันหน้าท่านติดใจจะได้เรียกใช้บริการผมอีก” ชายหนุ่มบอกแกมหัวเราะพลางหันไปสนใจกับข้าวของที่กองไว้กระจัดกระจาย
ซาเล็มมองชายหนุ่มตรงหน้ายิ้ม ๆ แต่ไม่พูดอะไร เสเดินไปเปิดดูข้าวของ
“ขาดเหลืออะไรบ้างไหม ?”
“เงินทองบันดาลทุกอย่างอยู่แล้วละ แต่มีบางอย่างที่ผมอยากให้เพิ่มลงไปในรายการ”
“อะไร ?” ซาเล็มหันมาถาม
“ผงกำมะถันจำนวนมาก คบไฟหรือตะเกียงไฟ เซรุ่มแก้พิษงูมากเป็นพิเศษ ความจริงผมอยากให้ใช้อูฐแทนรถด้วยซ้ำไป”
“เรื่องเซรุ่มข้าคิดว่าแพทย์ที่จะเดินทางไปกับเราคงเตรียมไปแล้ว แต่กำมะถันกับคบไฟจะเอาไปทำไม เรามีเครื่องปั่นไฟให้แสงสว่างอยู่แล้ว”
“เรื่องเซรุ่มผมอยากให้ช่วยกำชับหมอว่าเตรียมไปมาก ๆ หน่อย ส่วนอีกสองอย่างนั่นผมขอร้องเป็นพิเศษให้เตรียมสำรองไว้ .การเดินทางด้วยรถ อยู่ด้วยเครื่องปั่นไฟ ใช้เซรุ่มแก้พิษ ซาเล็มคิดว่ามันพอสำหรับการเหยียบย่างเข้าสู่โลกอารยธรรมนับพันปีนั่นแล้วหรือ”
“เจ้าอ่อนกว่าข้าจะว่าไปแล้วก็นับเป็นรุ่นหลานได้ละมัง ไม่น่าจะมีความคิดแบบนี้อยู่เลย” รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าชายหนุ่มคล้ายจะเยาะอะไรบางอย่าง
“ผมก็แค่อยากเตือนไว้ ที่ที่เราจะไปคือเขตอารยธรรมแห่งโลกโบราณ สิ่งใดที่แปลกปลอมสิ่งนั้นจะถูกกำจัดออกไปเสมอ” ซาเล็มมองสบตาผู้พูดนิ่งนาน
“ไหนเจ้าว่าไม่เคยเข้าไปในคาเธย์” ชายหนุ่มยักไหล่
“ไกด์ทะเลทรายอย่างผมเข้าไปในที่แบบนั้นไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ตำนาน ความเชื่อ นิทานปรัมปราก็เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้ามไม่ใช่หรือ ?” คีลย้อนถามหน้าตาเฉย
“เจ้าเหมาะจะเป็นไกด์จริง ๆ นั่นแหล่ะ เอาเถอะข้าจะเสนอท่านฮัดซันให้ก็แล้วกัน”
“เสนอคุณหนูของซาเล็มดีกว่า ท่านฮัดซันคงฟังมากกว่าเสียงของพวกเราแน่” ชายหนุ่มบอกแกมหัวเราะพลางพยักหน้าเรียกมูซาให้ไปด้วยกัน แต่เหมือนนึกอะไรได้จึงชะงักหันกลับมา
“อ้อ! ทางที่ดีซาเล็มอย่าบอกคุณหนูของซาเล็มว่าผมเป็นคนเสนอ ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกมองว่าไร้สาระก็ได้นะ” คำบอกพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ
คนทั้งคู่เดินจากไปแล้ว ทิ้งให้ผู้เฒ่าซาเล็มมองตามไปอย่างครุ่นคิด
ขบวนรถเกือบสิบคันจอดเรียงราย เป็นรถที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับใช้แล่นในทะเลทรายโดยเฉพาะ กลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนอยู่ภายในอาคาร จากสีหน้าท่าทางออกจะหงุดหงิดที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทัดเทียมกับดีกรีความร้อนแรงของดวงอาทิตย์ที่ขึ้นสูง คณะสำรวจกำลังรอคอยบุคคลคนเดียวในคณะ ‘ไกด์’ ผู้ทำหน้าที่นำทางที่หายไปตั้งแต่เช้า และเมื่อหันไปเห็นผู้เป็นต้นเหตุที่ทำให้คนทั้งหมดต้องรอฮัดซันก็ตรงลิ่วเข้าไปเล่นงานทันที
“แกหายหัวไปไหนมา ก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเราจะออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า แล้วดูซินี่มันกี่โมงแล้วเพิ่งโผล่หัวมา ทำแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน!”
“นั่นซิ ใช้ไม่ได้ ไล่ออกแล้วหาใหม่ดีกว่าค่ะ ไกด์ที่ไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้” เบนดาฮาร่ารีบสนับสนุน
“ถามเหตุผลเขาก่อนดีกว่าค่ะ” จัสมินเอ่ยแทรกขึ้น แม้จะไม่พอใจที่ต้องรอคอยแต่ก็พยายามที่จะใจเย็น
“นายไปไหนมา ?” คีลถอนใจเฮือกพลางบอกด้วยน้ำเสียงแกมเหนื่อยหน่าย
“ผมไปหาตัวยาสมุนไพรบางชนิด กว่าจะได้ครบก็เลยนานไปหน่อย”
“พวกยาต่าง ๆ หมอที่ร่วมเดินทางไปกับคณะของเราเขาเตรียมไปพร้อมแล้ว นายจะเอาไปทำไมอีก”
จัสมินชักจะหมั่นไส้นายคนมาช้าทำให้คนอื่นต้องรอแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกผิด
“เดี๋ยวก็รู้” คีลยิ้มกวนโมโห ฮัดซันเองก็รู้สึกไม่ถูกชะตากับเจ้าไกด์คนนี้เลย แต่ติดที่ทางท่านอับดุลลาเป็นคนหาให้จึงจำต้องรับไว้
“ผมว่านี่ก็สายมากแล้วเราออกเดินทางกันดีกว่าครับ” ซาเล็มช่วยคลี่คลายบรรยากาศ ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปขึ้นรถ คีลหันมามองมูซาที่วิ่งมาเกาะมือเขาไว้ตั้งแต่เขาย่างก้าวเข้ามา แต่ก่อนหน้านั้นไม่มีใครเห็นว่าเจ้าเด็กตัวแสบหลบไปอยู่ที่ไหนมา มือที่เหนี่ยวรั้งแขนคีลไว้เย็นเฉียบจนชายหนุ่มต้องก้มลงมอง เด็กชายแหงนหน้ามองอยู่ก่อนแล้วแววตาออกจะสับสนทั้งหวาดหวั่นและโกรธแค้น
“เป็นอะไร ?” คีลก้มลงถามมัน
“มัน .มันอยู่ที่นั่น! มันฆ่าพ่อ ฆ่าแม่” เด็กชายเค้นเสียงต่ำอยู่ในลำคอ สายตาหันไปมองจับอยู่ที่รถคันหน้าที่เป็นของทหาร ชายวัยฉกรรจ์ร่างสูงผิวคล้ำไว้หนวดยาวในเครื่องแบบทหารทะเลทรายกำลังก้าวขึ้นนั่งบนรถ
“ไอ้ยูซูส มันจะไปกับเราด้วย” เด็กชายบอก คีลตบหลังมือมันเป็นเชิงปลอบ
“ใจเย็นไอ้หนู เก็บความแค้นของเจ้าไว้แล้วเรามาคอยดูด้วยกัน กงล้อแห่งโชคชะตาเริ่มหมุนแล้ว” เด็กชายมองคีลอย่างไม่เข้าใจ
“คาเธย์คือนครต้องคำสาป ผู้โลภโมโทสะ ผู้ทยานอยากไม่เคยมีใครกลับออกมาจากคาเธย์ได้”
“มันจะไม่ได้กลับมาอีกใช่ไหม ?” มูซาถามเสียงเบา รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเกินเด็ก คีลไม่ตอบเพราะเสียงแตรรถที่บีบเร่งเร้า
“ไปเถอะ มุ่งสู่คาเธย์นครแห่งมายา” ชายหนุ่มบอกแล้ววิ่งตรงไปขึ้นรถคันที่สองที่สตาร์ทเครื่องรอโดยมีเจ้ามูซาวิ่งตามไปด้วย ขบวนรถเคลื่อนตัวเริ่มต้นการเดินทางสู่คาเธย์
เบื้องบนท้องฟ้าที่เริงร้อนไปด้วยกระไอแดด หากใครสักคนแหงนมองขึ้นไปจะเห็นกลุ่มเมฆทะมึนค่อยๆ รวมตัวกันเป็นโครงร่างของหญิงสาวกำลังหัวเราะอย่างเริงร่า ฝุ่นทรายที่ฟุ้งตลบจากขบวนรถเริ่มจางลงทำให้เห็นกลุ่มคนในชุดดำนับสิบคนที่จู่ ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ บุคคลผู้อยู่ภายใต้ผ้าคลุมผู้หนึ่งมองตามขบวนรถก่อนจะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางถอนใจยาว เสียงบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างกังวล
“กงล้อแห่งโชคชะตา หมุนเวียนใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว” บุคคลผู้นั้นให้สัญญาณ ผู้ที่อยู่บนหลังอูฐทุกคนเริ่มออกเดินทางติดตามคณะสำรวจไปห่าง ๆ
ความคิดเห็น