คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ไกด์ทะเลทราย
บทที่ 4
ไกด์ทะเลทราย
ชายหนุ่มร่างสูงสง่า หน้าตาคมเข้มในชุดคลุมยาวสีขาวสะอาดตา ลุกขึ้นยืนต้อนรับท่านอับดลลาที่ก้าวเข้ามาในห้องโถงรับรอง ชายหนุ่มผู้นั้นก้มศีรษะลงทำความคารวะก่อนตามธรรมเนียม
“ตามสบายฮัดซัน เชิญ เชิญ” เจ้าของบ้านกล่าวเชิญก่อนจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“มีธุระอะไรถึงได้มาหาถึงที่นี่ ?”
“ผมแวะมาเยี่ยมเยียนคารวะครับและมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่าน” ชายหนุ่มผู้มีนามว่าฮัดซันตอบอย่างนอบน้อม
“มีเรื่องอะไรล่ะ บอกมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
“เรื่องคณะสำรวจที่จะเดินทางไปคาเธย์น่ะครับ ผมดำเนินการติดต่อไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ติดขัดที่ยังไม่สามารถหาไกด์นำทางที่มีความชำนาญในเส้นทางสายคาเธย์เลย ผมคิดว่าควรมาเรียนขอปรึกษากับท่าน” ฮัดซันบอกถึงจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ ผู้มากวัยกว่ายังนิ่งรอฟังต่อไป
“ท่านกว้างขวางในหมู่ชาวทะเลทรายเผ่าต่าง ๆ รวมถึงพวกเบดูอิน พอจะมีใครที่มีความสามารถแนะนำบ้างได้ไหมครับ”
“คนนำทางที่เก่ง ๆ ก็พอจะมีหรอกนะ แต่ถ้าให้หาคนที่ชำนาญในเส้นทางสายคาเธย์ด้วยคงยากเต็มที ยิ่งเดี๋ยวนี้กองคาราวานแทบจะไม่กล้าผ่านแถวนั้น คนที่พอจะรู้เส้นทางก็ล้วนแต่อายุมากแล้วทั้งนั้น”
“ก็ยังดีกว่าเรางมไปโดยไม่รู้จุดมุ่งหมายเลยนะครับ”
“เอาเถอะจะลองหาให้ เออ แล้วคณะสำรวจคราวนี้มีล่ามประจำคณะหรือยัง ?” ท่านอับดุลลาลองเรียบเคียง
“ผมลืมเสียสนิทเลยครับ ถ้าท่านไม่เตือนคงยุ่งแน่”
“งั้นจะเสนอล่ามประจำคณะให้เอาไหม”
“ดีซิครับ”
“จะลองสัมภาษณ์ดูก่อนไหมล่ะ ?” ท่านอับดุลลาถามยิ้ม ๆ
“ตอนนี้อยู่ที่นี่แล้วหรือครับ” ฮัดซันถามอย่างประหลาดใจ
“เดี๋ยวก็คงมา นั่นไงล่ะ” ชายหนุ่มหันไปมองตามสายตาท่านอับดุลลา ภาพที่เห็นกลางขอบประตูโค้งและผ้าม่านที่รวบตลบไว้ หญิงสาวนางหนึ่งก้าวออกมาในชุดติดกันยาวสีน้ำตาลแกมทองชายกระโปรงยาวละพื้น ผ้าคลุมผมสีขาวบางเบาพาดพันไว้หลวม ๆ ทิ้งชายไปทางเบื้องหลัง ฮัดซันถึงกับตะลึงค้างไปชั่วครู่
“จัสมีนา อาร์ ซาเวียร์ ลูกสาว เพิ่งกลับจากอังกฤษ เขาจบมาทางด้านภาษาและวรรณคดี จัสมิน นี่ท่านฮัดซัน หนึ่งในคณะมนตรีที่ปรึกษา”
หญิงสาวเจ้าของนามจัสมินน้อมศีรษะลงแสดงอาการคารวะ ฝ่ายชายลุกขึ้นยืนก้มศีรษะเป็นการให้เกียตริฝ่ายหญิง
“ได้ทราบอยู่เหมือนกันว่าธิดาท่านอับดุลลาเพิ่งเดินทางกลับจากอังกฤษ” ท่านอับดุลลายิ้มกับกริยาสนใจในตัวบุตรสาวของท่านอย่างเห็นได้ชัดของฝ่ายชาย
“เป็นไง จะลองสัมภาษณ์ความสามารถดูก่อนไหม ?”
“ถ้าแบบนี้คงไม่ต้องแล้วละครับ”
“พอได้ยินว่ามีการสำรวจเส้นทางอารยธรรมโบราณ ลูกสาวเขาก็สนใจ”
“คุณจัสมินไม่กลัวลำบากหรือครับ เส้นทางแถบนั้นกันดารมาก” ฮัดซันหันมาถามหญิงสาวโดยตรง จัสมินยิ้ม พลางตอบ
“ดิฉันสนใจอารยธรรมโบราณค่ะ ฝันอยากเห็นการสำรวจแบบนี้มานานแล้วก็ไม่คิดว่ามันจะลำบากอะไรนัก ท่านฮัดซันจะกรุณารับดิฉันไว้หรือเปล่าคะ”
“คุณต่างหากครับที่กรุณามาเป็นล่ามให้กับคณะสำรวจ เป็นเกียตริอย่างยิ่งเลยมากกว่า แล้วก็ไม่ต้องเรียกผมว่าท่านหรอกครับ” ชายหนุ่มรีบบอก
“งั้นก็ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกันค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวาน
“ยินดีเช่นกันครับ” แล้วการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ และเรื่องอื่น ๆ ก็ดำเนินไปจนเกือบค่ำ เจ้าของบ้านจึงเชื้อเชิญให้ผู้เป็นแขกอยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ซึ่งฝ่ายผู้เป็นแขกก็เต็มใจตอบรับเป็นอย่างยิ่ง
ไฟท้ายรถติดตามคันสุดท้ายแล่นออกไปจากคฤหาสน์หลังงาม ท่านอับดุลลาและบุตรสาวยังยืนอยู่ที่บันไดขั้นบนสุด
“คุณฮัดซันนี่คุยสนุกดีนะคะ มีความรู้กว้างขวางเสียด้วย” จัสมินเอ่ยชมพลางคล้องแขนผู้เป็นบิดาพากันเดินกลับเข้าข้างใน
“เขาเป็นคนเก่ง ก็เพราะความเก่งของเขานั่นแหล่ะถึงได้รับตำแหน่งสูงตั้งแต่อายุเพียงแค่นี้ ว่าแต่ลูกเถอะคิดยังไงกบฮัดซัน เห็นยิ้มหว่านเสน่ห์ให้เสียขนาดนั้น”
“แหม! ท่านพ่อ ลูกก็ยิ้มแบบปกติทั่วไปนั่นแหล่ะค่ะ ไม่ได้ตั้งใจหว่านเสน่ห์อย่างที่ท่านพ่อกล่าวหาเสียหน่อย ลูกต้องร่วมงานร่วมทางไปกับพวกเขาก็ต้องทำความรู้จักคุ้นเคยกันไว้ซิคะ”
“แต่รู้สึกฮัดซันเขาจะสนใจลูกมากกว่าเพื่อนร่วมงานนะ” ท่านอับดุลลาอ่านสายตาผู้ชายด้วยกันออก
“ลูกสนใจแค่เรื่องงานค่ะ เรื่องอื่นยังไม่อยากคิด ต้องขอบคุณท่านพ่อมากเลยค่ะที่ทำให้ลูกได้เดินทางไปกับคณะสำรวจ”
“เจ้าน่ะดีใจที่ได้ไปเที่ยว แต่พ่อชักจะหนักใจ”
“หนักใจเรื่องอะไรคะ ?”
“เรื่องความปลอดภัยของลูกอย่างหนึ่งละ อีกเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เลยก็เรื่องเจ้าพวกคณะสำรวจพวกนั้นจะไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงานนักหรอก” ท่านอับดุลลาเว้นระยะไปนิดหนึ่ง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองอย่างจะถาม
“ก็เพราะมัวแต่มาหลงเสน่ห์ของลูกสาวพ่อกันหมดนี่แหล่ะ” ท่านอับดุลลาว่าแกมหัวเราะ
“แหม! ท่านพ่อนี่ละก้อ” ผู้เป็นบิดาโยกศีรษะบุตรสาวอย่างเอ็นดูพากันเดินกลับเข้าไปในเขตที่พักด้านใน
เด็กชายในสภาพที่ดูดีกว่าเมื่อสองสัปดาห์ก่อนนั่งท้าวคางแอบหลบอยู่ข้างประตูไม้เก่าโทรม ท่าทางเบื่อหน่ายไม่สนใจใคร ๆ ที่เดินผ่านไปมา แม้กระทั่งชายหนุ่มในชุดคลุมรุ่มร่ามสีทรายเก่า ๆ ที่เดินเข้ามาหยุดข้าง ๆ มันก็ไม่สนใจจะเงยหน้าขึ้นดู เมื่อเห็นว่าเด็กชายไม่สนใจร่างสูงจึงเปิดประตูไม้เดินผ่านเข้าไปภายในโดยไม่สนใจกับเจ้าคนที่นั่งหลบอยู่ด้านนอก
“อ้าว! มาแล้วหรือวะ หายหัวไปนานเลยนะเอ็ง นี่เงินหมดแล้วสิท่าถึงโผล่หัวมาได้” ชายร่างอ้วนผิวคล้ำเอ่ยทักเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าใครเปิดประตูเข้ามา
“ก็งั้นแหล่ะ แล้วเป็นไงบ้าง ช่วงนี้มีงานหรือเปล่า ?” ชายหนุ่มถามพลางนั่งลงบนโต๊ะรก ๆ แถวนั้น ชายเจ้าของห้องส่ายหน้าไปมาพลางบอก
“ถ้ารอแกบริษัทข้าก็เจ๊งเท่านั้น ใครเขาจะรอคนที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะโผล่หัวมา”
“เอาน่าก็มาแล้วไง ไม่มีทัวส์ซักคณะบ้างเหรอ ?” ชายหนุ่มรีบถามก่อนจะต้องฟังคำบ่นยืดยาวจากเจ้าของบริษัททัวส์กระป๋องรายนี้ ดวงตาดำคมเป็นประกายรื่นรมย์
“ไม่มี” ผู้ฟังยักไหล่แล้วทำท่าจะผละไป”
“เดี๋ยวก่อน!” ชายเจ้าของบริษัทเรียกไว้ ร่างสูงหันมาเลิกคิ้วถาม
“เมื่อ 4 -5 วันก่อนมีคนมาตามหาแก เขาทิ้งนามบัตรไว้ ให้ไปหาเขาตามที่อยู่ในบัตร”
“เขามีธุระอะไรบอกหรือเปล่า” ชายหนุ่มรับนามบัตรมาพลิกดู
“เห็นว่าต้องการไกด์เดินทางไปคาเธย์นะ เขาต้องการคนที่รู้เส้นทางและมีความชำนาญ รู้สึกว่าเขาจะติดต่อกับบริษัททัวส์อีกหลายบริษัท คงจะเลือกดูว่าใครจะเก่งกว่ากันมั๊ง นี่ก็หลายวันแล้วอาจได้คนแล้วก็ได้”
ชายหนุ่มผู้ฟังพลิกนามบัตรดูอย่างพิจารณา
“ทำไมเขาถึงสนใจฉันล่ะ ฉันก็แค่ไกด์ผีบริษัทเล็ก ๆ ไม่เคยผ่านการอบรมอะไร”
“เขาอาจจะสนใจเรื่องที่แกเที่ยวไปคุยกับใคร ๆ เขาว่าทุกพื้นที่ในทะเลทรายแกรู้จักหมด หลับตาเดินยังไม่หลง หรือไม่เขาอาจเคยได้ยินเรื่องที่แกเที่ยวโอ้อวดว่าเป็นผู้นำทางแห่งอะไรนะ มาฮาร่งมาฮาร่าอะไรของแกน่ะ เขาก็เลยสนใจ” ชายร่างอ้วนบอกแกมประชด
“ท่าทางถ้าได้งานนี้คงสบายไปอีกนาน” เจ้าหนุ่มไม่สนใจอะไร ท่าทางกำลังฝันหวานอยู่
“ป่านนี้เขาได้คนแล้วมั้ง ตั้งหลายวันแล้วนี่”
“ไม่แน่หรอกน่า ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่ที่ดวงด้วย ขอบใจสำหรับนามบัตร” ชายหนุ่มบอกแล้วก้าวออกจากบริษัท
เด็กชายที่นั่งแอบอยู่ข้างประตูเงยหน้าขึ้นมาทันเห็นหลังไว ๆ จึงรีบวิ่งไล่ตามพลางเรียกร้องอย่างดีใจ
“คีล! คีล! หยุดก่อนคีล” เด็กชายหอบแฮกวิ่งตามมาดักหน้า
“เจ้านั่นเอง มีอะไรอีก ?”
“ข้ามาดักรอเจ้าที่นี่ทุกวันเลย”
“ใครบอกเจ้าล่ะ ?” ชายหนุ่มเริ่มออกเดิน เด็กชายจึงเดินตามพลางบอก
“ก็ถามจากพวกที่พายายข้าไปส่งโรงพยาบาลน่ะ เขาบอกว่าเจ้าทำงานอยู่ที่นี่”
“ยายเจ้าหายดีแล้วหรือ ?”
“ฮื่อ หายแล้ว ตอนนี้ข้ากับยายได้ที่อยู่ใหม่แล้วด้วย คนที่โรงพยาบาลเขาฝากให้เป็นคนครัวที่บ้านเศรษฐีในเมืองนั่นแหล่ะ” เด็กชายเล่า
“แล้วมาดักรอข้าทำไมกัน ?”
“ข้าอยากมาขอบใจเรื่องที่เจ้าช่วยเหลือยายน่ะ”
“ไม่เป็นไร” คีลไม่ค่อยใส่ใจนัก เดินเลี้ยวพ้นตรอกที่ออกจะคับแคบสู่ถนนสายหลักอันกว้างขวางของเมืองหลวง ตึกรามบ้านช่องตั้งตระหง่านสวยงาม รถราแล่นกันขวักไขว่เพราะขณะนี้สายมากแล้ว สถานที่ต่าง ๆ ในอัลมาฮาร์เปิดให้บริการแล้ว ผู้คนในอาภรณ์สวยงามทั้งชาวอัลมาฮาร์และชาวต่างชาติเข้าออกตามร้านรวงต่าง ๆ
“เจ้าเป็นไกด์นำเที่ยวเหรอ ?” เด็กชายเอ่ยถามอย่างสนใจ
“ดีจังนะ ได้ไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ น่าสนุก”
“ทำเพราะความสนุกกับทำเพื่อหาเลี้ยงปากท้องมันไม่เหมือนกันหรอกเจ้าเด็กน้อย”
“ห้ามเรียกข้าว่าเด็กน้อยนะ!” มันว่าอย่างไม่ค่อยชอบใจ “ข้าโตแล้วไม่ใช่เด็ก”
“อ้อเหรอ ตัวกะเปี๊ยกเนี่ยนะโต เฮ้อ! เด็กน้อเด็ก”
“ข้าไม่ใช่เด็ก!” มันทำท่าจะเอาเรื่อง แต่คิดหัวเราะขำ
“ได้ ๆ ไม่ใช่เด็กงั้นท่านมูซาขอรับมีอะไรก็ไปทำเถอะครับ กระผมจะไปหางานของกระผมทำเหมือนกัน”
“ข้าไปด้วยซิ” เด็กชายเสนอตัวอย่างกระตือรือร้น แต่ถูกปฏิเสธทันควัน
“ไม่ได้ จะไปทำไม”
“น่า ให้ข้าไปด้วยเถอะ ข้าอยากรู้นี่ว่าไกด์นำเที่ยวเขาเป็นกันยังไง” เจ้าเด็กมูซาตื้อที่จะตามไปด้วย คีลไม่ได้ตอบรับแต่ก็ม่ได้ห้ามปราม พอเดินเงียบ ๆ มาได้ซักครู่มันก็อดปากถามไม่ได้
“เจ้าเป็นผู้นำทางแห่งมาฮาร่าเหรอ ?”
“ก็ใช่สิ”
“แล้วมาฮาร่าคืออะไร ?” เด็กชายซักอย่างสนใจ
“พ่อมด หมอผี ผู้มีเวทมนตร์อาคม”
“โอ้โห! งั้นพ่อกับแม่ของข้าก็เป็นพวกมีเวทมนตร์ใช่ไหม! แล้วข้าล่ะข้าก็มีด้วยหรือเปล่า” มูซาซักอย่างตื่นเต้น
“ไม่ มาฮาร่าไม่ใช่ผู้ใช้อาคมโดยทั่วไป มนตร์แห่งมาฮาร่าอยู่ในขั้นสูงกว่านั้น เชื้อสายแห่งมาฮาร่าจะส่งต่อกันไปตามสายเลือด พ่อแม่ของเจ้าเป็นเพียงผู้สาบานตนต่อมาฮาร่าเท่านั้น”
“แล้วมันคืออะไรล่ะ ?” เด็กชายมีท่าทางผิดหวัง
“ผู้สาบานตนต่อมาฮาร่าคือผู้ที่ปฏิญาณต่อมาฮาร่าว่าจะศรัทธาและรับใช้มาฮาร่า .แต่ถึงจะไม่มีเชื้อสายก็อาจใช้มนตราได้ถ้าเจ้าจงรักภักดีและศรัทธาในมาฮาร่าอย่างจริงใจและสุจริต”
“ใช้ฆ่าคนได้ไหม ?” มูซาถามเสียงเบา
“ได้ .แต่การฆ่าของมาฮาร่าต้องมาจากจิตที่ไม่อคติ ไม่อาฆาตพยาบาท” คำพูดของคีลเด็กชายไม่เข้าใจนัก
“ฆ่าด้วยความชอบธรรม”
“ไม่เห็นจะเข้าใจ” มูซาบ่นพึมพำแต่ก็ยังถามในสิ่งที่สงสัยต่อไป
“แล้วทำไมข้าไม่เห็นมีใครพูดถึงมาฮาร่าเลยล่ะ”
“มูซา มาฮาร่าหายสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของทะเลทรายแห่งนี้นับพันปีมาแล้ว มาฮาร่าไม่มีตัวตนอยู่ในสังคมนี้หรอกนะ”
“งั้นก็หมายความว่าไม่มีใครรู้เรื่องมาฮาร่า และข้าต้องเก็บเป็นความลับใช่ไหม” เด็กชายถามอย่างฉลาด
“เจ้าจะพูดหรือไม่พูดมันก็อยู่ที่เจ้าจริงไหม สำคัญแต่ว่าเมื่อพูดแล้วจะมีใครเชื่อหรือไม่”
“แล้วทำไมเจ้าเที่ยวป่าวประกาศให้ใครๆ รู้ละว่าเป็นผู้นำทางแห่งมาฮาร่า ?”
“บางครั้งการที่เราพูดความจริง แต่คนกลับไม่ยอมเชื่อเราก็มีนะ” คีลหัวเราะ
“คนเดี๋ยวนี้เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น สัมผัส และพิสูจน์ได้แล้วเท่านั้น สิ่งที่เป็นเพียงตำนานนิทานปรัมปราอย่างมาฮาร่าไม่มีใครสนใจหรอก”
“ทำไมต้องทำเหมือนมาฮาร่าไม่มีตัวตนอยู่ล่ะ”
“เพราะมาฮาร่าคือเงา เป็นเพียงภาพมายาที่ไม่อาจสัมผัสได้” มูซาทำหน้างุนงงไม่เข้าใจที่คีลพูด
“ไว้เจ้าโตกว่านี้ ข้าอาจจะอธิบายให้ฟัง ถ้าเจ้าคือผู้สาบานตนต่อมาฮาร่านะ” คีลบอกแกมหัวเราะ เขาพูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปยังอาคารสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในย่านธุรกิจ
การแต่งกายที่สกปรกมอมแมมของคนทั้งคู่ทำให้ถูก รปภ.กันไว้ไม่ยอมให้เข้าไปภายในตัวตึก แม้ชายหนุ่มจะบอกเหตุผลในการมาพร้อมทั้งส่งนามบัตรผู้ที่มาติดต่อให้แล้วก็ตาม ทั้งคู่ถูกกันให้นั่งรออยู่ในห้องเล็ก ๆ ข้างตึกที่ทำการ ผ่านไปเป็นชั่วโมงทั้งคู่จึงถูกพาตัวไปยังห้องรับแขกอันกว้างขวางโอ่โถง ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
มูซาแหงนมองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ ลืมเรื่องที่โกรธเกรี้ยวเมื่อครู่เนื่องจากต้องรอนานนับชั่วโมง ตอนนั้นเด็กชายร่ำ ๆ จะกลับเสียให้ได้
ท่านอับดุลลาพิจารณาชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า สายตาคมกริบสำรวจตรวจตราอย่างถี่ถ้วนตั้งแต่ชายหนุ่มและเด็กชายก้าวเข้ามาในห้อง จัสมินเองก็เพ่งมองชายหนุ่มอย่างคลับคล้ายคลับคลาก่อนจะจำได้
“นายนั่นเอง!” คำอุทานของบุตรสาวทำให้ท่านอับดุลลาหันไปมองอย่างสงสัย
“นายนี่ไงคะที่ช่วยเอากระเป๋าคืนให้แล้วก็ปล่อยเจ้าหัวขโมยไปด้วย รู้สึกเจ้าหัวขโมยนั่นจะเป็นเด็ก” หญิงสาวบอกสายตาจับจ้องไปทางมูซาอย่างระแวงปนสงสัย มูซาซุกแอบหลังคีลกลัวความผิด
“หรือว่านายสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหัวขโมย ?”
“แหม ทำคุณบูชาโทษ หาคุกให้แล้วไหมล่ะ” เสียงบ่นพึมพำค่อย ๆ
“ก็จริงนี่ นายช่วยฉันเพราะเล็งเห็นประโยชน์ใช่ไหมล่ะ”
“เพ้อเจ้อเกินไปหรือเปล่า ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณมีผลประโยชน์อะไรให้ เรื่องมันบังเอิญทั้งนั้น” ชายหนุ่มเถียง
“เอาละ ๆ หยุดเถียงกันได้แล้ว” ท่านอับดุลลาต้องรีบห้ามกลัวเรื่องจะบานปลาย ทำให้คีลสงบปากสงบคำลง
“เรื่องที่เธอช่วยลูกสาวฉัน ฉันขอบใจมาก ที่นี้มาเข้าเรื่องที่เธอมาหาฉันที่นี่ดีกว่า เธอชื่อคีลมีอาชีพเป็นไกด์ทะเลทราย ?”
“ท่านก็ทราบแล้วนี่ครับ ไม่อย่างนั้นคงไม่เรียกผมมาพบ” คีลตอบอย่างนอบน้อม
“ความจริงฉันเรียกพบเมื่อหลายวันก่อนนะ”
“แหม ถ้าอย่างนั้นถือว่าผมมาช้า ท่านคงไม่ต้องการเรียกใช้บริการของผม งั้นลาละครับ” คีลกล่าวแล้วทำท่าจะเดินจากไปแต่ถูกคนของท่านอับดุลลาขวางไว้
“มาคุยกันก่อนดีกว่านะ อย่าเพิ่งรีบร้อนกลับเลย เชิญนั่ง” ชายหนุ่มจำต้องทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยมีมูซาเกาะแจไม่ยอมห่าง
“ฉันมีเรื่องจะถามจากเธอนิดหน่อย ถ้าคำตอบของเธอเป็นที่พอใจ เธอก็ได้งาน”
“งั้นถามมาได้เลยครับ” คีลมีท่าทีกระตือรือร้นที่จะให้คำตอบขึ้นมาทันที
“เธอรู้จักทะเลทรายมากแค่ไหน ?”
“ผมโตมากับทะเลทรายครับ ใช้ชีวิตและหากินกับทะเลทราย”
“ลูกว่าเขาโกหก ผิวพรรณนายนี่ขาวเกินกว่าจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่กลางทะเลทรายแบบนั้น” จัสมินค้าน เธอจับสังเกตทุกอย่างจากตัวชายหนุ่ม
“แหม ก็เผ่าพันธุ์บรรพบุรุษผมไม่ใช่คนดำ แล้วจะให้ผมผิวดำได้ยังไงกันล่ะ อีกอย่างผมก็กลัวร้อนเป็นนะครับ ป้องกันได้ผมก็ป้องกัน จะมาหาว่าผมโกหกได้ยังไง” หญิงสาวขยับจะเถียงแต่ท่านอับดุลลารีบถามเสียก่อน
“มีคนบอกว่าเธออ้างเป็นผู้นำทางแห่งมาฮาร่า เธอรู้หรือเปล่าว่ามาฮาร่าคืออะไร ?”
“มาฮาร่าก็เป็นพวกเผ่าพันธุ์ที่ถูกกล่าวถึงในตำนาน พวกพ่อมดหมอผี แต่บางคนก็ว่าคนพวกนี้หายสาบสูญไปนานแล้ว ในปัจจุบันนี้ก็มีแต่พวกประหลาดที่ยังยึดถือความเชื่อและการดำเนินชีวิตแบบเก่า ๆ ที่เรียกตัวเองว่าผู้ศรัทธาในมาฮาร่าเท่านั้น พวกนี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านรอบนอกห่างไกลจากชาวทะเลทรายเผ่าอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะตั้งหลักแหล่งอยู่โดยรอบอาณาเขตคาเธย์พวกเขาไม่ต้อนรับคนแปลกหน้าเท่าไหร่นัก ผมเคยไปแถวนั้นหลายครั้งครับ”
“เธอไปทำอะไรแถวนั้น เส้นทางที่พูดถึงนั่นไม่ใช่เส้นทางที่ไกด์ทะเลทรายควรจะไป” ท่านอับดุลลาตั้งข้อสังเกต
“ตอนแรกผมไปกับกองคาราวานแล้วบังเอิญเจอพายุทรายก็เลยเซซังไปเจอกับหมู่บ้านพวกนั้นเข้า ตอนหลัง ๆ ผมก็เลยหาสินค้าที่จำเป็นบางอย่างจากในเมืองไปเสนอขายพวกเขา แล้วก็รับสินค้าจากหมู่บ้านมาขายหารายได้บ้างก็เท่านั้น”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าพวกนั้นคือผู้ศรัทธาในมาฮาร่า” จัสมินถามในข้อสงสัย คีลยิ้มตอบได้คล่องปากไม่มีพิรุธใด ๆ
“ก็เขาบอกผมเอง เขาเรียกตัวเองว่าผู้ศรัทธาในมาฮาร่า”
“พวกเขาเป็นอย่างไร ?”
“ก็เหมือน ๆ กับพวกชาวทะเลทรายทั่วไปแหล่ะครับ ตามหมู่บ้านชาวทะเลทรายเป็นยังไงพวกเขาก็เป็นอย่างนั้น”
“เธอเคยไปถึงซากนครคาเธย์ไหม ?” คำถามยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ
“ไม่เคยครับ รู้แต่ว่าพวกในหมู่บ้านกลัวอาถรรพ์จากนครคาเธย์มาก”
“ทำไมถึงเรียกตัวเองว่าผู้นำทางแห่งมาฮาร่า”
“ก็มันฟังแล้วมันดูดีไงครับ ใครฟังต้องสะดุดหูทั้งนั้น แล้วทีนี้เขาก็ต้องสนใจอยากใช้บริการผม”
คีลยอมรับได้หน้าตาเฉย ท่านอับดุลลามองชายหนุ่มผู้ตอบคำถามด้วยความสนใจ แววตาคมกริบนั้นบอกความถูกใจ
“งั้นเหรอ ถ้าฉันจ้างให้เธอนำทางไปคาเธย์ จะทำได้ไหม ?”
“โอ๊ย! ต้องได้อยู่แล้วครับผม งานเดินเงินดีเป็นหลักการของผมอยู่แล้ว” คำตอบนี้ทำเอาท่านอับดุลลาหัวเราะชอบใจ
“ดี พูดตรงดี เอาเป็นว่าฉันถูกใจเธอ อีกสามวันมาพบฉันที่นี่ เราจะเริ่มงานด้วยกัน ตอนนี้กลับไปเตรียมตัวของเธอให้พร้อมสำหรับงาน จำไว้! ฉันไม่ชอบคนโกหก ถ้าทำไม่ได้หรือไม่แน่ใจก็ถอนตัวออกไปซะ งานของฉันต้องการคนที่รู้จริงเท่านั้น” ท่านอับดุลลาบอกแม้ใบหน้าจะยังยิ้มแต่กระแสเสียงจริงจัง สายตามองตรงมาที่ชายหนุ่ม คีลมองสบตายังยิ้มได้เป็นปกติแถมเอ่ยคำรับรอง
“แน่นอนครับผม”
“ดี! งั้นเธอก็ไปเตรียมตัวได้แล้ว” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนทำความเคารพท่านอับดุลลา แล้วเลยส่งยิ้มไปทางหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้าง ก่อนจะเดินเอ้อระเหยออกไป มีเด็กชายสกปรกมอมแมมเกาะแขนตามไปด้วยไม่ยอมห่าง พอลับร่างของคนทั้งคู่จัสมินก็เอ่ยถามอย่างไม่เห็นด้วย
“ท่านพ่อแน่ใจหรือคะว่านายนั่นไม่ได้โกหก ?”
“เท่าที่สัมภาษณ์มาทั้งหมดมีเจ้านี่แหล่ะที่พ่อรู้สึกว่าเขาสามารถนำเราไปถึงคาเธย์ได้ จริงไหมซาเล็ม” ท่านอับดุลลาเอ่ยถามผู้ยืนเยื้องอยู่เบื้องหลังเก้าอี้ที่น้อมตัวลงเล็กน้อย ผิวพรรณที่กร้านดำเกรียมแดดบ่งบอกถึงการใช้ชีวิตสมบุกสมบันในทะเลทรายมายาวนาน ใบหน้าเหี่ยวย่นด้วยวัยที่ก้าวเข้าสู่วัยชราแต่ดวงตายังแหลมคมประดุจเหยี่ยวล่าเหยื่อ
“ขอรับนายท่าน เจ้านี่มันพูดความจริง แววตามันไม่ได้โกหก”
“แต่ยังไงฉันก็ไม่วางใจใครนอกจากเธอ ฉันจึงต้องการให้เธอร่วมไปกับคณะสำรวจครั้งนี้ด้วย”
“ขอรับ กระผมยินดี”
“ขอบใจมาก” ท่านอับดุลลาลุกขึ้นหันไปตบบ่าผู้ที่เคยทำงานรับใช้มานานปีก่อนเดินผละไป หญิงสาวก้าวมาหยุดยืนตรงหน้าชาเล็มผู้ชรา
“แต่ฉันหวังพึ่งพิงประสบการณ์ของซาเล็มเต็มที่เลยแหล่ะ สำหรับฉันนายนั่นไว้ใจไม่ได้” ซาเล็มยิ้มมากขึ้นพลางบอก
“ดีแล้วละครับ คุณหนูอย่าไว้ใจใครง่าย ๆ โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ”
“แต่หนุ่มชราอย่างซาเล็มนี่ไว้ใจได้ใช่ไหมจ๊ะ” หญิงสาวกระเซ้า
“แน่นอนครับคุณหนู” ซาเล็มยิ้มจนเห็นฟันขาว มองตามร่างบางที่เดินลับหายไปจากห้องโถง
ความคิดเห็น