คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3
บทที่ 3
หญิงสาวสวยสองคนเดินนำหน้าชายหนุ่มผิวขาวจัด ดวงหน้าจะเรียกว่าหล่อคงไม่ได้เพราะออกจะสวยซะมากกว่าเข้ามาในร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวอำเภอ ทั้งสามคนไม่ได้สนใจรอบข้าง เมื่อมองหาโต๊ะที่ว่างได้ก็เดินตรงไปนั่งทันที รอเพียงไม่นานพนักงานก็เข้ามาสอบถามรายการอาหารที่ต้องการสั่งก่อนจะเดินจากไป คนทั้งสามยังสนใจกับบรรยากาศ การตบแต่งร้านและทิวทัศน์สวย ๆ ที่มองเห็นรอบ ๆ ร้านไม่ได้รู้เลยว่าพวกตนตกเป็นจุดสนใจของคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่อีกโต๊ะไม่ไกลเท่าใดนัก
“สนใจหรือพ่อเลี้ยง” คำถามจากชายวัยกลางคนหุ่นสมบูรณ์พอ ๆ กับตัวเลขอายุที่เฉียดเลขหกอยู่อีกไม่กี่ปี ถามชายหนุ่มที่ท่าทางจะมีอายุน้อยกว่าซึ่งยังจับตามองไปที่จุดนั้นไม่วางตา
“ใช่ สนใจ” ปากตอบแต่สายตายังไม่ละกลับมายังวงสนทนา ใบหน้าคมคิ้วเข้ม ดวงตารียาวฉายแววพึงพอใจอย่างปิดไม่มิด
“คนไหนล่ะพ่อเลี้ยง สาวหมวยคนหน้าหรือสาวคนที่เดินตามหลัง”
“คุณสมศักดิ์ว่าคนไหนล่ะ”
“ถ้าให้เดาสงสัยจะเป็นสาวคนหลังละมาก” คู่สนทนาบอกแกมหัวเราะ คนที่ถูกเรียกว่าพ่อเลี้ยงหันกลับมายิ้มให้พลางบอก “คุณสมศักดิ์นี่รู้ใจผมจริง ๆ”
“ท่าทางไม่ใช่คนถิ่นนี้นะครับ อาจจะเป็นพวกนักท่องเที่ยว”
“นั่นซินะ อย่างนี้ต้องไปทักทายหน่อยแล้วตามประสาเจ้าบ้านที่ดีจริงไหม” รอยยิ้มกรุ่มกริ่มปรากฏอยู่บนใบหน้าและแววตา
“เชิญตามสบายครับ งั้นผมถือโอกาสขอตัวกลับเลยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มพยักหน้าให้นั่งมองไปยังโต๊ะเป้าหมาย เขารอจนคนทั้งสามจัดการกับอาหารที่สั่งมากะระยะเวลาว่าจวนจะรับประทานเรียบร้อยกันแล้วจึงลุกเดินตรงไปยังเป้าหมายทันทีโดยไม่ลังเล
“สวัสดีครับ” เสียงทักทายจากชายหนุ่มแปลกหน้าที่เข้ามาแทรกการสนทนาระหว่างเพื่อนฝูงทำให้ทั้งกลุ่มชะงักค้าง วรรณวลีหันกลับไปมองด้วยท่าทางสงสัย
“เรารู้จักกันด้วยเหรอคะ” ฝ่ายถูกย้อนถามยังยิ้มกว้าง
“เปล่าครับ ผมแค่อยากรู้จักกับพวกคุณเท่านั้นเอง ผมรัฐพลครับ พ่อเลี้ยงรัฐพล ธนสารเกรียงไกร” ชายหนุ่มแนะนำตัวเอง เพื่อนสามคนมองหน้ากันรอยยิ้มที่ส่งให้ดูจืดเจื่อน
“ผมภูมิพงษ์ครับ ส่วนนั่นวรรณวลี แล้วก็ทอฟ้าเพื่อนผม” ภูมิพงษ์ต้องทำหน้าที่แนะนำแทนเพื่อน ๆ แต่ดูเหมือนรัฐพลจะไม่สนใจใครอื่นนอกจากหญิงสาวนามทอฟ้า
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณทอฟ้าครับ” ทอฟ้ายิ้มให้ตามมารยาท ในขณะที่วรรณวลีกับภูมิพงษ์ลอบสบตากัน ดูเหมือนงานนี้จะมีคนยินดีมาสมัครรักษาแผลใจให้เพื่อนรายแรกแล้ว
“ผมเป็นเจ้าของริมพนารีสอร์ท นี่นามบัตรผม ขออนุญาตนั่งด้วยได้ไหมครับ” ชายหนุ่มแจกนามบัตรตนแล้วถือโอกาสนั่งโดยไม่รอคำอนุญาตจากใคร
“เอ่อ...คุณรัฐพลเป็นคนที่นี่หรือคะ” ทอฟ้าถามเพื่อไม่ให้วงสนทนาดูเงียบเกินไปนัก เห็นสายตาของเพื่อนแล้วก็นึกขำ คงไม่คิดว่าจะมีใครกล้าจู่โจมขนาดนี้ละมัง ท่าทางนายพ่อเลี้ยงนี่ออกจะคล่องสังคมอยู่ซักหน่อย
“ครับผมเป็นคนที่นี่แต่ก็ไปอยู่เมืองนอกซะนานเพิ่งกลับมาสานต่องานของครอบครัวเมื่อสามสี่ปีนี่ละครับ พวกคุณคงมาเที่ยวใช่ไหม”
“เพื่อนฉันสองคนมาเที่ยวค่ะ ส่วนฉันเพิ่งมาอยู่ที่นี่” ทอฟ้าอธิบาย ในเมื่อคิดจะมาลงหลักปักฐานพำนักอยู่ที่นี่เธอก็ควรทำความรู้จักกับเจ้าถิ่นไว้บ้าง
“อยู่ที่นี่หมายความว่ายังไงครับ มาทำงานที่นี่หรือครับ” รัฐพลยิ้มเมื่อเห็นฝ่ายหญิงรับไมตรีจากเขาเป็นอันดี
“ฉันอยู่ที่ไร่ฟ้าหมอกค่ะ”
“ไร่ฟ้าหมอก เอผมเคยได้ยินชื่ออยู่เหมือนกัน รู้สึกเจ้าของเก่าจะเสียชีวิตแล้วคุณศักดิ์ธนาใช่ไหมครับ”
“คุณลุงฉันเองค่ะ”
“งั้นแสดงว่าคุณจะมาทำไร่ต่อจากคุณศักดิ์ธนาหรือครับ แหมดีจริง ไร่ของคุณอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทของผมเท่าไหร่เลย ว่าง ๆ ผมขอแวะไปเยี่ยมบ้างจะได้ไหมครับ” รัฐพลถามหยอด ทั้งสีหน้าและแววตาแสดงออกอย่างเต็มที่ว่าสนใจในตัวหญิงสาวที่คุยด้วย เพื่อนสองคนปิดปากเงียบเพราะไม่มีช่องให้สอดแทรกการสนทนาและดูเหมือนว่าชายหนุ่มเองก็ไม่เห็นทั้งสองคนอยู่ในสายตาเหมือนกัน
“ยินดีค่ะ แต่ไร่ฉันไม่ได้สวยอะไรนะคะ ตั้งแต่คุณลุงเสียก็ขาดการเอาใจใส่ดูแล พืชไร่ไม้ผลที่ลงไว้ก็ทรุดโทรมมากแล้วไม่มีอะไรน่าดูหรอกค่ะ”
“ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยละก็บอกได้นะครับ ที่ริมพนารีสอร์ทของผมแต่เดิมก็เป็นไร่ธรรมดาแต่ผมเห็นว่ามันล้าสมัยไปแล้วที่จะทำไร่อย่างเดียวก็เลยปรับปรุงเป็นรีสอร์ทเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักชื่นชมธรรมชาติและความงามของบรรยากาศพร้อม ๆ กันไปเลย ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมมากเสียด้วย” รัฐพลได้โอกาสคุย วรรณวลีที่ทนเงียบอยู่นานเพิ่งได้ช่องสอดแทรก
“เอ แต่ฉันเคยได้ยินมาว่าที่นี่ไร่เอื้อมตะวันน่ะขึ้นชื่อว่าสวยมากเลยใช่ไหมคะ จริงหรือเปล่า” รัฐพลหันมองคนถามคล้ายเพิ่งมองเห็นว่ามีคนอื่นนั่งอยู่ด้วย แม้คำถามจะเหมือนการขัดคอกันและทำให้เขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่แต่เพราะความคล่องสังคมทำให้รัฐพลยังรักษาสีหน้าได้เป็นอย่างดี
“คนบอกคงบอกไม่หมดน่ะครับเพราะที่นั่นไม่ใช่รีสอร์ท ไม่เปิดให้คนเข้าไปชมหรอกครับ เขาทำไร่กันอย่างเดียวเท่านั้น” ความจริงเขาก็เพียงแต่เคยได้ยินได้ฟังมาหากไม่ค่อยสนใจเท่าไร ถึงแม้จะเคยได้ยินกิติศัพท์ของผู้เป็นเจ้าของไร่มาบ้างว่าเป็นคนกว้างขวางของจังหวัดแต่เขาเองก็ยังไม่เคยพบหน้าซักครั้งเหมือนกัน
“แหมอย่างนี้ก็น่าเสียดายนะพงษ์นะ คนเคยเห็นเขาบอกว่าสวยมาก ๆ ก็เลยอยากจะไปดูบ้างเผื่อฟ้าเขาจะได้เก็บมาเป็นความรู้ปรับปรุงงานไร่ตัวเองบ้างน่ะคะ” วรรณวลีหันไปพยักเพยิดกับภูมิพงษ์ก่อนจะไปลงที่เพื่อนสาว เพื่อนชายได้แต่ยิ้มรับ
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าอยากชมไร่สวย ๆ ที่รีสอร์ทผมยินดีต้อนรับเสมอครับ ผมจะนำชมด้วยตัวเองเลย สนใจไหมละครับ” รัฐพลชักชวนอย่างกระตือรือร้น
“คงต้องไว้วันหลังดีกว่านะคะ ตอนนี้ยังไม่สะดวก” ทอฟ้ารีบแย้ง
“ไม่เป็นไรครับวันหลังก็วันหลัง เอ่อแล้ววันนี้พวกคุณมีโปรแกรมจะไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่าครับ ถ้ายังผมมีหลายแห่งจะแนะนำ” ชายหนุ่มเสนอตัวช่วยเหลือเต็มที่
“คือว่าวันนี้พวกเราเหนื่อยมาทั้งวันแล้วละค่ะ กะกันไว้ว่าจะเข้าไร่พักผ่อนเลย” หญิงสาวเจ้าของไร่รีบบอก ถึงแม้จะรับไมตรีที่อีกฝ่ายพยายามหยิบยื่นมาให้แต่คนเพิ่งรู้จักกันยังไงก็คงต้องมีขอบเขตกันบ้าง ไว้ศึกษาทำความรู้จักกันไปเรื่อย ๆ จะดีกว่า
“หรือครับ” ท่าทางชายหนุ่มผิดหวัง แต่ก็ยังไม่ท้อถอย
“ถ้างั้นมื้อนี้ให้ผมเลี้ยงนะครับ ถือว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับเพื่อนใหม่” ทอฟ้าขยับจะแย้งแต่ไม่ทันวรรณวลีที่พูดแทนเพื่อน ท่าทางเหมือนกำลังสนุกกับความคิดอะไรบางอย่าง
“จะดีหรือคะ เกรงใจพ่อเลี้ยงแย่เลย”
“ไม่เป็นไรครับ เพื่อมิตรภาพของเราแค่นี้เล็กน้อยมาก”
“ขอบคุณค่ะ” ทอฟ้ากล่าวขอบคุณพลางลอบส่งสายตามองเพื่อนตาเขียวแต่ทำอะไรไม่ได้ รัฐพลส่งสัญญาณเรียกบริกรเช็กบิล เมื่อบริกรมาถึงก็วางบัตรเครดิตให้โดยไม่ต้องถามราคาให้เสียเวลา
“ผมมาที่นี่บ่อยครับ ร้านนี้อาหารขึ้นชื่อมาก”
“ค่ะ” ทอฟ้ารับคำไปตามมารยาทเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านั้น รัฐพลยังชวนพูดคุยอีกหลายเรื่องกว่าบริกรจะเดินกลับมาพร้อมสลิปรายการค่าอาหารชายหนุ่มจัดการเซ็นชื่อรับบัตรคืนก่อนจะวางธนบัตรฉบับละร้อยลงไปบนถาดเล็กเพื่อเป็นค่าทิป
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” ทอฟ้าสรุปรวบรัดพลางลุกขึ้นเพื่อลากลับ
“เช่นกันครับ ถ้ายังไงผมจะแวะไปเยี่ยมที่ไร่” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนส่ง
“แล้วพบกันใหม่นะคะ” วรรณวลียิ้มกว้างก่อนจะก้าวตามเพื่อนสาวไปพร้อมกับภูมิพงษ์ที่เพียงก้มศีรษะให้นิดหนึ่งแล้วเดินตามเพื่อนทั้งสองไป ทิ้งให้รัฐพลยืนยิ้มกริ่มกับสิ่งที่มาดหมายอยู่คนเดียว
“ทอฟ้า นายสาวแห่งไร่ฟ้าหมอก เห็นทีไม่ไปเยือนไม่ได้แล้ว”
พอเดินพ้นระยะห่างสายตากรุ้มกริ่มที่มองมาได้ทอฟ้าก็ถอนใจอย่างโล่งอก ทำเอาวรรณวลีที่เดินอยู่ใกล้ ๆ หัวเราะออกมา
“ถึงกับถอนใจเชียวเหรอ”
“มันน่าถอนใจไหมล่ะ ผู้ชายอะไรเพิ่งรู้จักกันแท้ ๆ วุ่นวายจริง ๆ”
“ก็เธออยากไปพูดดีกับเขาทำไมล่ะ” วรรณวลีกระเซ้าต่อไป
“แล้วจะให้ฉันด่าหรือยังไง อีกอย่างไหน ๆ ก็เห็นว่าเป็นคนพื้นที่รู้จักเอาไว้ก็ไม่เสียหาย เผื่อเดือดร้อนอะไรขึ้นมาจะได้มีคนรู้จักไว้พึ่งพาได้บ้าง” ทอฟ้าให้เหตุผลที่ภูมิพงษ์พยักหน้าเห็นด้วย
“ดูท่าทางอีตาพ่อเลี้ยงนั่นจะไม่ได้อยากเป็นแค่คนรู้จักน่ะซิ” วรรณวลีเอ่ยในสิ่งที่ทอฟ้าก็พอจะมองท่าทีของชายหนุ่มออกเหมือนกัน
“แต่ขอวิจารณ์นิดเถอะ พี่แกขี้คุยอวดร่ำอวดรวยน่าดู ฟัง ๆ แล้วหมั่นไส้ชะมัด”
“หาว่าเขาอวดรวย หมั่นไส้เขาแล้วเธอให้เขาเลี้ยงอาหารทำไมล่ะ” ภูมิพงษ์ขัดคอจนถูกฝ่ามือพิฆาตทุบอั๊กลงมาแบบไม่ปราณีเล่นเอาชายหนุ่มผู้บอบบางกุมไหล่ร้องโอดโอย
“ไหน ๆ ก็แสดงท่าทีว่าจะจีบเพื่อนเราอยู่แล้วจะปฏิเสธทำไมละยะนายพงษ์งี่เง่า รับรองได้ไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้อีตาพ่อเลี้ยงนั่นต้องโผล่หน้าไปที่ไร่แน่นอนเลย” วรรณวลีสั่งสอนแกมคาดการณ์ล่วงหน้า
“วรรณก็ไม่น่าไปพูดทำนองชวนเขา” ทอฟ้าบ่นอุบอิบ
“ถึงไม่ชวนก็ต้องโผล่หน้ามาอยู่ดีแหละ เอาน่านึกว่าเอาไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา ทำความรู้จักไว้ก็ไม่เสียหลายอะไรหรอก น่าเสียดายอีตานี่เป็นนาย ร ไม่ใช่นาย บ” คำสุดท้ายของวรรณวลีทำเอาทอฟ้ามองอย่างเข่นเขี้ยวแต่ภูมิพงษ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยทำหน้าเหรอ
“นาย ร นาย บ มีอะไรกันเหรอ”
“เปล๊า ก็แค่เสียดายที่นายพ่อเลี้ยงนั่นน่าจะมีชื่อขึ้นต้นว่า บ ใบไม้ ใครบางคนแถวนี้เขาจะได้สนใจขึ้นมาบ้างน่ะ” วรรณวลีว่าแกมหัวเราะแต่แล้วก็ต้องร้องโอดโอยเพราะกรรมตามสนองเร็วทันใจโดยคุณหนูฟ้าทุบตุ๊บลงมาแบบไม่ยั้งเหมือนกัน เพื่อนสาวปัดป้องตัวเองพัลวัล
“โอ๊ย พอแล้วฟ้า พอแล้ว ไม่ล้อก็ได้ หยุดได้แล้ว” ทอฟ้าจึงหยุดมือ
“แหมแค่นี้ก็ต้องอายด้วย ไม่เป็นไรเดี๋ยวคราวหลังถ้านายพ่อเลี้ยงนั่นมาฉันจะลองเรียบ ๆ เคียง ๆ ถามดูว่ามีใครที่อีตานั่นรู้จักชื่อขึ้นต้นด้วย บ ใบไม้บ้าง” วรรณวลีพูดจบก็ต้องกระโดดแอบหลังภูมิพงษ์ทันควันใช้ตัวหนุ่มหุ่นสะโอดสะองเป็นเกราะกำบังคนที่เท้าเอวหมับท่าทางเอาเรื่อง
“น่าฟ้าจ๋าฟ้า เพื่อนแหย่นิดหน่อยสนุก ๆ น่า อย่าถึงกับฆ่าแกงเพื่อนเลยนะฟ้านะ”
“งั้นก็หยุดล้อซะทีไม่อย่างนั้นจะทิ้งให้เดินกลับไปไร่เองจริง ๆ ด้วย” ทอฟ้าว่าแต่ไม่ได้โกรธอะไร ดวงหน้านวลครึ่งบึ้งครึ่งยิ้มเดินนำตรงไปที่รถที่จอดอยู่ทำให้เพื่อนทั้งสองต้องรีบตามไปเพราะกลัวจะถูกทิ้งจริง ๆ ตามที่เพื่อนสาวบอก
พ่อเลี้ยงหนุ่มเดินออกจากร้านอาหารด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ชายหนุ่มเดินมุ่งตรงไปที่รถที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถอีกด้านซึ่งอยู่ติดกับร้านค้าขายส่งที่มีสินค้าอุปโภคบริโภคมากมายให้เลือกซื้อ เกือบจะถึงรถของเขาอยู่แล้วเมื่อจู่ ๆ ชายคนหนึ่งหอบหิ้วของพะรุงพะรังเดินตัดตรงเข้ามา รัฐพลเหลือบเห็นเมื่อกระชั้นชิดมากแล้วทำให้หลบไม่ทันทำได้เพียงเบี่ยงตัวหลบนิดหนึ่งเท่านั้น ข้าวของหลายอย่างที่หอบมาหล่นกระจายอยู่บนพื้น
“เฮ้ย! เดินยังไงวะไม่มีตาหรือไง” รัฐพลตวาดลั่นอย่างไม่พอใจ
“อ้าวคุณ พูดอย่างนี้เหรอ ตาน่ะผมมีครับแต่คุณน่ะเดินก็หัดเอื้อเฟื้อคนอื่นเขาบ้างทางก็แคบนิดเดียวของก็เต็มมือผม คุณจะหยุดรอซักนิดให้ผมผ่านไปก่อนไม่ได้หรือไง” ชายหนุ่มเจ้าของข้าวของที่กระจายเกลื่อนพื้นทิ้งของลงข้างตัวอย่างพร้อมจะเอาเรื่อง ดวงหน้าเคร่งขรึมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงเช่นกัน
“อ้อ นี่นักเลงรึไง อย่าดีกว่าน่ะให้รู้ซะบ้างว่าฉันเป็นใคร” คนฟังถอนใจเฮือก เบื่อจริง ๆ พวกชอบอวดเบ่งมันหน้าสั่งสอนซะจริง
“คุณจะเป็นใครผมไม่สนหรอกนะ อยากจะไปอวดเบ่งที่ไหนก็ไปไป๊” ว่าแล้วก็ทำท่าจะก้มลงเก็บข้าวของของตัวโดยไม่สนใจคู่กรณี หากรัฐพลนั้นโกรธจนหูอื้อตาลายไปแล้ว ชายหนุ่มคว้าคอเสื้อคนปากดีขยุ้มดึงเข้าหาตัวหากกลับต้องเป็นฝ่ายหน้าซีดซะเองเมื่อมือที่จับทับลงมาแข็งแกร่งบีบจนเจ็บแถมดวงตาที่มองสบยังเป็นประกายกร้าวเอาจริงจนชักแขยง พ่อเลี้ยงหนุ่มปล่อยมือผละออกจากอีกฝ่ายทันควันพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ สองมือปัดตามร่างกายคล้ายรังเกียจ รอยยิ้มเยาะหยัน
“ฉันไม่อยากเสียเวลามายุ่งกับไอ้พวกกุ๊ยสั่ว ๆ ข้างถนนมันคนละระดับ” กล่าวแล้วก็เดินยืดผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนมองตามได้แต่ส่ายหน้าอย่างสมเพชปนหมั่นไส้ ก็ปากแบบนี้ซักวันคงได้โดนไอ้กุ๊ยสั่ว ๆ ที่ไหนซักแห่งรุมกระทืบเอาบ้างหรอก ชายหนุ่มนึกพลางรวบรวมข้าวของที่กระจายอยู่ขึ้นมาถือทั้งสองมือ ถ้าคาบด้วยได้ก็คงทำไปแล้ว
เก็บของเสร็จก็เดินตรงมาที่รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่สีซีดที่จอดรออยู่ ชายหนุ่มจับข้าวของโยนโครมไว้ท้ายรถเสร็จแล้วมายืนท้าวเอวมองที่ด้านหน้า
“ให้อยู่เฝ้าของเฝ้ารถ ดันหลับเฝ้า ข้าวของหายหมดจะรู้ไหมเนี่ย” เสียงบ่นไม่ค่อยนักและก็เป็นผลให้ชายหนุ่มอีกคนในรถที่พิงเบาะหลับอยู่ลืมตาตื่น กระจกรถถูกไขให้ลดต่ำอยู่แล้วเพื่อระบายความร้อนภายใน ดวงหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลารับกับคิ้วดำเข้มจัด ผมตัดสั้นพอดีต้นคอยุ่งนิด ๆ ใบหน้านั้นโผล่ออกมาพลางถาม
“เป็นอะไรไอ้จ้อย มาถึงแล้วไปยืนหน้าเป็นจวักอยู่ทำไม แล้วของได้ครบหรือเปล่า” คำถามตามติดคนถูกถามหน้าคว่ำยิ่งกว่าเดิม
“ขาดไม่กี่อย่างครับ แต่บุบแตกเสียหายบ้างหรือเปล่านี่ไม่รู้”
“มันจะบุบจะแตกก็เพราะแกโยนโครมลงไปเมื้อกี้นี่นั่นแหละ”
“อ้าว! รู้ด้วยหรือครับ ผมนึกว่านายอาขิ่นหลับซะอีก” คราวนี้เจ้าจ้อยยิ้มทะเล้น
“ตื่นตั้งแต่แกโยนของลงมาแล้ว แล้วก็ได้ยินที่แกบ่นเต็มสองหูเลยด้วย”
“แหมนายอาขิ่นก็ นิดหน่อยน่า” เจ้าจ้อยพยายามประนีประนอมพลางอ้อมมาขึ้นรถด้านข้างคนขับ
“แล้วไปมีเรื่องอะไรมาถึงได้บ่นงึมงำหงุดหงิดมาแบบนั้น” อาขิ่นเอ่ยถามหลังจากสตาร์ดรถขับออกจากที่จอดเพราะรู้นิสัยกันดีแม้เจ้าจ้อยมันจะทะลึ่งทะเล้นแต่มันไม่ใช่คนพาลเกกมะเหรกเกเร ฉะนั้นถ้ามันหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดีแบบนี้แสดงว่าไปมีเรื่องอะไรมา
“เมื่อตะกี้เจอพวกกร่างอวดเบ่ง นิสัยไม่ดี......” เจ้าจ้อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังผู้เป็นนายฟังพลางบอกตบท้าย
“กลัวใครไม่รู้หรือยังไงว่าตัวเองยิ่งใหญ่คับฟ้า”
“เอาน่า เก็บเอามารกสมองเปล่า ๆ เรื่องแค่นี้เอง เรื่องปกติของคนรวย ๆ เขาอยู่แล้ว” อาขิ่นบอกแกมหัวเราะแต่เจ้าจ้อยหันมามองหน้า สายตามันทำให้เขาต้องถาม
“มองทำไม”
“มองคนไม่ปกติ” มันตอบหน้าตาเฉย
“เฮ้ย! ไอ้จ้อยเอ็งหาว่าข้าบ้าหรือวะ” ชายหนุ่มโวยวายแทบอยากจอดรถลงไปเตะมัน
“อ้าว! ก็นายอาขิ่นบอกเรื่องปกติของคนรวยที่ต้องอวดเบ่ง นายกับนายอาขิ่นก็รวยทำไมไม่เป็นล่ะ” เจ้าจ้อยพาดพิงถึง ‘นาย’ โดยตรงของมันซึ่งตอนนี้ลงไปกรุงเทพฯ เจ้าจ้อยจึงย้ายหน้าที่มาตามติดเขาแทนนัยว่าเป็นการฆ่าเวลา เขาได้แต่ส่ายหัวไม่รู้จะตอบมันยังไงเหมือนกัน
ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าโรงแรมเอื้อมตะวันอันเป็นสถานที่ทำงานอีกแห่งหนึ่งของเขา โรงแรมเอื้อมตะวันเป็นหนึ่งในธุรกิจในเครือของตระกูลเทพพนา โดยมี ‘นายแห่งเทพพนา’ เป็นผู้กุมอำนาจบริหารสูงสุด อาขิ่นเข้ามาดูแลในส่วนของโรงแรมในช่วงบ่ายหากในช่วงเช้าเขาจะดูแลงานอยู่ที่ไร่เอื้อมตะวัน
รถแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าบันไดทางขึ้นของโรงแรม สภาพเก่าโทรมเลอะเทอะของมันทำให้พนักงานแถวนั้นเหลียวมองเป็นตาเดียวแต่คนถูกมองไม่สนใจหันไปสั่งเจ้าจ้อย
“แกเอารถกลับเข้าไร่ไปเลยนะ คืนนี้ฉันมีเลี้ยงคงกลับเข้าไร่ดึก” อาขิ่นบอกพลางทำท่าจะก้าวลงจากรถ
“เดี๋ยวนายอาขิ่น ผมว่ากลับค่ำ ๆ มืด ๆ นายอาขิ่นน่าจะให้คนของเรากลับเป็นเพื่อน” เจ้าจ้อยเตือนด้วยความเป็นห่วงร่องรอยทะลึ่งทะเล้นจางไปจากสีหน้า
“แกคุมนายคนเดียวก็พอ ไม่ต้องมาเผื่อแผ่ถึงฉันหรอก ฉันไม่ใช่พ่อเลี้ยงคนสำคัญนะ” อาขิ่นบอกแกมหัวเราะพลางก้าวลงจากรถโบกมือให้แล้วเดินเข้าโรงแรมไป พนักงานที่เกร่อยู่แถวนั้นโค้งทำความเคารพกันพรึ่บพรั่บทั้งๆ ที่ชายหนุ่มคนที่ก้าวผ่านไปนั้นแต่งกายง่าย ๆ ด้วยเสื้อยืดคอปกสีเขียวเข้มกับกางเกงยีนส์สีซีด
เจ้าจ้อยมองตามไปพลางส่ายหน้า ทั้งนายทั้งนายอาขิ่นพอกันทั้งคู่ ขืนปล่อยให้ตะลอน ๆ ไปคนเดียวอาจเป็นเรื่องเข้าซักวัน ไอ้เรื่องที่ทำกันไว้แต่ละเรื่องน่ะเป็นการสร้างศัตรูทั้งนั้น ใครจะรู้ถ้ามันเล่นงาน ‘นาย’ ไม่ได้แล้วหันมาเล่นนายอาขิ่นแทนล่ะ ไหน ๆ เขาก็ทำงานอยู่ฝ่ายจับฉ่ายเซอร์วิสอยู่แล้วเพิ่มงานหัวหน้า รปภ. อีกซักตำแหน่งคงไม่เป็นไร เจ้าจ้อยแต่งตั้งตัวเองเสร็จสรรพ มือก็กดหมายเลขโทรศัพท์มือถือต่อถึงลูกสมุนของตน
“เออ ข้าเอง จัดคนคอยดู ๆ นายอาขิ่นด้วยนะ” เจ้าจ้อยสั่งแค่นั้นแล้วก็วางสาย
ความคิดเห็น