ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดอยสูง ฟ้าใสกับหัวใจสองดวง

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 5 ต.ค. 50


    บทที่ 3

              หญิงสาวสวยสองคนเดินนำหน้าชายหนุ่มผิวขาวจัด  ดวงหน้าจะเรียกว่าหล่อคงไม่ได้เพราะออกจะสวยซะมากกว่าเข้ามาในร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวอำเภอ    ทั้งสามคนไม่ได้สนใจรอบข้าง  เมื่อมองหาโต๊ะที่ว่างได้ก็เดินตรงไปนั่งทันที   รอเพียงไม่นานพนักงานก็เข้ามาสอบถามรายการอาหารที่ต้องการสั่งก่อนจะเดินจากไป    คนทั้งสามยังสนใจกับบรรยากาศ   การตบแต่งร้านและทิวทัศน์สวย ๆ ที่มองเห็นรอบ ๆ ร้านไม่ได้รู้เลยว่าพวกตนตกเป็นจุดสนใจของคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่อีกโต๊ะไม่ไกลเท่าใดนัก

     

                “สนใจหรือพ่อเลี้ยง”      คำถามจากชายวัยกลางคนหุ่นสมบูรณ์พอ ๆ กับตัวเลขอายุที่เฉียดเลขหกอยู่อีกไม่กี่ปี  ถามชายหนุ่มที่ท่าทางจะมีอายุน้อยกว่าซึ่งยังจับตามองไปที่จุดนั้นไม่วางตา

     

                “ใช่   สนใจ”     ปากตอบแต่สายตายังไม่ละกลับมายังวงสนทนา     ใบหน้าคมคิ้วเข้ม  ดวงตารียาวฉายแววพึงพอใจอย่างปิดไม่มิด

     

                “คนไหนล่ะพ่อเลี้ยง   สาวหมวยคนหน้าหรือสาวคนที่เดินตามหลัง”

     

                “คุณสมศักดิ์ว่าคนไหนล่ะ”

     

                “ถ้าให้เดาสงสัยจะเป็นสาวคนหลังละมาก”    คู่สนทนาบอกแกมหัวเราะ    คนที่ถูกเรียกว่าพ่อเลี้ยงหันกลับมายิ้มให้พลางบอก     “คุณสมศักดิ์นี่รู้ใจผมจริง ๆ”

     

                “ท่าทางไม่ใช่คนถิ่นนี้นะครับ  อาจจะเป็นพวกนักท่องเที่ยว”

     

                “นั่นซินะ   อย่างนี้ต้องไปทักทายหน่อยแล้วตามประสาเจ้าบ้านที่ดีจริงไหม”      รอยยิ้มกรุ่มกริ่มปรากฏอยู่บนใบหน้าและแววตา

     

                “เชิญตามสบายครับ   งั้นผมถือโอกาสขอตัวกลับเลยก็แล้วกัน”    ชายหนุ่มพยักหน้าให้นั่งมองไปยังโต๊ะเป้าหมาย     เขารอจนคนทั้งสามจัดการกับอาหารที่สั่งมากะระยะเวลาว่าจวนจะรับประทานเรียบร้อยกันแล้วจึงลุกเดินตรงไปยังเป้าหมายทันทีโดยไม่ลังเล

     

     

                “สวัสดีครับ”     เสียงทักทายจากชายหนุ่มแปลกหน้าที่เข้ามาแทรกการสนทนาระหว่างเพื่อนฝูงทำให้ทั้งกลุ่มชะงักค้าง     วรรณวลีหันกลับไปมองด้วยท่าทางสงสัย

     

                “เรารู้จักกันด้วยเหรอคะ”    ฝ่ายถูกย้อนถามยังยิ้มกว้าง

     

                “เปล่าครับ   ผมแค่อยากรู้จักกับพวกคุณเท่านั้นเอง   ผมรัฐพลครับ  พ่อเลี้ยงรัฐพล    ธนสารเกรียงไกร”    ชายหนุ่มแนะนำตัวเอง      เพื่อนสามคนมองหน้ากันรอยยิ้มที่ส่งให้ดูจืดเจื่อน

     

                “ผมภูมิพงษ์ครับ   ส่วนนั่นวรรณวลี  แล้วก็ทอฟ้าเพื่อนผม”     ภูมิพงษ์ต้องทำหน้าที่แนะนำแทนเพื่อน ๆ แต่ดูเหมือนรัฐพลจะไม่สนใจใครอื่นนอกจากหญิงสาวนามทอฟ้า

     

                “ยินดีที่ได้รู้จักคุณทอฟ้าครับ”      ทอฟ้ายิ้มให้ตามมารยาท    ในขณะที่วรรณวลีกับภูมิพงษ์ลอบสบตากัน  ดูเหมือนงานนี้จะมีคนยินดีมาสมัครรักษาแผลใจให้เพื่อนรายแรกแล้ว

     

                “ผมเป็นเจ้าของริมพนารีสอร์ท   นี่นามบัตรผม   ขออนุญาตนั่งด้วยได้ไหมครับ”     ชายหนุ่มแจกนามบัตรตนแล้วถือโอกาสนั่งโดยไม่รอคำอนุญาตจากใคร

     

                “เอ่อ...คุณรัฐพลเป็นคนที่นี่หรือคะ”     ทอฟ้าถามเพื่อไม่ให้วงสนทนาดูเงียบเกินไปนัก    เห็นสายตาของเพื่อนแล้วก็นึกขำ  คงไม่คิดว่าจะมีใครกล้าจู่โจมขนาดนี้ละมัง   ท่าทางนายพ่อเลี้ยงนี่ออกจะคล่องสังคมอยู่ซักหน่อย

     

                “ครับผมเป็นคนที่นี่แต่ก็ไปอยู่เมืองนอกซะนานเพิ่งกลับมาสานต่องานของครอบครัวเมื่อสามสี่ปีนี่ละครับ    พวกคุณคงมาเที่ยวใช่ไหม”

     

                “เพื่อนฉันสองคนมาเที่ยวค่ะ   ส่วนฉันเพิ่งมาอยู่ที่นี่”   ทอฟ้าอธิบาย   ในเมื่อคิดจะมาลงหลักปักฐานพำนักอยู่ที่นี่เธอก็ควรทำความรู้จักกับเจ้าถิ่นไว้บ้าง

     

                “อยู่ที่นี่หมายความว่ายังไงครับ   มาทำงานที่นี่หรือครับ”    รัฐพลยิ้มเมื่อเห็นฝ่ายหญิงรับไมตรีจากเขาเป็นอันดี

     

                “ฉันอยู่ที่ไร่ฟ้าหมอกค่ะ”

     

                “ไร่ฟ้าหมอก   เอผมเคยได้ยินชื่ออยู่เหมือนกัน   รู้สึกเจ้าของเก่าจะเสียชีวิตแล้วคุณศักดิ์ธนาใช่ไหมครับ”

                “คุณลุงฉันเองค่ะ”    

     

                “งั้นแสดงว่าคุณจะมาทำไร่ต่อจากคุณศักดิ์ธนาหรือครับ   แหมดีจริง   ไร่ของคุณอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทของผมเท่าไหร่เลย   ว่าง ๆ ผมขอแวะไปเยี่ยมบ้างจะได้ไหมครับ”     รัฐพลถามหยอด   ทั้งสีหน้าและแววตาแสดงออกอย่างเต็มที่ว่าสนใจในตัวหญิงสาวที่คุยด้วย   เพื่อนสองคนปิดปากเงียบเพราะไม่มีช่องให้สอดแทรกการสนทนาและดูเหมือนว่าชายหนุ่มเองก็ไม่เห็นทั้งสองคนอยู่ในสายตาเหมือนกัน

     

                “ยินดีค่ะ   แต่ไร่ฉันไม่ได้สวยอะไรนะคะ   ตั้งแต่คุณลุงเสียก็ขาดการเอาใจใส่ดูแล   พืชไร่ไม้ผลที่ลงไว้ก็ทรุดโทรมมากแล้วไม่มีอะไรน่าดูหรอกค่ะ”   

     

                “ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยละก็บอกได้นะครับ  ที่ริมพนารีสอร์ทของผมแต่เดิมก็เป็นไร่ธรรมดาแต่ผมเห็นว่ามันล้าสมัยไปแล้วที่จะทำไร่อย่างเดียวก็เลยปรับปรุงเป็นรีสอร์ทเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักชื่นชมธรรมชาติและความงามของบรรยากาศพร้อม ๆ กันไปเลย   ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมมากเสียด้วย”     รัฐพลได้โอกาสคุย    วรรณวลีที่ทนเงียบอยู่นานเพิ่งได้ช่องสอดแทรก

     

                “เอ   แต่ฉันเคยได้ยินมาว่าที่นี่ไร่เอื้อมตะวันน่ะขึ้นชื่อว่าสวยมากเลยใช่ไหมคะ   จริงหรือเปล่า”     รัฐพลหันมองคนถามคล้ายเพิ่งมองเห็นว่ามีคนอื่นนั่งอยู่ด้วย   แม้คำถามจะเหมือนการขัดคอกันและทำให้เขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่แต่เพราะความคล่องสังคมทำให้รัฐพลยังรักษาสีหน้าได้เป็นอย่างดี

     

                “คนบอกคงบอกไม่หมดน่ะครับเพราะที่นั่นไม่ใช่รีสอร์ท  ไม่เปิดให้คนเข้าไปชมหรอกครับ  เขาทำไร่กันอย่างเดียวเท่านั้น”      ความจริงเขาก็เพียงแต่เคยได้ยินได้ฟังมาหากไม่ค่อยสนใจเท่าไร  ถึงแม้จะเคยได้ยินกิติศัพท์ของผู้เป็นเจ้าของไร่มาบ้างว่าเป็นคนกว้างขวางของจังหวัดแต่เขาเองก็ยังไม่เคยพบหน้าซักครั้งเหมือนกัน

     

                “แหมอย่างนี้ก็น่าเสียดายนะพงษ์นะ    คนเคยเห็นเขาบอกว่าสวยมาก ๆ ก็เลยอยากจะไปดูบ้างเผื่อฟ้าเขาจะได้เก็บมาเป็นความรู้ปรับปรุงงานไร่ตัวเองบ้างน่ะคะ”    วรรณวลีหันไปพยักเพยิดกับภูมิพงษ์ก่อนจะไปลงที่เพื่อนสาว    เพื่อนชายได้แต่ยิ้มรับ

     

                “ไม่เป็นไรครับ   ถ้าอยากชมไร่สวย ๆ ที่รีสอร์ทผมยินดีต้อนรับเสมอครับ   ผมจะนำชมด้วยตัวเองเลย   สนใจไหมละครับ”    รัฐพลชักชวนอย่างกระตือรือร้น 

     

                “คงต้องไว้วันหลังดีกว่านะคะ   ตอนนี้ยังไม่สะดวก”    ทอฟ้ารีบแย้ง

     

                “ไม่เป็นไรครับวันหลังก็วันหลัง เอ่อแล้ววันนี้พวกคุณมีโปรแกรมจะไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่าครับ   ถ้ายังผมมีหลายแห่งจะแนะนำ”      ชายหนุ่มเสนอตัวช่วยเหลือเต็มที่

     

                “คือว่าวันนี้พวกเราเหนื่อยมาทั้งวันแล้วละค่ะ   กะกันไว้ว่าจะเข้าไร่พักผ่อนเลย”     หญิงสาวเจ้าของไร่รีบบอก  ถึงแม้จะรับไมตรีที่อีกฝ่ายพยายามหยิบยื่นมาให้แต่คนเพิ่งรู้จักกันยังไงก็คงต้องมีขอบเขตกันบ้าง   ไว้ศึกษาทำความรู้จักกันไปเรื่อย ๆ จะดีกว่า

     

                “หรือครับ”    ท่าทางชายหนุ่มผิดหวัง  แต่ก็ยังไม่ท้อถอย

     

                “ถ้างั้นมื้อนี้ให้ผมเลี้ยงนะครับ  ถือว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับเพื่อนใหม่”    ทอฟ้าขยับจะแย้งแต่ไม่ทันวรรณวลีที่พูดแทนเพื่อน    ท่าทางเหมือนกำลังสนุกกับความคิดอะไรบางอย่าง

     

                “จะดีหรือคะ  เกรงใจพ่อเลี้ยงแย่เลย”

     

                “ไม่เป็นไรครับ  เพื่อมิตรภาพของเราแค่นี้เล็กน้อยมาก”   

     

                “ขอบคุณค่ะ”    ทอฟ้ากล่าวขอบคุณพลางลอบส่งสายตามองเพื่อนตาเขียวแต่ทำอะไรไม่ได้   รัฐพลส่งสัญญาณเรียกบริกรเช็กบิล    เมื่อบริกรมาถึงก็วางบัตรเครดิตให้โดยไม่ต้องถามราคาให้เสียเวลา

     

                “ผมมาที่นี่บ่อยครับ   ร้านนี้อาหารขึ้นชื่อมาก”  

     

                “ค่ะ”    ทอฟ้ารับคำไปตามมารยาทเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านั้น    รัฐพลยังชวนพูดคุยอีกหลายเรื่องกว่าบริกรจะเดินกลับมาพร้อมสลิปรายการค่าอาหารชายหนุ่มจัดการเซ็นชื่อรับบัตรคืนก่อนจะวางธนบัตรฉบับละร้อยลงไปบนถาดเล็กเพื่อเป็นค่าทิป

     

                “ขอบคุณอีกครั้งนะคะ   ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ  ขอตัวก่อนนะคะ”    ทอฟ้าสรุปรวบรัดพลางลุกขึ้นเพื่อลากลับ

     

                “เช่นกันครับ   ถ้ายังไงผมจะแวะไปเยี่ยมที่ไร่”     ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนส่ง

     

                “แล้วพบกันใหม่นะคะ”    วรรณวลียิ้มกว้างก่อนจะก้าวตามเพื่อนสาวไปพร้อมกับภูมิพงษ์ที่เพียงก้มศีรษะให้นิดหนึ่งแล้วเดินตามเพื่อนทั้งสองไป   ทิ้งให้รัฐพลยืนยิ้มกริ่มกับสิ่งที่มาดหมายอยู่คนเดียว

     

                “ทอฟ้า   นายสาวแห่งไร่ฟ้าหมอก   เห็นทีไม่ไปเยือนไม่ได้แล้ว”

     

     

                พอเดินพ้นระยะห่างสายตากรุ้มกริ่มที่มองมาได้ทอฟ้าก็ถอนใจอย่างโล่งอก  ทำเอาวรรณวลีที่เดินอยู่ใกล้ ๆ หัวเราะออกมา

     

                “ถึงกับถอนใจเชียวเหรอ”

     

                “มันน่าถอนใจไหมล่ะ   ผู้ชายอะไรเพิ่งรู้จักกันแท้ ๆ  วุ่นวายจริง ๆ”

     

                “ก็เธออยากไปพูดดีกับเขาทำไมล่ะ”    วรรณวลีกระเซ้าต่อไป

     

                “แล้วจะให้ฉันด่าหรือยังไง   อีกอย่างไหน ๆ ก็เห็นว่าเป็นคนพื้นที่รู้จักเอาไว้ก็ไม่เสียหาย  เผื่อเดือดร้อนอะไรขึ้นมาจะได้มีคนรู้จักไว้พึ่งพาได้บ้าง”    ทอฟ้าให้เหตุผลที่ภูมิพงษ์พยักหน้าเห็นด้วย

     

                “ดูท่าทางอีตาพ่อเลี้ยงนั่นจะไม่ได้อยากเป็นแค่คนรู้จักน่ะซิ”     วรรณวลีเอ่ยในสิ่งที่ทอฟ้าก็พอจะมองท่าทีของชายหนุ่มออกเหมือนกัน

     

                “แต่ขอวิจารณ์นิดเถอะ   พี่แกขี้คุยอวดร่ำอวดรวยน่าดู   ฟัง ๆ แล้วหมั่นไส้ชะมัด”  

     

                “หาว่าเขาอวดรวย   หมั่นไส้เขาแล้วเธอให้เขาเลี้ยงอาหารทำไมล่ะ”   ภูมิพงษ์ขัดคอจนถูกฝ่ามือพิฆาตทุบอั๊กลงมาแบบไม่ปราณีเล่นเอาชายหนุ่มผู้บอบบางกุมไหล่ร้องโอดโอย

     

                “ไหน ๆ ก็แสดงท่าทีว่าจะจีบเพื่อนเราอยู่แล้วจะปฏิเสธทำไมละยะนายพงษ์งี่เง่า   รับรองได้ไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้อีตาพ่อเลี้ยงนั่นต้องโผล่หน้าไปที่ไร่แน่นอนเลย”       วรรณวลีสั่งสอนแกมคาดการณ์ล่วงหน้า

     

                “วรรณก็ไม่น่าไปพูดทำนองชวนเขา”   ทอฟ้าบ่นอุบอิบ

     

                “ถึงไม่ชวนก็ต้องโผล่หน้ามาอยู่ดีแหละ   เอาน่านึกว่าเอาไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา    ทำความรู้จักไว้ก็ไม่เสียหลายอะไรหรอก   น่าเสียดายอีตานี่เป็นนาย ร  ไม่ใช่นาย บ”          คำสุดท้ายของวรรณวลีทำเอาทอฟ้ามองอย่างเข่นเขี้ยวแต่ภูมิพงษ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยทำหน้าเหรอ

     

                “นาย ร   นาย บ   มีอะไรกันเหรอ”

     

                “เปล๊า   ก็แค่เสียดายที่นายพ่อเลี้ยงนั่นน่าจะมีชื่อขึ้นต้นว่า  บ ใบไม้    ใครบางคนแถวนี้เขาจะได้สนใจขึ้นมาบ้างน่ะ”       วรรณวลีว่าแกมหัวเราะแต่แล้วก็ต้องร้องโอดโอยเพราะกรรมตามสนองเร็วทันใจโดยคุณหนูฟ้าทุบตุ๊บลงมาแบบไม่ยั้งเหมือนกัน     เพื่อนสาวปัดป้องตัวเองพัลวัล

     

                “โอ๊ย  พอแล้วฟ้า  พอแล้ว  ไม่ล้อก็ได้   หยุดได้แล้ว”     ทอฟ้าจึงหยุดมือ

     

                “แหมแค่นี้ก็ต้องอายด้วย    ไม่เป็นไรเดี๋ยวคราวหลังถ้านายพ่อเลี้ยงนั่นมาฉันจะลองเรียบ ๆ เคียง ๆ ถามดูว่ามีใครที่อีตานั่นรู้จักชื่อขึ้นต้นด้วย บ ใบไม้บ้าง”     วรรณวลีพูดจบก็ต้องกระโดดแอบหลังภูมิพงษ์ทันควันใช้ตัวหนุ่มหุ่นสะโอดสะองเป็นเกราะกำบังคนที่เท้าเอวหมับท่าทางเอาเรื่อง

     

                “น่าฟ้าจ๋าฟ้า   เพื่อนแหย่นิดหน่อยสนุก ๆ น่า   อย่าถึงกับฆ่าแกงเพื่อนเลยนะฟ้านะ”

     

                “งั้นก็หยุดล้อซะทีไม่อย่างนั้นจะทิ้งให้เดินกลับไปไร่เองจริง ๆ ด้วย”     ทอฟ้าว่าแต่ไม่ได้โกรธอะไร  ดวงหน้านวลครึ่งบึ้งครึ่งยิ้มเดินนำตรงไปที่รถที่จอดอยู่ทำให้เพื่อนทั้งสองต้องรีบตามไปเพราะกลัวจะถูกทิ้งจริง ๆ ตามที่เพื่อนสาวบอก

     

     

                พ่อเลี้ยงหนุ่มเดินออกจากร้านอาหารด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ    ชายหนุ่มเดินมุ่งตรงไปที่รถที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถอีกด้านซึ่งอยู่ติดกับร้านค้าขายส่งที่มีสินค้าอุปโภคบริโภคมากมายให้เลือกซื้อ   เกือบจะถึงรถของเขาอยู่แล้วเมื่อจู่ ๆ ชายคนหนึ่งหอบหิ้วของพะรุงพะรังเดินตัดตรงเข้ามา  รัฐพลเหลือบเห็นเมื่อกระชั้นชิดมากแล้วทำให้หลบไม่ทันทำได้เพียงเบี่ยงตัวหลบนิดหนึ่งเท่านั้น   ข้าวของหลายอย่างที่หอบมาหล่นกระจายอยู่บนพื้น

     

                “เฮ้ย!   เดินยังไงวะไม่มีตาหรือไง”    รัฐพลตวาดลั่นอย่างไม่พอใจ

     

                “อ้าวคุณ   พูดอย่างนี้เหรอ   ตาน่ะผมมีครับแต่คุณน่ะเดินก็หัดเอื้อเฟื้อคนอื่นเขาบ้างทางก็แคบนิดเดียวของก็เต็มมือผม   คุณจะหยุดรอซักนิดให้ผมผ่านไปก่อนไม่ได้หรือไง”    ชายหนุ่มเจ้าของข้าวของที่กระจายเกลื่อนพื้นทิ้งของลงข้างตัวอย่างพร้อมจะเอาเรื่อง    ดวงหน้าเคร่งขรึมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงเช่นกัน

     

                “อ้อ   นี่นักเลงรึไง   อย่าดีกว่าน่ะให้รู้ซะบ้างว่าฉันเป็นใคร”     คนฟังถอนใจเฮือก   เบื่อจริง ๆ พวกชอบอวดเบ่งมันหน้าสั่งสอนซะจริง

                “คุณจะเป็นใครผมไม่สนหรอกนะ  อยากจะไปอวดเบ่งที่ไหนก็ไปไป๊”    ว่าแล้วก็ทำท่าจะก้มลงเก็บข้าวของของตัวโดยไม่สนใจคู่กรณี  หากรัฐพลนั้นโกรธจนหูอื้อตาลายไปแล้ว    ชายหนุ่มคว้าคอเสื้อคนปากดีขยุ้มดึงเข้าหาตัวหากกลับต้องเป็นฝ่ายหน้าซีดซะเองเมื่อมือที่จับทับลงมาแข็งแกร่งบีบจนเจ็บแถมดวงตาที่มองสบยังเป็นประกายกร้าวเอาจริงจนชักแขยง   พ่อเลี้ยงหนุ่มปล่อยมือผละออกจากอีกฝ่ายทันควันพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ  สองมือปัดตามร่างกายคล้ายรังเกียจ  รอยยิ้มเยาะหยัน

     

                “ฉันไม่อยากเสียเวลามายุ่งกับไอ้พวกกุ๊ยสั่ว ๆ ข้างถนนมันคนละระดับ”    กล่าวแล้วก็เดินยืดผ่านไปอย่างรวดเร็ว   คนมองตามได้แต่ส่ายหน้าอย่างสมเพชปนหมั่นไส้   ก็ปากแบบนี้ซักวันคงได้โดนไอ้กุ๊ยสั่ว ๆ ที่ไหนซักแห่งรุมกระทืบเอาบ้างหรอก    ชายหนุ่มนึกพลางรวบรวมข้าวของที่กระจายอยู่ขึ้นมาถือทั้งสองมือ   ถ้าคาบด้วยได้ก็คงทำไปแล้ว   

     

                เก็บของเสร็จก็เดินตรงมาที่รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่สีซีดที่จอดรออยู่   ชายหนุ่มจับข้าวของโยนโครมไว้ท้ายรถเสร็จแล้วมายืนท้าวเอวมองที่ด้านหน้า

     

                “ให้อยู่เฝ้าของเฝ้ารถ   ดันหลับเฝ้า   ข้าวของหายหมดจะรู้ไหมเนี่ย”     เสียงบ่นไม่ค่อยนักและก็เป็นผลให้ชายหนุ่มอีกคนในรถที่พิงเบาะหลับอยู่ลืมตาตื่น     กระจกรถถูกไขให้ลดต่ำอยู่แล้วเพื่อระบายความร้อนภายใน   ดวงหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลารับกับคิ้วดำเข้มจัด   ผมตัดสั้นพอดีต้นคอยุ่งนิด ๆ   ใบหน้านั้นโผล่ออกมาพลางถาม

     

                “เป็นอะไรไอ้จ้อย    มาถึงแล้วไปยืนหน้าเป็นจวักอยู่ทำไม   แล้วของได้ครบหรือเปล่า”     คำถามตามติดคนถูกถามหน้าคว่ำยิ่งกว่าเดิม

     

                “ขาดไม่กี่อย่างครับ   แต่บุบแตกเสียหายบ้างหรือเปล่านี่ไม่รู้”   

     

                “มันจะบุบจะแตกก็เพราะแกโยนโครมลงไปเมื้อกี้นี่นั่นแหละ”

     

                “อ้าว!  รู้ด้วยหรือครับ  ผมนึกว่านายอาขิ่นหลับซะอีก”     คราวนี้เจ้าจ้อยยิ้มทะเล้น

     

                “ตื่นตั้งแต่แกโยนของลงมาแล้ว   แล้วก็ได้ยินที่แกบ่นเต็มสองหูเลยด้วย”  

     

                “แหมนายอาขิ่นก็    นิดหน่อยน่า”    เจ้าจ้อยพยายามประนีประนอมพลางอ้อมมาขึ้นรถด้านข้างคนขับ

     

                “แล้วไปมีเรื่องอะไรมาถึงได้บ่นงึมงำหงุดหงิดมาแบบนั้น”       อาขิ่นเอ่ยถามหลังจากสตาร์ดรถขับออกจากที่จอดเพราะรู้นิสัยกันดีแม้เจ้าจ้อยมันจะทะลึ่งทะเล้นแต่มันไม่ใช่คนพาลเกกมะเหรกเกเร   ฉะนั้นถ้ามันหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดีแบบนี้แสดงว่าไปมีเรื่องอะไรมา

     

                “เมื่อตะกี้เจอพวกกร่างอวดเบ่ง   นิสัยไม่ดี......”    เจ้าจ้อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังผู้เป็นนายฟังพลางบอกตบท้าย

     

                “กลัวใครไม่รู้หรือยังไงว่าตัวเองยิ่งใหญ่คับฟ้า”

     

                “เอาน่า   เก็บเอามารกสมองเปล่า ๆ เรื่องแค่นี้เอง เรื่องปกติของคนรวย ๆ เขาอยู่แล้ว”    อาขิ่นบอกแกมหัวเราะแต่เจ้าจ้อยหันมามองหน้า   สายตามันทำให้เขาต้องถาม

     

                “มองทำไม”

     

                “มองคนไม่ปกติ”     มันตอบหน้าตาเฉย

     

                “เฮ้ย!  ไอ้จ้อยเอ็งหาว่าข้าบ้าหรือวะ”    ชายหนุ่มโวยวายแทบอยากจอดรถลงไปเตะมัน

     

                “อ้าว! ก็นายอาขิ่นบอกเรื่องปกติของคนรวยที่ต้องอวดเบ่ง   นายกับนายอาขิ่นก็รวยทำไมไม่เป็นล่ะ”   เจ้าจ้อยพาดพิงถึง นาย  โดยตรงของมันซึ่งตอนนี้ลงไปกรุงเทพฯ   เจ้าจ้อยจึงย้ายหน้าที่มาตามติดเขาแทนนัยว่าเป็นการฆ่าเวลา  เขาได้แต่ส่ายหัวไม่รู้จะตอบมันยังไงเหมือนกัน

        

    ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าโรงแรมเอื้อมตะวันอันเป็นสถานที่ทำงานอีกแห่งหนึ่งของเขา    โรงแรมเอื้อมตะวันเป็นหนึ่งในธุรกิจในเครือของตระกูลเทพพนา   โดยมี นายแห่งเทพพนา  เป็นผู้กุมอำนาจบริหารสูงสุด   อาขิ่นเข้ามาดูแลในส่วนของโรงแรมในช่วงบ่ายหากในช่วงเช้าเขาจะดูแลงานอยู่ที่ไร่เอื้อมตะวัน

     

    รถแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าบันไดทางขึ้นของโรงแรม    สภาพเก่าโทรมเลอะเทอะของมันทำให้พนักงานแถวนั้นเหลียวมองเป็นตาเดียวแต่คนถูกมองไม่สนใจหันไปสั่งเจ้าจ้อย

               

    “แกเอารถกลับเข้าไร่ไปเลยนะ   คืนนี้ฉันมีเลี้ยงคงกลับเข้าไร่ดึก”    อาขิ่นบอกพลางทำท่าจะก้าวลงจากรถ

                “เดี๋ยวนายอาขิ่น   ผมว่ากลับค่ำ ๆ มืด ๆ   นายอาขิ่นน่าจะให้คนของเรากลับเป็นเพื่อน”   เจ้าจ้อยเตือนด้วยความเป็นห่วงร่องรอยทะลึ่งทะเล้นจางไปจากสีหน้า

               

    “แกคุมนายคนเดียวก็พอ  ไม่ต้องมาเผื่อแผ่ถึงฉันหรอก   ฉันไม่ใช่พ่อเลี้ยงคนสำคัญนะ”     อาขิ่นบอกแกมหัวเราะพลางก้าวลงจากรถโบกมือให้แล้วเดินเข้าโรงแรมไป    พนักงานที่เกร่อยู่แถวนั้นโค้งทำความเคารพกันพรึ่บพรั่บทั้งๆ ที่ชายหนุ่มคนที่ก้าวผ่านไปนั้นแต่งกายง่าย ๆ ด้วยเสื้อยืดคอปกสีเขียวเข้มกับกางเกงยีนส์สีซีด

               

    เจ้าจ้อยมองตามไปพลางส่ายหน้า   ทั้งนายทั้งนายอาขิ่นพอกันทั้งคู่   ขืนปล่อยให้ตะลอน ๆ ไปคนเดียวอาจเป็นเรื่องเข้าซักวัน   ไอ้เรื่องที่ทำกันไว้แต่ละเรื่องน่ะเป็นการสร้างศัตรูทั้งนั้น   ใครจะรู้ถ้ามันเล่นงาน นาย  ไม่ได้แล้วหันมาเล่นนายอาขิ่นแทนล่ะ    ไหน ๆ เขาก็ทำงานอยู่ฝ่ายจับฉ่ายเซอร์วิสอยู่แล้วเพิ่มงานหัวหน้า รปภ. อีกซักตำแหน่งคงไม่เป็นไร   เจ้าจ้อยแต่งตั้งตัวเองเสร็จสรรพ     มือก็กดหมายเลขโทรศัพท์มือถือต่อถึงลูกสมุนของตน

                “เออ   ข้าเอง   จัดคนคอยดู ๆ นายอาขิ่นด้วยนะ”     เจ้าจ้อยสั่งแค่นั้นแล้วก็วางสาย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×