คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : นครที่ล่มสลาย
บทที่ 3
นครที่ล่มสลาย
องค์กษัตริย์อาซาริยัสประทับยืนทอดพระเนตรสภาพอาคารบ้านเรือนที่ปลูกสร้างกระจายเป็นจุด ๆ ตามแหล่งชุมชนบนระเบียงหน้ามุข ลมทะเลทรายพัดพาเอากระไอร้อนเข้ามาต้องพระพักตร์
“กำลังชื่นชมวัฒนธรรมนำสมัยอยู่หรือพระเจ้าค่ะ ?” จู่ ๆ เสียงถามก็ดังขึ้น องค์กษัตริย์ถอนพระทัย ไม่ต้องหันกลับไปทอดพระเนตรก็ทราบว่าเป็นผู้ใด ก็ใครกันเล่าจะเข้าออกภายในเขตพระราชฐานนี้ได้ตามอำเภอใจโดยไม่ต้องขออนุญาตใคร นึกอยากมาก็มานึกอยากไปก็ไป ‘ราฟาเอล อัลซา อาซาริยัส’
“นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก” รับสั่งถามโดยไม่หันพระพักตร์กลับไป ร่างในชุดคลุมดำมิดชิดเดินเข้ามาเกาะราวระเบียงหินอ่อนที่ฉลุเป็นช่องชั้นละเอียดงดงามโดยไม่ได้ยินแม้เสียงฝีเท้า
“ก็ว่าจะกลับแต่บังเอิญไปรู้เรื่องหนึ่งเข้าก็เลยอยากมาเตือน”
“เรื่องอะไร ?”
“คนของหม่อมฉันแจ้งมาว่าที่บาสร่ามีทหารรข่มเหงรีดไถชาวบ้านและกองคาราวาน”
“งั้นเดี๋ยวจะสั่งผู้ว่าการทหารเมืองบาสร่าตรวจสอบข้อมูลก็แล้วกัน”
“รู้สึกว่าผู้ว่าการทหารเมืองนั้นนั่นแหล่ะ” องค์กษัตริย์หันไปทอดพระเนตรคนพูด
“ไม่ทรงเชื่ออีกละซิ ?” อีกฝ่ายอ่านสายพระเนตรออก
“ตามพระทัย ก็แค่มาเตือน และยังมีอีกเรื่องที่อยากให้ทรงใส่พระทัย”
“เรื่องอะไร ?”
“เรื่องการศึกษาและการสาธารณสุขของคนระดับล่าง ทรงทราบบ้างไหมว่าพวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ตอนนี้มันแย่เต็มทีแล้ว”
“แย่ยังไง ฉันก็เห็นเขาอยู่สุขสบายพอมีพอกิน โรงเรียนโรงพยาบาลอะไรต่าง ๆ ก็มีพร้อมอยู่แล้วไม่เห็นใครจะรายงานปัญหาอะไร” ร่างสูงในชุดดำมิดชิดถอนใจยาวคล้ายเหนื่อยหน่าย
“ไม่เคยเชื่อใจหม่อมฉันเลยหรือพระเจ้าค่ะ ?”
“เชื่อหรือไม่เชื่อฉันก็ต้องทำตามความคิดเธออยู่แล้วนี่” องค์กษัตริย์ย้อนถาม
“ถ้าทรงคิดอย่างนั้นแล้วสบายพระทัยก็เอาเถอะ ที่หม่อมฉันพูดและทำมาทั้งหมดก็เพื่อประชาชนทุกคนในอัลมาฮาร์ ความทุกข์ยากของคนทรงรับทราบเพียงรายงานจากแผ่นกระดาษได้หรือ ทำไมไม่เสด็จไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองบ้างเล่า ทรงทราบไหม ณ ใจกลางนครหลวง ท่ามกลางตึกรามบ้านช่องที่โอ่อ่างดงามมีแหล่งเสื่อมโทรมอยู่เต็มไปหมด ผู้คนที่นั่นสภาพชีวิตแทบไม่ต่างจากสุนัขข้างถนน บางทีสุนัขอาจดีกว่าด้วยซ้ำ”
“อยากให้ทำอะไรก็บอกมาเถอะ ฉันเบื่อจะถกเถียงกับเธอเต็มที” ดวงเนตรคมวาวหันมาสบสายพระเนตรองค์ราชาแห่งอัลมาฮาร์นิ่งนาน ก่อนร่างสูงจะหันกลับไป สายตาทอดไปไกลอย่างใช้ความคิด
“ทำโรงเรียนเข้าไปหาแหล่งชุมชน ทำให้พวกเขารู้เสียก่อนหลังจากนั้นแล้วอะไรต่าง ๆ ก็จะง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องสร้างอาคารเรียนสวยหรูใหญ่โต ไม่ต้องมีอุปกรณ์ล้ำยุคมากมายเพราะกลุ่มคนระดับล่างพวกนั้นเขาไม่กล้าเข้ามาเรียน แค่เราเริ่มจากการเชิญชวน ส่งครูที่มีความรู้และอุดมการณ์เข้าไปในพื้นที่แหล่งเสื่อมโทรมเหล่านั้น ผูกมิตรกับพวกเด็ก ๆ เริ่มสอนเริ่มชักนำความคิดพวกเขา ทำให้เขาอยากรู้อยากเห็น ค่อย ๆแนะ ค่อยๆ นำ ป้อนให้เขาทีละน้อย อย่าหวังผลในช่วงสั้น ๆ หรือหวังเพียงกระดาษรายงาน เราต้องใช้เวลายาวนานกว่านั้น”
“ใครจะอาสาเข้าไป ถ้ามันมีสภาพย่ำแย่อย่างที่เจ้าพูดมันก็เป็นแหล่งซ่องสุมโจรขโมย เราใช้กำลังเข้าไปปราบปรามเลยไม่ดีกว่าหรือไง”
“การใช้กำลังตัดสินได้ผลเพียงชั่วครู่ชั่วยาม นานไปทุกอย่างก็จะยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม ถ้าเราไม่เริ่มนับหนึ่งเราก็ไม่มีทางจะก้าวไปถึงสิบ เรื่องระบบการรักษาความปลอดภัยให้ตำรวจคอยดูแลตรวจตราตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ คัดเลือกคนที่มีลักษณะแห่งความประนีประนอม อะไรผ่อนได้ก็ผ่อนไป เราค่อย ๆ บีบกฎเกณฑ์เข้ามาทีละน้อยโดยไม่ทำให้เขารู้สึกว่าโดนบังคับ คณะทำงานต้องแสดงความเป็นมิตรกับพวกเขา เมื่อพวกเขารับเราอย่างมิตรอย่างผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือทีนี้อะไรต่าง ๆ ก็ไม่ยากที่จะสานต่อ ค่อย ๆ เพิ่มระดับการศึกษาให้สูงขึ้น ส่งเสริมการประกอบอาชีพของพวกเขาหรือไม่ก็สร้างงานรองรับ”
“แล้วเรื่องการสาธารณสุขจะเอายังไง ?”
“จัดทีมแพทย์ชุมชนออกตรวจรักษาโรคโดยไม่คิดมูลค่า หมั่นออกตรวจเยี่ยมบ่อย ๆ ให้ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องอนามัยพื้นฐานที่ดี พอพวกเขามีความเข้าใจ สามารถนำไปปฏิบัติได้งานด้านสาธารณสุขในช่วงหลังก็จะเบาลง แต่ที่สำคัญในตอนนี้ก็คือให้เขาได้รับความรู้ที่ถูกต้อง จะได้ไม่ถูกชักนำไปในทางที่ผิดจากกลุ่มผู้ไม่หวังดี”
จากทั้งหมดที่กล่าวมาไม่น่าเชื่อเลยว่านั่นคือความคิดของบุคคลที่เป็นตัวแทนจากโลกอารยธรรมเก่า โลกที่ยังเชื่อถือจิตวิญญาณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจมนตรา องค์กษัตริย์ทรงทราบเรื่องราวส่วนตัวของราฟาเอล อัลซา อาซาริยัส น้อยเสียเหลือเกิน
‘ราฟาเอล อัลซา อาซาริยัส’ ราชาแห่งมาฮาร่า ชนเผ่าที่กล่าวขานกันว่าหายสาบสูญไปนับพันปี ราชาแห่งพ่อมดหมอผี ผู้ใช้เวทมนตร์ ไม่มีใครรู้ว่าบรรพกษัตริย์ทุกพระองค์แห่งอัลมาฮาร์ถูกครอบงำโดยมาฮาร่า ผู้เป็นเสมือนเงาคอยกำกับอยู่เบื้องหลัง พระองค์เองก็เพิ่งทราบเรื่องราวเหล่านี้จากกษัตริย์พระองค์ก่อน ก่อนที่จะขึ้นครองอัลมาฮาร์ได้ไม่นาน วิทยาการสมัยใหม่ที่ย่างกรายเข้ามาและระดับการศึกษาที่สูงทำให้ไม่ทรงเชื่อถือมาฮาร่าเท่าใดนัก แต่ความเชื่อดั้งเดิมที่ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ก็มีอิทธิพลต่อพระองค์พอสมควร
“เรื่องแบบนี้ต้องใช้งบประมาณมาก” องค์กษัตริย์ทรงแย้ง
“ไม่เลยพระเจ้าค่ะ มันน้อยมากเมื่อเทียบกับอีกหลายเรื่องที่คณะรัฐบาลลงทุนไปโดยประโยชน์ส่วนใหญ่ไปตกอยู่กับกลุ่มคนชั้นสูงเพียงไม่กี่คน การจัดการเรื่องนี้ต้องการทำแบบระยะยาวติดต่อกันไป เงินทุนระยะแรกจึงไม่จำเป็นต้องมากมายอะไร พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งเป็นกองทุนขึ้นมาซักกองทุนหนึ่งเพื่อทำหน้าที่หลักในการพัฒนา ให้เจ้าชายฟาฮานทรงรับผิดชอบไป ถ้าเรื่องนี้สำเร็จด้วยดี เจ้าชายรัชทายาทจะมีฐานอำนาจที่มั่นคงยิ่งขึ้น”
“แต่ฟาฮานคุมกำลังทหาร ให้มาทำหน้าที่ด้านนี้จะดูแปลก พวกคณะมนตรีอาจไม่เห็นด้วย”
“เจ้าชายฟาฮานทรงเป็นมกุฎราชกุมารสมควรรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ อีกคนที่น่าจะช่วยได้คือท่านอับดุลลา เพราะเท่าที่ดูท่านมีความเข้าใจในเรื่องราวเหล่านี้พอสมควรอีกทั้งกว้างขวางกับพวกชนเผ่าพื้นเมืองรอบนอกจะเป็นประโยชน์กับการทำงานของเจ้าชายฟาฮานมากยิ่งขึ้น”
“ถ้าทำแบบนั้นจะเป็นการก้าวก่ายอำนาจของฝ่ายอื่น ๆ” องค์อาซาริยัสทรงแย้งไม่เห็นด้วย ผู้เสนอแนวทางแก้ไขถอนใจอีกรอบไม่เกรงใจว่าคนที่กำลังสนทนาด้วยนั้นเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในแผ่นดินแห่งท้องทะเลทรายนี้
“ท่านอับดุลลาดูแลเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยภายในเมืองอยู่แล้ว ส่วนเจ้าชายฟาฮานจะทรงขึ้นเป็นองค์กษัตริย์ของอัลมาฮาร์ในอนาคตต้องทรงทราบเรื่องทุกด้านของบ้านเมืองตนเอง อีกอย่างทรงจัดตั้งเป็นกองทุนส่วนพระองค์ไม่ใช่งบประมาณแผ่นดินจะทรงให้อำนาจใครเป็นผู้แทนก็ย่อมได้”
“เอาละประชุมคราวหน้าฉันจะนำเรื่องเข้าที่ประชุม”
“แค่แจ้งให้ทราบก็พอพระเจ้าค่ะ ถ้าถามความเห็นจะทรงได้รับคำกราบทูลร้อยแปดอย่าง จนในที่สุดก็ไม่เป็นอันทำอะไรได้ เสียเวลาไปเปล่า ๆ” คนในชุดดำขัด
“ก็ได้ เฮ้อ! ฉันน่าจะรู้นะว่าเหตุผลของฉันไม่เคยสู้เธอได้” รับสั่งแกมประชด หากร่างในชุดดำกลับเฉยไม่สนใจ
“เรื่องสำรวจเส้นทางสายคาเธย์จะว่าอย่างไร?” องค์อาซาริยัสเอ่ยถามหลังจากนิ่งไปชั่วครู่
“หม่อมฉันตอบไปแล้ว”
“มีข้อจำกัด ข้อห้ามอะไรบ้างหรือเปล่า ?” ผู้ถามทรงวิตกเสียเอง
“ไม่!”
“ก็ไหนว่าไม่เห็นด้วย มันเสี่ยงไม่ใช่เหรอ”
“ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ จะห้ามทำไมให้เสียเวลา ปล่อยให้เจอเองเสียบ้างคราวนี้จะได้รู้กันเสียบ้าง” คำกล่าวของร่างในชุดคลุมสีดำไม่ช่วยให้ความวิตกขององค์ราชาดีขึ้นกว่าเดิมมันเหมือนเป็นคำขู่เสียมากกว่า
ราชาแห่งมาฮาร่าไม่สนใจท่าทีของผู้ฟังเพราะกล่าวแล้วก็ก้าวจากไปเสียเฉย ๆ ลับหายไปหลังม่านอย่างเงียบเชียบ
สตรีในชุดขาวยาว ชายกระโปรงละพื้น สวมทับด้วยเสื้อคลุมแขนยาวตรงข้อแขนจับจีบระบายพลิ้ว สายรัดเอวสีฟ้าขลิบทองพันทับเข้ากับผ้าแพรคลุมศีรษะสีฟ้าจางเข็มกลัดปักตรึงไว้กับปิ่นประดับทิ้งชายผ้ายาวลงไปเบื้องหลัง ริมฝีปากได้รูปสวยแย้มยิ้ม ดวงตาสีดำคมวาวเป็นประกายสดใส หญิงสาวย่อตัวลงทำความเคารพองค์กษัตริย์อาซาริยัสแห่งอัลมาฮาร์ได้อย่างเรียบร้อยงดงาม
“บุตรสาวของกระหม่อม จัสมินา อาร์ ซาเวียย์” ท่านอับดุลลาเบิกตัวบุตรสาวเข้าเฝ้า
“จัสมิน ไม่เห็นเสียนานโตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ตามสบายเถอะ” องค์ราชาทรงทักทาย หญิงสาวย่อตัวลงอีกครั้งก่อนถอยออกไปนั่งข้างท่านผู้เป็นบิดา
“เรียนจบแล้วซินะ ?”
“เพคะ”
“กลับมาอยู่บ้านเสียทีกระหม่อมก็คลายกังวลพระเจ้าค่ะ” ท่านอับดุลลากราบทูลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“แต่อาจต้องกังวลเรื่องอื่นอีกนะ” เจ้าชายฟาฮานองค์รัชทายาทผู้อยู่ในวัยใกล้เคียงกับท่านอับดุลลารับสั่งกระเซ้า
“เรื่องอะไรหรือพระเจ้าค่ะ ?” ท่านอับดุลลาทูลถามเพราะไม่เข้าใจ
“ก็กังวลว่าจะเลือกใครมาเป็นบุตรเขยน่ะสิ สงสัยว่าต่อไปบ้านท่านคงมีแขกไปเยี่ยมเยียนไม่ได้ขาดเป็นแน่” เจ้าชายฟาฮานมองหญิงสาวคนเดียวในห้องอย่างเอ็นดู
“นั่นสิ น่าเสียดายถ้าข้ามีลูกชายอีกซักคนก็คงขอจองกับท่านอับดุลลาไว้ก่อนแล้ว แต่นี่ฟาฮานก็แก่เกินไป” องค์กษัตริย์รับสั่งแกมสรวล
“ท่านพ่อเรื่องของหัวใจไม่มีวันแก่นะพระเจ้าค่ะ” เจ้าชายฟาฮานเอ่ยยิ้ม ๆ องค์อาซาริยัสทรงสรวลก้องอย่างชอบใจ
“ไปถามชายาเจ้าก่อนดีไหมฟาฮาน”
“แหมท่านพ่อนี่ละ” รับสั่งตัดพ้อของเจ้าชายรัชทายาทก่อให้เกิดเสียงหัวเราะของผู้ฟังคนอื่น ๆ
“เสียดายที่ ” องค์กษัตริย์ทำท่าจะรับสั่งต่อแต่แล้วก็ชะงัก
“ช่างมันเถอะ” ทรงตัดบทเสียอย่างนั้น แล้วรับสั่งไปเรื่องอื่น
“ท่านมาวันนี้ก็ดีข้ามีเรื่องอยากปรึกษา” ทรงรับสั่งถ่ายทอดรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการศึกษาและการสาธารณสุขที่เพิ่งได้รับการเสนอแนะมาสด ๆ ร้อน ๆ ให้กับท่านอับดุลลาและเจ้าชายฟาฮานฟังโดยจัสมินได้แต่รับฟังเงียบ ๆ ไม่สอดแทรก
“เห็นเป็นอย่างไรกัน ?”
“ลูกไม่มั่นใจนักว่าจะทำได้ดีเพราะไม่ถนัดด้านนี้ แต่ถ้าเป็นพระประสงค์ ลูกก็เต็มใจรับ”
“แล้วท่านล่ะ ?” องค์อาซาริยัสหันมารับสั่งถามท่านอับดุลลา
“เป็นพระดำริที่สมควรยิ่งแล้วพระเจ้าค่ะ”
“หึ! ความคิดของฉันรึ ความคิดของจอมบงการน่ะสิ!” รับสั่งแกมสรวลที่ไม่มีใครเข้าใจ
“ส่วนเรื่องการสำรวจคาเธย์ ฉันตกลงใจแล้วให้มีการสำรวจได้” ถ้อยรับสั่งนี้ไม่มีใครแย้ง แต่จัสมินสังเกตเห็นแววตาของผู้เป็นพ่อออกจะกังวลแม้จะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“เส้นทางสายนั้นทั้งกันดารและยังมีปัญหาเรื่องกลุ่มกองโจรคงต้องจัดกองกำลังอารักขาคณะสำรวจ แต่ที่สำคัญที่สุดเราหาไกด์ที่ชำนาญเส้นทางสายนั้นไม่ได้เลย” เจ้าชายฟาฮานเสนอความเห็น
“ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าตัวเขาอนุญาตแล้วคงไม่ปล่อยให้เกิดอะไรกับคณะสำรวจหรอก” คำตอบขององค์กษัตริย์ก่อให้เกิดความงุนงงกับผู้ฟังจนต้องทูลถาม
“ใครอนุญาตกันท่านพ่อ ?” เจ้าชายฟาฮานทูลถามอย่างฉงน
“ก็ .ไม่มีอะไร เรื่องนี้ไว้ตกลงกันในที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง ท่าทางจัสมินคงจะเบื่อแย่แล้วพวกเราคุยกันเรื่องหนัก ๆ นี่ก็ค่ำแล้วเราไปที่โต๊ะอาหารกันเลยดีกว่า” องค์กษัตริย์อาซาริยัสทรงตัดบทก่อนจะเสด็จลุกไปเป็นพระองค์แรกทำให้คนอื่น ๆ ต้องตามเสด็จเช่นกัน
ขบวนรถหลายคันแล่นตามกันไปช้า ๆ บนถนนสายกว้างอันปราศจากยวดยานพาหนะ แสงนวลแห่งจันทราส่องสว่างกระทบกับสันทรายก่อให้เกิดหลืบเงาดูสวยงามและเร้นลับในขณะเดียวกัน
“ท่านพ่อมีเรื่องหนักใจอะไรหรือคะ ?” จัสมินเอ่ยถามหลังจากสังเกตกริยาครุ่นคิดของผู้เป็นบิดามาพัหนึ่งแล้ว
“พ่อแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเชียวหรือ ?”
“เปล่าค่ะ แต่ลูกรู้สึกว่าท่านพ่อกังวล น่าจะเกี่ยวกับการสำรวจคาเธย์ใช่ไหมคะ ?” ท่านอับดุลลานิ่งไปสายตาทอดมองออกไปนอกรถสักพักจึงหันกลับมาทางบุตรสาว
“ลูกจำตำนานเล่าขานเกี่ยวกับคาเธย์ได้ไหม ?” หญิงสาวพยายามนึกทบทวนความทรงจำจากครั้งเก่าก่อน
“ตามตำนานเล่าว่านครคาเธย์เป็นเมืองต้องคำสาปจากราชินีแห่งคาเธย์จนต้องล่มสลายกลายเป็นเมืองร้าง แต่ในตำนานนั้นไม่ได้บอกว่าเหตุใดราชินีพระองค์นั้นจึงโกรธแค้นชาวเมืองถึงขนาดสาปแช่งผู้คนของพระนางเอง”
“มันไม่ได้จบแค่นั้นหรอกลูก ตำนานยังกล่าวถึงการคืนสู่อำนาจของพระนางด้วย ‘ราชินีหลับใหล ณ แท่นบรรทม รอวันคืนคงเธอจะมาครอง สาวกแห่งเธอ จะเป็นผู้เปิดประตู ปลุกเธอจากการหลับใหล ณ วันสุริยันแผดเผาและจันทราดับแสง จันทรามหามายาจะเสื่อมสูญ’ ท่านอับดุลลากล่าวโศลกโบราณให้บุตรสาวฟัง
“หมายความว่ายังไงคะ ?”
“ร่างและวิญญาณของพระนางถูกพันธนาการไว้ด้วยมนต์จันทรามหามายา พระนางรอวันที่จะได้รับการปลดปล่อย”
“ใครกันคะที่พันธนาการพระนาง ช่างใจร้ายเสียจริง”
“ผิมันผู้ใดก้าวล่วงอำนาจแห่งมาฮาร่า มันผู้นั้นจักถูกลงทัณฑ์”
“มาฮาร่าหรือคะ!?”
“จากโคลงบทนี้แสดงถึงตัวตนของมาฮาร่าว่าเมื่อหลายพันปีก่อนมาฮาร่ามีอำนาจมากทีเดียว อะไรคือการก้าวล่วงอำนาจแห่งมาฮาร่า ?” ท่านอับดุลลารำพึงกับตนเองพลางถอนใจยาว
“ฟังแล้วเหมือนพวกมาฮาร่าเป็นพวกชั่วร้ายเลยนะคะ แต่ท่านพ่อคงไม่เชื่อตำนานปรัมปราพวกนี้ใช่ไหมคะ” จัสมินถามแกมหัวเราะ เธอไม่ได้เชื่อถือกับตำนานที่เล่าขานโดยปราศจากหลักฐานยืนยัน
“พ่อเป็นคนรุ่นเก่าจัสมิน พ่อยังมีความเชื่อประจำถิ่นอยู่ ไม่ว่าวิวัฒนาการมันจะล้ำยุคไปแค่ไหนก็ไม่อาจลบความเชื่อไปได้ ฟังดูอาจงมงายแต่พ่อรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก อีกอย่างองค์อาซาริยัสก็มีรับสั่งแปลก”
“แปลกยังไงกันคะ ?”
“ใครกันล่ะที่อนุญาตให้คณะสำรวจเข้าไปสำรวจคาเธย์” หญิงสาวสบตาผู้เป็นบิดา
“เมื่อตอนที่ฮัดซันเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาองค์ราชาทรงลังเล ขอเวลาทบทวนซักระยะ แต่นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันกลับรับสั่งถึงเรื่องนี้แล้ว แล้วยังเรื่องกองทุนส่วนพระองค์อะไรนั่นอีก พ่อกับลูกเพิ่งจะพูดกันเรื่องพัฒนาชนชั้นล่างของอัลมาฮาร์เมื่อเช้า พอตกเย็นก็มีรับสั่งเรื่องนี้ ทรงวางแผนเป็นรูปเป็นร่างเหมือนกับว่าทรงดำริเรื่องนี้มานานแล้วอย่างนั้นแหล่ะ”
“อาจจะทรงดำริไว้นานแล้วก็ได้นี่คะ”
“พ่อคงรู้สึกไปเองละมั้ง” ท่านอับดุลลาบอกกับบุตรสาวเพื่อเป็นการตัดบทแม้จะยังติดใจสงสัยในอีกหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา
“เรื่องสำรวจคาเธย์ ลูกขอไปด้วยนะคะ” จัสมินเปลี่ยนเรื่องยิ้มประจบ
“มันอันตรายนะลูก ผู้ชายยังว่าลำบาก แล้วลูกเป็นผู้หญิงยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่” ท่านอับดุลลาไม่เห็นด้วย
“แต่ลูกอยากไปนี่คะ ท่านพ่ออนุญาตไม่ได้หรือ ให้ลูกช่วยไปเป็นล่ามให้กับทางคณะสำรวจก็ได้ นะคะ” ผู้เป็นบุตรสาวรบเร้า
“ทำไมถึงอยากไปนัก ?”
“ก็มันน่าสนใจนี่คะ นครคาเธย์ซากอารยธรรมประวัติศาสตร์ที่ยังไม่มีใครสำรวจ น่าสนใจกว่าแหล่งที่เขาสำรวจกันไว้แล้วเสียอีก ลูกอยากเห็นบรรยากาศจริง ๆ ได้เห็นสภาพของนครแห่งนั้นอย่างที่มันเป็นจริง ๆ ตั้งแต่แรก”
“ทำไมไม่สนใจเรื่องที่ผู้หญิงเขาสนใจกันฮึ แฟชั่นใหม่ ๆ เครื่องประดับ งานที่ผู้หญิงเขาชอบกันน่ะ ไม่มีผู้หญิงอัลมาฮาร์คนไหนสนใจเรื่องซากปรักหักพังทางวัฒนธรรมกันซักคนนะลูก”
“เรื่องสวย ๆ งาม ๆ ลูกก็สนใจค่ะ แต่สนใจเรื่องคาเธย์มากกว่า ท่านพ่ออนุญาตลูกเถอะนะคะ อนุญาตให้ลูกไปดีกว่าลูกแอบตามไปเองนะคะ” ตอนท้ายคำอ้อนแกมขู่นิด ๆ รอยยิ้มและแววตาออกจะเจ้าเล่ห์จนท่านอับดุลลาถอนใจยาว
“พ่อตามใจเจ้าเกินไปเสียแล้ว”
“จะขัดใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วละค่ะ” จัสมินยิ้มประจบผู้เป็นพ่อเอนศีรษะอิงซบไหล่กว้าง เธอเห็นทางชนะอยู่ไม่ไกล ท่านอับดุลลาโอบไหล่บุตรสาวไว้อย่างรักใคร่ รู้อยู่แก่ใจว่าที่ลูกพูดนั้นถูกต้อง การหน่วงเหนี่ยวไม่ให้บุตรสาวเดินทางไปกับคณะสำรวจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แล้วถ้าจัสมินแอบตามคณะสำรวจไปจริง ๆ อาจเป็นอันตรายกว่าการเดินทางไปพร้อมกับคณะสำรวจ สู้เขาเตรียมการณ์ทุกอย่างให้รัดกุมปลอดภัยแล้วปล่อยให้บุตรสาวไปพร้อมกับคณะสำรวจย่อมจะมั่นใจในความปลอดภัยได้มากกว่า
จัสมินมองออกไปภายนอกรถที่แล่นไปช้า ๆ ไม่เร่งร้อน แสงจันทร์ที่ส่องกระทบลาดเนินสูงต่ำของภูเขาทรายเมื่อครู่ ถูกเมฆทะมึนเคลื่อนเข้ามาบดบังทำให้แสงจันทร์ที่กระจ่างมัวสลัวลง ณ จุดสูงสุดของสันทราย ร่างหนึ่งยืนม้าแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้านิ่งอยู่อย่างนั้น จนในครั้งแรกที่เห็นเธอนึกว่าเป็นแท่งหินหรืออะไรซักอย่าง หากสักครู่เงาร่างนั้นก็เคลื่อนไหว ชายผ้าสีคล้ำปลิวสะบัดก่อนจะลับหายไป
‘คงเป็นทหารรักษาการณ์’ หญิงสาวไม่ติดใจสงสัยอะไร ขบวนรถแล่นผ่านไปไกล สันทรายกองสูงทำให้บดบังภาพนั้นลับหายไปจากสายตา
ความคิดเห็น